หวังฟางหน้านิ่วคิ้วขมวด หันมองไปที่สวี่ฝานเม่า รู้สึกว่าสวี่ฝานเม่ากำลังทำลายบรรยากาศอันดีงามนี้“เจี้ยนหมิน สวี่ฝานเม่าคนนี้เชื่อถือได้ไหม? ได้ยินว่าคนที่ทำงานประเมิน หลายคนก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถนัก” หวังฟางกระซิบถามกู้เจี้ยนหมินจ้องหวังฟางตาเขม็ง และวางมาดของหัวหน้าครอบครัวขึ้นมา“ผู้หญิงนี่ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย คุณสวี่นั่นเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในการประเมินวัตถุ เคยเข้าร่วมการจำแนกระดับขั้นของระบบโบราณวัตถุ รับผิดชอบการประเมินสมบัติทางวัฒนธรรมระดับชาติ ผู้คนในแวดวงสะสมล้วนเชื่อถือในผลการชี้ขาดของคุณสวี่”หวังฟางฟังแล้วก็แอบตกใจ คิดไม่ถึงว่าสวี่ฝานเม่าที่ดูขัดหูขัดตาคนนี้ จะมีความสามารถระดับนี้กู้หยุนหลานเองก็ตกใจเล็กน้อย การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องนี้ ทำให้ในใจของกู้หยุนหลานรู้สึกปั่นป่วน คิดถึงคำพูดเมื่อครู่ของหลี่โม่ที่บอกว่า จะพิสูจน์ตัวเอง หรือว่านี่คือการพิสูจน์ของเขา?เธอหันไปมองหลี่โม่เล็กน้อย หลี่โม่เห็นกู้หยุนหลานมองมาที่ตนเอง ก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยทันที สายตาสื่อความหมายว่าให้กู้หยุนหลานวางใจกู้หยุนหลานเหลือบมอง และหันหน้ากลับอย่างรวดเร็
ตอนที่กู้ซิ่งเหว่ยถามว่า หยกมังกรมูลค่าเท่าไหร่นั้น ในใจก็รู้สึกกังวลอย่างมาก เมื่อครู่เขาเย้ยหยันหลินโม่ไว้ไม่น้อยเหลือบตามองหลี่โม่ที่กำลังมอบหยกมังกรของพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ออกไป กู้ซิ่งเหว่ยก็รู้สึกอับอายเล็กน้อยสีหน้าของกู้ชิงหลินและคนอื่น ๆ ต่างก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทุกคนต่างขมวดคิ้วแน่น ราวกับว่ายิ่งหยกมังกรมีค่ามากเท่าไหร่ พวกเขายิ่งเป็นทุกข์มากเท่านั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่พูดว่า หยกมังกรมีค่าแค่สองร้อยบาทเมื่อครู่ ตอนนี้ยิ่งรู้สึกอับอายจนหน้าแดงก่ำ หากบนพื้นมีรอยแยกแล้วล่ะก็ คงจะพาตนเองมุดลงไปซ่อนตัวด้านในอย่างแน่นอนคิ้วคู่งามของฮั๋วเจี้ยนเฟิงผูกเป็นปมขึ้นมา และรู้สึกกระวนกระวายใจเดิมคิดว่าจองห้องVIPราคาสิบล้านกว่าได้ และมอบนาฬิกาเหรียญทองที่มีมูลค่ากว่า 3.5 ล้านได้ จะสามารถกลายเป็นพระเอกของงานในวันนี้ได้ แต่ดูไปแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป!ก่อนหน้านี้ใครพูดว่าหลี่โม่เป็นคนไร้ค่า เป็นคนจนกัน?คนจนไร้ค่าสามารถมอบสิ่งของที่ราชวงศ์ใช้ได้ด้วยหรือ?ฮั๋วเจี้ยนเฟิงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเจ็บใจ หากจัดการได้ไม่ดี ไม่แน่ว่าเงินสองล้านในวันนี้ อาจเสียไปโดยเปล่าประโยชน์!ฮั๋วเจี
กู้ซิ่งเหว่ยก้มหน้าก้มตา แล้วถอยร่นไปด้านหลัง เหมือนกับเด็กที่ทำความผิดตอนนี้ ในหัวของกู้ซิ่งเหว่ยคิดถึงแต่จำนวนเงินมูลค่า 400 ล้าน รู้สึกว่าความโชคดีเช่นนี้ ควรเป็นของเขาถึงจะถูก ทำไมจะต้องเป็นคนโง่เง่าอย่างหลี่โม่นั่น ที่เก็บของล้ำค่าไปได้ คนที่ไปเดินเตร็ดเตร่ที่ตลาดที่ขายของโบราณบ่อย ๆ คือตนเองต่างหาก!แต่ว่ากู้ซิ่งเหว่ยอยู่ในตลาดขายของโบราณ กลับไม่เคยเก็บอะไรได้เลย มิหนำซ้ำยังตกหลุมพรางโดนหลอกให้ซื้อของปลอมอยู่บ่อย ๆ ยิ่งเปรียบเทียบ กู้ซิ่งเหว่ยยิ่งเกิดความอับอายจนพาลรู้สึกโกรธขึ้นมา คิดว่าหลี่โม่แย่งโชคดีของตนไป และแค้นใจที่ไม่อาจฆ่าหลี่โม่ให้ตายที่นี่ได้!กู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงทั้งสองครอบครัว ตอนนี้ก็ขมวดคิ้วแน่น มีสีหน้าที่ไม่น่าดูนักเสียเวลาเสียตั้งนาน สุดท้ายเจ้าหลี่โม่นี่ กลับเก็บของล้ำค่าได้จริง ๆ !มิหน้ำซ้ำยังเป็นของเก่าแก่มูลค่าหลายร้อยล้านอีกด้วย!ถึงแม้ว่าในใจของฮั๋วเจี้ยนเฟิงจะกระวนกระวายอย่างมาก แต่ก็ยังต้องแสร้งทำใบหน้าเรียบเฉย อย่างไรเสียก็เป็นถึงเจ้าคนนายคน จึงยังพอมีความสุขุมอยู่บ้าง“ฮ่าฮ่าฮ่า ทำให้ฉันได้เปิดหูเปิดตาจริง ๆ หลี่… หลี่อะไรนะ เรื่อง
น้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรดังขึ้นมา ดึงดูดความสนใจของทุกคนให้หันไปมองฮั๋วเจี้ยนเฟิงกำลังสั่งอาหารอย่างสบายใจ รู้สึกว่าเพิ่งจะกู้หน้ากลับมาได้เล็กน้อย จู่ ๆ ก็ถูกเสียงที่ฟังดูไม่เป็นมิตร ดังขึ้นมาทำลายบรรยากาศ“นี่คือห้องส่วนตัวที่ฉันจองไว้ นายมีสิทธิ์อะไรจะมาเอาไป พวกเราไม่เปลี่ยน”ฮั๋วเจี้ยนเฟิงที่กำลังมองรายการอาหาร ไม่แม้แต่จะเงยขึ้นมา และพูดตอบน้ำเสียงแข็งกร้าวถึงแม้ว่าฮั๋วเจี้ยนเฟิงยังไม่ได้อยู่ในระดับที่เพียงพอจะหยิ่งผยองในเมืองฮั่นได้ แต่ฮั๋วเจี้ยนเฟิงคิดว่า หากอาศัยเส้นสายของตนเอง ก็ไม่ต้องเกรงกลัวใครอย่างไรก็ตาม นอกจากคนใหญ่คนโตที่สูงส่งเหล่านั้นแล้ว คนที่ประสบความสำเร็จทั่ว ๆ ไป ในสายตาของฮั๋วเจี้ยนเฟิงแล้ว ล้วนเป็นเพียงแค่ลิ่วล้อเท่านั้นด้านนอกประตู ชายวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยชุดสูทรองเท้าหนัง ผมถูกหวีจนเป็นระเบียบอย่างพิถีพิถัน สวมแว่นกรอบทอง มีใบหน้าเอิบอิ่ม รอยยิ้มดูราวกับพระสังกัจจายน์ค่อย ๆ หุบลงใบหน้าอวบอิ่มของชายวัยกลางคนเงยขึ้นสูง มองฮั๋วเจี้ยนเฟิงอย่างเหยียดหยาม และเอ่ยขึ้น “ผลที่จะตามมาของการไม่หลีกทางให้ นายไม่มีทางรับไหวแน่นอน”ฮั๋วเจี้ยนเฟิงยังคงไม่เงยหน
กู้ซิ่งเหว่ยอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาเบา ๆ “ดูสิ นี่คือความแตกต่างสินะ คนบางคนเก็บได้ของล้ำค่ามาจะมีประโยชน์อะไร ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ก็ยังคงขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย”“ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานทำให้มองเห็นใจคน คนบางคนนี่นะ พอถึงช่วงเวลาสำคัญก็ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ผู้ชายเช่นนั้นพึ่งพาไม่ได้เลยสักนิด เลือกผู้ชายมาเป็นสามีจะต้องหัดมองให้ทะลุปรุโปร่ง” กู้ชิงหลินพูดด้วยท่าทีคลุมเครือเมื่อมีคำพูดของฮั๋วเจี้ยนเฟิงเป็นประกัน คนเหล่านี้ก็เริ่มลำพองขึ้นมาอีกครั้ง คิดว่าฮั๋วเจี้ยนเฟิงจะสามารถจัดการเรื่องทั้งหมดได้ภายในเวลาไม่กี่นาทีหวังฟางมองไปที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิงอย่างมีความสุข รู้สึกว่ายังคงเป็นฮั๋วเจี้ยนเฟิงที่สามารถทำให้ตนเองมีหน้ามีตาได้ เมื่อเทียบกับหลี่โม่ที่มัวแต่นั่งเงียบไม่พูดจาตรงหน้าแล้ว ถือว่าดีกว่าร้อยเท่าพันเท่า อย่างไรเสียจะต้องเปลี่ยนลูกเขยให้ได้!ฮั๋วเจี้ยนเฟิงรู้สึกลำพองใจอย่างมาก ยิ่งคนตระกูลกู้ดูถูกหลี่โม่ ฮั๋วเจี้ยนเฟิงก็ยิ่งรู้สึกสบายใจลุกขึ้นยืนจัดเสื้อผ้าเล็กน้อย จากนั้นฮั๋วเจี้ยนเฟิงก็เดินไปที่ประตูห้อง ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “คุณลุงหวง ผ
หวงเหวินจิ่นคือใคร? บรรดาญาติคนสนิทของตระกูลกู้ต่างไม่มีใครรู้จัก คนเดียวที่รู้ว่าหวงเหวินจิ่นคือใคร ก็คือฮั๋วเจี้ยนเฟิง แต่ฮั๋วเจี้ยนเฟิงแสร้งทำเป็นไม่สนใจอยู่พักหนึ่ง แล้วลืมแนะนำตัวตนหวงเหวินจิ่นให้ตระกูลกู้ได้รู้จัก ทำให้ในขณะนี้ถูกกู้ชิงหลิน และคนอื่น ๆ รังแกจนขี่หลังเสือแล้วลงไม่ได้แล้ว ด้านหนึ่งคือต้องการเอาใจคนทั้งตระกูลของกู้เจี้ยนหมิน ส่วนอีกด้านหนึ่งคือต้องการจัดการกับคนโหดร้ายและโลภที่กินคนไม่คายกระดูกอย่างหวงเหวินจิ่น ฮั๋วเจี้ยนเฟิงรู้สึกว่า ชีวิตตัวเองกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาทันที แต่ไม่ว่าจะยากแค่ไหนก็ต้องเผชิญ ตราบใดที่สามารถเอาชนะใจสาวงามไว้ได้ ความพยายามทั้งหมดที่ได้ทำลงไปถือว่าคุ้มค่า ในขณะที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิงได้เรียบเรียงคำพูดอ้อนวอนแล้วกำลังจะเอ่ยปากพูดขึ้น กู้ซิ่งเหว่ยก็ลุกขึ้นขึ้นมาก่อน "ประธานบ้าบออะไรกัน ตอนนี้แมวกับสุนัขเร่ร่อนก็สามารถเป็นประธานได้แล้ว ภายใต้มือฉันมีบริษัทกระเป๋าหนังมากมายตำแหน่งประธานสามารถมีได้หลายสิบคน แค่ถามว่าคุณกลัวหรือไม่” กู้ซิ่งเหว่ยพูดอย่างภาคภูมิใจอย่างมาก เพื่อนสนิทตระกูลกู้ต่างหัวเราะคิกคัก และตามมาด้วยการเหน็บแนมเย้
ไม่รอให้ฮั๋วเจี้ยนเฟิงพูดจบ หวงเหวินจิ่นก็จ้องเขาแล้วผลักเข้าไปในห้องส่วนตัว และพูดเสียงดังว่า “ท่านประธานของเรามาถึงแล้ว ระวังปากพวกนายไว้ด้วย ถ้าหากว่ามีใครพูดคำที่ไม่น่าฟังออกมาอีก อย่ามาโทษว่าฉันหวงเหวินจิ่นลงมือโหดเหี้ยม” กู้ซิ่งเหว่ยและคนอื่น ๆ ที่เมื่อครู่ยังมีความสุขกันอย่างมาก จู่ ๆ ก็ตัวแข็งทื่อเหมือนลูกหมาตกน้ำแล้วจ้องไปที่หวงเหวินจิ่นที่โกรธจัดขึ้นมาทันที “หวง… เหวินจิ่น? หวงเหวินจิ่นเสือแห่งเมืองฮั่น?” กู้ซิ่งเหว่ยพึมพำด้วยเสียงเบา ๆ เหงื่อเย็นเหมือนถั่วเหลืองเม็ดใหญ่ผุดบนหน้าผากของเขา คิดไม่ถึงว่าคำว่าลุงหวงที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิงเอ่ยออกมานั้นจะเป็นหวงเหวินจิ่นเสือแห่งเมืองฮั่น นั่นเป็นถึงคนโหดเหี้ยมอันดับหนึ่งของบริษัทติ่งเซิ้งเชียวนะ ว่ากันว่าเมื่อตอนบริษัทติ่งเซิ้งก่อตั้งขึ้น หวงเหวินจิ่นเป็นผู้ดูแลจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องความกล้าและเรื่องโหด ๆ แถมยังลงมืออย่างโหดเหี้ยมเจ็บแสบเป็นพิเศษ อันดับชื่อเสียงเป็นรองจากสี่ราชามาเฟียของเมืองฮั่นเท่านั้น! “แม่เจ้า ทำไมเสือแห่งเมืองฮั่นถึงมานี่? ฉันเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเขา เหล่าบรรดาชายใหญ่ในโลกนี้ต่างเชื่อฟังเหมื
หวงฝูชิ่งแสดงความไม่พอใจ ฮั่วเจี้ยนเฟิงทำอะไรไม่ถูกทันที แววตาของหวงเหวินจิ่นที่อยู่ด้านข้างได้เผยแววดุร้ายราวกับเสือกำลังจะออกล่าเหยื่อ ดูเหมือนว่าแค่เพียงหวงฝูชิ่งออกคำสั่งก็สามารถกำจัดทุกคนในห้องส่วนตัวนี้ได้ กู้เจี้ยนหมินและคนอื่น ๆ ก็ยิ่งตื่นตระหนกราวกับฝูงแกะเห็นสิงโต ตกใจจนมือและเท้าของพวกเขาอ่อนแรง พูดอะไรไม่ออกคำพูดขอความเมตตาก็ไม่รู้แล้วว่าจะพูดออกมาอย่างไร ช่องว่างระหว่างระดับชั้นของทุกคนต่างเกินไปมากจริง ๆ ! หวงฝูชิ่งทำเพียงแค่ปล่อยเสียงจมูกออกมา ก็สามารถทำให้ทุกคนในห้องฉี่รดกางเกงด้วยความตกใจ ฮั่วเจี้ยนเฟิงโค้งลง 120 องศา จากนั้นก้มลงไปอีกไม่กี่นาที แล้วพูดด้วยความตื่นตระหนกว่า “ท่านประธานหวง ผมไม่ทราบจริง ๆ ว่านี่คือห้องพิเศษที่คุณต้องการ ถ้าหากว่าผมรู้ ผมคงไม่พูดมากและยอมถอยแล้ว พวกผมจะถอยออกไปเดี๋ยวนี้ คุณไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ?” “หึหึ เมื่อกี้นายยังทำตัวกร่างอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ตอนนี้กลัวแล้ว? ความกล้าของนายแบบเมื่อกี้หายไปไหนแล้วล่ะ ก่อนนี้ยังพูดสนุกปากกันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? ” หวงฝูชิ่งเลิกคิ้วถาม เมื่อกี้ที่ถูกเพื่อนสนิทตระกูลกู้เยาะเย้ยนั้นทำให้ในใจของหวงเห