หยางเหมยจินมองชายอันเป็นที่รักทั้งน้ำตา ก่อนจะถอยหลังจนถึงหน้าผา พร้อมกับกล่าวบางอย่างออกมากับชายที่ได้ชื่อว่าสามี
“ส่วนท่าน ชีวิตนี้หม่อมฉันให้พระองค์ไปหมดแล้ว หลังจากนี้ ข้าและท่านจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก เกิดชาติหน้าฉันใด ข้าไม่ขออยู่ข้างท่าน ชาตินี้ข้ามิอาจครองใจท่านได้ ต่อให้ครั้งนี้ข้าจะมีชีวิตรอดกลับไป ข้าก็เป็นได้เพียงพระชายาที่ท่านไม่ต้องการ ดังนั้นแล้วข้าขอให้พวกท่านครองคู่กันอย่างมีความสุขนะเพคะ”
“เจ้าจะทำบ้าอะไรเหมยจิน อย่าทำอะไรบ้า ๆ เด็ดขาด”
ต้วนอ๋องเอ่ยออกมาอย่างร้อนรน เขากล่าวตำหนินางออกมาเสียงดัง เพราะกลัวว่าพระชายาของตนจะทำเรื่องเสี่ยงอันตราย โดยไม่รู้เลยว่าเวลานี้แท้จริงแล้วในใจของเขามีนางอยู่เต็มหัวใจ เขารู้เพียงว่ารู้สึกใจหายและไม่อาจจะเห็นนางจากไปต่อหน้าอย่างนี้ได้
“ข้ารู้ว่าบ้านเมืองนี้ สามีสามารถมีภรรยาได้หลายคน แต่ข้าต้องการอยู่คู่ผัวเดียวเมียเดียวเฉกเช่นชาวบ้านทั่วไป ความรักที่ข้ามีให้กับท่านข้าขอคืน ลาก่อนต้วนอ๋อง”
จบประโยคหยางเหมยจินจึงหลับตาและทิ้งตัวลงที่หน้าผาด้านล่างทันที พร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่มีผู้ใดเคยเห็นมาก่อนหลังจากแต่งงานเข้าจวนอ๋อง...
‘หากชาติหน้ามีจริง ข้าขอเกิดเป็นชาวบ้านธรรมดา ขอมีสามีเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น ข้าไม่ต้องการใช้สามีร่วมกับผู้ใดอีก’
ร่างของหยางเหมยจินร่วงหล่นลงมา แต่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดช่องว่างของกาลเวลาขึ้น แทนที่ร่างของนางจะกระแทกพื้น กลับกลายเป็นหายไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย
ส่วนทางด้านต้วนอ๋อง เขาไม่คิดว่าชายาร่วมผูกผมจะเลือกเส้นทางนี้ แม้ว่าเขาจะมีชายารองหรือว่าอนุ แต่ไม่เคยทิ้งขว้างหรือไม่ดูดำดูดีหวางเฟยของตนเอง เพียงแต่ไม่เข้าหอด้วยก็เท่านั้น
เมื่อรับรู้ถึงความสูญเสียร่างกายจึงแข็งค้าง นี่จึงทำให้เหล่าทหารขององค์ชายใหญ่และฝ่าบาทจับตัวเขาได้โดยง่าย ทั้งหมดจึงถูกคุมตัวกลับพระราชวังเพื่อสำเร็จโทษ ไม่นานทั้งหมดจึงถูกประหาร!!
ส่วนทางด้านราชครูหยาง เมื่อรู้ว่าบุตรสาวกระโดดหน้าผาเพื่อไม่ต้องการให้ตนเองเดือดร้อนก็ได้แต่เศร้าใจ และสั่งให้องครักษ์ไปหาร่างบุตรสาวคนนี้ แต่ไม่ว่าจะค้นหาอย่างไรก็ไม่พบร่างแม้แต่เงา
ทางด้านหยางเหมยจิน นางมั่นใจแล้วว่าร่างของตนเองต้องแหลกเพราะกระแทกกับตีนเขาของหน้าผาแห่งนี้ แต่ใครจะคิดกันล่ะว่านางจะตกลงในลำธารแห่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด ระหว่างช่วงที่จะผ่านห้วงเวลามา มีบางสิ่งบางอย่างหลั่งไหลเข้ามาในหัวของนางจำนวนมาก หลายอย่างที่นางไม่คุ้นชิน
หมู่บ้านเอี้ยนสง เมืองซุนหนี่ว์ ปี 1974
ตงเหวินหมิง พ่อม่ายลูกสองวัยสามสิบห้าปี กำลังอาบน้ำอยู่ในลำธารเนื่องจากเหนื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งวัน ในขณะที่เขากำลังอาบน้ำอย่างสำราญใจอยู่นั้น กลับเห็นแสงประหลาดบนฟากฟ้าและมีบางอย่างพุ่งตกลงมาในลำธารใกล้ๆ กับที่เขาอาบน้ำอยู่ ด้วยความสงสัย้เขาจึงรีบว่ายน้ำไปยังจุดนั้นทันที เพราะความอยากรู้ว่าสิ่งที่ตกลงมาคืออะไร
“นี่มันอะไรกัน!!” ชายหนุ่มตกใจสุดขีดเมื่อพบว่าแสงประหลาดและวัตถุบางอย่างที่ตกลงมาจากฟ้านั้นคือร่างของมนุษย์ และที่สำคัญ เสื้อผ้าที่ผู้หญิงคนนี้สวมใส่ดูแปลกตายิ่งนัก
แม้ว่าตกใจและแปลกใจ แต่ตงเหวินหมิงก็เลือกที่จะช่วยหญิงสาวคนนี้ก่อน ชายหนุ่มจึงคว้าร่างเธอที่หมดสติมาแล้วรีบว่ายน้ำเข้าฝั่ง ก่อนจะช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นตามที่เรียนรู้มา
ไม่นานร่างบางจึงสำลักน้ำออกมาทันที พร้อมกับค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความงุนงง
“ข้ายังไม่ตายหรอกหรือ แล้วนี่ท่านช่วยข้าไว้หรือเจ้าคะ” หยางเหมยจินเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย
ตงเหวินหมิงมองหญิงสาวตรงหน้าคล้ายกับเห็นสิ่งแปลกประหลาด ก่อนจะยอมเสียมารยาทสำรวจร่างกายของเธอ เมื่อเห็นเธอไม่ได้เป็นอะไรมากก็รู้สึกโล่งใจ
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ทำไมคุณถึงตกลงมาจากฟ้า บ้านคุณอยู่ที่ไหน จะให้ผมไปแจ้งตำรวจให้หรือไม่” ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามของเธอแต่เป็นฝ่ายถามกลับ เนื่องจากอยากรู้สาเหตุของการตกลงมาจากฟ้าของหญิงสาวคนนี้
“ข้ามาจาก…” หยางเหมยจินตั้งใจจะเอ่ยแซ่ของตนเอง แต่เหมือนจะคิดได้ว่าไม่ควรเอ่ยออกมาจึงเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมาเพียงแต่ชื่อตนเอง
“ข้าชื่อเหมยจินเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอันใด และที่แห่งนี้ห่างไกลจากเมืองหลวงหรือไม่เจ้าคะ ว่าแต่ท่านพอจะมีเสื้อผ้าให้ข้าหรือไม่ ข้าหนาวเหลือเกิน”
เมื่อรู้สึกหนาวร่างของเธอเริ่มคุดคู้เข้าหากัน นี่จึงทำให้ตงเหวินหมิงต้องเดินไปเอาเสื้อคลุมตัวใหญ่ของตนเองมาคลุมร่างของหญิงปริศนาคนนี้ไว้
ทว่าในใจของชายหนุ่มแทบจะกุมขมับ เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงแปลกประหลาดคนนี้ เพราะนอกจากจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่แปลกตาแล้ว คำพูดคำจาก็แปลกประหลาดอีกด้วย
“ที่นี่คือหมู่บ้านเอี้ยนสง เมืองซุนหนี่ว์ ปี 1974 ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณตกลงมาจากฟ้าได้อย่างไร แต่คุณควรจะเปลี่ยนคำพูดคำจาให้เหมือนกับคนที่นี่ เพราะไม่อย่างนั้นคนจะมองว่าคุณบ้าเอาน่ะสิ” ตงเหวินหมิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนเล็กน้อย เพราะหากมีใครได้ยินเข้าจะหาว่าหญิงสาวคนนี้เป็นบ้าแน่ ๆ
หยางเหมยจินไม่ใช่คนโง่ นางตกหน้าผาขนาดนั้นแต่กลับไม่เป็นอะไร อีกทั้งคนที่ช่วยชีวิตไว้ก็แต่งกายดูแปลกตา และคำพูดคำจาก็แตกต่างจากบ้านเมืองที่ตนเองเคยอยู่ ‘หรือว่าข้าจะข้ามเวลาเหมือนนิยายในโรงน้ำชากันนะ หากเป็นเช่นนั้น มิเท่ากับข้าข้ามเวลามายังอนาคตเป็นพันปีหรอกหรือ’ นางได้แต่ครุ่นคิดในใจ
“เช่นนั้นแล้ว ข้าจะทำอย่างไรกันล่ะเจ้าคะ ข้ามาจากที่ไกลแสนไกล ที่นี่ข้าไม่มีแม้กระทั่งบุคคลที่ข้ารู้จัก” หญิงสาวมองไปยังคนที่ช่วยชีวิตด้วยแววตาที่น่าสงสาร จะว่าไปเวลานี้หยางเหมยจินไม่รู้ว่าตนเองจะต้องทำอย่างไร เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่คุ้นเคยสำหรับนางเลย
ตงเหวินหมิงมองหน้าหญิงสาวแปลกประหลาดคนนี้ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา ชายหนุ่มคล้ายจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ในใจของเขาเวลานี้เข้าใจเพียงว่าเธอคงจะพลัดถิ่นมาแล้วไม่มีคนรู้จัก ทำให้ชายหนุ่มคิดถึงเรื่องราวในอดีตบางอย่างที่ผ่านมา ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถาม
“ถ้าอย่างนั้นคุณพอจะเล่าเรื่องราวของคุณให้ผมฟังได้หรือไม่ เผื่อผมจะช่วยหาทางออกเรื่องนี้ให้ แต่ก่อนอื่นคุณต้องแทนตนเองว่าฉันและเรียกผมว่าคุณ เข้าใจหรือไม่ ผมชื่อตงเหวินหมิง เรียกผมว่าเหวินหมิงก็ได้”
ตงเหวินหมิงอธิบายการเรียกและคำพูดของที่นี่ให้หยางเหมยจินฟังอย่างละเอียด เพราะกลัวว่าหากเธอไปเจอคนอื่นแล้วพูดจาแปลกประหลาดแบบนี้ ชาวบ้านหรือคนทั่วไปจะมองว่าเธอเป็นคนบ้าเอาน่ะสิ
หญิงสาวรับฟังอย่างตั้งใจและพยายามทบทวนศึกษา วัฒนธรรม การพูดการจา การสนทนาระหว่างบุคคลที่ชายหนุ่มตรงหน้ากำลังบอกกล่าว เธอหลับตาลงและพยายามนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาก่อนจะตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“เข้าใจแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบกลับมาด้วยคำพูดที่ไม่เคยพูด
“ดีแล้ว ว่าแต่คุณยังไม่ตอบผมเลยนะว่าคุณตกลงมาจากฟ้าได้อย่างไร” ตงเหวินหมิงถามอีกครั้งเพราะเขาสงสัยจริง ๆ
“ฉันมาจากดินแดนอันไกลโพ้น และไม่รู้เหมือนกันว่ามาที่นี่ได้อย่างไร หากฉันจะบอกคุณว่าฉันเป็นชายาของอ๋อง มีบิดาเป็นท่านราชครูขององค์ฮ่องเต้ คุณจะเชื่อฉันหรือไม่”
หญิงสาวเลือกที่จะพูดความจริงออกไป หยางเหมยจินพยายามใช้คำพูดของคนยุคนี้ให้ถูกต้อง ก่อนจะเล่าเรื่องราวของตนเองให้ฟังอย่างละเอียด เธอไม่สนใจหรอกว่าชายผู้นี้จะมองว่าเธอบ้าหรือเป็นคนวิปลาสที่กล้าพูดเรื่องแบบนี้ออกมา แต่ในเมื่อเขาเห็นเธอหล่นลงมาจากฟ้า และเขาเป็นเพียงคนเดียวที่เธอจะพอพึ่งพาได้ในเวลานี้ เธอเลยไม่อยากปิดบังเรื่องราวต่าง ๆ ของตนเอง
หลังจากที่ฟังเรื่องราวทั้งหมด ตงเหวินหมิงเงียบไปพักใหญ่ พร้อมกับคิดว่าสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้เล่ามานั้นมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ก็ไม่อยากด่วนตัดสินใจ เนื่องจากเขาเห็นกับตาว่าเธอหล่นลงมาจากฟ้าจริง ๆ อีกทางเสื้อผ้าชุดที่สวมใส่นั้นก็ไม่ใช่ของคุณยุคนี้
‘ทว่าการที่มีคนข้ามเวลามาจากอดีต มันจะมีจริง ๆ น่ะหรือ’ ชายหนุ่มใช้เวลาครุ่นคิดนานพอสมควร พร้อมกับมองสำรวจหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง แววตาที่เธอพูดมานั้นไม่มีของคำว่าโกหกเลย แต่การที่จะให้เขาพาเธอไปที่บ้านมันก็คงจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว แม้จะไม่แน่ใจแต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะช่วยเธอ
“ผมก็ไม่รู้จะช่วยคุณอย่างไร เอาเป็นว่าสิ่งที่คุณเล่ามาผมเชื่อก็แล้วกัน แต่คุณก็ไม่ควรที่จะเล่าเรื่องพวกนี้ให้ใครฟังอีก คุณเข้าใจใช่หรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้นจะมีคนมองว่าคุณเสียสติได้ อีกอย่างผมตัดสินใจพาคุณกลับไปที่บ้านด้วยก่อนในตอนนี้ แต่คุณจะอยู่ได้หรือไม่นั้น ต้องไปถามคนที่บ้านของผมก่อน เพราะผมไม่ได้อยู่ที่นั่นเพียงคนเดียว อีกทั้งยุคสมัยนี้หญิงชายไม่ควรอยู่ด้วยกัน และที่สำคัญเจ้าหน้าที่ก็ตรวจเข้มมาก หากมีคนแจ้งร้องเรียนเข้าไป” ตงเหวินหมิงบอกกับเธออย่างละเอียดถึงเงื่อนไขที่จะพาเธอไปที่บ้านของเขา
“ได้ ๆ ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้อีก และฉันรับเงื่อนไขที่คุณบอกมาทุกอย่าง” หญิงสาวพูดออกมาอย่างไหลลื่นเหมือนคนยุคนี้โดยไม่รู้ตัว
เพียงแค่นี้หยางเหมยจินก็มีความหวังขึ้นมา และรู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ใจร้าย อีกทั้งเขาพยายามหาทางออกให้กับเธอว่าจะทำอย่างไรหลังจากนี้ ต่อให้เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่ออย่างที่พูดมาก็ตาม
บทที่ 3 ช่วยเหลือ“คุณลุกขึ้นเดินเองไหวไหม รู้สึกเจ็บปวดตรางไหนหรือไม่” ตงเหวินหมิงเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล เนื่องจากการตกลงมาจากฟ้า ต่อให้หล่นลงมาบนผืนน้ำทว่าร่างกายตรงหน้าก็ยังเป็นมนุษย์ ย่อมต้องมีความรู้สึกเจ็บ ดังนั้นจึงได้เอ่ยถามออกมา“ฉัน...” หยางเหมยจินเงยหน้าขึ้น แววตาของเธอนั้นช่างน่าสงสารยิ่งนักบ่งบอกว่าเธอลุกขึ้นไม่ไหวจริง ๆ “ขออนุญาตครับ คุณขึ้นหลังผมเถอะ เวลานี้พวกเราน่าจะไม่พบหรือว่าเจอกับชาวบ้านแล้วล่ะ มาเถอะจะได้รีบกลับบ้าน” ชายหนุ่มเอ่ยบอกพร้อมกับมองไปรอบ ๆ ตอนนี้ก็ค่ำพอสมควร ชาวบ้านก็เข้าบ้านเรือนของตัวเองไปหมดแล้ว ทำให้เขาคลายความกังวลลงเล็กน้อย“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเบา ๆเมื่อลุกเดินเองไม่ได้ แม้ว่าการที่จะขึ้นหลังของชายแปลกหน้าที่ไม่รู้จักจะไม่เป็นการเหมาะสมมากนัก แต่ทว่าหยางเหมยจินกลับเลือกที่จะละทิ้งความคิดจากอดีตทั้งหมดไป แล้วยอมให้ชายหนุ่มพยุงลุกขึ้น ก่อนจะไปอยู่บนหลังของอีกฝ่ายเพื่อให้เขาพากลับที่พักระหว่างทางทั้งสองไม่มีใครพูดอะไร ต่างก็จมอยู่ในความคิดของตนเอง จวบจนตงเหวินหมิงสาวเท้ายาว ๆ มาถึงบ้านหลังหนึ่ง“พ่อ!!” เด็กชายหญิงสองแฝดวัยสิบขวบร้องขึ
บทที่ 4 อยู่ด้วยกัน“แล้วถ้าบอกว่าฉันเป็นสาวใช้ละคะ ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรใช่หรือไม่ ตอนมาที่นี่ฉันน่าจะมีทรัพย์สินติดตัวมาบ้าง อย่างน้อยเครื่องประดับก็ยังดี”ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตนเอง เธอจึงเลือกที่จะเสนอความคิดเห็นออกมา แต่คำพูดของเธอนั้น ทำให้สามพ่อลูกส่ายหน้าหัวแทบหลุด และร้องออกมาอย่างตกใจพร้อมกันว่า“ไม่ได้!!”หยางเหมยจินไม่เข้าใจว่า ‘ไม่ได้’ นี่คือคำพูดไหนของเธอ“เรื่องสาวใช้นั้นยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย แล้วคุณไม่ต้องคิดเรื่องนี้ด้วย บ้านเราไม่ได้ร่ำรวยเหมือนคนในเมืองที่จะมีเงินมาจ้างสาวใช้ไว้ดูแล อีกอย่างพวกเราเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาทั้งนั้น เรื่องในบ้านต่าง ๆ ล้วนแต่ทำเอง ส่วนเรื่องเครื่องประดับไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะบางอย่างเป็นสิ่งของต้องห้ามของที่นี่” ชายหนุ่มรีบบอกกับเธอให้เข้าใจจากนั้นตงเหวินหมิงก็เลือกที่จะเล่าเรื่องราวของยุคนี้ให้หญิงสาวตรงหน้าฟังอย่างละเอียด โดยมีลูกทั้งสองคนคอยสลับเล่าเรื่องราวต่าง ๆ เช่นกันเมื่อได้ฟังทุกอย่าง หยางเหมยจินก็พยักหน้าเข้าใจ ยุคสมัยนี้แตกต่างจากบ้านเกิดเมืองนอนของเธอไม่น้อย หรืออาจจะเรียกว่าแตกต่างแทบจะทุกอย่างก็ว่าได้“เอาเป็นว่าคุณอา
บทที่ 5 ย้อนกลับไปที่เคยจากมามื้อเช้านี้ทุกคนมานั่งกินกันอย่างพร้อมเพรียง เด็กน้อยทั้งสองคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย รวมถึงหยางเหมยจินด้วย เธอไม่คิดว่าพ่อม่ายอย่างตงเหวินหมิงจะทำอาหารได้อร่อยอย่างนี้“เป็นอย่างไรบ้างคะน้าเหมย พ่อของลี่ลี่ทำอาหารอร่อยหรือไม่คะ” ตงฟางลี่หันมายิ้มกับสมาชิกใหม่ของครอบครัวด้วยความภาคภูมิใจ เด็กสาวรู้ดีว่าอาหารที่พ่อของเธอนั้นทำอร่อยแค่ไหน จึงได้หันมาถามเพื่ออวดความสามารถของพ่อตนเอง“อร่อยมาก อร่อยกว่าพ่อครัวบ้านน้าเสียอีก”หยางเหมยจินตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เรื่องนี้เธอพูดไม่ผิดนัก ความสามารถในการทำอาหารของตงเหวินหมิงนั้นเข้าขั้นพ่อครัวใหญ่ได้เลย ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะมีความสามารถด้านนี้“อย่ามัวแต่พูดกันอยู่เลย จะไม่ทันขึ้นเกวียนไปโรงเรียนนะ” ตงเหวินหมิงคุ้นชินกับอาการของลูกสาวตัวแสบเสียแล้ว จึงได้เร่งให้ทุกคนรีบกินมื้อเช้า ไม่เช่นนั้นคงต้องไปขึ้นเกวียนไม่ทันแล้วจะไปโรงเรียนสายเป็นแน่“ค่ะพ่อ / ครับพ่อ” สองแฝดรับคำแข็งขันก่อนจะรีบกินอาหารเช้าทันทีเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หยางเหมยจินจึงเดินไปหยิบห่อข้าวมาให้เด็กน้อยทั้งสองคน “นี่คือห่อข้าวอาหารกลางวันของทั้งสองคน
บทที่ 6 เบื้องหลังของตงเหวินหมิงไม่นานหญิงสาวก็เดินมาถึง ในครัวนี้เต็มไปด้วยอาหารมากมาย มีทั้งเนื้อสดและเนื้อตากแห้ง ผักผลไม้ เอาเป็นว่าครัวนี้มีครบทุกอย่างสมกับเป็นครัวของตระกูลหยางที่ยิ่งใหญ่แต่ทว่าในขณะที่กำลังหยิบเนื้อหมูชิ้นโตเตรียมจะทำอะไรกิน กลับได้ยินเสียงใครบางคนเรียกชายหนุ่มเจ้าของบ้านขึ้นมา“พี่เหวินหมิง พี่อยู่บ้านหรือไม่”ซูหว่านตะโกนเรียกตงเหวินหมิงอยู่หน้าบ้าน เพราะเธอได้ยินว่าหัวหน้าคอมมูนให้เขาไปเอาปุ๋ยและของใช้ที่สำนักงานในเมือง เธอเลยตั้งใจว่าจะขอตามไปด้วย ก่อนหน้านี้มีคนบอกว่าเขาแวะมาที่บ้าน เธอเลยรีบตามมาด้วยความตกใจเสียงเรียก หยางเหมยจินจึงนึกถึงบ้านตง จากนั้นแสงที่สร้อยก็ปรากฏขึ้นมาชั่วขณะ และเมื่อแสงสว่างดับลง เธอก็พบตัวเองได้กลับมายังบ้านตงอีกครั้ง พร้อมกับเนื้อหมูชิ้นโตที่หยิบติดมือมาด้วย แม้อยากจะตะโกนร้องถามว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น แต่เพราะไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ หญิงสาวจึงหลบซ่อนอย่างเงียบเชียบเพราะกลัวอีกฝ่ายจะบุกเข้ามา“สงสัยจะเข้าเมืองไปแล้ว พี่เหวินหมิงนะพี่เหวินหมิง จะรอกันหน่อยก็ไม่ได้” ซูหว่านกระทืบเท้าด้วยความขัดใจที่ตามมาไม่ทันชายหนุ่ม ก่อนจะหมุน
บทที่ 7บอกเรื่องมิติตงเหวินหมิงเมื่อออกมาจากคฤหาสน์หลังใหญ่แล้ว ชายหนุ่มก็มุ่งหน้ากลับเข้าหมู่บ้านทันที โดยไม่ลืมแวะซื้ออาหารติดมือไปด้วย“เรียบร้อยแล้วครับหัวหน้า ผมขอกลับบ้านสักครู่นะครับ จะขอเอาของที่ซื้อมาจากในเมืองไปเก็บก่อนและจะได้ไปกินข้าวเที่ยงด้วย” ชายหนุ่มเข้ามารายงานหัวหน้าคอมมูนและขออนุญาตกลับไปที่บ้าน เพราะจะเอาอาหารไปกินพร้อมหญิงสาว เขากลัวว่าเธอจะหิวเพราะนี่ก็บ่ายมากแล้ว“ขอบใจนะ นายไปเถอะ นี่ก็บ่ายคล้อยแล้วรีบกลับไปกินข้าวเที่ยงก่อนเถอะ วันนี้นายจะหยุดงานช่วงบ่ายไปเลยก็ได้นะเพราะอีกไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว เดี๋ยวฉันลงเวลาให้เต็มเอง” หัวหน้าคอมมูนตอบกลับอย่างมีน้ำใจ โดยให้ตงเหวินหมิงหยุดงานในช่วงบ่ายนี้แทน แต่ก็ยังลงเวลาเต็มวันให้“ขอบคุณครับหัวหน้า แต่อย่าดีกว่าครับ ผมไม่อยากให้ใครมองว่าผมเอาเปรียบ ถ้าผมไม่มาก็ไม่ต้องลงเวลาให้หรอกครับ ลงเท่าที่ผมทำงานก็แล้วกัน”ตงเหวินหมิงตอบกลับทันที เขาไม่ต้องการให้ใครมาตำหนิได้ว่าไม่ทำงานแต่ยังได้รับคะแนนเต็มวัน และเขาตั้งใจแล้วว่าช่วงบ่ายวันนี้จะขอลาหยุดพอดี เมื่อหัวหน้าเปิดโอกาสเขาจึงรีบรับทันที“เช่นนั้นก็ตามใจเถอะ รีบกลับไปกิ
บทที่ 8 มาหาถึงบ้าน“ที่นี่คือ…” ตงเหวินหมิงอดที่จะถามไม่ได้ สายตาคมเข้มประดุจเหยี่ยวสำรวจรอบ ๆ ด้วยความสนใจไม่ใช่เพราะที่นี่คือที่ที่เก็บอาหารและสิ่งของมากมาย แต่ที่นี่กลับทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนต่างหาก“ที่นี่คือจวนตระกูลหยาง ก่อนแต่งงานฉันก็อยู่ที่นี่ล่ะ” หญิงสาวตอบกลับอย่างร่าเริงเมื่อมายังสถานที่ที่คุ้นเคย หยางเหมยจินจึงยิ้มออกมาอย่างมีความสุข พร้อมกับเล่าถึงคนในครอบครัวให้อีกฝ่ายฟัง ซึ่งเขาก็นั่งฟังอย่างใส่ใจ“จริงสิ ฉันได้ยินว่าคุณมักจะขึ้นเขาไปล่าสัตว์อยู่เสมอ ในจวนแห่งนี้มีห้องเก็บอาวุธ คุณลองไปดูธนูไหมเผื่อว่าจะได้ที่ถูกใจ จากนั้นเราค่อยไปเลือกผ้าเอามาตัดชุดให้กับทุกคน ฉันไม่กล้าเลือกเองเพราะไม่รู้ว่ายุคของคุณใส่เสื้อผ้าแบบไหน และใส่สีสดใสได้หรือเปล่า”หยางเหมยจินพูดขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตงเหวินเมิงต้องไปล่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหารให้ลูกๆ เธอจึงเสนอให้เขาไปเลือกอาวุธที่มีมากมายในจวนแห่งนี้ ส่วนเรื่องเสื้อผ้านั้น เท่าที่ดูจากการแต่งกายของสามคนพ่อลูกเธอเห็นเพียงเสื้อผ้าธรรมดา แม้จะไม่มีรอยปะแต่ก็ไม่ได้ใหม่นัก อีกทั้งยังไม่มีสีสดใสเลย จึงอยากจะตัดเย
บทที่ 9 ออกหน้าช่วยเหลือ“แล้วเรื่องนี้ผมควรจะทำอย่างไรดี พูดไปชาวบ้านคงไม่เชื่ออย่างที่คุณบอก” ตงเหวินหมิงเริ่มเห็นด้วยกับสิ่งที่หญิงสาวตรงหน้าบอก เนื่องจากเขาเป็นผู้ชายและไม่ค่อยสนใจคำครหาของชาวบ้าน แต่ลืมไปว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอาจจะกระทบกับลูกทั้งสองคน โดยเฉพาะลูกสาวอย่างตงฟางลี่“เรื่องนี้ฉันจัดการเองถ้าคุณไม่ตำหนิฉันนะ หากไม่เช่นนั้นแล้วผู้หญิงคนนั้นคงไม่หยุดวุ่นวายกับคุณแน่” หยางเหมยจินคล้ายกับจะตัดสินใจบางอย่าง เนื่องจากเธอไม่มีอะไรจะให้เสียหายแล้ว ชื่อเสียงสำหรับเธอเป็นเพียงแค่ของประดับเท่านั้น การที่จะได้ช่วยผู้มีพระคุณทำให้เธอยอมที่จะแลก“อย่าบอกนะว่าคุณจะ...” ตงเหวินหมิงเหมือนจะเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ จึงได้มีสีหน้าตกใจ“ใช่ค่ะ เรื่องอื่นปล่อยไว้ก่อน หากทำแบบนี้อย่างน้อยฉันก็สามารถออกมาจากบ้านของคุณและช่วยงานทุกคนได้ แต่คุณไม่ต้องกังวลนะ ถ้าเมื่อไรที่คุณมีหญิงสาวที่ชอบ ฉันจะบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอคนนั้นได้รับรู้ด้วยตัวเอง คุณคิดเห็นว่าอย่างไร” หญิงสาวคิดว่าเขารู้แล้วว่าเธอจะทำอะไร จึงบอกเขาไม่ให้กังวลหากเขามีคนรักในภายหลัง“คุณคิดดีแล้วใช่ไหมที่จะทำแบบนี้ แต่คุณจะเส
บทที่ 10 อย่าคิดว่าร้ายไม่เป็นเมื่อได้ยินเสียงผู้เฒ่าเอ่ยถาม ตงเหวินหมิงที่มีความสัมพันธ์อันดีกับบ้านหม่าอยู่แล้ว จึงตอบกลับมาตามที่นัดแนะกับหยางเหมยจินไว้ พร้อมกับรู้สึกผิดและขอโทษเธออยู่ในใจที่ทำให้ต้องมาออกหน้าในเรื่องวุ่นวายเช่นนี้“ผู้หญิงคนนี้ชื่อหยางเหมยจินครับปู่หม่า เธอคือคู่หมั้นของผม ส่วนเรื่องที่ผมและอาเหมยหมั้นหมายกันได้อย่างไรและเมื่อไร ผมขอไม่ขยายความนะครับ ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ส่วนเรื่องแต่งงาน เรามองกันว่ากลางปีหน้าจะจัดงานอย่างถูกต้องครับ”“ละ แล้ว ทำไมนังคนนี้ถึงได้มาอาศัยในบ้านของพี่ล่ะ เป็นแค่คู่หมั้นไม่ใช่เมียพี่เสียหน่อย” ซูหว่านเอ่ยถามอีกครั้งด้วยอาการที่จ้องจะจับผิดแต่กลายเป็นหยางเหมยจินที่รั้งแขนของตงเหวินหมิงไว้ และตอบคำถามประโยคนี้ด้วยตัวเอง ใครจะมองว่าเธอเป็นหญิงน่ารังเกียจเธอก็ไม่สนใจแล้วในตอนนี้ ขอแค่ช่วยให้ชายหนุ่มหลุดออกจากมือของผู้หญิงคนนี้ก็พอ“การที่หญิงชายอยู่ด้วยกัน แม้ว่ามันจะไม่เหมาะสมหรือไม่คู่ควร ในเมื่อฉันและพี่หมิงเป็นคู่หมั้นกันแล้ว เรื่องในมุ้งของเราสองคนคงไม่ต้องให้ใครมายุ่งวุ่นวาย อีกทั้งเรื่องนี้อาหยวนกับลี่ลี่ก็รับรู้แล
ตอนพิเศษ 4 คุณพ่อจอมหวงวันเวลาล่วงเลยมาถึงวันที่สองพี่น้องฝาแฝดอย่างตงจี้หยวนและตงฟางลี่ก็เติบโตขึ้นและแม้ว่าทั้งสองคนจะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่ทั้งสองคนก็ยังคงใช้แซ่ตงเหมือนเดิม ส่วนแซ่เดิมของพ่อแม่นั้นจะเอาไว้ให้ลูก ๆ ในอนาคตเป็นผู้สืบทอด ตอนนี้ทั้งสองคนใกล้จะเรียนจบระดับมหาวิทยาลัยแล้ว คนพี่นั้นเริ่มเข้ามาช่วยดูแลงานในบริษัทของพ่อ และสมบัติที่พ่อแม่ที่แท้จริงทิ้งไว้ให้ เลยไม่ค่อยมีเวลาตัวติดกับน้องสาวเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งวันนี้ก็เหมือนกัน ชายหนุ่มจะต้องเข้าไปดูงานที่บริษัท แต่น้องสาวขอไปดูหนังกับเพื่อน“พี่ใหญ่ วันนี้ฉันขอไปดูหนังได้ไหม” ตงฟางลี่เอ่ยขอพี่ชายอย่างออดอ้อน“พี่น่ะให้ไปได้ ว่าแต่เราโทรขออนุญาตพ่อหรือยัง แล้วจะดูหนังรอบไหนกัน นี่ก็เย็นมากแล้วนะ”ชายหนุ่มตอบกลับน้องสาวอย่างไม่คิดอะไร สำหรับตัวเขานั้นไม่เท่าไร แต่พ่อนี่สิคงไม่ยอมอนุญาตง่ายๆ แน่ เพราะพ่อเป็นคุณพ่อจอมหวงลูกสาวเสียเหลือเกิน ดูอย่างน้องสาวคนเล็กที่อายุแค่ไม่เท่าไรสิ พ่อยังแทบจะไม่ให้ผู้ชายอุ้มแล้ว ความหวงของพ่อที่มีต่อน้องสาวเกินขอบเขตจริง ๆ และนี่ก็ไม่ต้องพูดถึงอาอี้ข่ายที่เป็นเหมือนกันราวกับถอดแบบกันมาเลยทีเ
ตอนพิเศษ 3 คุณพ่อลูกดกหลังจากจบเรื่องตระกูลเกา ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตกันตามปกติ ซึ่งเกาเทียนอี้และเกาซื่อหลินก็ไม่คิดจะกลับไปเหยียบตระกูลเกาอีกเลย และได้ข่าวว่าเกาเสี่ยวจิงถูกคนตระกูลหุ้ยบอกเลิกการหมั้นหมายและไม่คิดจะสานต่อความสัมพันธ์ส่วนสองแม่ลูกแม้จะอยู่ตระกูลเกาต่อ แต่สถานะของทั้งสองก็อยู่ยิ่งกว่าสาวใช้ สาเหตุที่ท่านนายพลไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ก็เพราะไม่ต้องการอับอายคนในสังคม และที่สำคัญเขาได้เอาผู้หญิงที่เลี้ยงไว้นอกบ้านเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์และยกเป็นนายหญิงคนใหม่ เลยทำให้เฟ่ยเจียแค้นใจอย่างมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องยอมรับชะตากรรมที่ตนเองได้ก่อไว้พอเกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้น ตงเหวินหมิงคิดจะจัดงานเลี้ยงเปิดตัวเองและภรรยารวมถึงทุกคนให้สังคมได้รับรู้ แต่กลับถูกภรรยาห้ามไว้ เพราะเธอกำลังท้องเลยไม่อยากจัดงานเลี้ยงขึ้นมา โดยได้บอกกับสามีว่าค่อยจัดงานเปิดตัวตอนเธอคลอดลูกแล้วก็ยังไม่สายแต่เมื่อถึงเวลา หยางเหมยจินก็บ่ายเบี่ยงอีก เพราะเธออยากอยู่อย่างสงบกับลูกไม่อยากวุ่นวายกับใคร เพราะการเปิดตัวนั้นคงทำให้มีแต่คนเข้าหาเธอในฐานะนายหญิงตงจนเวลานี้เธอตั้งท้องครั้งที่สามแล้ว เพราะสองท้องที่ผ่
ตอนพิเศษ 2 ทวงคืนสินเดิมของแม่หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น สองแม่ลูกจากตระกูลเกาแทบจะนอนไม่หลับ เพราะกลัวว่าตงเหวินหมิงจะบุกมาพบกับท่านนายพลถึงตระกูลเกา แต่เมื่อเวลาผ่านมาเป็นสัปดาห์ก็ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทำให้ทั้งสองคนกลับมาเชิดหน้าเหมือนเดิม“คุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่า เหมือนว่าสัปดาห์ก่อนคุณจะพูดอะไรเหรอ” นายพลเกาเอ่ยถามภรรยาหลังจากสะสางงานตนเองเสร็จแล้ว ตอนนั้นเขากำลังวุ่นกับงานอยู่ เลยไม่ได้ฟังอะไรเธอมากมายนัก“ไม่มีอะไรแล้วค่ะ เรื่องไม่สำคัญแล้วล่ะ คุณทำงานของคุณเถอะ จริงสิ ฉันลืมบอกคุณไปว่าต้นเดือนหน้าทางตระกูลหุ้ยจะเข้ามาพูดคุยเรื่องหมั้นหมายระหว่างลูกชายบ้านนั้นกับเสี่ยวจิงของเรานะคะ” เฟ่ยเจียตอบกลับไปอย่างอ่อนหวานและเปลี่ยนเรื่องไปพูดในเรื่องที่เธอมีความยินดีอย่างมากจะว่าไปเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับเฟ่ยเจียไม่ใช่เรื่องของตระกูลตงจะเข้ามาที่นี่หรือไม่ แต่เป็นเรื่องการแต่งงานและหมั้นหมายของลูกสาวมากกว่าพอท่านนายพลเกาได้ยินเรื่องการแต่งงานของลูกสาวคนเล็ก ก็อดคิดถึงลูกสาวคนโตที่หายไปจากบ้านหลายปีแล้ว รวมถึงลูกชายที่ไปเป็นทหาร ซึ่งไม่รู้เวลานี้ทั้งสองเป็นอย่างไรบ้างเพราะขา
ตอนพิเศษ 1 หาเรื่องใส่ตัวหลังจากที่ย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่ง เกาซื่อหลินก็ยังคงช่วยงานของหยางเหมยจินเหมือนเดิมพร้อมกับดูแลพี่สาวบุญธรรมไปด้วย วันนี้ทั้งสองออกมาซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเพียงลำพัง เพราะสองแฝดไปเรียนหนังสือ ตงเหวินหมิงกับตู้อี้ข่ายก็ไปทำงาน“นี่เสี่ยวหลิน ไม่ต้องคอยระมัดระวังขนาดนั้นก็ได้ พี่แค่ท้องนะไม่ใช่คนป่วยสักหน่อย” หยางเหมยจินพูดพึมพำออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เพราะตั้งแต่เธอตั้งท้อง ทุกคนก็แทบจะไม่ให้เธอทำอะไรเลย เธอแทบจะเป็นง่อยอยู่แล้ว“พี่เหมยจินก็พูดไป ถ้าเกิดพี่เดินไม่ระวังแล้วสะดุดล้มขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ ต่อให้มีคนของพี่เขยติดตามมาด้วย ใช่ว่าจะมีคนกล้าแตะต้องตัวพี่นะ หน้าที่นี้เป็นของฉัน อย่างไรฉันก็ต้องคอยดูไว้ก่อน” เกาซื่อหลินโต้แย้งกลับทันที เพราะเธอต้องระวังความปลอดภัยให้กับพี่สาวคนนี้ เลยทำให้ต้องดูเหมือนทำเกินจริงไปหน่อย แต่ป้องกันไว้ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ“เอาเถอะ แล้วแต่เธอก็แล้วกัน นั่นร้านขายขนมฝรั่งเปิดใหม่หรือเปล่า เราลองเข้าไปดูกันเถอะ” หยางเหมยจินคร้านจะเถียงกับอีกฝ่าย เมื่อเห็นร้านขนมเปิดใหม่จึงชวนอีกฝ่ายไปดู เนื่องจากขนมพวกนี้เธอกินแล้วติด
บทส่งท้าย ครอบครัวที่ต้องการสามปีต่อมา... หลังจากวันนั้นวันที่ตงเหวินหมิงกลับมา นั่นจึงทำให้หยางเหมยจินคลายความกังวลและรู้สึกดีใจที่เขาปลอดภัย โดยที่ตงเหวินหมิงเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังเธออย่างละเอียด แล้วยังบอกอีกว่าเวลานี้เขาล้างมลทินให้ตระกูลตงเรียบร้อยแล้ว รวมถึงตระกูลของพี่เขยด้วย ก่อนจะบอกความจริงกับเด็กน้อยทั้งสอง ซึ่งแม้ทั้งสองคนจะรับรู้ว่าตนเองนั้นไม่ใช่ลูกแต่เป็นหลาน แต่ทั้งสองก็ยังคงเรียกตงเหวินหมิงว่าพ่อ และเรียกหยางเหมยจินว่าแม่เหมือนเดิมส่วนเรื่องบ้าน ทั้งหมดได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองเรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านที่รู้ความจริงว่าตงเหวินหมิงคือนายท่านหยางก็พากันตกใจ บางคนก็เสียดาย ที่ก่อนหน้านี้พวกตนน่าจะทำดีกับบ้านตงไว้ ส่วนซูหว่านแทบจะเสียสติ ที่ชายที่เธอหมายปองนั้นคือคนที่มีอิทธิพลของเมืองนี้ แถมยังร่ำรวยมากอีกด้วยแต่เพราะทางบ้านซูของเธอไม่อยากมีปัญหากับบ้านตงและรู้ว่าซูหว่านคงไม่จบเรื่องบ้านตง บ้านซูจึงตัดสินใจหาสามีที่อยู่ต่างเมืองให้เธอทันทีทำให้สามปีที่ผ่านมาไม่มีใครคอยมาวุ่นวายกับสองสามีภรรยามากนัก ทุกวันนี้ตงเหวินหมิงจึงรู้สึกสบายใจอย่างมาก“ตอนนี้เรื่องราวทุกอย่างที่
บทที่ 52 จบสิ้นปัญหาหลายวันต่อมา...ในหมู่บ้านมีคนแปลกหน้าเข้ามาทำงานในคอมมูนไม่น้อยเลย แถมหัวหน้าคอมมูนยังให้ชาวบ้านช่วยกันสร้างที่พักให้ นี่จึงทำให้ใครหลายคนพากันแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะก่อนหน้านี้หัวหน้าคอมมูนบอกเองว่าทางการยังไม่ได้ส่งคนเข้ามา แต่ทำไมวันนี้กลายเป็นว่ามีคนมากมายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านล่ะ“พวกเราคิดว่ามันแปลกหรือไม่ ที่จู่ ๆ ก็มีคนเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านจำนวนไม่น้อยเลย” ชาวบ้านคนหนึ่งถามขึ้น“จะขี้สงสัยไปทำไมกัน คนมาทำงานจะคิดมากไปทำไม หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หัวหน้าหมู่บ้านคงบอกแล้วล่ะ” อีกคนตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจการพูดคุยของกลุ่มชาวบ้านแม้ว่าแปลกใจและสงสัยแต่ก็เลือกที่จะไม่ถาม เพราะรู้ดีว่าทุกคนมีหน้าที่การงานของตนเองซึ่งเรื่องนี้มีแค่หัวหน้าคอมมูนเท่านั้น ที่รู้ว่าเป็นคนของใครที่ถูกส่งเข้ามา เขาไม่คิดว่าคนเคยปลอมเป็นชาวบ้านมางานแต่งของตงเหวินหมิงกับหยางเหมยจินจะเป็นถึงนายท่านหลู่ นายท่านผู้ลึกลับแต่ทรงอิทธิพล และเขาก็ไม่คิดว่าท่านจะส่งคนมาบอกเรื่องที่จะให้ คนมาทำงานในคอมมูน โดยปลอมเป็นชาวบ้านที่มาทำงานในคอมมูนที่หมู่บ้านแห่งนี้เพื่อที่จะปกป้องใครบางคน ซึ่งต่อให้ช
บทที่ 51 เดินทางไปปักกิ่งเมื่อมีคนมาจี้ใจดำตัวเอง ซูหว่านจึงมีท่าทีฟึดฟัดขึ้นมา ก่อนจะพูดเสียงดัง “แล้วยังไง ฉันยังหวังและเชื่อว่าฉันจะแต่งเข้าบ้านตงได้แน่นอน รอจังหวะก่อนเถอะ”ชาวบ้านที่ได้ยินต่างก็ส่ายหน้าอย่างระอา เพราะเวลานี้ตงเหวินหมิงได้จัดพิธีแต่งงานกับหยางเหมยจินแล้ว ดูแล้วเขายังรักภรรยาคนนี้มากอีกด้วย แล้วแบบนี้คนอย่างซูหว่านจะเข้าไปแทรกกลางได้อย่างไรกัน“พี่ใหญ่ ดูเหมือนพ่อจะมีเรื่องกลุ้มใจนะ พี่คิดว่าอย่างนั้นไหม” ตงฟางลี่พูดขึ้นเพราะรู้ว่าพ่อนั้นทำงานหนัก เพราะต้องทำงานทั้งในตำแหน่งนายท่านหยาง และยังต้องทำงานในคอมมูนเพื่อต้องการปิดบังฐานะที่แท้จริงต่อคนภายนอก เธอเห็นแล้วสงสารพ่อเหลือเกิน“เรื่องนี้พี่เองก็คิดเหมือนกัน พี่เลยต้องตั้งใจเรียนอย่างไรละ เมื่อไรที่พี่โตขึ้น พี่จะทำงานและเลี้ยงพ่อกับแม่เอง รวมถึงลี่ลี่ด้วย” เด็กชายที่อยู่ในช่วงจะเข้าวัยเด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง“คุยอะไรกันจ๊ะเด็ก ๆ รีบมากินมื้อเที่ยงได้แล้ว วันนี้แม่ทำบะหมี่เนื้อตุ๋นให้กินนะ มาเร็ว ๆ” หยางเหมยจินโผล่หน้ามาจากครัว ก่อนจะตะโกนเรียกลูกทั้งสองคน ทำให้สองพี่น้องรีบวิ่งมาทันทีเพราะอาหารที่แม่ของ
บทที่ 50 สถานการณ์คับขันหลายวันต่อมา...ท่านนายพลกุ้ยเอ่ยขอพบกับนายท่านหยางเพื่อขอซื้ออาหารเพิ่มและต้องการอาวุธที่มีประสิทธิภาพ แม้ว่าในมิติของหยางเหมยจินจะไม่มีอาวุธเหล่านั้น แต่เส้นสายของนายท่านหลู่กลับมี ซึ่งเป็นอาวุธคุณภาพดีจากต่างประเทศ แต่ตงเหวินหมิงยังไม่อยากให้ขาย เพราะไม่แน่ว่าคนของเขาและนายท่านหลู่อาจจะต้องใช้ และถ้าใครรับรู้ว่านายท่านหลู่ค้าอาวุธแบบผิดกฎหมาย คนพวกนั้นอาจจะเอาเรื่องนี้มาเล่นงานกลับก็ได้“เรื่องจัดหาอาหารนั้นผมไม่มีปัญหา แต่เรื่องอาวุธเห็นทีจะไม่ได้ เส้นสายของท่านน่าจะมี ย่อมต้องรู้ว่าผมมีเพียงอาหารเท่านั้น” ตงเหวินหมิงตอบกลับนายพลกุ้ยด้วยแววตาที่จริงจัง เขารู้ดีว่านายพลคนนี้มาหาด้วยเรื่องอะไร การขอซื้ออาวุธอาจจะเป็นแผนลวงก็เป็นได้“ไม่สามารถหาได้เลยอย่างนั้นเหรอ” นายพลกุ้ยถามย้ำอีกครั้ง เพราะคราวนี้เขาได้รับคำสั่งมาเพื่อให้ซื้ออาวุธกับอีกฝ่าย แต่กลายเป็นว่านายท่านหยางคนนี้กลับไม่โอนอ่อนเพื่อที่จะจัดหาอาวุธให้ทางฝ่ายเขาและแบบนี้เขาจะกลับไปตอบนายใหญ่ได้อย่างไร สีหน้าในตอนที่ถามออกมาจึงกังวลไม่น้อย“ครับ ผมคิดว่าเรื่องนี้นายพลกุ้ยลองไปสอบถามพ่อค้าคนอื่นดูเถอะ
บทที่ 49 ต่างมอบความรักให้กันย้อนกลับมาที่หมู่บ้าน เวลานี้ซ่านหลิงเดินทางมาหยางเหมยจินด้วยตนเอง เพราะรู้ดีว่าสามีของน้องสาวคนสนิทนั้นมีความรู้จักมักคุ้นกับนายท่านหยาง เลยตัดสินใจเดินทางมาหาด้วยตนเอง นั่นก็เผื่อว่าน้องสาวคนนี้จะบอกสามีให้แจ้งนายท่านหยางเพื่อที่จะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น“อย่างไรฉันจะบอกพี่หมิงให้ก็แล้วกันนะคะพี่ซ่านหลิง เรื่องนี้ใหญ่เกินไปสำหรับผู้หญิงอย่างเรา แล้วอีกอย่างเรื่องนี้อยู่ที่การตัดสินใจของนายท่านหยาง พี่หมิงทำได้เพียงส่งข่าวของพี่ให้นายท่านรู้เท่านั้น”หยางเหมยจินหลบเลี่ยงที่จะตอบตรง ๆ แม้ว่าจะสนิทกันอย่างไร เรื่องที่สามีของเธอคือนายท่านหยางนั้น เธอก็ยังไม่พร้อมที่จะบอกพี่สาวคนนี้ จึงทำเพียงพูดว่าสามีของเธอมีความรู้จักมักคุ้นกับนายท่านหยางเท่านั้น“เรื่องนี้ฉันเข้าใจ เธอรู้ใช่ไหมว่าใครต่อใครต่างก็อยากให้นายท่านหยางเข้าร่วมด้วย”ซ่านหลิงเองก็ไม่อยากบังคับน้องสาวคนสนิท เพราะเรื่องนี้เธอกลัวว่าตงเหวินหมิงที่รู้จักมักคุ้นกับนายท่านหยางจะโดนร่างแหไปด้วยหากเกิดอะไรขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึงหยางเหมยจินจะเจอเรื่องเลวร้ายด้วยเหมือนกัน“ฉันเข้าใจ และขอบคุณพี่มากที่มาส่งข่าวเร