เมื่อเห็นว่าทั้งคู่คล้ายกับจะลืมตนเองไป เกาซื่อหลินเลยเอ่ยปากขึ้นมาเรื่องที่พักถาวรของหยางเหมยจิน
“เรื่องการค้าฉันว่าค่อยคิดดีหรือไม่ เอาเรื่องที่อยู่ถาวรของพี่สาวเหมยจินก่อนดีกว่า ในเมื่อพี่สาวเหมยจินและพี่ชายตงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน หากจะอยู่ด้วยกันมันจะเหมาะสมหรือ แล้วเท่าที่ฉันพอจะรู้มาสองแฝดลูกของพี่ชายตงนั้นหวงพี่ชายตงไม่น้อย แล้วแบบนี้จะมีปัญหาหรือไม่”
เกาซื่อหลินแม้จะต้องการให้นายสาวอยู่ไปกับเธอตลอดไป แต่เพราะเวลานี้ชาวบ้านรับรู้เพียงว่าหยางเหมยจินนั้นเป็นคู่หมั้นของพ่อม่ายตงโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอ เธอจึงชักชวนนายสาวไปอยู่ด้วยไม่ได้ เพราะจะเกิดความสงสัยในหมู่ของชาวบ้าน อย่างไรเรื่องนี้ก็ค่อยแก้ปัญหาที่หลังก็ยังไม่สาย
อีกทั้งร่างที่เธอมาอาศัยอยู่ก็มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา เท่าที่ความทรงจำที่มีอยู่เต็มเปี่ยม เกาซื่อหลินคนนี้มีฐานะไม่ต่างจากสายลับ แต่ก็ยังมีอีกฐานะนั่นคือลูกสาวจากภรรยาคนเดิมของนายพลในเมืองเซี่ยงไฮ้ เหตุผลที่ได้เดินทางมาเป็นยุวปัญญาชนที่เมืองนี้ เป็นเพราะแม่เลี้ยงต้องการให้ลูกเลี้ยงตัวเองมาใช้แรงงานนั้นเอง
แต่ระหว่างเดินทางกลับโดนลอบทำร้าย ทำให้เกาซื่อหลินที่มีความสามารถด้านการต่อสู้อยู่บ้างได้ต่อสู้สุดชีวิตและเดินทางมาถึงที่นี่ จากนั้นเธอเลยไม่คิดจะกลับไปยังคฤหาสน์สกุลเกาและใช้ชีวิตที่นี่มาตลอดสามปี แต่เพราะเธอไม่ชอบอยู่ร่วมกับใครและมีปัญหากับยุวปัญญาชนหญิงด้วยกันบ่อยครั้ง หัวหน้าคอมมูนเลยแยกบ้านพักให้เธอพักเพียงคนเดียว เพราะยังเกรงใจพ่อของเธอที่เป็นนายพลใหญ่
ต่อมาเธอก็ได้จากโลกนี้ไปด้วยอาการหัวใจวายอย่างเดียวดาย เป็นเวลาเดียวกันกับที่ลู่จิงจิงข้ามเวลามาและได้เข้ามาสวมร่างนี้แทนพอดิบพอดี และเมื่อวิญญาณเธอมาสวมร่างนี้ก็ได้รับรู้ความทรงจำของเจ้าของร่างทุกอย่างเลยไม่คิดจะกลับไปยังคฤหาสน์สกุลเกาเช่นกัน
“ไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนั้น เพราะเด็กทั้งสองคนเข้าใจในความจำเป็นของอาเหมยและไม่ขัดข้องอะไร เรื่องบ้านผมก็จะเร่งให้เขามาต่อเติมให้โดยเร็ว” ตงเหวินหมิงพูดขึ้นเพื่อไม่ให้เกาซื่อหลินกังวลใจในเรื่องของลูกแฝดของเขาที่จะมีปัญหากับหยางเหมยจิน
“อย่างนั้นก็ดี แต่ก่อนจะสร้างบ้านใหม่ พี่สาวเหมยจินสามารถไปอยู่กับฉันก่อนได้นะ เพราะชาวบ้านล้วนรับรู้แล้วว่าฉันชวนพี่สาวไปอยู่ด้วย แต่คงเป็นการอยู่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะแม้ว่าฉันจะอยู่บ้านหลังนั้นเพียงคนเดียว แต่บ้านก็ยังเป็นของคอมมูน หากพี่สาวเหมยจินไม่ได้ทำงานที่คอมมูนคงอยู่ถาวรลำบาก” เกาซื่อหลินพูดขึ้นมาอย่างกังวลใจเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่ความสะดวกใจของอาเหมยเลย ส่วนเรื่องที่อยู่ถาวรของอาเหมย คงต้องจัดการเหมือนเดิม และต้องอยู่ภายในรั้วบ้านเดียวกัน แต่ความจริงเรื่องนี้ปีหน้าเราก็ต้องแก้ปัญหากันอีกครั้ง เพราะเราทั้งสองได้พูดไปแล้วว่าจะจัดงานแต่งงาน ตอนนี้อย่างมากแค่ต่อเติมห้องออกมา เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจะคุยกับผู้นำหมู่บ้านอีกครั้ง โดยใช้ข้ออ้างเรื่องแต่งงานปีหน้า เพราะถ้าสร้างบ้านเป็นหลังมันจะสิ้นเปลือง เมื่อแต่งงานแล้วส่วนหลังจากนั้นค่อยคิดกันอีกครั้งว่าจะเอาอย่างไร”
ตงเหวินหมิงกล่าวขึ้นมา เรื่องนี้เขาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขาห่วงแต่ว่าคนต่างถิ่นอย่างหยางเหมยจินนั้นจะอยู่อย่างไรเสียมากกว่า และเรื่องที่เขาและเธอเป็นคู่หมั้นกันนั้นชาวบ้านต่างก็รู้หมดแล้ว จึงไม่น่าเกลียดมากนักถ้าจะไปมาหาสู่กันบ้าง
“เอาอย่างที่พี่หมิงพูดมาก็ได้ค่ะ อย่างไรเวลานี้เราทั้งสองต่างก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว แต่ฉันอยากค้าขายจริง ๆ นะคะ อย่างน้อยจะได้ช่วยหาเงินเข้าบ้าน สองแฝดยังต้องใช้จ่ายอีกเยอะ ฉันมาพึ่งพาบ้านตงก็ต้องช่วยเหลือเป็นธรรมดา” หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ก่อนจะหันมาสนใจเรื่องการค้าเพื่อหาเงินเข้าบ้านตงทันที
เธอไม่รู้เลยว่าคำพูดนี้ซึมซับเข้าในความรู้สึกของอีกฝ่ายโดยที่ชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ตัว เขาไม่พูดอะไรออกมานอกจากมองสบสายตากันกับหญิงสาวเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นช่วงนี้พี่สาวเหมยจินก็ไปอาศัยอยู่กับฉันก่อน หรือไม่หากต่อเติมห้องพี่เสร็จแล้ว ฉันอาจจะมาขออาศัยอยู่ด้วย เพื่อที่ชาวบ้านจะได้ไม่นินทามากนัก” เกาซื่อหลินเห็นทั้งสองคนสายตาให้กันก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“ขอบใจนะซื่อหลิน”
หยางเหมยจินหันมายิ้มให้กับเกาซื่อหลิน
ตงเหวินหมิงรู้สึกตงิดในใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งสองถึงข้ามเวลามาในสภาพที่ต่างกัน แล้วแบบนี้คนยุคโบราณจะมีใครข้ามเวลามาอีกหรือไม่ เลยเอ่ยถามกับทั้งสองคนออกไป
“ผมมีปัญหาอยากจะถามทั้งสองคน ในเมื่ออาเหมยและคุณหนูเกาข้ามเวลามาได้ แล้วไม่คิดบ้างหรือว่าคนอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นจะไม่ข้ามเวลามาด้วยเหมือนกัน”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของตงเหวินหมิง สองสาวจึงวิตกกังวลขึ้นมาทันที เพราะถ้าเกิดทั้งสองข้ามเวลามาได้ แล้วคนอื่นในครั้งนั้นล่ะ จะมีใครข้ามเวลามาเหมือนกันหรือไม่ ทั้งสองวิตกกังวลไม่น้อยเพราะกลัวคนที่ข้ามเวลามาด้วยจะเป็นอ๋องต้วนและถังจินเยว่นั่นเอง
ตงเหวินหมิงไม่อยากให้ทั้งสองคนคิดมาก และเพื่อป้องกันอะไรหลาย ๆ อย่าง เขาเลยตั้งใจว่าเดินตามแผนเดิม หลังจากนั้นหากเกาซื่อหลินจะย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยก็คงไม่มีปัญหาอะไร แค่บอกว่าทั้งสองสนิทกันหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจึงขอมาอยู่ด้วยก็ตงจะได้
เมื่อเกาซื่อหลินคือคนข้างกายในอดีต หยางเหมยจินจึงเล่าเรื่องมิติให้เธอฟังอย่างไม่ปิดบัง เพราะถ้าเกิดเธอเอาอาหารและของใช้ออกมาอีกฝ่ายจะได้ไม่ตกใจ ซึ่งเรื่องนี้เกาซื่อหลินยินดีที่จะเก็บเป็นความลับ และบอกลู่ทางในการหาเงินให้นายสาวทันทีที่รู้ว่านายสาวมีมิติที่สามารถนำของออกมาได้
จากนั้นทั้งสองก็คุยกันถึงวิธีหาเงินเข้าบ้านตง จนกลายเป็นว่าวันนี้เกาซื่อหลินอยู่บ้านตงจวบจนถึงเวลาเลิกโรงเรียนของสองแฝดเลยทีเดียว
“กลับมาแล้วค่ะ / กลับมาแล้วครับ”
สองแฝดกลับมาถึงบ้านก็ส่งเสียงบอกมาแต่ไกล เพราะคิดว่าพ่อของตนนั้นไปทำงานยังไม่กลับมาและบ้านนี้คงเหลือเพียงน้าเหมยของพวกเขา แต่เมื่อเดินเข้ามาด้านใน กลับเห็นพ่อของตนและยังมีพี่สาวอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย
“สวัสดีค่ะน้าเหมย พ่อ...”
ตงฟางลี่ทักทายน้าเหมยและพ่อของตนเองออกไป แต่ชะงักเมื่อไม่รู้จะทักทายอีกคนอย่างไรดี
“สวัสดีจ้ะ น้ามีชื่อว่าเกาซื่อหลิน หรือจะเรียกน้าหลินก็ได้นะ น้าเป็นยุวปัญญาชนของที่นี่ ว่าแต่เราชื่ออะไรกันบ้าง”
พอเห็นว่าสองแฝดมีท่าทีแปลกใจเมื่อเห็นเธอเข้ามาอยู่ในบ้านตง เกาซื่อหลินจึงได้เอ่ยทักทายและแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มก่อนจะถามทั้งสองคนออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“สวัสดีครับ ผมแซ่ตง ชื่อจี้หยวน หรือน้าหลินจะเรียกว่าอาหยวนก็ได้ครับ” ตงจี้หยวนแนะนำตัวแกไปเป็นคนแรกเพราะเขาเป็นพี่ชาย
“สวัสดีค่ะหนูชื่อฟางลี่หรือจะเรียกลี่ลี่ก็ได้ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะน้าหลิน” ตงฟางลี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มเหมือนกัน
แม้ว่าจะอายุเพียงสิบปีก็ตาม แต่ทั้งสองรู้ดีว่าอะไรควรอะไรไม่ควร เหมือนเรื่องที่หยางเหมยจินตกลงมาจากฟ้า ทั้งสองก็ไม่คิดที่จะแพร่งพรายบอกใคร ในใจของเด็กหญิงนั้นคิดว่าคงมีเรื่องอะไรอีกแน่ ไม่อย่างนั้นน้าหลินคนนี้คงไม่เข้ามาในบ้านของเธอ
เมื่อเห็นสายตาของเด็กทั้งสองคน หยางเหมยจินจึงตัดสินใจบอกเรื่องสำคัญออกไป “น้าหลินมาจากที่เดียวกันกับน้า แต่มาคนละรูปแบบ”
เพียงเท่านี้สองแฝดก็พยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะรีบเดินเข้าบ้านเพื่อเอากล่องข้าวไปเก็บและรีบเข้าห้องไปทำการบ้านทันที
“สองแฝดรู้เรื่องพี่สาวเหมยจินด้วยหรือคะ”
พอทั้งสองเดินออกไปแล้ว เกาซื่อหลินจึงเอ่ยถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ เพราะดูเหมือนว่าเด็กทั้งสองคนจะรู้เรื่องนายสาวอย่างดี
“อืม เรื่องที่ฉันมาจากไหนนั้นทั้งสองคนรู้ดี ว่าแต่นี่ใกล้จะถึงมื้อเย็นแล้ว รีบไปเตรียมอาหารกันดีกว่า พี่หมิงไม่ต้องช่วยทำอาหารหรอกนะ ฉันพอจะทำอาหารได้แถมยังตอนนี้ยังมีซื่อหลินมาช่วยอีก ฉันอยากทำอาหาร ลองดูว่าพี่กับลูก ๆ กินกันได้หรือเปล่า”
หญิงสาวพยักหน้ารับ ก่อนจะชักชวนอีกคนไปทำอาหาร โดยบอกให้ชายหนุ่มว่าไม่ต้องช่วยเธออยากลองทำอาหารเองโดยมีเกาซื่อหลินคอยช่วยก็พอ
“เอาอย่างนั้นเหรอ งั้นผมขอตัวกลับไปสะสางงานที่คอมมูนก่อนนะ จะได้บอกกล่าวผู้นำหมู่บ้านเรื่องจะต่อเติมบ้านด้วย แล้วจะรีบกลับมา”
ชายหนุ่มไม่อยากขัดใจ เลยให้ทั้งสองคนช่วยกันทำอาหารเย็นนี้ ส่วนตนเองนั้นจะไปจัดการเรื่องงานที่คั่งค้าง และบอกกล่าวผู้นำหมู่บ้านเรื่องจะต่อเติมบ้านอีกหนึ่งห้องเพื่อให้หยางเหมยจินอาศัย ดูเหมือนว่าไม่แน่ว่าเกาซื่อหลินน่าจะตามมาอยู่ด้วย
“ค่ะ” หยางเหมยจินยิ้มรับ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินจากไป
“หวางเฟย เอ้อ..พี่สาวเหมยจินแน่ใจแล้วหรือที่จะทำแบบนี้ แล้วถ้าหากไม่ใช่แค่เราสองคนที่ข้ามเวลามา ถ้าเกิดท่าน...เอ่อ..คนคนนั้นข้ามเวลามาด้วยละคะ พี่สาวจะทำอย่างไร”
เมื่ออยู่กันสองคนแล้ว จิงจิงในร่างของเกาซื่อหลินก็เริ่มต้นเรียกนายสาวด้วยตำแหน่งเดิม ก่อนจะรีบเปลี่ยนทันทีที่นายสาวส่งสายตามาอย่างไม่พอใจ จากนั้นเธอก็ถามในเรื่องที่เป็นกังวลใจทันที โดยที่คนคนนั้นที่เกาซื่อหลินหมายถึงคืออ๋องต้วนพระสวามีของหวางเฟยนั่นเอง
เมื่อได้ยินแบบนี้ หยางเหมยจินได้แต่แสยะยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดูหมิ่นดูแคลนไปถึงบุคคลที่ทั้งสองกล่าวถึง
“ชายผู้นั้นน่ะหรือจะยอมตายเพื่อภรรยาที่ไม่ได้รักด้วยการกระโดดตามลงมา ไม่มีทางเสียหรอก นอกเสียจากฝ่าบาทจะจับพวกก่อกบฏได้แล้วถูกประหารจะกลายเป็นวิญญาณ แต่ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าเขาจะตามมา หรือต่อให้ตามมาถึงที่นี่ฉันก็ไม่สนใจ เธออย่าลืมสิว่าที่นี่คืออนาคตหลายร้อยหลายพันปี ต่อให้ฉันจะมีใบหน้าเหมือนเดิม แต่หากฉันปฏิเสธว่าฉันไม่ใช่หวางเฟยก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เชื่อเถอะแค่เราสองคนข้ามเวลามาก็ประหลาดพอแล้ว คงไม่มีใครตามมาหรอก” หยางเหมยจินพูดขึ้นมาอย่างเด็ดเดี่ยว
“ฉันก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ”
เกาซื่อหลินเอ่ยออกมา เธอหวังไว้ว่าจะไม่มีเรื่องราวชวนปวดหัวหลังจากนี้ แค่การเริ่มต้นใช้ชีวิตในต่างยุคต่างสมัยก็แย่พอแล้ว และเธอยังห่วงว่าคนที่เคยอยู่อย่างสบาย ไม่เคยต้องทำงานอย่างเจ้านายของเธอ จะผ่านพ้นชีวิตในแต่ละวันได้อย่างไร
บทที่ 13 กลิ่นอาหารตลบอบอวลไปทั่วหมู่บ้านย้อนกลับมาทางซูหว่าน หลังจากที่เสียหน้าจนต้องรีบกลับบ้านตัวเอง ในใจของหญิงสาวนั้นก็มีแต่ความเคียดแค้นอย่างห้ามไม่อยู่ เนื่องจากเธอเฝ้ามองตงเหวินหมิงมานานแล้ว จู่ ๆ กลับมีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มาแย่งชิงไปอย่างหน้าด้าน ๆ คิดหรือว่าเธอจะยอมง่าย ๆ“เป็นอะไรไปละนั่น แล้วนี่ไม่คิดจะไปช่วยงานบ้างหรืออย่างไร” นางเหมาเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่ได้ไปช่วยพี่สะใภ้ทำงาน“วันนี้แดดร้อน ฉันไม่อยากทำ แม่มีอะไรหรือเปล่า” เพราะหงุดหงิดอยู่แล้วซูหว่านเลยพูดจาไม่ดีกับแม่ของตน“วัน ๆ นี่แกไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือไง มัวแต่บ้าเดินตามพ่อม่ายบ้านตงอยู่นั่นแหละ แกนี่มันไม่ได้ดังใจฉันเลย แม้พ่อม่ายตงจะเป็นคนดีและขยันทำงาน แต่อย่าลืมว่าเขายังมีลูกติดอีกตั้งสองคน ไม่มีแม่คนไหนอยากให้ลูกสาวตัวเองแต่งงานกับพ่อม่าย แล้วไปเลี้ยงลูกคนอื่นหรอกนะ” นางเหมาพูดอย่างไม่พอใจที่ซูหว่านไปชอบพอพ่อม่ายลูกติดอย่างตงเหวินหมิง“แล้วยังไงล่ะแม่ก็ฉันชอบพี่เหวินหมิงนี่ แม่คอยดูนะ ฉันจะต้องทำให้พี่เหวินหมิงมาสู่ขอฉันให้ได้ ส่วนเด็กสองคนนั้นฉันก็จะเลี้ยงไว้เพื่อให้ทำงานบ้านแทนฉันทุกอย่างอย่างไรล่
บทที่ 14 ส่วนหนึ่งของครอบครัวกลางดึกคืนนั้นเมื่อเห็นว่าลูกทั้งสองเข้านอนแล้ว ผู้เป็นพ่ออย่างตงเหวินหมิงจึงเปลี่ยนชุดที่ทะมัดทะแมงและสีดำทั้งชุด เพื่อไปจัดการงานที่พิเศษที่จะใช้แลกกับข้อมูลยืนยันตัวตนของหยางเหมยจินก่อนจะออกจากบ้าน ชายหนุ่มไม่ลืมที่จะปิดประตูอย่างแน่นหนา เนื่องจากลูกทั้งสองอายุยังน้อยและอยู่ในบ้านกันเพียงสองคนเท่านั้น แม้จะอยู่ในหมู่บ้านนี้มาเป็นสิบปี แต่เขาก็ไม่วางใจเรื่องความปลอดภัย ยิ่งช่วงนี้ข้าวของยิ่งแพงขึ้น อาหารก็ยิ่งหายาก หากมีใครรู้ว่าคืนนี้เขาไม่อยู่บ้าน ไม่แน่อาจจะมีคนเข้ามาปล้นเอาอาหารไปก็ได้เมื่อรู้ทิศทางและตำแหน่งว่าต้องไปที่ใด ชายหนุ่มจึงไม่รอช้า รีบไปยังที่เป้าหมายทันทีคฤหาสน์ตระกูลจ๋าย ตงเหวินหมิงในชุดสีดำสนิทเดินลัดเลาะข้างกำแพง เมื่อไม่เห็นใครเขาจึงรีบกระโดดข้ามกำแพงด้วยท่าทางคล่องแคล่วไม่เหมือนพ่อม่ายในหมู่บ้านที่เคยพบเห็น ใบหน้าที่เหลือแต่ดวงตามองขึ้นไปยังชั้นบนของคฤหาสน์อย่างครุ่นคิด พร้อมกับคาดคะเนว่าห้องทำงานของนายพลจ๋ายนั้นอยู่ที่ใด ก่อนจะหยิบแผนที่ที่นายท่านหลู่ให้มาและคำนวณดูว่าห้องนั้นอยู่ที่ไหน ซึ่งตงเหวินหมิงก็ไม่เข้าใจเล็กน้อย ในเมื่
บทที่ 15 เกลียดขี้หน้าตั้งแต่แรกเจอพอได้ยินเสียงเรียกที่ดูจะไม่พอใจ หญิงสาวจึงได้หันกลับมามองและขมวดคิ้วอย่างสงสัย เนื่องจากเธอไม่เคยพบหน้าผู้หญิงคนนี้มาก่อน“คุณเป็นใครเหรอคะถึงมายุ่งกับเรื่องนี้ ฉันจะมีความสัมพันธ์อะไรกับพี่หมิงแล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย ถ้าฉันจำไม่ผิด นี่คือครั้งแรกที่เราได้พบหน้ากัน”หยางเหมยจินเชิดหน้าขึ้นพูดอย่างสง่างามสมกับเคยเป็นพระชายามาก่อน“เธอไม่เคยเจอหน้าฉันหรอก แต่ฉันไม่ชอบที่เธอทำตัวไม่ต่างจากเป็นภรรยาของพี่เหวินหมิงทั้งที่ยังไม่แต่งงานกัน” หญิงสาวคนนั้นตอบกลับมาด้วยเสียงที่บ่งบอกว่าเธอไม่พอใจ สายตานั้นดูจิกกัดคล้ายว่าเธอไม่ชอบหน้าของคู่หมั้นตงเหวินหมิงหยางเหมยจินยังคงขมวดคิ้ว แต่พอได้ยินน้ำเสียงของผู้หญิงตรงหน้าทำให้รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายน่าจะไม่พอใจเธอเข้าแล้ว และเรื่องนี้น่าจะเป็นเพราะฐานะของเธอที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของบ้านตง แต่อย่างไรเสียเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก มารยาสตรีเธอเห็นมานักต่อนักแล้ว มีหรือที่เธอจะใช้มารยาไม่เป็น ต่อให้เธอมาจากอดีตหลายร้อยหลายพันปี แต่ในฐานะที่เคยเป็นอดีตพระชายา อย่าคิดว่าเธอร้ายไม่เป็น“แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าฉั
บทที่ 16 เป็นที่อิจฉาของทุกคนกลับมาทางด้านคอมมูน ตงเหวินหมิงยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างไม่สนใจใคร เพราะบ่ายนี้เขาได้ลางานไว้แล้ว ยุวปัญญาชนชายหลายคนพอรู้ข่าวเรื่องคู่หมั้นของเขาต่างก็มองอย่างสงสัย เพราะพ่อม่ายตงที่ทุกคนรู้จักมักจะไม่ค่อยสนทนากับผู้หญิงมากนัก จนหลายคนคิดว่าชายหนุ่มลืมแม่ของสองแฝดไม่ได้ ใครจะคิดกันล่ะว่าวันนี้กลับมีคู่หมั้นหมายโผล่มา“พี่หมิง บ่ายนี้พี่ลาเหรอ” ตู้อี้ข่ายลูกชายคนรองบ้านตู้ที่ทำงานอยู่ข้างกันเอ่ยถามขึ้นมา“อืม ว่าจะเข้าเมืองเสียหน่อย เอกสารระบุตัวตนของอาเหมยน่าจะเรียบร้อยแล้ว เมื่อวานไปถามมาเจ้าหน้าที่บอกว่ายังไม่เรียบร้อย วันนี้ให้ไปดูอีกครั้ง” ตงเหวินหมิงตอบกลับตามตรงหากเป็นคนอื่นคงไม่กล้ามาถาม หรือไม่ชายหนุ่มก็คงไม่ตอบกลับ แต่ลูกชายคนรองบ้านตู้คุ้นเคยกับบ้านตงไม่น้อย เลยทำให้ทั้งสองบ้านค่อนข้างสนิทกัน“พี่ก็ไม่คิดจะบอกเรื่องพี่สะใภ้เลยใช่ไหม นี่ผมไม่ต่างจากน้องชายพี่นะ ทำอย่างกับผมเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ มีคู่หมั้นและยังจะแต่งงานปีหน้าแล้วก็ควรจะบอกกันบ้าง”น้ำเสียงของตู้อี้ข่ายคล้ายจะน้อยใจ แต่ฟังอย่างไรคล้ายกับว่าแค่แกล้งอีกฝ่ายเล่นเท่านั้น“นายควรจ
บทที่ 17 เข้าเมืองพร้อมกัน“พี่สาวเหมยจิน!!”เกาซื่อหลินกำลังเดินมาทางนี้ เมื่อเห็นว่าหยางเหมยจินนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ก็รีบตะโกนเรียกและโบกมือให้ด้วยความดีใจ อีกทั้งเธอยังมีรอยยิ้มที่สดใสที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน เพราะตั้งแต่ที่เกาซื่อหลินมาอยู่ที่นี่ เธอไม่เคยคุยเล่นและหัวเราะกับใคร แต่เวลานี้เธอกลับยิ้มด้วยรอยยิ้มที่สดใส เหล่าบรรดายุวชนชายและหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่ทำงานอยู่บริเวณนี้ต่างก็ตาพร่ากันเลยทีเดียว“ซื่อหลิน พี่อยู่นี่” เมื่อได้ยินเสียงเรียกอันคุ้นเคย หยางเหมยจินส่งเสียงตอบกลับพร้อมกับส่งยิ้มให้ ทำให้เกาซื่อหลินไม่รักษาอาการอีกเธอรีบวิ่งเข้ามาทันที ทำให้หลายคนมองภาพนี้ด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าทั้งสองจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเช่นนี้“ทำไมพี่ไม่รออยู่ที่บ้านตงละคะ มาที่นี่แดดร้อนจะตาย” หญิงสาวเอ่ยทักทันทีที่นั่งลงข้างกัน“พอดีว่าช่วงบ่ายพี่จะเข้าเมืองพร้อมกับพี่หมิง เห็นว่าเอกสารยืนยันตัวตนของพี่เสร็จ จะได้ดูลู่ทางหาเงินด้วย” หญิงสาวตอบกลับพร้อมกับเก็บผ้าที่เย็บเข้าตะกร้า ก่อนจะจัดเตรียมอาหารมื้อเที่ยงพร้อมกับเกาซื่อหลิน ส่วนทางด้านตงเหวินหมิง ชายหนุ่มรีบไปล้างเนื้อล้างตัวก่
บทที่ 18 ตื่นตาตื่นใจตลอดสองข้างทางที่ผ่านมา หยางเหมยจินมองด้วยความตื่นตาตื่นใจ เนื่องจากสถานที่แห่งนี้นั้นช่างแตกต่างจากที่เธออยู่มากนัก เมื่อสายตาเห็นบางอย่างเข้าจึงกระซิบถามคนข้าง ๆ ด้วยความสงสัย“นั่นคืออะไรเหรอคะ ทำไมคนถึงเข้าไปอยู่ได้ แล้วสิ่งนั้นเคลื่อนไหวเองได้อย่างไรกัน น่าแปลกนัก”ตงเหวินหมิงมองตาม เมื่อเห็นว่าเจ้าสิ่งนั้นคืออะไรจึงได้พูดอธิบายอย่างใจเย็น “นั่นเรียกว่ารถยนต์ ใช้เดินทางไปไหนมาไหนได้ไม่ต่างจากรถม้าที่คุณเคยใช้หรอกนะ”จากนั้นชายหนุ่มจึงอธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่เห็นให้ฟังอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นสามล้อ จักรยาน หรือตึกรามต่าง ๆ จวบจนทั้งสองมาถึงจุดจอดเกวียนในเมืองเมื่อจ่ายเงินค่าโดยสารเสร็จแล้ว ตงเหวินหมิงพาหญิงสาวเดินตามเขามาเพื่อไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ทั้งสองเดินลัดเลาะมาสักพักก็มาถึงจุดหมายแล้วก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูดังขึ้น ไม่นานคนเฝ้าก็มาเปิดช่องดู เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงได้รีบเปิดให้ทั้งสองคนเข้ามา“นายท่านหลู่อยู่หรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยถามออกไปเนื่องจากวันนี้เขาต้องมาส่งงาน พร้อมกับรับหนังสือยืนยันตัวตนของหยางเหมยจิน“อยู่สิ นายไปรอที่ห้องโถงก่อนเถอะ เดี๋ย
บทที่ 19 ความรู้สึกบางอย่างหญิงสาวไม่ใช่คนโง่และที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง จะไปไหนมาไหนโดยลำพังเพราะความอยากรู้อยากเห็นนั่นไม่ได้หรอก จึงได้สัญญาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าจะไม่แอบออกมาคนเดียวเด็ดขาดเมื่อได้รับคำยืนยันเรียบร้อยแล้ว ตงเหวินหมิงจึงได้พาหญิงสาวเดินไปยังตลาดมืดที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้สักเท่าไรในขณะเดียวกันอีกฝั่งของถนน เวลานี้รถของผู้กองต้วนและภรรยากำลังเคลื่อนไปยังห้างสรรพสินค้าเช่นกันการมาตลาดมืดของตงเหวินหมิงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร คนเฝ้าประตูดูจะคุ้นหน้าเขาอย่างดี เนื่องจากที่ผ่านมาชายหนุ่มมักจะนำของป่าที่หามาได้หลังจากแลกเปลี่ยนกับชาวบ้านแล้ว ที่เหลือเขาก็เอามาขายบ่อย ๆ บางครั้งก็มาหาซื้ออาหารและของใช้ที่นี่ เพราะชายหนุ่มไม่ชอบต่อคิวซื้อของตามสหกรณ์ หรือว่าร้านค้าของรัฐ เพราะบางอย่างก็จะต้องใช้คูปอง ซึ่งชาวบ้านเช่นเขามักจะมีใช้อย่างจำกัด มันไม่เพียงพอกับความต้องการอาหารของเด็กแฝดเมื่อทั้งสองเข้ามาด้านในแล้ว ตงเหวินหมิงจึงพาหญิงสาวหลบเข้าซอกตึกเพื่ออำพรางหน้าตาของเธอก่อน“มีผ้าคลุมหรือไม่ พี่คิดว่าอาเหมยน่าจะเอามาปิดบังหน้าตาเสียหน่อยจะดีกว่า” ชายหนุ่ม
บทที่ 20 ช่างเย็บมือดี“ถ้าอย่างนั้นก็ได้สิ แล้วขอบใจมากนะที่คิดถึงพี่และลูกทั้งสอง ถ้ายังไงอาเหมยมีชุดที่เคยตัดเองไว้บ้างหรือเปล่า เผื่อว่าจะได้ไปเสนอขายให้เจ้าของร้านได้ดูการเย็บด้วยเสียเลย”ชายหนุ่มเอ่ยขอบคุณที่เธอทำเพื่อบ้านตงและคิดถึงลูก ๆ ของเขา ก่อนจะถามถึงว่ามีเสื้อผ้าที่ตัดเย็บไว้แล้วหรือไม่ เผื่อว่าจะไปไม่เสียเที่ยว“มีสิคะ แต่ส่วนมากจะเป็นผ้าเช็ดหน้า ส่วนชุดนั้นฉันคิดว่าคงไม่เหมาะกับคนยุคนี้เท่าไร จะมีก็แค่...”คำพูดของเขาทำให้หยางเหมยจินนึกถึงชุดแต่งงานที่เธอตัดเย็บด้วยตนเองทุกฝีเข็ม รวมไปถึงผ้าคลุมหน้าและผ้าปูเตียงที่ใช้ในวันแต่งงาน“แต่ช่างเถอะ ของสิ่งนั้นฉันเคยใช้ในอดีต และไม่คิดว่าจะต้องใช้มันอีก อย่างไรก็เอาออกมาให้ร้านดูดีกว่า เดี๋ยวระหว่างทางหากเจอสถานที่มิดชิดแล้วค่อยเอาออกมาดีกว่านะคะ รีบไปกันเถอะ จะได้รีบกลับบ้าน ฉันตั้งใจจะซื้อขนมฝากลี่ลี่กับอาหยวนด้วย ไม่รู้ว่าทั้งสองชอบอะไรกันบ้าง พี่แนะนำฉันหน่อยนะ” หญิงสาวพูดขึ้นมาอย่างสดใส แม้ในใจจะคิดถึงชุดแต่งงานของตนเอง เธอตั้งใจจะนำมาขายเพื่อจะให้ลบทุกอย่างออกไปจากใจ“ได้สิ แม้ว่าจะมีการห้ามค้าขายตามใจชอบ และการค้ายังเป
ตอนพิเศษ 4 คุณพ่อจอมหวงวันเวลาล่วงเลยมาถึงวันที่สองพี่น้องฝาแฝดอย่างตงจี้หยวนและตงฟางลี่ก็เติบโตขึ้นและแม้ว่าทั้งสองคนจะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่ทั้งสองคนก็ยังคงใช้แซ่ตงเหมือนเดิม ส่วนแซ่เดิมของพ่อแม่นั้นจะเอาไว้ให้ลูก ๆ ในอนาคตเป็นผู้สืบทอด ตอนนี้ทั้งสองคนใกล้จะเรียนจบระดับมหาวิทยาลัยแล้ว คนพี่นั้นเริ่มเข้ามาช่วยดูแลงานในบริษัทของพ่อ และสมบัติที่พ่อแม่ที่แท้จริงทิ้งไว้ให้ เลยไม่ค่อยมีเวลาตัวติดกับน้องสาวเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งวันนี้ก็เหมือนกัน ชายหนุ่มจะต้องเข้าไปดูงานที่บริษัท แต่น้องสาวขอไปดูหนังกับเพื่อน“พี่ใหญ่ วันนี้ฉันขอไปดูหนังได้ไหม” ตงฟางลี่เอ่ยขอพี่ชายอย่างออดอ้อน“พี่น่ะให้ไปได้ ว่าแต่เราโทรขออนุญาตพ่อหรือยัง แล้วจะดูหนังรอบไหนกัน นี่ก็เย็นมากแล้วนะ”ชายหนุ่มตอบกลับน้องสาวอย่างไม่คิดอะไร สำหรับตัวเขานั้นไม่เท่าไร แต่พ่อนี่สิคงไม่ยอมอนุญาตง่ายๆ แน่ เพราะพ่อเป็นคุณพ่อจอมหวงลูกสาวเสียเหลือเกิน ดูอย่างน้องสาวคนเล็กที่อายุแค่ไม่เท่าไรสิ พ่อยังแทบจะไม่ให้ผู้ชายอุ้มแล้ว ความหวงของพ่อที่มีต่อน้องสาวเกินขอบเขตจริง ๆ และนี่ก็ไม่ต้องพูดถึงอาอี้ข่ายที่เป็นเหมือนกันราวกับถอดแบบกันมาเลยทีเ
ตอนพิเศษ 3 คุณพ่อลูกดกหลังจากจบเรื่องตระกูลเกา ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตกันตามปกติ ซึ่งเกาเทียนอี้และเกาซื่อหลินก็ไม่คิดจะกลับไปเหยียบตระกูลเกาอีกเลย และได้ข่าวว่าเกาเสี่ยวจิงถูกคนตระกูลหุ้ยบอกเลิกการหมั้นหมายและไม่คิดจะสานต่อความสัมพันธ์ส่วนสองแม่ลูกแม้จะอยู่ตระกูลเกาต่อ แต่สถานะของทั้งสองก็อยู่ยิ่งกว่าสาวใช้ สาเหตุที่ท่านนายพลไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ก็เพราะไม่ต้องการอับอายคนในสังคม และที่สำคัญเขาได้เอาผู้หญิงที่เลี้ยงไว้นอกบ้านเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์และยกเป็นนายหญิงคนใหม่ เลยทำให้เฟ่ยเจียแค้นใจอย่างมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องยอมรับชะตากรรมที่ตนเองได้ก่อไว้พอเกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้น ตงเหวินหมิงคิดจะจัดงานเลี้ยงเปิดตัวเองและภรรยารวมถึงทุกคนให้สังคมได้รับรู้ แต่กลับถูกภรรยาห้ามไว้ เพราะเธอกำลังท้องเลยไม่อยากจัดงานเลี้ยงขึ้นมา โดยได้บอกกับสามีว่าค่อยจัดงานเปิดตัวตอนเธอคลอดลูกแล้วก็ยังไม่สายแต่เมื่อถึงเวลา หยางเหมยจินก็บ่ายเบี่ยงอีก เพราะเธออยากอยู่อย่างสงบกับลูกไม่อยากวุ่นวายกับใคร เพราะการเปิดตัวนั้นคงทำให้มีแต่คนเข้าหาเธอในฐานะนายหญิงตงจนเวลานี้เธอตั้งท้องครั้งที่สามแล้ว เพราะสองท้องที่ผ่
ตอนพิเศษ 2 ทวงคืนสินเดิมของแม่หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น สองแม่ลูกจากตระกูลเกาแทบจะนอนไม่หลับ เพราะกลัวว่าตงเหวินหมิงจะบุกมาพบกับท่านนายพลถึงตระกูลเกา แต่เมื่อเวลาผ่านมาเป็นสัปดาห์ก็ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทำให้ทั้งสองคนกลับมาเชิดหน้าเหมือนเดิม“คุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่า เหมือนว่าสัปดาห์ก่อนคุณจะพูดอะไรเหรอ” นายพลเกาเอ่ยถามภรรยาหลังจากสะสางงานตนเองเสร็จแล้ว ตอนนั้นเขากำลังวุ่นกับงานอยู่ เลยไม่ได้ฟังอะไรเธอมากมายนัก“ไม่มีอะไรแล้วค่ะ เรื่องไม่สำคัญแล้วล่ะ คุณทำงานของคุณเถอะ จริงสิ ฉันลืมบอกคุณไปว่าต้นเดือนหน้าทางตระกูลหุ้ยจะเข้ามาพูดคุยเรื่องหมั้นหมายระหว่างลูกชายบ้านนั้นกับเสี่ยวจิงของเรานะคะ” เฟ่ยเจียตอบกลับไปอย่างอ่อนหวานและเปลี่ยนเรื่องไปพูดในเรื่องที่เธอมีความยินดีอย่างมากจะว่าไปเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับเฟ่ยเจียไม่ใช่เรื่องของตระกูลตงจะเข้ามาที่นี่หรือไม่ แต่เป็นเรื่องการแต่งงานและหมั้นหมายของลูกสาวมากกว่าพอท่านนายพลเกาได้ยินเรื่องการแต่งงานของลูกสาวคนเล็ก ก็อดคิดถึงลูกสาวคนโตที่หายไปจากบ้านหลายปีแล้ว รวมถึงลูกชายที่ไปเป็นทหาร ซึ่งไม่รู้เวลานี้ทั้งสองเป็นอย่างไรบ้างเพราะขา
ตอนพิเศษ 1 หาเรื่องใส่ตัวหลังจากที่ย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่ง เกาซื่อหลินก็ยังคงช่วยงานของหยางเหมยจินเหมือนเดิมพร้อมกับดูแลพี่สาวบุญธรรมไปด้วย วันนี้ทั้งสองออกมาซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเพียงลำพัง เพราะสองแฝดไปเรียนหนังสือ ตงเหวินหมิงกับตู้อี้ข่ายก็ไปทำงาน“นี่เสี่ยวหลิน ไม่ต้องคอยระมัดระวังขนาดนั้นก็ได้ พี่แค่ท้องนะไม่ใช่คนป่วยสักหน่อย” หยางเหมยจินพูดพึมพำออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เพราะตั้งแต่เธอตั้งท้อง ทุกคนก็แทบจะไม่ให้เธอทำอะไรเลย เธอแทบจะเป็นง่อยอยู่แล้ว“พี่เหมยจินก็พูดไป ถ้าเกิดพี่เดินไม่ระวังแล้วสะดุดล้มขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ ต่อให้มีคนของพี่เขยติดตามมาด้วย ใช่ว่าจะมีคนกล้าแตะต้องตัวพี่นะ หน้าที่นี้เป็นของฉัน อย่างไรฉันก็ต้องคอยดูไว้ก่อน” เกาซื่อหลินโต้แย้งกลับทันที เพราะเธอต้องระวังความปลอดภัยให้กับพี่สาวคนนี้ เลยทำให้ต้องดูเหมือนทำเกินจริงไปหน่อย แต่ป้องกันไว้ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ“เอาเถอะ แล้วแต่เธอก็แล้วกัน นั่นร้านขายขนมฝรั่งเปิดใหม่หรือเปล่า เราลองเข้าไปดูกันเถอะ” หยางเหมยจินคร้านจะเถียงกับอีกฝ่าย เมื่อเห็นร้านขนมเปิดใหม่จึงชวนอีกฝ่ายไปดู เนื่องจากขนมพวกนี้เธอกินแล้วติด
บทส่งท้าย ครอบครัวที่ต้องการสามปีต่อมา... หลังจากวันนั้นวันที่ตงเหวินหมิงกลับมา นั่นจึงทำให้หยางเหมยจินคลายความกังวลและรู้สึกดีใจที่เขาปลอดภัย โดยที่ตงเหวินหมิงเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังเธออย่างละเอียด แล้วยังบอกอีกว่าเวลานี้เขาล้างมลทินให้ตระกูลตงเรียบร้อยแล้ว รวมถึงตระกูลของพี่เขยด้วย ก่อนจะบอกความจริงกับเด็กน้อยทั้งสอง ซึ่งแม้ทั้งสองคนจะรับรู้ว่าตนเองนั้นไม่ใช่ลูกแต่เป็นหลาน แต่ทั้งสองก็ยังคงเรียกตงเหวินหมิงว่าพ่อ และเรียกหยางเหมยจินว่าแม่เหมือนเดิมส่วนเรื่องบ้าน ทั้งหมดได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองเรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านที่รู้ความจริงว่าตงเหวินหมิงคือนายท่านหยางก็พากันตกใจ บางคนก็เสียดาย ที่ก่อนหน้านี้พวกตนน่าจะทำดีกับบ้านตงไว้ ส่วนซูหว่านแทบจะเสียสติ ที่ชายที่เธอหมายปองนั้นคือคนที่มีอิทธิพลของเมืองนี้ แถมยังร่ำรวยมากอีกด้วยแต่เพราะทางบ้านซูของเธอไม่อยากมีปัญหากับบ้านตงและรู้ว่าซูหว่านคงไม่จบเรื่องบ้านตง บ้านซูจึงตัดสินใจหาสามีที่อยู่ต่างเมืองให้เธอทันทีทำให้สามปีที่ผ่านมาไม่มีใครคอยมาวุ่นวายกับสองสามีภรรยามากนัก ทุกวันนี้ตงเหวินหมิงจึงรู้สึกสบายใจอย่างมาก“ตอนนี้เรื่องราวทุกอย่างที่
บทที่ 52 จบสิ้นปัญหาหลายวันต่อมา...ในหมู่บ้านมีคนแปลกหน้าเข้ามาทำงานในคอมมูนไม่น้อยเลย แถมหัวหน้าคอมมูนยังให้ชาวบ้านช่วยกันสร้างที่พักให้ นี่จึงทำให้ใครหลายคนพากันแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะก่อนหน้านี้หัวหน้าคอมมูนบอกเองว่าทางการยังไม่ได้ส่งคนเข้ามา แต่ทำไมวันนี้กลายเป็นว่ามีคนมากมายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านล่ะ“พวกเราคิดว่ามันแปลกหรือไม่ ที่จู่ ๆ ก็มีคนเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านจำนวนไม่น้อยเลย” ชาวบ้านคนหนึ่งถามขึ้น“จะขี้สงสัยไปทำไมกัน คนมาทำงานจะคิดมากไปทำไม หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หัวหน้าหมู่บ้านคงบอกแล้วล่ะ” อีกคนตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจการพูดคุยของกลุ่มชาวบ้านแม้ว่าแปลกใจและสงสัยแต่ก็เลือกที่จะไม่ถาม เพราะรู้ดีว่าทุกคนมีหน้าที่การงานของตนเองซึ่งเรื่องนี้มีแค่หัวหน้าคอมมูนเท่านั้น ที่รู้ว่าเป็นคนของใครที่ถูกส่งเข้ามา เขาไม่คิดว่าคนเคยปลอมเป็นชาวบ้านมางานแต่งของตงเหวินหมิงกับหยางเหมยจินจะเป็นถึงนายท่านหลู่ นายท่านผู้ลึกลับแต่ทรงอิทธิพล และเขาก็ไม่คิดว่าท่านจะส่งคนมาบอกเรื่องที่จะให้ คนมาทำงานในคอมมูน โดยปลอมเป็นชาวบ้านที่มาทำงานในคอมมูนที่หมู่บ้านแห่งนี้เพื่อที่จะปกป้องใครบางคน ซึ่งต่อให้ช
บทที่ 51 เดินทางไปปักกิ่งเมื่อมีคนมาจี้ใจดำตัวเอง ซูหว่านจึงมีท่าทีฟึดฟัดขึ้นมา ก่อนจะพูดเสียงดัง “แล้วยังไง ฉันยังหวังและเชื่อว่าฉันจะแต่งเข้าบ้านตงได้แน่นอน รอจังหวะก่อนเถอะ”ชาวบ้านที่ได้ยินต่างก็ส่ายหน้าอย่างระอา เพราะเวลานี้ตงเหวินหมิงได้จัดพิธีแต่งงานกับหยางเหมยจินแล้ว ดูแล้วเขายังรักภรรยาคนนี้มากอีกด้วย แล้วแบบนี้คนอย่างซูหว่านจะเข้าไปแทรกกลางได้อย่างไรกัน“พี่ใหญ่ ดูเหมือนพ่อจะมีเรื่องกลุ้มใจนะ พี่คิดว่าอย่างนั้นไหม” ตงฟางลี่พูดขึ้นเพราะรู้ว่าพ่อนั้นทำงานหนัก เพราะต้องทำงานทั้งในตำแหน่งนายท่านหยาง และยังต้องทำงานในคอมมูนเพื่อต้องการปิดบังฐานะที่แท้จริงต่อคนภายนอก เธอเห็นแล้วสงสารพ่อเหลือเกิน“เรื่องนี้พี่เองก็คิดเหมือนกัน พี่เลยต้องตั้งใจเรียนอย่างไรละ เมื่อไรที่พี่โตขึ้น พี่จะทำงานและเลี้ยงพ่อกับแม่เอง รวมถึงลี่ลี่ด้วย” เด็กชายที่อยู่ในช่วงจะเข้าวัยเด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง“คุยอะไรกันจ๊ะเด็ก ๆ รีบมากินมื้อเที่ยงได้แล้ว วันนี้แม่ทำบะหมี่เนื้อตุ๋นให้กินนะ มาเร็ว ๆ” หยางเหมยจินโผล่หน้ามาจากครัว ก่อนจะตะโกนเรียกลูกทั้งสองคน ทำให้สองพี่น้องรีบวิ่งมาทันทีเพราะอาหารที่แม่ของ
บทที่ 50 สถานการณ์คับขันหลายวันต่อมา...ท่านนายพลกุ้ยเอ่ยขอพบกับนายท่านหยางเพื่อขอซื้ออาหารเพิ่มและต้องการอาวุธที่มีประสิทธิภาพ แม้ว่าในมิติของหยางเหมยจินจะไม่มีอาวุธเหล่านั้น แต่เส้นสายของนายท่านหลู่กลับมี ซึ่งเป็นอาวุธคุณภาพดีจากต่างประเทศ แต่ตงเหวินหมิงยังไม่อยากให้ขาย เพราะไม่แน่ว่าคนของเขาและนายท่านหลู่อาจจะต้องใช้ และถ้าใครรับรู้ว่านายท่านหลู่ค้าอาวุธแบบผิดกฎหมาย คนพวกนั้นอาจจะเอาเรื่องนี้มาเล่นงานกลับก็ได้“เรื่องจัดหาอาหารนั้นผมไม่มีปัญหา แต่เรื่องอาวุธเห็นทีจะไม่ได้ เส้นสายของท่านน่าจะมี ย่อมต้องรู้ว่าผมมีเพียงอาหารเท่านั้น” ตงเหวินหมิงตอบกลับนายพลกุ้ยด้วยแววตาที่จริงจัง เขารู้ดีว่านายพลคนนี้มาหาด้วยเรื่องอะไร การขอซื้ออาวุธอาจจะเป็นแผนลวงก็เป็นได้“ไม่สามารถหาได้เลยอย่างนั้นเหรอ” นายพลกุ้ยถามย้ำอีกครั้ง เพราะคราวนี้เขาได้รับคำสั่งมาเพื่อให้ซื้ออาวุธกับอีกฝ่าย แต่กลายเป็นว่านายท่านหยางคนนี้กลับไม่โอนอ่อนเพื่อที่จะจัดหาอาวุธให้ทางฝ่ายเขาและแบบนี้เขาจะกลับไปตอบนายใหญ่ได้อย่างไร สีหน้าในตอนที่ถามออกมาจึงกังวลไม่น้อย“ครับ ผมคิดว่าเรื่องนี้นายพลกุ้ยลองไปสอบถามพ่อค้าคนอื่นดูเถอะ
บทที่ 49 ต่างมอบความรักให้กันย้อนกลับมาที่หมู่บ้าน เวลานี้ซ่านหลิงเดินทางมาหยางเหมยจินด้วยตนเอง เพราะรู้ดีว่าสามีของน้องสาวคนสนิทนั้นมีความรู้จักมักคุ้นกับนายท่านหยาง เลยตัดสินใจเดินทางมาหาด้วยตนเอง นั่นก็เผื่อว่าน้องสาวคนนี้จะบอกสามีให้แจ้งนายท่านหยางเพื่อที่จะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น“อย่างไรฉันจะบอกพี่หมิงให้ก็แล้วกันนะคะพี่ซ่านหลิง เรื่องนี้ใหญ่เกินไปสำหรับผู้หญิงอย่างเรา แล้วอีกอย่างเรื่องนี้อยู่ที่การตัดสินใจของนายท่านหยาง พี่หมิงทำได้เพียงส่งข่าวของพี่ให้นายท่านรู้เท่านั้น”หยางเหมยจินหลบเลี่ยงที่จะตอบตรง ๆ แม้ว่าจะสนิทกันอย่างไร เรื่องที่สามีของเธอคือนายท่านหยางนั้น เธอก็ยังไม่พร้อมที่จะบอกพี่สาวคนนี้ จึงทำเพียงพูดว่าสามีของเธอมีความรู้จักมักคุ้นกับนายท่านหยางเท่านั้น“เรื่องนี้ฉันเข้าใจ เธอรู้ใช่ไหมว่าใครต่อใครต่างก็อยากให้นายท่านหยางเข้าร่วมด้วย”ซ่านหลิงเองก็ไม่อยากบังคับน้องสาวคนสนิท เพราะเรื่องนี้เธอกลัวว่าตงเหวินหมิงที่รู้จักมักคุ้นกับนายท่านหยางจะโดนร่างแหไปด้วยหากเกิดอะไรขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึงหยางเหมยจินจะเจอเรื่องเลวร้ายด้วยเหมือนกัน“ฉันเข้าใจ และขอบคุณพี่มากที่มาส่งข่าวเร