มื้อเช้านี้ทุกคนมานั่งกินกันอย่างพร้อมเพรียง เด็กน้อยทั้งสองคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย รวมถึงหยางเหมยจินด้วย เธอไม่คิดว่าพ่อม่ายอย่างตงเหวินหมิงจะทำอาหารได้อร่อยอย่างนี้
“เป็นอย่างไรบ้างคะน้าเหมย พ่อของลี่ลี่ทำอาหารอร่อยหรือไม่คะ” ตงฟางลี่หันมายิ้มกับสมาชิกใหม่ของครอบครัวด้วยความภาคภูมิใจ เด็กสาวรู้ดีว่าอาหารที่พ่อของเธอนั้นทำอร่อยแค่ไหน จึงได้หันมาถามเพื่ออวดความสามารถของพ่อตนเอง
“อร่อยมาก อร่อยกว่าพ่อครัวบ้านน้าเสียอีก”
หยางเหมยจินตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เรื่องนี้เธอพูดไม่ผิดนัก ความสามารถในการทำอาหารของตงเหวินหมิงนั้นเข้าขั้นพ่อครัวใหญ่ได้เลย ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะมีความสามารถด้านนี้
“อย่ามัวแต่พูดกันอยู่เลย จะไม่ทันขึ้นเกวียนไปโรงเรียนนะ” ตงเหวินหมิงคุ้นชินกับอาการของลูกสาวตัวแสบเสียแล้ว จึงได้เร่งให้ทุกคนรีบกินมื้อเช้า ไม่เช่นนั้นคงต้องไปขึ้นเกวียนไม่ทันแล้วจะไปโรงเรียนสายเป็นแน่
“ค่ะพ่อ / ครับพ่อ” สองแฝดรับคำแข็งขันก่อนจะรีบกินอาหารเช้าทันที
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หยางเหมยจินจึงเดินไปหยิบห่อข้าวมาให้เด็กน้อยทั้งสองคน “นี่คือห่อข้าวอาหารกลางวันของทั้งสองคน อย่าลืมเสียล่ะ” เธอบอกอย่างอ่อนโยน
“ขอบคุณครับ / ขอบคุณค่ะ” สองแฝดยื่นมือไปหยิบกล่องอาหารของตัวเองและไม่ลืมที่จะเอ่ยขอบคุณ ก่อนที่จะหยิบกระเป๋านักเรียนของตนเองขึ้นมาสะพายและรีบออกจากบ้านมาขึ้นเกวียนทันที
“เดี๋ยวผมเก็บเอง คุณไปนอนต่อเถอะ เมื่อเช้าก็ตื่นแต่เช้ามาก” ตงเหวินหมิงเอ่ยบอกหญิงสาวโดยไม่มองหน้า เพราะเขาเร่งรีบจัดการถ้วยชามให้เสร็จเพื่อจะรีบไปทำงานที่คอมมูน
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันคงไม่นอนแล้ว ว่าแต่คุณเถอะไปทำงานกี่โมงคะ” หยางเหมยจินไม่คิดที่จะนอนต่อแล้ว เธอตั้งใจว่าจะช่วยทำความสะอาดบ้านเสียหน่อย อย่างไรก็มาพึ่งพาอาศัยบ้านตงแล้ว ช่วยทำอะไรได้เธอก็อยากจะทำเพื่อตอบแทนพวกเขา
“เดี๋ยวก็ไปแล้ว คุณมีอะไรหรือเปล่า แม้ว่าจะออกไปทางหน้าบ้านไม่ได้ แต่หลังบ้านติดกับทางขึ้นเขา จะออกมาเดินเล่นก็ได้นะจะได้ไม่อุดอู้ อีกอย่างบ้านนี้ไม่ค่อยมีใครมาหรอก ไม่ต้องกังวลไป”
ชายหนุ่มบอกอย่างเข้าใจเธอเป็นอย่างดี ต่อให้จะสั่งไว้ว่าห้ามออกนอกบ้านหรืออย่าเดินเพ่นพ่านให้ใครเห็น แต่เพราะบ้านหลังนี้อยู่ติดกับทางขึ้นเขา หากเดินเล่นหลังบ้านเขาคิดว่าคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ทางหน้าบ้านเขาไม่ค่อยสะดวกใจ เนื่องจากยังมีชาวบ้านผ่านไปผ่านมา หากชาวบ้านพบเธอเข้าคงหาทางแก้ไขเรื่องนี้ได้ยาก
“อืม ท่าน...เอ่อ...คุณไปทำงานเถอะฉันอยู่ได้ และจะคอยระวังไม่ให้ผู้ใดพบเห็น ฉันจะอยู่แต่ในบ้านเพื่อทำความสะอาดไปก่อน”
หยางเหมยจินพยักหน้ารับก่อนจะตอบกลับ พร้อมให้คำมั่นสัญญาว่าจะดูแลตนเองให้ดี จะไม่ให้ผู้ใดพบเห็นจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะคลี่คลายและมีเอกสารยืนยันตัวตน
“ไม่ต้องทำหรอก เดี๋ยววันหยุดผมกับลูกก็จะช่วยกันทำเอง” ชายหนุ่มบอกออกไปเมื่อรู้ว่าเธอจะทำอะไร ปกติแล้วเขากับลูกทั้งสองก็จะช่วยกันทำในวันหยุดอยู่แล้ว
“ให้ฉันทำเถอะค่ะ อยู่เฉย ๆ ฉันไม่สบายใจเลย” หญิงสาวบอกออกไปจากใจจริง
“อย่างนั้นก็ทำในสิ่งที่คุณสบายใจเถอะนะ” เมื่อขัดไม่ได้เขาจึงบอกเธอไปอย่างนั้น
จากนั้นทั้งสองต่างก็ช่วยกันเก็บถ้วยชาม เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตงเหวินหมิงจึงเดินออกจากบ้านเพื่อไปทำงานที่ทุ่งนาทันที
หลังจากชายหนุ่มไปแล้ว หยางเหมยจินจึงเตรียมอุปกรณ์มาทำความสะอาดบ้าน แม้ที่ผ่านมาคุณหนูในจวนใหญ่และพระชายาเช่นเธอจะไม่เคยทำงานพวกนี้มาก่อน แต่หญิงสาวเชื่อว่าทุกคนย่อมต้องมีคำว่าเริ่มและครั้งแรกทั้งนั้น
หยางเหมยจินเริ่มทำความสะอาดบ้านแต่ละห้องด้วยความเหน็ดเหนื่อย แม้บ้านหลังนี้จะมีเพียงสองห้องนอน หนึ่งห้องโถง และหนึ่งห้องครัว แต่สำหรับหญิงสาวที่ไม่เคยหยิบจับงานพวกนี้มาก่อน นี่จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่เพราะความมุมานะและหวังตอบแทนครอบครัวผู้มีพระคุณที่ให้ที่พักและอาหาร หญิงสาวจึงทำงานด้วยความไม่ย่อท้อ กว่าบ้านทั้งหลังจะสะอาดเรียบร้อยก็กินเวลาไปหลายชั่วโมงเหมือนกัน
กลับมาทางด้านตงเหวินหมิง เมื่อออกมาจากบ้านไม่นาน ชายหนุ่มก็เดินมาถึงทุ่งนา ทว่าหัวหน้าฝ่ายกลับเรียกเขาไว้เสียก่อน
“เหวินหมิง ก่อนลงงานนายช่วยไปเอาปุ๋ยและอุปกรณ์การเกษตรที่ขอเบิกไว้ในสำนักงานในอำเภอให้หน่อยได้หรือไม่” หัวหน้าฝ่ายบอกจุดประสงค์ที่เรียกเขาไว้ทันที
“ได้ครับหัวหน้า ว่าแต่ผมต้องไปกับใครหรือเปล่า”
ตงเหวินหมิงไม่คิดจะอิดออดในเมื่องานนี้เขาก็ได้แต้มการทำงานไม่ต่างกันกับทำงานในทุ่งนา เพียงแต่อยากรู้ว่าต้องเข้าเมืองไปกับใคร ถ้าได้ไปคนเดียวก็คงจะดีไม่น้อยเพราะเมื่อเข้าเมืองแล้วเขาคงต้องแวะไปที่แห่งหนึ่ง เพื่อให้ช่วยเหลือเรื่องเอกสารของหยางเหมยจิน เนื่องจากหากมีเอกสารติดตัวหญิงสาวจะได้ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปได้ ไม่ต้องอยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ส่วนเธอจะยังอยู่ที่บ้านตงหรือไม่นั้น ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอ
“ครั้งนี้ผู้ช่วยไม่ว่าง นายไปคนเดียวได้หรือไม่ เอาเกวียนของคอมมูนไปเถอะของที่ขนมาน่าจะเยอะ หรือนายจะชวนใครไปสักคนไปช่วยยกของก็ได้” หัวหน้าฝ่ายบอกออกไปตามตรง วันนี้ผู้ช่วยเขาไม่ว่างเพราะติดงานอื่น เลยไม่สามารถไปเบิกจ่ายของที่ต้องนำมาใช้ในคอมมูนได้
“ถ้าอย่างนั้นผมไปคนเดียวดีกว่าครับหัวหน้า แค่ไปขนของที่สำนักงานในเมืองเท่านั้นเอง”
ตงเหวินหมิงบอกออกไปเพราะคิดว่าดีเสียอีกที่ไปคนเดียว หากมีคนอื่นไปด้วยคงไม่สะดวกที่จะทำแวะไปการบางอย่าง
“ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปจัดการเถอะจะได้รีบกลับ ส่วนแต้มคะแนนวันนี้ฉันก็คงให้เต็มเท่าเดิม เพราะฉันถือนายก็ทำงานตามปกติอยู่แล้ว”
หัวหน้าคอมมูนรู้ดีว่าชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นคนอย่างไร เลยไม่คิดที่จะคะยั้นคะยอให้พาคนอื่นไปด้วย
จากนั้นตงเหวินหมิงจึงเดินไปลงรายชื่อการทำงานในวันนี้ แล้วจึงเดินไปที่ด้านหลัง เพื่อเตรียมเกวียนเข้ากับวัวในการจะเดินทางเข้าเมือง
ก่อนจะเข้าเมือง ชายหนุ่มแวะเข้าไปที่บ้านก่อนเพื่อไปหยิบกล่องเงิน เพราะรู้ดีว่าการที่จะทำเอกสารส่วนตัวนั้นจะต้องใช้เงินไม่น้อย แม้ว่าบ้านตงจะไม่ค่อยมีเงินมากมายนัก แต่ในเมื่อช่วยแล้วก็ช่วยให้ถึงที่สุดก็แล้วกัน
เมื่อชายหนุ่มกลับมาถึงบ้านก็เห็นว่าหญิงสาวกำลังสาละวนอยู่กับการทำความสะอาดบ้านเลยไม่คิดจะไปพูดคุยอะไร ทันทีที่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ตงเหวินหมิงจึงรีบบังคับเกวียนออกมาจากหมู่บ้านทันที และรีบมุ่งหน้าเข้าเมืองไปจัดการกับสิ่งที่ได้รับมอบหมายมา
“เอ๋…นี่มันสร้อยไข่มุกที่ท่านย่าเป็นคนให้ไว้นี่นา แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่ข้อมือของเราได้ล่ะ”
ในขณะที่นั่งพักผ่อนอยู่ หยางเหมยจินรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ข้อมือของตนเองจึงได้ยกแขนขึ้นมามอง ทำให้เห็นว่าที่ข้อมือของเธอนั้นปรากฏสร้อยไข่มุกเส้นหนึ่งที่มีรูปร่างที่เป็นผีเสื้อ ซึ่งสร้อยเส้นนี้เป็นสิ่งที่ท่านย่ามอบให้นางในตอนเยาว์วัย ไม่คิดว่ามันจะข้ามเวลามาอยู่กับเธอด้วยในเวลานี้ด้วย
ทันทีที่เห็นสิ่งนี้ใบหน้างดงามของหญิงสาวสายตากลับมีแววเศร้าหมองลงทันตา เนื่องจากเวลานี้เธอกำลังคิดถึงครอบครัวตระกูลหยาง ไม่รู้ว่าฝั่งนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างหากรู้ว่าเธอไม่ได้มีชีวิตอยู่ที่นั่นแล้ว
แต่แล้วในขณะที่กำลังเหม่อลอยคิดถึงบ้านอยู่นั้น สร้อยไข่มุกเส้นนี้กลับเปล่งแสงขึ้นมา เธอตกใจจึงหลับตาลง สักพักจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นแล้วก็ต้องแปลกใจ เมื่อเธอกำลังยืนอยู่ในจวนของตระกูลหยางที่จะเคยอาศัยอยู่
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านย่า พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านอยู่ที่ไหนกันเจ้าคะ ข้ากลับมาแล้ว”
ใบหน้าหวานฉายแววความดีใจอย่างมาก เมื่อคิดว่าตนเองได้กลับมาหาครอบครัวอีกครั้งแล้ว ทำให้หญิงสาวเอ่ยเรียกทุกคนและวิ่งหาไปรอบ ๆ จวน แต่ไม่ว่าวิ่งไปเท่าไรกลับไม่เจอผู้คนเลยแม้แต่คนเดียว
“ทุกคนไปอยู่ที่ใดกันนะ” เมื่อเดินหาจนเหนื่อย หยางเหมยจินจึงได้นั่งพักแล้วมองไปรอบ ๆ เพื่อหวังว่าจะเจอใครสักคน อย่างน้อยเป็นข้ารับใช้ในจวนก็ยังดี
แต่ทว่านั่งพักอยู่นาน สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
“มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ” นางเดินไปเดินมาแล้วครุ่นคิดไปด้วย คิดเท่าไรก็หาคำตอบให้ตนเองไม่ได้ หยางเหมยจินจึงเดินกลับมายังเรือนของตนเอง
“หิวจัง” ว่าแล้วก็รีบเดินมุ่งหน้าไปยังครัวกลาง หวังว่าจะมีอาหารให้ตนเองได้กินประทังความหิว
บทที่ 1 หยางเหมยจินแคว้นต้าเฉิน เป็นแคว้นที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในแถบนี้ เนื่องจากมีแม่ทัพนามว่าต้วนอี้ซานหรือว่าอ๋องต้วนคอยปกป้องชายแดน ต่อให้จะมีชนเผ่ามากมายที่ต้องการรุกล้ำดินแดนก็ไม่สามารถทำได้แต่ทว่าในเมืองหลวงกลับมีองค์ชายมากมายแข่งขันเพื่อช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทเพื่อสืบทอดบัลลังก์ หนึ่งในนั้นคือองค์ชายสาม องค์ชายที่ต้วนอ๋องหนุนหลัง เนื่องจากตระกูลเดิมของกุ้ยเฟยคือตระกูลเดียวกันกับคนรักของตนเอง ทำให้คิดก่อกบฏขึ้นมาเพราะฝ่ายองค์ชายใหญ่ที่เหนือกว่าทำให้องค์ชายสามต้องแพ้พ่าย ฝ่าบาทจึงมีราชโองการให้ปราบกบฏ นี่จึงทำให้ตำหนักต้วนอ๋องแทบลุกเป็นไฟ เวลานี้ทหารจึงพยายามเข้าล้อมเพื่อจับคนในตำหนักชายาเอกหรือต้วนหวางเฟยคือบุตรสาวของราชครูที่อยู่ฝ่ายองค์ชายใหญ่ แต่เพราะรักสวามีตนเองมาก จึงทำให้ตัดขาดกับครอบครัว ครั้งนี้จึงไม่คิดจะกลับไปขอร้องบิดาให้ช่วยเหลือ เนื่องจากต้วนหวางเฟยไม่คิดจะลากครอบครัวเข้ามายุ่งเกี่ยวนั่นเองในเมื่อเลือกทางเดินนี้ย่อมต้องรับผลกรรมให้ได้ “หวางเฟยเพคะ หม่อมฉันคิดว่าพวกเราควรจะหลบหนีก่อนเถิด ไม่แน่ว่าเวลานี้ท่านอ๋องกำลังมุ่งหน้ากลับเข้าเมืองหลวงแล้ว”ลู่จิงจ
บทที่ 2 ข้ามเวลาหยางเหมยจินมองชายอันเป็นที่รักทั้งน้ำตา ก่อนจะถอยหลังจนถึงหน้าผา พร้อมกับกล่าวบางอย่างออกมากับชายที่ได้ชื่อว่าสามี“ส่วนท่าน ชีวิตนี้หม่อมฉันให้พระองค์ไปหมดแล้ว หลังจากนี้ ข้าและท่านจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก เกิดชาติหน้าฉันใด ข้าไม่ขออยู่ข้างท่าน ชาตินี้ข้ามิอาจครองใจท่านได้ ต่อให้ครั้งนี้ข้าจะมีชีวิตรอดกลับไป ข้าก็เป็นได้เพียงพระชายาที่ท่านไม่ต้องการ ดังนั้นแล้วข้าขอให้พวกท่านครองคู่กันอย่างมีความสุขนะเพคะ”“เจ้าจะทำบ้าอะไรเหมยจิน อย่าทำอะไรบ้า ๆ เด็ดขาด”ต้วนอ๋องเอ่ยออกมาอย่างร้อนรน เขากล่าวตำหนินางออกมาเสียงดัง เพราะกลัวว่าพระชายาของตนจะทำเรื่องเสี่ยงอันตราย โดยไม่รู้เลยว่าเวลานี้แท้จริงแล้วในใจของเขามีนางอยู่เต็มหัวใจ เขารู้เพียงว่ารู้สึกใจหายและไม่อาจจะเห็นนางจากไปต่อหน้าอย่างนี้ได้“ข้ารู้ว่าบ้านเมืองนี้ สามีสามารถมีภรรยาได้หลายคน แต่ข้าต้องการอยู่คู่ผัวเดียวเมียเดียวเฉกเช่นชาวบ้านทั่วไป ความรักที่ข้ามีให้กับท่านข้าขอคืน ลาก่อนต้วนอ๋อง”จบประโยคหยางเหมยจินจึงหลับตาและทิ้งตัวลงที่หน้าผาด้านล่างทันที พร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่มีผู้ใดเคยเห็นมาก่อนหลังจากแต่งงานเข้าจว
บทที่ 3 ช่วยเหลือ“คุณลุกขึ้นเดินเองไหวไหม รู้สึกเจ็บปวดตรางไหนหรือไม่” ตงเหวินหมิงเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล เนื่องจากการตกลงมาจากฟ้า ต่อให้หล่นลงมาบนผืนน้ำทว่าร่างกายตรงหน้าก็ยังเป็นมนุษย์ ย่อมต้องมีความรู้สึกเจ็บ ดังนั้นจึงได้เอ่ยถามออกมา“ฉัน...” หยางเหมยจินเงยหน้าขึ้น แววตาของเธอนั้นช่างน่าสงสารยิ่งนักบ่งบอกว่าเธอลุกขึ้นไม่ไหวจริง ๆ “ขออนุญาตครับ คุณขึ้นหลังผมเถอะ เวลานี้พวกเราน่าจะไม่พบหรือว่าเจอกับชาวบ้านแล้วล่ะ มาเถอะจะได้รีบกลับบ้าน” ชายหนุ่มเอ่ยบอกพร้อมกับมองไปรอบ ๆ ตอนนี้ก็ค่ำพอสมควร ชาวบ้านก็เข้าบ้านเรือนของตัวเองไปหมดแล้ว ทำให้เขาคลายความกังวลลงเล็กน้อย“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเบา ๆเมื่อลุกเดินเองไม่ได้ แม้ว่าการที่จะขึ้นหลังของชายแปลกหน้าที่ไม่รู้จักจะไม่เป็นการเหมาะสมมากนัก แต่ทว่าหยางเหมยจินกลับเลือกที่จะละทิ้งความคิดจากอดีตทั้งหมดไป แล้วยอมให้ชายหนุ่มพยุงลุกขึ้น ก่อนจะไปอยู่บนหลังของอีกฝ่ายเพื่อให้เขาพากลับที่พักระหว่างทางทั้งสองไม่มีใครพูดอะไร ต่างก็จมอยู่ในความคิดของตนเอง จวบจนตงเหวินหมิงสาวเท้ายาว ๆ มาถึงบ้านหลังหนึ่ง“พ่อ!!” เด็กชายหญิงสองแฝดวัยสิบขวบร้องขึ
บทที่ 4 อยู่ด้วยกัน“แล้วถ้าบอกว่าฉันเป็นสาวใช้ละคะ ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรใช่หรือไม่ ตอนมาที่นี่ฉันน่าจะมีทรัพย์สินติดตัวมาบ้าง อย่างน้อยเครื่องประดับก็ยังดี”ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตนเอง เธอจึงเลือกที่จะเสนอความคิดเห็นออกมา แต่คำพูดของเธอนั้น ทำให้สามพ่อลูกส่ายหน้าหัวแทบหลุด และร้องออกมาอย่างตกใจพร้อมกันว่า“ไม่ได้!!”หยางเหมยจินไม่เข้าใจว่า ‘ไม่ได้’ นี่คือคำพูดไหนของเธอ“เรื่องสาวใช้นั้นยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย แล้วคุณไม่ต้องคิดเรื่องนี้ด้วย บ้านเราไม่ได้ร่ำรวยเหมือนคนในเมืองที่จะมีเงินมาจ้างสาวใช้ไว้ดูแล อีกอย่างพวกเราเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาทั้งนั้น เรื่องในบ้านต่าง ๆ ล้วนแต่ทำเอง ส่วนเรื่องเครื่องประดับไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะบางอย่างเป็นสิ่งของต้องห้ามของที่นี่” ชายหนุ่มรีบบอกกับเธอให้เข้าใจจากนั้นตงเหวินหมิงก็เลือกที่จะเล่าเรื่องราวของยุคนี้ให้หญิงสาวตรงหน้าฟังอย่างละเอียด โดยมีลูกทั้งสองคนคอยสลับเล่าเรื่องราวต่าง ๆ เช่นกันเมื่อได้ฟังทุกอย่าง หยางเหมยจินก็พยักหน้าเข้าใจ ยุคสมัยนี้แตกต่างจากบ้านเกิดเมืองนอนของเธอไม่น้อย หรืออาจจะเรียกว่าแตกต่างแทบจะทุกอย่างก็ว่าได้“เอาเป็นว่าคุณอา
บทที่ 5 ย้อนกลับไปที่เคยจากมามื้อเช้านี้ทุกคนมานั่งกินกันอย่างพร้อมเพรียง เด็กน้อยทั้งสองคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย รวมถึงหยางเหมยจินด้วย เธอไม่คิดว่าพ่อม่ายอย่างตงเหวินหมิงจะทำอาหารได้อร่อยอย่างนี้“เป็นอย่างไรบ้างคะน้าเหมย พ่อของลี่ลี่ทำอาหารอร่อยหรือไม่คะ” ตงฟางลี่หันมายิ้มกับสมาชิกใหม่ของครอบครัวด้วยความภาคภูมิใจ เด็กสาวรู้ดีว่าอาหารที่พ่อของเธอนั้นทำอร่อยแค่ไหน จึงได้หันมาถามเพื่ออวดความสามารถของพ่อตนเอง“อร่อยมาก อร่อยกว่าพ่อครัวบ้านน้าเสียอีก”หยางเหมยจินตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เรื่องนี้เธอพูดไม่ผิดนัก ความสามารถในการทำอาหารของตงเหวินหมิงนั้นเข้าขั้นพ่อครัวใหญ่ได้เลย ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะมีความสามารถด้านนี้“อย่ามัวแต่พูดกันอยู่เลย จะไม่ทันขึ้นเกวียนไปโรงเรียนนะ” ตงเหวินหมิงคุ้นชินกับอาการของลูกสาวตัวแสบเสียแล้ว จึงได้เร่งให้ทุกคนรีบกินมื้อเช้า ไม่เช่นนั้นคงต้องไปขึ้นเกวียนไม่ทันแล้วจะไปโรงเรียนสายเป็นแน่“ค่ะพ่อ / ครับพ่อ” สองแฝดรับคำแข็งขันก่อนจะรีบกินอาหารเช้าทันทีเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หยางเหมยจินจึงเดินไปหยิบห่อข้าวมาให้เด็กน้อยทั้งสองคน “นี่คือห่อข้าวอาหารกลางวันของทั้งสองคน
บทที่ 4 อยู่ด้วยกัน“แล้วถ้าบอกว่าฉันเป็นสาวใช้ละคะ ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรใช่หรือไม่ ตอนมาที่นี่ฉันน่าจะมีทรัพย์สินติดตัวมาบ้าง อย่างน้อยเครื่องประดับก็ยังดี”ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตนเอง เธอจึงเลือกที่จะเสนอความคิดเห็นออกมา แต่คำพูดของเธอนั้น ทำให้สามพ่อลูกส่ายหน้าหัวแทบหลุด และร้องออกมาอย่างตกใจพร้อมกันว่า“ไม่ได้!!”หยางเหมยจินไม่เข้าใจว่า ‘ไม่ได้’ นี่คือคำพูดไหนของเธอ“เรื่องสาวใช้นั้นยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย แล้วคุณไม่ต้องคิดเรื่องนี้ด้วย บ้านเราไม่ได้ร่ำรวยเหมือนคนในเมืองที่จะมีเงินมาจ้างสาวใช้ไว้ดูแล อีกอย่างพวกเราเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาทั้งนั้น เรื่องในบ้านต่าง ๆ ล้วนแต่ทำเอง ส่วนเรื่องเครื่องประดับไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะบางอย่างเป็นสิ่งของต้องห้ามของที่นี่” ชายหนุ่มรีบบอกกับเธอให้เข้าใจจากนั้นตงเหวินหมิงก็เลือกที่จะเล่าเรื่องราวของยุคนี้ให้หญิงสาวตรงหน้าฟังอย่างละเอียด โดยมีลูกทั้งสองคนคอยสลับเล่าเรื่องราวต่าง ๆ เช่นกันเมื่อได้ฟังทุกอย่าง หยางเหมยจินก็พยักหน้าเข้าใจ ยุคสมัยนี้แตกต่างจากบ้านเกิดเมืองนอนของเธอไม่น้อย หรืออาจจะเรียกว่าแตกต่างแทบจะทุกอย่างก็ว่าได้“เอาเป็นว่าคุณอา
บทที่ 3 ช่วยเหลือ“คุณลุกขึ้นเดินเองไหวไหม รู้สึกเจ็บปวดตรางไหนหรือไม่” ตงเหวินหมิงเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล เนื่องจากการตกลงมาจากฟ้า ต่อให้หล่นลงมาบนผืนน้ำทว่าร่างกายตรงหน้าก็ยังเป็นมนุษย์ ย่อมต้องมีความรู้สึกเจ็บ ดังนั้นจึงได้เอ่ยถามออกมา“ฉัน...” หยางเหมยจินเงยหน้าขึ้น แววตาของเธอนั้นช่างน่าสงสารยิ่งนักบ่งบอกว่าเธอลุกขึ้นไม่ไหวจริง ๆ “ขออนุญาตครับ คุณขึ้นหลังผมเถอะ เวลานี้พวกเราน่าจะไม่พบหรือว่าเจอกับชาวบ้านแล้วล่ะ มาเถอะจะได้รีบกลับบ้าน” ชายหนุ่มเอ่ยบอกพร้อมกับมองไปรอบ ๆ ตอนนี้ก็ค่ำพอสมควร ชาวบ้านก็เข้าบ้านเรือนของตัวเองไปหมดแล้ว ทำให้เขาคลายความกังวลลงเล็กน้อย“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเบา ๆเมื่อลุกเดินเองไม่ได้ แม้ว่าการที่จะขึ้นหลังของชายแปลกหน้าที่ไม่รู้จักจะไม่เป็นการเหมาะสมมากนัก แต่ทว่าหยางเหมยจินกลับเลือกที่จะละทิ้งความคิดจากอดีตทั้งหมดไป แล้วยอมให้ชายหนุ่มพยุงลุกขึ้น ก่อนจะไปอยู่บนหลังของอีกฝ่ายเพื่อให้เขาพากลับที่พักระหว่างทางทั้งสองไม่มีใครพูดอะไร ต่างก็จมอยู่ในความคิดของตนเอง จวบจนตงเหวินหมิงสาวเท้ายาว ๆ มาถึงบ้านหลังหนึ่ง“พ่อ!!” เด็กชายหญิงสองแฝดวัยสิบขวบร้องขึ
บทที่ 2 ข้ามเวลาหยางเหมยจินมองชายอันเป็นที่รักทั้งน้ำตา ก่อนจะถอยหลังจนถึงหน้าผา พร้อมกับกล่าวบางอย่างออกมากับชายที่ได้ชื่อว่าสามี“ส่วนท่าน ชีวิตนี้หม่อมฉันให้พระองค์ไปหมดแล้ว หลังจากนี้ ข้าและท่านจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก เกิดชาติหน้าฉันใด ข้าไม่ขออยู่ข้างท่าน ชาตินี้ข้ามิอาจครองใจท่านได้ ต่อให้ครั้งนี้ข้าจะมีชีวิตรอดกลับไป ข้าก็เป็นได้เพียงพระชายาที่ท่านไม่ต้องการ ดังนั้นแล้วข้าขอให้พวกท่านครองคู่กันอย่างมีความสุขนะเพคะ”“เจ้าจะทำบ้าอะไรเหมยจิน อย่าทำอะไรบ้า ๆ เด็ดขาด”ต้วนอ๋องเอ่ยออกมาอย่างร้อนรน เขากล่าวตำหนินางออกมาเสียงดัง เพราะกลัวว่าพระชายาของตนจะทำเรื่องเสี่ยงอันตราย โดยไม่รู้เลยว่าเวลานี้แท้จริงแล้วในใจของเขามีนางอยู่เต็มหัวใจ เขารู้เพียงว่ารู้สึกใจหายและไม่อาจจะเห็นนางจากไปต่อหน้าอย่างนี้ได้“ข้ารู้ว่าบ้านเมืองนี้ สามีสามารถมีภรรยาได้หลายคน แต่ข้าต้องการอยู่คู่ผัวเดียวเมียเดียวเฉกเช่นชาวบ้านทั่วไป ความรักที่ข้ามีให้กับท่านข้าขอคืน ลาก่อนต้วนอ๋อง”จบประโยคหยางเหมยจินจึงหลับตาและทิ้งตัวลงที่หน้าผาด้านล่างทันที พร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่มีผู้ใดเคยเห็นมาก่อนหลังจากแต่งงานเข้าจว
บทที่ 1 หยางเหมยจินแคว้นต้าเฉิน เป็นแคว้นที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในแถบนี้ เนื่องจากมีแม่ทัพนามว่าต้วนอี้ซานหรือว่าอ๋องต้วนคอยปกป้องชายแดน ต่อให้จะมีชนเผ่ามากมายที่ต้องการรุกล้ำดินแดนก็ไม่สามารถทำได้แต่ทว่าในเมืองหลวงกลับมีองค์ชายมากมายแข่งขันเพื่อช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทเพื่อสืบทอดบัลลังก์ หนึ่งในนั้นคือองค์ชายสาม องค์ชายที่ต้วนอ๋องหนุนหลัง เนื่องจากตระกูลเดิมของกุ้ยเฟยคือตระกูลเดียวกันกับคนรักของตนเอง ทำให้คิดก่อกบฏขึ้นมาเพราะฝ่ายองค์ชายใหญ่ที่เหนือกว่าทำให้องค์ชายสามต้องแพ้พ่าย ฝ่าบาทจึงมีราชโองการให้ปราบกบฏ นี่จึงทำให้ตำหนักต้วนอ๋องแทบลุกเป็นไฟ เวลานี้ทหารจึงพยายามเข้าล้อมเพื่อจับคนในตำหนักชายาเอกหรือต้วนหวางเฟยคือบุตรสาวของราชครูที่อยู่ฝ่ายองค์ชายใหญ่ แต่เพราะรักสวามีตนเองมาก จึงทำให้ตัดขาดกับครอบครัว ครั้งนี้จึงไม่คิดจะกลับไปขอร้องบิดาให้ช่วยเหลือ เนื่องจากต้วนหวางเฟยไม่คิดจะลากครอบครัวเข้ามายุ่งเกี่ยวนั่นเองในเมื่อเลือกทางเดินนี้ย่อมต้องรับผลกรรมให้ได้ “หวางเฟยเพคะ หม่อมฉันคิดว่าพวกเราควรจะหลบหนีก่อนเถิด ไม่แน่ว่าเวลานี้ท่านอ๋องกำลังมุ่งหน้ากลับเข้าเมืองหลวงแล้ว”ลู่จิงจ