น้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรดังขึ้นมา ดึงดูดความสนใจของทุกคนให้หันไปมองฮั๋วเจี้ยนเฟิงกำลังสั่งอาหารอย่างสบายใจ รู้สึกว่าเพิ่งจะกู้หน้ากลับมาได้เล็กน้อย จู่ ๆ ก็ถูกเสียงที่ฟังดูไม่เป็นมิตร ดังขึ้นมาทำลายบรรยากาศ“นี่คือห้องส่วนตัวที่ฉันจองไว้ นายมีสิทธิ์อะไรจะมาเอาไป พวกเราไม่เปลี่ยน”ฮั๋วเจี้ยนเฟิงที่กำลังมองรายการอาหาร ไม่แม้แต่จะเงยขึ้นมา และพูดตอบน้ำเสียงแข็งกร้าวถึงแม้ว่าฮั๋วเจี้ยนเฟิงยังไม่ได้อยู่ในระดับที่เพียงพอจะหยิ่งผยองในเมืองฮั่นได้ แต่ฮั๋วเจี้ยนเฟิงคิดว่า หากอาศัยเส้นสายของตนเอง ก็ไม่ต้องเกรงกลัวใครอย่างไรก็ตาม นอกจากคนใหญ่คนโตที่สูงส่งเหล่านั้นแล้ว คนที่ประสบความสำเร็จทั่ว ๆ ไป ในสายตาของฮั๋วเจี้ยนเฟิงแล้ว ล้วนเป็นเพียงแค่ลิ่วล้อเท่านั้นด้านนอกประตู ชายวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยชุดสูทรองเท้าหนัง ผมถูกหวีจนเป็นระเบียบอย่างพิถีพิถัน สวมแว่นกรอบทอง มีใบหน้าเอิบอิ่ม รอยยิ้มดูราวกับพระสังกัจจายน์ค่อย ๆ หุบลงใบหน้าอวบอิ่มของชายวัยกลางคนเงยขึ้นสูง มองฮั๋วเจี้ยนเฟิงอย่างเหยียดหยาม และเอ่ยขึ้น “ผลที่จะตามมาของการไม่หลีกทางให้ นายไม่มีทางรับไหวแน่นอน”ฮั๋วเจี้ยนเฟิงยังคงไม่เงยหน
กู้ซิ่งเหว่ยอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาเบา ๆ “ดูสิ นี่คือความแตกต่างสินะ คนบางคนเก็บได้ของล้ำค่ามาจะมีประโยชน์อะไร ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ก็ยังคงขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย”“ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานทำให้มองเห็นใจคน คนบางคนนี่นะ พอถึงช่วงเวลาสำคัญก็ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ผู้ชายเช่นนั้นพึ่งพาไม่ได้เลยสักนิด เลือกผู้ชายมาเป็นสามีจะต้องหัดมองให้ทะลุปรุโปร่ง” กู้ชิงหลินพูดด้วยท่าทีคลุมเครือเมื่อมีคำพูดของฮั๋วเจี้ยนเฟิงเป็นประกัน คนเหล่านี้ก็เริ่มลำพองขึ้นมาอีกครั้ง คิดว่าฮั๋วเจี้ยนเฟิงจะสามารถจัดการเรื่องทั้งหมดได้ภายในเวลาไม่กี่นาทีหวังฟางมองไปที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิงอย่างมีความสุข รู้สึกว่ายังคงเป็นฮั๋วเจี้ยนเฟิงที่สามารถทำให้ตนเองมีหน้ามีตาได้ เมื่อเทียบกับหลี่โม่ที่มัวแต่นั่งเงียบไม่พูดจาตรงหน้าแล้ว ถือว่าดีกว่าร้อยเท่าพันเท่า อย่างไรเสียจะต้องเปลี่ยนลูกเขยให้ได้!ฮั๋วเจี้ยนเฟิงรู้สึกลำพองใจอย่างมาก ยิ่งคนตระกูลกู้ดูถูกหลี่โม่ ฮั๋วเจี้ยนเฟิงก็ยิ่งรู้สึกสบายใจลุกขึ้นยืนจัดเสื้อผ้าเล็กน้อย จากนั้นฮั๋วเจี้ยนเฟิงก็เดินไปที่ประตูห้อง ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “คุณลุงหวง ผ
หวงเหวินจิ่นคือใคร? บรรดาญาติคนสนิทของตระกูลกู้ต่างไม่มีใครรู้จัก คนเดียวที่รู้ว่าหวงเหวินจิ่นคือใคร ก็คือฮั๋วเจี้ยนเฟิง แต่ฮั๋วเจี้ยนเฟิงแสร้งทำเป็นไม่สนใจอยู่พักหนึ่ง แล้วลืมแนะนำตัวตนหวงเหวินจิ่นให้ตระกูลกู้ได้รู้จัก ทำให้ในขณะนี้ถูกกู้ชิงหลิน และคนอื่น ๆ รังแกจนขี่หลังเสือแล้วลงไม่ได้แล้ว ด้านหนึ่งคือต้องการเอาใจคนทั้งตระกูลของกู้เจี้ยนหมิน ส่วนอีกด้านหนึ่งคือต้องการจัดการกับคนโหดร้ายและโลภที่กินคนไม่คายกระดูกอย่างหวงเหวินจิ่น ฮั๋วเจี้ยนเฟิงรู้สึกว่า ชีวิตตัวเองกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาทันที แต่ไม่ว่าจะยากแค่ไหนก็ต้องเผชิญ ตราบใดที่สามารถเอาชนะใจสาวงามไว้ได้ ความพยายามทั้งหมดที่ได้ทำลงไปถือว่าคุ้มค่า ในขณะที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิงได้เรียบเรียงคำพูดอ้อนวอนแล้วกำลังจะเอ่ยปากพูดขึ้น กู้ซิ่งเหว่ยก็ลุกขึ้นขึ้นมาก่อน "ประธานบ้าบออะไรกัน ตอนนี้แมวกับสุนัขเร่ร่อนก็สามารถเป็นประธานได้แล้ว ภายใต้มือฉันมีบริษัทกระเป๋าหนังมากมายตำแหน่งประธานสามารถมีได้หลายสิบคน แค่ถามว่าคุณกลัวหรือไม่” กู้ซิ่งเหว่ยพูดอย่างภาคภูมิใจอย่างมาก เพื่อนสนิทตระกูลกู้ต่างหัวเราะคิกคัก และตามมาด้วยการเหน็บแนมเย้
ไม่รอให้ฮั๋วเจี้ยนเฟิงพูดจบ หวงเหวินจิ่นก็จ้องเขาแล้วผลักเข้าไปในห้องส่วนตัว และพูดเสียงดังว่า “ท่านประธานของเรามาถึงแล้ว ระวังปากพวกนายไว้ด้วย ถ้าหากว่ามีใครพูดคำที่ไม่น่าฟังออกมาอีก อย่ามาโทษว่าฉันหวงเหวินจิ่นลงมือโหดเหี้ยม” กู้ซิ่งเหว่ยและคนอื่น ๆ ที่เมื่อครู่ยังมีความสุขกันอย่างมาก จู่ ๆ ก็ตัวแข็งทื่อเหมือนลูกหมาตกน้ำแล้วจ้องไปที่หวงเหวินจิ่นที่โกรธจัดขึ้นมาทันที “หวง… เหวินจิ่น? หวงเหวินจิ่นเสือแห่งเมืองฮั่น?” กู้ซิ่งเหว่ยพึมพำด้วยเสียงเบา ๆ เหงื่อเย็นเหมือนถั่วเหลืองเม็ดใหญ่ผุดบนหน้าผากของเขา คิดไม่ถึงว่าคำว่าลุงหวงที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิงเอ่ยออกมานั้นจะเป็นหวงเหวินจิ่นเสือแห่งเมืองฮั่น นั่นเป็นถึงคนโหดเหี้ยมอันดับหนึ่งของบริษัทติ่งเซิ้งเชียวนะ ว่ากันว่าเมื่อตอนบริษัทติ่งเซิ้งก่อตั้งขึ้น หวงเหวินจิ่นเป็นผู้ดูแลจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องความกล้าและเรื่องโหด ๆ แถมยังลงมืออย่างโหดเหี้ยมเจ็บแสบเป็นพิเศษ อันดับชื่อเสียงเป็นรองจากสี่ราชามาเฟียของเมืองฮั่นเท่านั้น! “แม่เจ้า ทำไมเสือแห่งเมืองฮั่นถึงมานี่? ฉันเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเขา เหล่าบรรดาชายใหญ่ในโลกนี้ต่างเชื่อฟังเหมื
หวงฝูชิ่งแสดงความไม่พอใจ ฮั่วเจี้ยนเฟิงทำอะไรไม่ถูกทันที แววตาของหวงเหวินจิ่นที่อยู่ด้านข้างได้เผยแววดุร้ายราวกับเสือกำลังจะออกล่าเหยื่อ ดูเหมือนว่าแค่เพียงหวงฝูชิ่งออกคำสั่งก็สามารถกำจัดทุกคนในห้องส่วนตัวนี้ได้ กู้เจี้ยนหมินและคนอื่น ๆ ก็ยิ่งตื่นตระหนกราวกับฝูงแกะเห็นสิงโต ตกใจจนมือและเท้าของพวกเขาอ่อนแรง พูดอะไรไม่ออกคำพูดขอความเมตตาก็ไม่รู้แล้วว่าจะพูดออกมาอย่างไร ช่องว่างระหว่างระดับชั้นของทุกคนต่างเกินไปมากจริง ๆ ! หวงฝูชิ่งทำเพียงแค่ปล่อยเสียงจมูกออกมา ก็สามารถทำให้ทุกคนในห้องฉี่รดกางเกงด้วยความตกใจ ฮั่วเจี้ยนเฟิงโค้งลง 120 องศา จากนั้นก้มลงไปอีกไม่กี่นาที แล้วพูดด้วยความตื่นตระหนกว่า “ท่านประธานหวง ผมไม่ทราบจริง ๆ ว่านี่คือห้องพิเศษที่คุณต้องการ ถ้าหากว่าผมรู้ ผมคงไม่พูดมากและยอมถอยแล้ว พวกผมจะถอยออกไปเดี๋ยวนี้ คุณไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ?” “หึหึ เมื่อกี้นายยังทำตัวกร่างอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ตอนนี้กลัวแล้ว? ความกล้าของนายแบบเมื่อกี้หายไปไหนแล้วล่ะ ก่อนนี้ยังพูดสนุกปากกันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? ” หวงฝูชิ่งเลิกคิ้วถาม เมื่อกี้ที่ถูกเพื่อนสนิทตระกูลกู้เยาะเย้ยนั้นทำให้ในใจของหวงเห
จุดแข็งของกู้ซิ่งเหว่ยการโยนความผิดให้คนอื่น แต่ดูเหมือนว่าความผิดในวันนี้ ดูอย่างไรก็เหมือนตกอยู่ที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิง หลังของกู้ชิงหลินยึดพิงไปกับมุมของกำแพงอย่างแน่น และก้มตัวลงเพื่อย่อตัวให้เล็ก ไม่เหลือความอวดดีเหมือนในอดีต หลี่โม่กำลังสังเกตท่าทางของผู้คน และในใจก็รู้สึกว่าน่าขำอย่างช่วยไม่ได้ คนเหล่านี้ก็รู้จักที่จะเยินยอต่อผู้สูงและกดขี่ผู้ที่ต่ำกว่า เมื่อพบเจอคนใหญ่คนโตจริง ๆ ก็ทำได้เพียงอดทนโดนทุบตีเท่านั้น หลี่โม่จับมือของกู้หยุนหลานเบา ๆ และพูดเสียงเบาว่า “ไม่ต้องกลัว จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น” คิ้วคู่สวยของกู้หยุนหลานขมวดเข้าหากันแน่น เพราะความกังวลและความกลัว สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีซีดเช่นกัน “คุณดูแลตัวเองให้ดี ๆ เถอะค่ะ หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว” กู้หยุนหลานพูดพลางส่ายหัว ในใจคิดว่ามันกลายเป็นปัญหาใหญ่แล้ว จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร! หลี่โม่ไม่พูดอะไรอีก เพราะท้ายที่สุดแล้วปัญหาต้องพึ่งกับการลงมือทำ ไม่เช่นนั้นถึงจะพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี เพียะ! หวงเหวินจิ่นตบฮั๋วเจี้ยนเฟิงอีกครั้ง ในที่สุดแก้มทั้งสองของฮั๋วเจี้ยนเฟิงก็นูนบวมเท่ากันทั้งซ้ายขวา “คุณลุ
แม้ว่าหลี่โม่จะพูดเพียงไม่กี่คำ แต่คำพูดเหล่านี้เหมือนกับลูกระเบิดที่ระเบิดขึ้นกลางความคิดของทุกคน กู้เจี้ยนหมิน ฮั่วเจี้ยนเฟิง และคนอื่น ๆ มองไปที่หลี่โม่ ต่างคิดว่าหลี่โม่บ้าไปแล้ว! พูดแบบนี้ในเวลานี้ เป็นการลากทุกคนไปตายไม่ใช่เหรอ? กู้หยุนหลานยิ่งประหลาดใจมากขึ้น คิดไม่ออกเลยว่าหลี่โม่จะทำอะไรอีก มันไม่ง่ายเลยที่ทำให้ท่าทีของหวงฝูชิ่งผ่อนคลายลง! สายตาของหวงเหวินจิ่นได้ปรากฏความโกรธที่สามารถกลืนทุกสิ่งทุกอย่างได้ ความแค้นที่กำลังจะดับลงเมื่อครู่นี้ ทันใดนั้นก็ทนไม่ได้อีกต่อไป แต่คนที่ตกใจมากที่สุดคือหวงฝูชิ่ง! เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย หวงฝูชิ่งก็มองไปที่หลี่โม่ที่เงยหน้าขึ้นและส่งยิ้มเล็ก ๆ ให้เขา ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นในหัวสมองตัวเอง นายน้อยแดนมังกร! กลายเป็นว่านายน้อยแห่งแดนมังกรอยู่ที่นี่! เมื่อกี้ทำอะไรลงไป? ถึงกับต้องการครอบครองห้องส่วนตัวของนายน้อยแห่งแดนมังกร! ซ้ำยังปล่อยให้หวงเหวินจิ่นอบรมสั่งสอนคนสนิทของนายน้อยแห่งแดนมังกร! ตัวเองไม่ใช่แค่ชนเข้ากับแผ่นเหล็กแล้ว นี่มันชนเข้ากับภูเขาชัด ๆ ! แดนมังกร สำหรับหวงฝูชิ่งนั้นใหญ่มากราวกับภูเขา
กู้หยุนหลานจ้องไปที่หลี่โม่อย่างร้อนรนและบ่นว่า “ฉันเพิ่งบอกให้คุณหยุดพูดไร้สาระไง ทำไมคุณถึง...” ไม่รอให้กู้หยุนหลานพูดจบ หลี่โม่ก็ตบหลังมือของกู้หยุนหลานเบา ๆ และมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน “ท่านประธานหวงเป็นคนยิ่งใหญ่ คนยิ่งใหญ่ล้วนฉลาดและมีจรรยาบรรณ คงไม่บุกรุกครอบครองที่ของผู้อื่นอย่างแน่นอน นอกจากนี้ท่านประธานหวงยังเป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านธุรกิจในเมืองฮั่น มีหลายคนที่จ้องตำแหน่งของประธานหวงอยู่ ดังนั้นท่านประธานหวงจะไม่ทำเรื่องแย่งชิงแน่นอน ใช่ไหมครับ ท่านประธานหวง?” หลี่โม่พูดอย่างยิ้ม ๆ ด้วยความสง่าผ่าเผยแต่ความจริงไม่ใช่ ในประโยคนั้นมีเพียงความหมายเดียวคือ ให้หวงฝูชิ่งรีบไสหัวออกไป กู้หยุนหลานมองไปที่หลี่โม่ด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าถึงตอนนี้แล้ว หลี่โม่จะยังพูดถึงเรื่องไร้ประโยชน์เหล่านี้ เมื่อต้องเผชิญกับมหาอำนาจ เรื่องมารยาทและศีลธรรมล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ! กู้เจี้ยนหมินระงับโกรธไว้ในใจ รู้สึกว่าโกรธจนกำลังจะเป็นบ้า และพึมพำในปากว่า “บ้าไปแล้ว ไอ้บ้าหลี่โม่นี่มันเสียสติไปแล้ว! จะลากพวกเราให้จบสิ้นไปด้วยกันกับเขา!” หวังฟางที่อยู่ด้านข้างราวกับเหมือนลูกบอลที
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา