กลางดึกคืนนั้นเมื่อเห็นว่าลูกทั้งสองเข้านอนแล้ว ผู้เป็นพ่ออย่างตงเหวินหมิงจึงเปลี่ยนชุดที่ทะมัดทะแมงและสีดำทั้งชุด เพื่อไปจัดการงานที่พิเศษที่จะใช้แลกกับข้อมูลยืนยันตัวตนของหยางเหมยจิน
ก่อนจะออกจากบ้าน ชายหนุ่มไม่ลืมที่จะปิดประตูอย่างแน่นหนา เนื่องจากลูกทั้งสองอายุยังน้อยและอยู่ในบ้านกันเพียงสองคนเท่านั้น แม้จะอยู่ในหมู่บ้านนี้มาเป็นสิบปี แต่เขาก็ไม่วางใจเรื่องความปลอดภัย ยิ่งช่วงนี้ข้าวของยิ่งแพงขึ้น อาหารก็ยิ่งหายาก หากมีใครรู้ว่าคืนนี้เขาไม่อยู่บ้าน ไม่แน่อาจจะมีคนเข้ามาปล้นเอาอาหารไปก็ได้
เมื่อรู้ทิศทางและตำแหน่งว่าต้องไปที่ใด ชายหนุ่มจึงไม่รอช้า รีบไปยังที่เป้าหมายทันที
คฤหาสน์ตระกูลจ๋าย
ตงเหวินหมิงในชุดสีดำสนิทเดินลัดเลาะข้างกำแพง เมื่อไม่เห็นใครเขาจึงรีบกระโดดข้ามกำแพงด้วยท่าทางคล่องแคล่วไม่เหมือนพ่อม่ายในหมู่บ้านที่เคยพบเห็น ใบหน้าที่เหลือแต่ดวงตามองขึ้นไปยังชั้นบนของคฤหาสน์อย่างครุ่นคิด พร้อมกับคาดคะเนว่าห้องทำงานของนายพลจ๋ายนั้นอยู่ที่ใด ก่อนจะหยิบแผนที่ที่นายท่านหลู่ให้มาและคำนวณดูว่าห้องนั้นอยู่ที่ไหน ซึ่งตงเหวินหมิงก็ไม่เข้าใจเล็กน้อย ในเมื่อนายท่านหลู่มีแผนที่ในคฤหาสน์หลังนี้ ก็แสดงว่าต้องมีคนของนายท่านหลู่อยู่ที่นี่ ทำไมไม่ให้คนของท่านจัดการเรื่องนี้แทนที่จะใช้เขา แต่เขาก็ไม่คิดอะไรมากเพราะไม่ใช่เรื่องของเขา
หลังจากมั่นใจแล้วว่าห้องนั้นอยู่ที่ใด ชายหนุ่มจึงรีบมองซ้ายขวาเพื่อดูว่ามีคนของนายพลจ๋ายอยู่แถวนี้ไหม ก่อนจะรีบลัดเลาะไปทางหลังคฤหาสน์และงัดประตูเข้าไปในห้องด้านในทันที จากนั้นจึงไปหยิบบางอย่างที่นายท่านหลู่ต้องการและรีบออกมาจากที่นี่ก่อนที่ใครจะพบเห็น
การลอบเข้าไปบ้านนายพลจ๋ายในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องยากของชายหนุ่ม แต่ก็ไม่ง่ายเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา กว่าจะออกมาได้ก็เล่นเอาเสียเหงื่อไปไม่น้อย ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอามือลูบอกเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่นำมานั้นยังอยู่ ก่อนจะวิ่งลัดเลาะฝ่าความมืดเพื่อจะกลับเข้าหมู่บ้าน เนื่องจากชายหนุ่มนั้นเป็นห่วงลูก ๆ ทั้งสองคน
เช้าวันต่อมา...
หยางเหมยจินตื่นเช้าขึ้นมาเช้าเหมือนเดิม หลังจากจัดการเรื่องส่วนตัวแล้วก็รีบเดินไปที่บ้านตงทันทีเพื่อมาช่วยทำอาหารเช้าให้เด็กทั้งสองและตงเหวินหมิง เกาซื่อหลินจึงรีบแต่งตัวและวิ่งตามออกมาทันทีเช่นกัน
พอมาถึงหญิงสาวจึงได้ตะโกนเรียก เพราะประตูรั้วหน้าบ้านยังคล้องกุญแจอยู่ “พี่หมิง เปิดประตูให้ฉันหน่อย”
ชายหนุ่มที่กำลังจะเตรียมอาหารอยู่ในครัวได้ยินเสียงเรียกก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะรีบเดินออกมาเนื่องจากจำเสียงหญิงสาวได้นั่นเอง
ทันทีที่เดินมาถึงหน้าบ้าน ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถามเสียงดุ
“แล้วนี่รีบมาทำไมครับ ฟ้ายังไม่สว่างเลย รู้หรือเปล่าว่ามันอันตราย”
“เอ่อ...ขอโทษค่ะ ฉันรีบมาทำอาหารให้ทุกคน พี่เองก็ต้องไปทำงาน หากต้องตื่นมาทำอาหารตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ร่างกายพี่จะไม่ไหวเอานะคะ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมารู้สึกผิดไม่น้อย เธอเองก็ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย
ทั้งสองยังไม่ทันพูดต่อ เกาซื่อหลินก็วิ่งมาถึงเช่นกัน “คราวหลังปลุกกันบ้างก็ได้นะคะพี่เหมยจิน นี่ปล่อยให้ฉันวิ่งตามมา เหนื่อยจะตายแล้ว” พอมาถึงเจ้าตัวก็บ่นไม่หยุด ตอนนี้จิงจิงจะมีนิสัยตามร่างเดิมไปแล้ว
“เอาน่าอย่าบ่นเลย เมื่อครู่นี้พี่เพิ่งโดนพี่หมิงดุ เธอก็อย่าเพิ่งบ่นเลย รีบเข้าบ้านก่อนดีไหม เช้า ๆ แบบนี้อากาศเย็นไม่น้อย”
หยางเหมยจินหัวเราะเสียงใส เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่ถึงห้านาทีเธอเพิ่งจะโดนเจ้าของบ้านดุ ตอนนี้กลับโดนน้องสาวจากบ้านเกาบ่นอีก
ตงเหวินหมิงยืนมองใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจนเคลิ้มไปชั่วขณะ จากนั้นจึงรีบไขกุญแจบ้านให้ทั้งสองคนเข้ามา เมื่อสองสาวเดินเข้าบ้านไปแล้ว แต่ทว่าสายตาของชายหนุ่มเจ้าของบ้านยังคงมองตามจนสุดสายตา จึงเดินตามเข้าไปอีกคน
“พี่เข้าไปนอนต่อเถอะ ฉันจะเตรียมอาหารเอง วันนี้สองแฝดจะต้องไปโรงเรียนหรือเปล่า” หยางเหมยจินเตรียมวัตถุดิบเพื่อจะทำอาหารเช้านี้ เธอไม่กังวลว่าทั้งสองจะตกใจหากเธอเอาของสดออกมาจากมิติ เนื่องจากเธอได้บอกเรื่องนี้กับทั้งสองคนไปแล้ว
“ไปครับ วันนี้วันศุกร์ แต่พรุ่งนี้และมะรืนนี้ไม่ต้องไป” ชายหนุ่มตอบกลับอย่างว่าง่าย ก่อนจะยืนมองอย่างเก้ ๆ กัง ๆ คล้ายกับครัวนี้ไม่ใช่ของเขา
“เช่นนั้นเหรอคะ” หญิงสาวตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แต่มือทั้งสองยังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมอาหารเช้านี้
ตงเหวินหมิงนั้นมองการกระทำอันคล่องแคล่วของหยางเหมยจินด้วยสายตาที่ครุ่นคิด ไม่คิดว่าสตรีโบราณที่มีฐานะเป็นคุณหนูที่มียศศักดิ์สูงส่งจะรู้จักการทำอาหารเช่นกัน เท่าที่มีเรื่องเล่ากันมา ยิ่งสตรีสูงศักดิ์มากเท่าใด งานบ้านงานเรือนแทบจะไม่จับเลย งานพวกนี้เป็นงานชั้นต่ำด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าอดีตพระชายาคนนี้จะมีความสามารถในการทำอาหารมากขนาดนี้
นอกจากท่าทางที่คล่องแคล่วแล้ว รสชาติอาหารแต่ละจานที่เขาได้ลิ้มลองนั้นก็อร่อยมากอีกด้วย
ในขณะที่อาหารมื้อเช้าจวนจะเสร็จแล้ว สองแฝดก็ตื่นขึ้นมาชำระร่างกายและแต่งตัวไปโรงเรียน พอเห็นว่าน้าเหมยของพวกเขามาทำอาหารให้อีกแล้วจึงยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนจะทักทายเสียงดัง
“สวัสดีค่ะน้าเหมย น้าหลิน”
“สวัสดีครับน้าเหมย น้าหลิน”
ทั้งสองคนทักทายออกมาพร้อมกันสมกับเป็นฝาแฝด
“สวัสดีจ้ะ น้าว่าเราทั้งสองคนรีบไปจัดเตรียมกระเป๋าหนังสือเถอะ ส่วนข้าวกล่องน้าเตรียมไว้ให้แล้ว วันนี้มีน่องไก่ทอดกับสามชั้นนึ่งเต้าเจี้ยวแล้วก็มีน้ำแกงปลาด้วยนะ” หยางเหมยจิน
บอกรายการอาหารในวันนี้ด้วยรอยยิ้ม“หา!! ทำไมข้าวกล่องถึงมีกับข้าวเยอะขนาดนั้นละคะ อย่างเดียวก็พอแล้ว มันสิ้นเปลืองเกินไปค่ะน้าเหมย”
ตงฟางลี่พอได้ยินรายการอาหารก็ทำตาโตและรีบปฏิเสธว่าขออาหารเพียงอย่างเดียวก็พอแล้ว
“จริงครับ ผมเห็นด้วยกับน้อง พ่อ พ่อช่วยห้ามน้าเหมยหน่อยสิครับ” ตงจี้หยวนปกติไม่ใช่คนชอบพูด แต่เมื่อเห็นว่าอาหารเช้านี้ดูจะสิ้นเปลืองเกินไป เขาอดไม่ได้ที่จะพูดสนับสนุนน้องสาว
“เอาเป็นว่าวัตถุดิบในการทำอาหารพวกนี้ น้าไม่ได้ใช้เงินซื้อมา ไว้ว่าง ๆ น้าจะเล่าให้ฟังอย่างที่น้าสัญญาไว้เมื่อคืนยังไงล่ะ ว่าแต่ตอนนี้ทั้งสองรีบมากินอาหารเช้าก่อนเถอะ เดี๋ยวน้าไปส่งขึ้นเกวียน น้าพอจะรู้จักทางแล้วนะ”
หยางเหมยจินตอบกลับ และเร่งให้สองแฝดรีบกินอาหารเช้า เพราะเธอตั้งใจจะเดินไปส่งทั้งสองที่เกวียนและซึมซับบรรยากาศยามเช้าของที่นี่ด้วย ในเมื่อเวลานี้เธอไม่ต้องหลบซ่อนอีกแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกลัวใครพบเห็นอีก
“ครับ / ค่ะ” สองพี่น้องรับคำ ก่อนจะไปนั่งประจำที่ของตัวเอง โดยมีตงเหวินหมิงนั่งอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งมื้อเช้าในวันนี้มีเกาซื่อหลินร่วมกินอาหารด้วย และคิดว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ไปทุกวัน
หลังจากจบมื้ออาหาร สองแฝดจึงรีบสวัสดีพ่อและทุกคนก่อนจะรีบเดินออกจากบ้าน เพราะกลัวจะไม่ทันเกวียนรอบเช้า และเช้านี้มีหยางเหมยจินเดินมาส่งด้วย ส่วนเกาซื่อหลินต้องรีบกลับบ้านไปเปลี่ยนชุดเพราะเธอต้องลงทำงานในคอมมูนนั่นเอง
ในขณะที่สามคนเดินมาที่จุดรอเกวียน มีชาวบ้านหลายครอบครัวคอยแอบมอง เนื่องจากเช้านี้ข่าวลือนั้นแพร่สะพัดจนทุกคนรู้ข่าวแล้วว่าหญิงสาวคนนี้คือคู่หมั้นของตงเหวินหมิง บวกกับรูปร่างหน้าตางดงามของหญิงสาว จึงเป็นที่สนใจไม่น้อย
“น้าเหมยรีบกลับบ้านเถอะครับ” ตงจี้หยวนไม่ชอบสายตาของบุรุษในหมู่บ้านที่มองน้าเหมยของเขา เลยเร่งให้หยางเหมยจินกลับบ้าน
“นั่นสิคะ น้าไม่ต้องรอเราสองคนขึ้นเกวียนหรอก เวลานี้น้าควรจะกลับบ้านได้แล้ว ลี่ลี่ไม่ชอบสายตาคนพวกนี้เลย” ตงฟางลี่พูดสำทับอีกคน
“ตกลง ถ้าอย่างนั้นน้ากลับก่อนนะแล้วเจอกันเย็นนี้ น้าจะทำอาหารอร่อยไว้รอ” หยางเหมยจินเองก็ไม่ชอบสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนพวกนี้เหมือนกัน เลยตั้งใจจะเดินกลับบ้านตงเช่นกัน
แต่ในขณะที่หมุนตัวจะเดินกลับ ก็มีเสียงแหลมดังขึ้นมา
“หน้าไม่อาย ช่างทำตัวเป็นเมียพี่เหวินหมิงเสียเหลือเกิน”
บทที่ 15 เกลียดขี้หน้าตั้งแต่แรกเจอพอได้ยินเสียงเรียกที่ดูจะไม่พอใจ หญิงสาวจึงได้หันกลับมามองและขมวดคิ้วอย่างสงสัย เนื่องจากเธอไม่เคยพบหน้าผู้หญิงคนนี้มาก่อน“คุณเป็นใครเหรอคะถึงมายุ่งกับเรื่องนี้ ฉันจะมีความสัมพันธ์อะไรกับพี่หมิงแล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย ถ้าฉันจำไม่ผิด นี่คือครั้งแรกที่เราได้พบหน้ากัน”หยางเหมยจินเชิดหน้าขึ้นพูดอย่างสง่างามสมกับเคยเป็นพระชายามาก่อน“เธอไม่เคยเจอหน้าฉันหรอก แต่ฉันไม่ชอบที่เธอทำตัวไม่ต่างจากเป็นภรรยาของพี่เหวินหมิงทั้งที่ยังไม่แต่งงานกัน” หญิงสาวคนนั้นตอบกลับมาด้วยเสียงที่บ่งบอกว่าเธอไม่พอใจ สายตานั้นดูจิกกัดคล้ายว่าเธอไม่ชอบหน้าของคู่หมั้นตงเหวินหมิงหยางเหมยจินยังคงขมวดคิ้ว แต่พอได้ยินน้ำเสียงของผู้หญิงตรงหน้าทำให้รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายน่าจะไม่พอใจเธอเข้าแล้ว และเรื่องนี้น่าจะเป็นเพราะฐานะของเธอที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของบ้านตง แต่อย่างไรเสียเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก มารยาสตรีเธอเห็นมานักต่อนักแล้ว มีหรือที่เธอจะใช้มารยาไม่เป็น ต่อให้เธอมาจากอดีตหลายร้อยหลายพันปี แต่ในฐานะที่เคยเป็นอดีตพระชายา อย่าคิดว่าเธอร้ายไม่เป็น“แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าฉั
บทที่ 16 เป็นที่อิจฉาของทุกคนกลับมาทางด้านคอมมูน ตงเหวินหมิงยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างไม่สนใจใคร เพราะบ่ายนี้เขาได้ลางานไว้แล้ว ยุวปัญญาชนชายหลายคนพอรู้ข่าวเรื่องคู่หมั้นของเขาต่างก็มองอย่างสงสัย เพราะพ่อม่ายตงที่ทุกคนรู้จักมักจะไม่ค่อยสนทนากับผู้หญิงมากนัก จนหลายคนคิดว่าชายหนุ่มลืมแม่ของสองแฝดไม่ได้ ใครจะคิดกันล่ะว่าวันนี้กลับมีคู่หมั้นหมายโผล่มา“พี่หมิง บ่ายนี้พี่ลาเหรอ” ตู้อี้ข่ายลูกชายคนรองบ้านตู้ที่ทำงานอยู่ข้างกันเอ่ยถามขึ้นมา“อืม ว่าจะเข้าเมืองเสียหน่อย เอกสารระบุตัวตนของอาเหมยน่าจะเรียบร้อยแล้ว เมื่อวานไปถามมาเจ้าหน้าที่บอกว่ายังไม่เรียบร้อย วันนี้ให้ไปดูอีกครั้ง” ตงเหวินหมิงตอบกลับตามตรงหากเป็นคนอื่นคงไม่กล้ามาถาม หรือไม่ชายหนุ่มก็คงไม่ตอบกลับ แต่ลูกชายคนรองบ้านตู้คุ้นเคยกับบ้านตงไม่น้อย เลยทำให้ทั้งสองบ้านค่อนข้างสนิทกัน“พี่ก็ไม่คิดจะบอกเรื่องพี่สะใภ้เลยใช่ไหม นี่ผมไม่ต่างจากน้องชายพี่นะ ทำอย่างกับผมเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ มีคู่หมั้นและยังจะแต่งงานปีหน้าแล้วก็ควรจะบอกกันบ้าง”น้ำเสียงของตู้อี้ข่ายคล้ายจะน้อยใจ แต่ฟังอย่างไรคล้ายกับว่าแค่แกล้งอีกฝ่ายเล่นเท่านั้น“นายควรจ
บทที่ 17 เข้าเมืองพร้อมกัน“พี่สาวเหมยจิน!!”เกาซื่อหลินกำลังเดินมาทางนี้ เมื่อเห็นว่าหยางเหมยจินนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ก็รีบตะโกนเรียกและโบกมือให้ด้วยความดีใจ อีกทั้งเธอยังมีรอยยิ้มที่สดใสที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน เพราะตั้งแต่ที่เกาซื่อหลินมาอยู่ที่นี่ เธอไม่เคยคุยเล่นและหัวเราะกับใคร แต่เวลานี้เธอกลับยิ้มด้วยรอยยิ้มที่สดใส เหล่าบรรดายุวชนชายและหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่ทำงานอยู่บริเวณนี้ต่างก็ตาพร่ากันเลยทีเดียว“ซื่อหลิน พี่อยู่นี่” เมื่อได้ยินเสียงเรียกอันคุ้นเคย หยางเหมยจินส่งเสียงตอบกลับพร้อมกับส่งยิ้มให้ ทำให้เกาซื่อหลินไม่รักษาอาการอีกเธอรีบวิ่งเข้ามาทันที ทำให้หลายคนมองภาพนี้ด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าทั้งสองจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเช่นนี้“ทำไมพี่ไม่รออยู่ที่บ้านตงละคะ มาที่นี่แดดร้อนจะตาย” หญิงสาวเอ่ยทักทันทีที่นั่งลงข้างกัน“พอดีว่าช่วงบ่ายพี่จะเข้าเมืองพร้อมกับพี่หมิง เห็นว่าเอกสารยืนยันตัวตนของพี่เสร็จ จะได้ดูลู่ทางหาเงินด้วย” หญิงสาวตอบกลับพร้อมกับเก็บผ้าที่เย็บเข้าตะกร้า ก่อนจะจัดเตรียมอาหารมื้อเที่ยงพร้อมกับเกาซื่อหลิน ส่วนทางด้านตงเหวินหมิง ชายหนุ่มรีบไปล้างเนื้อล้างตัวก่
บทที่ 18 ตื่นตาตื่นใจตลอดสองข้างทางที่ผ่านมา หยางเหมยจินมองด้วยความตื่นตาตื่นใจ เนื่องจากสถานที่แห่งนี้นั้นช่างแตกต่างจากที่เธออยู่มากนัก เมื่อสายตาเห็นบางอย่างเข้าจึงกระซิบถามคนข้าง ๆ ด้วยความสงสัย“นั่นคืออะไรเหรอคะ ทำไมคนถึงเข้าไปอยู่ได้ แล้วสิ่งนั้นเคลื่อนไหวเองได้อย่างไรกัน น่าแปลกนัก”ตงเหวินหมิงมองตาม เมื่อเห็นว่าเจ้าสิ่งนั้นคืออะไรจึงได้พูดอธิบายอย่างใจเย็น “นั่นเรียกว่ารถยนต์ ใช้เดินทางไปไหนมาไหนได้ไม่ต่างจากรถม้าที่คุณเคยใช้หรอกนะ”จากนั้นชายหนุ่มจึงอธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่เห็นให้ฟังอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นสามล้อ จักรยาน หรือตึกรามต่าง ๆ จวบจนทั้งสองมาถึงจุดจอดเกวียนในเมืองเมื่อจ่ายเงินค่าโดยสารเสร็จแล้ว ตงเหวินหมิงพาหญิงสาวเดินตามเขามาเพื่อไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ทั้งสองเดินลัดเลาะมาสักพักก็มาถึงจุดหมายแล้วก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูดังขึ้น ไม่นานคนเฝ้าก็มาเปิดช่องดู เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงได้รีบเปิดให้ทั้งสองคนเข้ามา“นายท่านหลู่อยู่หรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยถามออกไปเนื่องจากวันนี้เขาต้องมาส่งงาน พร้อมกับรับหนังสือยืนยันตัวตนของหยางเหมยจิน“อยู่สิ นายไปรอที่ห้องโถงก่อนเถอะ เดี๋ย
บทที่ 19 ความรู้สึกบางอย่างหญิงสาวไม่ใช่คนโง่และที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง จะไปไหนมาไหนโดยลำพังเพราะความอยากรู้อยากเห็นนั่นไม่ได้หรอก จึงได้สัญญาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าจะไม่แอบออกมาคนเดียวเด็ดขาดเมื่อได้รับคำยืนยันเรียบร้อยแล้ว ตงเหวินหมิงจึงได้พาหญิงสาวเดินไปยังตลาดมืดที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้สักเท่าไรในขณะเดียวกันอีกฝั่งของถนน เวลานี้รถของผู้กองต้วนและภรรยากำลังเคลื่อนไปยังห้างสรรพสินค้าเช่นกันการมาตลาดมืดของตงเหวินหมิงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร คนเฝ้าประตูดูจะคุ้นหน้าเขาอย่างดี เนื่องจากที่ผ่านมาชายหนุ่มมักจะนำของป่าที่หามาได้หลังจากแลกเปลี่ยนกับชาวบ้านแล้ว ที่เหลือเขาก็เอามาขายบ่อย ๆ บางครั้งก็มาหาซื้ออาหารและของใช้ที่นี่ เพราะชายหนุ่มไม่ชอบต่อคิวซื้อของตามสหกรณ์ หรือว่าร้านค้าของรัฐ เพราะบางอย่างก็จะต้องใช้คูปอง ซึ่งชาวบ้านเช่นเขามักจะมีใช้อย่างจำกัด มันไม่เพียงพอกับความต้องการอาหารของเด็กแฝดเมื่อทั้งสองเข้ามาด้านในแล้ว ตงเหวินหมิงจึงพาหญิงสาวหลบเข้าซอกตึกเพื่ออำพรางหน้าตาของเธอก่อน“มีผ้าคลุมหรือไม่ พี่คิดว่าอาเหมยน่าจะเอามาปิดบังหน้าตาเสียหน่อยจะดีกว่า” ชายหนุ่ม
บทที่ 20 ช่างเย็บมือดี“ถ้าอย่างนั้นก็ได้สิ แล้วขอบใจมากนะที่คิดถึงพี่และลูกทั้งสอง ถ้ายังไงอาเหมยมีชุดที่เคยตัดเองไว้บ้างหรือเปล่า เผื่อว่าจะได้ไปเสนอขายให้เจ้าของร้านได้ดูการเย็บด้วยเสียเลย”ชายหนุ่มเอ่ยขอบคุณที่เธอทำเพื่อบ้านตงและคิดถึงลูก ๆ ของเขา ก่อนจะถามถึงว่ามีเสื้อผ้าที่ตัดเย็บไว้แล้วหรือไม่ เผื่อว่าจะไปไม่เสียเที่ยว“มีสิคะ แต่ส่วนมากจะเป็นผ้าเช็ดหน้า ส่วนชุดนั้นฉันคิดว่าคงไม่เหมาะกับคนยุคนี้เท่าไร จะมีก็แค่...”คำพูดของเขาทำให้หยางเหมยจินนึกถึงชุดแต่งงานที่เธอตัดเย็บด้วยตนเองทุกฝีเข็ม รวมไปถึงผ้าคลุมหน้าและผ้าปูเตียงที่ใช้ในวันแต่งงาน“แต่ช่างเถอะ ของสิ่งนั้นฉันเคยใช้ในอดีต และไม่คิดว่าจะต้องใช้มันอีก อย่างไรก็เอาออกมาให้ร้านดูดีกว่า เดี๋ยวระหว่างทางหากเจอสถานที่มิดชิดแล้วค่อยเอาออกมาดีกว่านะคะ รีบไปกันเถอะ จะได้รีบกลับบ้าน ฉันตั้งใจจะซื้อขนมฝากลี่ลี่กับอาหยวนด้วย ไม่รู้ว่าทั้งสองชอบอะไรกันบ้าง พี่แนะนำฉันหน่อยนะ” หญิงสาวพูดขึ้นมาอย่างสดใส แม้ในใจจะคิดถึงชุดแต่งงานของตนเอง เธอตั้งใจจะนำมาขายเพื่อจะให้ลบทุกอย่างออกไปจากใจ“ได้สิ แม้ว่าจะมีการห้ามค้าขายตามใจชอบ และการค้ายังเป
บทที่ 21 เชื้อเชิญมาเป็นช่างตัดเย็บ“ชุดแต่งงานนี้ฉันให้ราคาสองพันหยวน ส่วนผ้าเช็ดหน้าฉันให้ผืนละสิบห้าหยวน ราคานี้คุณพอใจหรือไม่ ราคาสองพันหยวนนี่ นับว่าเป็นผลงานตัดเย็บชิ้นแรกที่ฉันซื้อเข้าร้านในราคาแพงที่สุดแล้วนะคะ”ซ่านหลิงพูดไม่ผิดนักหรอก เนื่องจากชุดแต่งงานทั่วไปเธอรับซื้อแค่สองร้อยถึงสามร้อยหยวนเท่านั้น และถ้าเป็นผ้าจากร้านของเธอเองราคาจะลดลงอีกสองเท่าตัว แต่ครั้งนี้ผ้าผืนนี้นับว่าเป็นของเก่าแก่ และชุดแต่งงานนี้ก็ปักเย็บได้อย่างประณีตสวยงาม ราคานี้ไม่นับว่าสูงเท่าไร เนื่องจากเธอสามารถทำให้ราคาเพิ่มได้เกือบเท่าตัวเช่นกันแม้ว่าจะอยู่ในช่วงข้าวยากหมากแพง แต่อย่าลืมว่าในเมืองใหญ่และเมืองหลวง คนที่มีฐานะและมีเงินจำนวนมาก ๆ นั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี ยิ่งกลุ่มคนชั้นสูงแบบคนที่มาจากตระกูลใหญ่ ตระกูลที่มีหน้ามีตาสักหน่อย ล้วนก็อยากได้ของดี มีความหรูหราและทรงคุณค่า เพื่อนำไปประดับบารมีกันทั้งนั้น เช่นนั้นซ่านหลิงจึงยอมซื้อด้วยราคาสองพันหยวนยังไงล่ะเมื่อได้ยินราคาชุดแต่งงานและผ้าเช็ดหน้าที่เธอนำมาขาย หยางเหมยจินจึงเงยหน้ามองตงเหวินหมิง เธอเห็นว่าชายหนุ่มพยักหน้าตกลง หญิงสาวจึงตอบกลับซ่านห
บทที่ 22 ถังจินเยว่เมื่อทั้งสองเดินออกไปแล้ว ซ่านหลิงจึงเรียกให้พนักงานของร้านเข้ามาในห้องก่อนจะออกคำสั่ง“พี่หม่าอินนำชุดแต่งงานนี้ไปใส่ในหุ่นไม้เพื่อโชว์ในร้านนะคะ แล้วก็เอาผ้าเช็ดหน้าพวกนี้ไปใส่ตู้กระจกเพื่อวางขายด้วยค่ะ”“ชุดนี้ตั้งราคาไว้เท่าไรค่ะคุณซ่าน ลวดลายนั้นสวยงามมาก และดูจากการเย็บแล้วน่าจะเย็บด้วยมือทั้งชุด” ช่างเย็บประจำร้านถามขึ้น แม้ว่าเธอจะเป็นช่างเย็บมือดี หากเทียบกับช่างที่เย็บชุดแต่งงานนี้นั้นความสามารถเธอด้อยลงทันตา“ชุดนี้ตั้งราคาขายสามพันห้าร้อยหยวนนะ” ซ่านหลิงบอกราคากับพนักงานอย่างมั่นใจว่าจะต้องขายได้ สายตาของเธอนั้นคาดการณ์ไม่ผิด“หากจะมองว่าแพงก็คงไม่ผิด แต่ถ้าเกิดคนที่ซื้อไปรู้ถึงคุณค่าของเนื้อผ้าและฝีเข็มในการเย็บ ฉันบอกได้เลยว่าราคานี้ยังถูกเสียด้วยซ้ำ ว่าแต่ช่างคนนี้เป็นใครคะ” หม่าอินพูดออกมาอย่างคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องการตัดเย็บ ก่อนจะถามเกี่ยวกับช่างที่ตัดเย็บชุดนี้“เรื่องนี้ฉันคงบอกพี่หม่าอินไม่ได้หรอก เพราะได้สัญญากับช่างคนนี้ไว้แล้ว แต่ถ้าเธอมาวันไหน ฉันจะลองบอกว่าพี่อยากพบก็แล้วกันนะ” ซ่านหลิงถือว่าตนเองได้รับปากไว้แล้ว เลยไม่อยากผิดคำพูดตนเอง ซึ
ตอนพิเศษ 4 คุณพ่อจอมหวงวันเวลาล่วงเลยมาถึงวันที่สองพี่น้องฝาแฝดอย่างตงจี้หยวนและตงฟางลี่ก็เติบโตขึ้นและแม้ว่าทั้งสองคนจะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่ทั้งสองคนก็ยังคงใช้แซ่ตงเหมือนเดิม ส่วนแซ่เดิมของพ่อแม่นั้นจะเอาไว้ให้ลูก ๆ ในอนาคตเป็นผู้สืบทอด ตอนนี้ทั้งสองคนใกล้จะเรียนจบระดับมหาวิทยาลัยแล้ว คนพี่นั้นเริ่มเข้ามาช่วยดูแลงานในบริษัทของพ่อ และสมบัติที่พ่อแม่ที่แท้จริงทิ้งไว้ให้ เลยไม่ค่อยมีเวลาตัวติดกับน้องสาวเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งวันนี้ก็เหมือนกัน ชายหนุ่มจะต้องเข้าไปดูงานที่บริษัท แต่น้องสาวขอไปดูหนังกับเพื่อน“พี่ใหญ่ วันนี้ฉันขอไปดูหนังได้ไหม” ตงฟางลี่เอ่ยขอพี่ชายอย่างออดอ้อน“พี่น่ะให้ไปได้ ว่าแต่เราโทรขออนุญาตพ่อหรือยัง แล้วจะดูหนังรอบไหนกัน นี่ก็เย็นมากแล้วนะ”ชายหนุ่มตอบกลับน้องสาวอย่างไม่คิดอะไร สำหรับตัวเขานั้นไม่เท่าไร แต่พ่อนี่สิคงไม่ยอมอนุญาตง่ายๆ แน่ เพราะพ่อเป็นคุณพ่อจอมหวงลูกสาวเสียเหลือเกิน ดูอย่างน้องสาวคนเล็กที่อายุแค่ไม่เท่าไรสิ พ่อยังแทบจะไม่ให้ผู้ชายอุ้มแล้ว ความหวงของพ่อที่มีต่อน้องสาวเกินขอบเขตจริง ๆ และนี่ก็ไม่ต้องพูดถึงอาอี้ข่ายที่เป็นเหมือนกันราวกับถอดแบบกันมาเลยทีเ
ตอนพิเศษ 3 คุณพ่อลูกดกหลังจากจบเรื่องตระกูลเกา ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตกันตามปกติ ซึ่งเกาเทียนอี้และเกาซื่อหลินก็ไม่คิดจะกลับไปเหยียบตระกูลเกาอีกเลย และได้ข่าวว่าเกาเสี่ยวจิงถูกคนตระกูลหุ้ยบอกเลิกการหมั้นหมายและไม่คิดจะสานต่อความสัมพันธ์ส่วนสองแม่ลูกแม้จะอยู่ตระกูลเกาต่อ แต่สถานะของทั้งสองก็อยู่ยิ่งกว่าสาวใช้ สาเหตุที่ท่านนายพลไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ก็เพราะไม่ต้องการอับอายคนในสังคม และที่สำคัญเขาได้เอาผู้หญิงที่เลี้ยงไว้นอกบ้านเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์และยกเป็นนายหญิงคนใหม่ เลยทำให้เฟ่ยเจียแค้นใจอย่างมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องยอมรับชะตากรรมที่ตนเองได้ก่อไว้พอเกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้น ตงเหวินหมิงคิดจะจัดงานเลี้ยงเปิดตัวเองและภรรยารวมถึงทุกคนให้สังคมได้รับรู้ แต่กลับถูกภรรยาห้ามไว้ เพราะเธอกำลังท้องเลยไม่อยากจัดงานเลี้ยงขึ้นมา โดยได้บอกกับสามีว่าค่อยจัดงานเปิดตัวตอนเธอคลอดลูกแล้วก็ยังไม่สายแต่เมื่อถึงเวลา หยางเหมยจินก็บ่ายเบี่ยงอีก เพราะเธออยากอยู่อย่างสงบกับลูกไม่อยากวุ่นวายกับใคร เพราะการเปิดตัวนั้นคงทำให้มีแต่คนเข้าหาเธอในฐานะนายหญิงตงจนเวลานี้เธอตั้งท้องครั้งที่สามแล้ว เพราะสองท้องที่ผ่
ตอนพิเศษ 2 ทวงคืนสินเดิมของแม่หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น สองแม่ลูกจากตระกูลเกาแทบจะนอนไม่หลับ เพราะกลัวว่าตงเหวินหมิงจะบุกมาพบกับท่านนายพลถึงตระกูลเกา แต่เมื่อเวลาผ่านมาเป็นสัปดาห์ก็ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทำให้ทั้งสองคนกลับมาเชิดหน้าเหมือนเดิม“คุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่า เหมือนว่าสัปดาห์ก่อนคุณจะพูดอะไรเหรอ” นายพลเกาเอ่ยถามภรรยาหลังจากสะสางงานตนเองเสร็จแล้ว ตอนนั้นเขากำลังวุ่นกับงานอยู่ เลยไม่ได้ฟังอะไรเธอมากมายนัก“ไม่มีอะไรแล้วค่ะ เรื่องไม่สำคัญแล้วล่ะ คุณทำงานของคุณเถอะ จริงสิ ฉันลืมบอกคุณไปว่าต้นเดือนหน้าทางตระกูลหุ้ยจะเข้ามาพูดคุยเรื่องหมั้นหมายระหว่างลูกชายบ้านนั้นกับเสี่ยวจิงของเรานะคะ” เฟ่ยเจียตอบกลับไปอย่างอ่อนหวานและเปลี่ยนเรื่องไปพูดในเรื่องที่เธอมีความยินดีอย่างมากจะว่าไปเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับเฟ่ยเจียไม่ใช่เรื่องของตระกูลตงจะเข้ามาที่นี่หรือไม่ แต่เป็นเรื่องการแต่งงานและหมั้นหมายของลูกสาวมากกว่าพอท่านนายพลเกาได้ยินเรื่องการแต่งงานของลูกสาวคนเล็ก ก็อดคิดถึงลูกสาวคนโตที่หายไปจากบ้านหลายปีแล้ว รวมถึงลูกชายที่ไปเป็นทหาร ซึ่งไม่รู้เวลานี้ทั้งสองเป็นอย่างไรบ้างเพราะขา
ตอนพิเศษ 1 หาเรื่องใส่ตัวหลังจากที่ย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่ง เกาซื่อหลินก็ยังคงช่วยงานของหยางเหมยจินเหมือนเดิมพร้อมกับดูแลพี่สาวบุญธรรมไปด้วย วันนี้ทั้งสองออกมาซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเพียงลำพัง เพราะสองแฝดไปเรียนหนังสือ ตงเหวินหมิงกับตู้อี้ข่ายก็ไปทำงาน“นี่เสี่ยวหลิน ไม่ต้องคอยระมัดระวังขนาดนั้นก็ได้ พี่แค่ท้องนะไม่ใช่คนป่วยสักหน่อย” หยางเหมยจินพูดพึมพำออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เพราะตั้งแต่เธอตั้งท้อง ทุกคนก็แทบจะไม่ให้เธอทำอะไรเลย เธอแทบจะเป็นง่อยอยู่แล้ว“พี่เหมยจินก็พูดไป ถ้าเกิดพี่เดินไม่ระวังแล้วสะดุดล้มขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ ต่อให้มีคนของพี่เขยติดตามมาด้วย ใช่ว่าจะมีคนกล้าแตะต้องตัวพี่นะ หน้าที่นี้เป็นของฉัน อย่างไรฉันก็ต้องคอยดูไว้ก่อน” เกาซื่อหลินโต้แย้งกลับทันที เพราะเธอต้องระวังความปลอดภัยให้กับพี่สาวคนนี้ เลยทำให้ต้องดูเหมือนทำเกินจริงไปหน่อย แต่ป้องกันไว้ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ“เอาเถอะ แล้วแต่เธอก็แล้วกัน นั่นร้านขายขนมฝรั่งเปิดใหม่หรือเปล่า เราลองเข้าไปดูกันเถอะ” หยางเหมยจินคร้านจะเถียงกับอีกฝ่าย เมื่อเห็นร้านขนมเปิดใหม่จึงชวนอีกฝ่ายไปดู เนื่องจากขนมพวกนี้เธอกินแล้วติด
บทส่งท้าย ครอบครัวที่ต้องการสามปีต่อมา... หลังจากวันนั้นวันที่ตงเหวินหมิงกลับมา นั่นจึงทำให้หยางเหมยจินคลายความกังวลและรู้สึกดีใจที่เขาปลอดภัย โดยที่ตงเหวินหมิงเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังเธออย่างละเอียด แล้วยังบอกอีกว่าเวลานี้เขาล้างมลทินให้ตระกูลตงเรียบร้อยแล้ว รวมถึงตระกูลของพี่เขยด้วย ก่อนจะบอกความจริงกับเด็กน้อยทั้งสอง ซึ่งแม้ทั้งสองคนจะรับรู้ว่าตนเองนั้นไม่ใช่ลูกแต่เป็นหลาน แต่ทั้งสองก็ยังคงเรียกตงเหวินหมิงว่าพ่อ และเรียกหยางเหมยจินว่าแม่เหมือนเดิมส่วนเรื่องบ้าน ทั้งหมดได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองเรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านที่รู้ความจริงว่าตงเหวินหมิงคือนายท่านหยางก็พากันตกใจ บางคนก็เสียดาย ที่ก่อนหน้านี้พวกตนน่าจะทำดีกับบ้านตงไว้ ส่วนซูหว่านแทบจะเสียสติ ที่ชายที่เธอหมายปองนั้นคือคนที่มีอิทธิพลของเมืองนี้ แถมยังร่ำรวยมากอีกด้วยแต่เพราะทางบ้านซูของเธอไม่อยากมีปัญหากับบ้านตงและรู้ว่าซูหว่านคงไม่จบเรื่องบ้านตง บ้านซูจึงตัดสินใจหาสามีที่อยู่ต่างเมืองให้เธอทันทีทำให้สามปีที่ผ่านมาไม่มีใครคอยมาวุ่นวายกับสองสามีภรรยามากนัก ทุกวันนี้ตงเหวินหมิงจึงรู้สึกสบายใจอย่างมาก“ตอนนี้เรื่องราวทุกอย่างที่
บทที่ 52 จบสิ้นปัญหาหลายวันต่อมา...ในหมู่บ้านมีคนแปลกหน้าเข้ามาทำงานในคอมมูนไม่น้อยเลย แถมหัวหน้าคอมมูนยังให้ชาวบ้านช่วยกันสร้างที่พักให้ นี่จึงทำให้ใครหลายคนพากันแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะก่อนหน้านี้หัวหน้าคอมมูนบอกเองว่าทางการยังไม่ได้ส่งคนเข้ามา แต่ทำไมวันนี้กลายเป็นว่ามีคนมากมายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านล่ะ“พวกเราคิดว่ามันแปลกหรือไม่ ที่จู่ ๆ ก็มีคนเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านจำนวนไม่น้อยเลย” ชาวบ้านคนหนึ่งถามขึ้น“จะขี้สงสัยไปทำไมกัน คนมาทำงานจะคิดมากไปทำไม หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หัวหน้าหมู่บ้านคงบอกแล้วล่ะ” อีกคนตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจการพูดคุยของกลุ่มชาวบ้านแม้ว่าแปลกใจและสงสัยแต่ก็เลือกที่จะไม่ถาม เพราะรู้ดีว่าทุกคนมีหน้าที่การงานของตนเองซึ่งเรื่องนี้มีแค่หัวหน้าคอมมูนเท่านั้น ที่รู้ว่าเป็นคนของใครที่ถูกส่งเข้ามา เขาไม่คิดว่าคนเคยปลอมเป็นชาวบ้านมางานแต่งของตงเหวินหมิงกับหยางเหมยจินจะเป็นถึงนายท่านหลู่ นายท่านผู้ลึกลับแต่ทรงอิทธิพล และเขาก็ไม่คิดว่าท่านจะส่งคนมาบอกเรื่องที่จะให้ คนมาทำงานในคอมมูน โดยปลอมเป็นชาวบ้านที่มาทำงานในคอมมูนที่หมู่บ้านแห่งนี้เพื่อที่จะปกป้องใครบางคน ซึ่งต่อให้ช
บทที่ 51 เดินทางไปปักกิ่งเมื่อมีคนมาจี้ใจดำตัวเอง ซูหว่านจึงมีท่าทีฟึดฟัดขึ้นมา ก่อนจะพูดเสียงดัง “แล้วยังไง ฉันยังหวังและเชื่อว่าฉันจะแต่งเข้าบ้านตงได้แน่นอน รอจังหวะก่อนเถอะ”ชาวบ้านที่ได้ยินต่างก็ส่ายหน้าอย่างระอา เพราะเวลานี้ตงเหวินหมิงได้จัดพิธีแต่งงานกับหยางเหมยจินแล้ว ดูแล้วเขายังรักภรรยาคนนี้มากอีกด้วย แล้วแบบนี้คนอย่างซูหว่านจะเข้าไปแทรกกลางได้อย่างไรกัน“พี่ใหญ่ ดูเหมือนพ่อจะมีเรื่องกลุ้มใจนะ พี่คิดว่าอย่างนั้นไหม” ตงฟางลี่พูดขึ้นเพราะรู้ว่าพ่อนั้นทำงานหนัก เพราะต้องทำงานทั้งในตำแหน่งนายท่านหยาง และยังต้องทำงานในคอมมูนเพื่อต้องการปิดบังฐานะที่แท้จริงต่อคนภายนอก เธอเห็นแล้วสงสารพ่อเหลือเกิน“เรื่องนี้พี่เองก็คิดเหมือนกัน พี่เลยต้องตั้งใจเรียนอย่างไรละ เมื่อไรที่พี่โตขึ้น พี่จะทำงานและเลี้ยงพ่อกับแม่เอง รวมถึงลี่ลี่ด้วย” เด็กชายที่อยู่ในช่วงจะเข้าวัยเด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง“คุยอะไรกันจ๊ะเด็ก ๆ รีบมากินมื้อเที่ยงได้แล้ว วันนี้แม่ทำบะหมี่เนื้อตุ๋นให้กินนะ มาเร็ว ๆ” หยางเหมยจินโผล่หน้ามาจากครัว ก่อนจะตะโกนเรียกลูกทั้งสองคน ทำให้สองพี่น้องรีบวิ่งมาทันทีเพราะอาหารที่แม่ของ
บทที่ 50 สถานการณ์คับขันหลายวันต่อมา...ท่านนายพลกุ้ยเอ่ยขอพบกับนายท่านหยางเพื่อขอซื้ออาหารเพิ่มและต้องการอาวุธที่มีประสิทธิภาพ แม้ว่าในมิติของหยางเหมยจินจะไม่มีอาวุธเหล่านั้น แต่เส้นสายของนายท่านหลู่กลับมี ซึ่งเป็นอาวุธคุณภาพดีจากต่างประเทศ แต่ตงเหวินหมิงยังไม่อยากให้ขาย เพราะไม่แน่ว่าคนของเขาและนายท่านหลู่อาจจะต้องใช้ และถ้าใครรับรู้ว่านายท่านหลู่ค้าอาวุธแบบผิดกฎหมาย คนพวกนั้นอาจจะเอาเรื่องนี้มาเล่นงานกลับก็ได้“เรื่องจัดหาอาหารนั้นผมไม่มีปัญหา แต่เรื่องอาวุธเห็นทีจะไม่ได้ เส้นสายของท่านน่าจะมี ย่อมต้องรู้ว่าผมมีเพียงอาหารเท่านั้น” ตงเหวินหมิงตอบกลับนายพลกุ้ยด้วยแววตาที่จริงจัง เขารู้ดีว่านายพลคนนี้มาหาด้วยเรื่องอะไร การขอซื้ออาวุธอาจจะเป็นแผนลวงก็เป็นได้“ไม่สามารถหาได้เลยอย่างนั้นเหรอ” นายพลกุ้ยถามย้ำอีกครั้ง เพราะคราวนี้เขาได้รับคำสั่งมาเพื่อให้ซื้ออาวุธกับอีกฝ่าย แต่กลายเป็นว่านายท่านหยางคนนี้กลับไม่โอนอ่อนเพื่อที่จะจัดหาอาวุธให้ทางฝ่ายเขาและแบบนี้เขาจะกลับไปตอบนายใหญ่ได้อย่างไร สีหน้าในตอนที่ถามออกมาจึงกังวลไม่น้อย“ครับ ผมคิดว่าเรื่องนี้นายพลกุ้ยลองไปสอบถามพ่อค้าคนอื่นดูเถอะ
บทที่ 49 ต่างมอบความรักให้กันย้อนกลับมาที่หมู่บ้าน เวลานี้ซ่านหลิงเดินทางมาหยางเหมยจินด้วยตนเอง เพราะรู้ดีว่าสามีของน้องสาวคนสนิทนั้นมีความรู้จักมักคุ้นกับนายท่านหยาง เลยตัดสินใจเดินทางมาหาด้วยตนเอง นั่นก็เผื่อว่าน้องสาวคนนี้จะบอกสามีให้แจ้งนายท่านหยางเพื่อที่จะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น“อย่างไรฉันจะบอกพี่หมิงให้ก็แล้วกันนะคะพี่ซ่านหลิง เรื่องนี้ใหญ่เกินไปสำหรับผู้หญิงอย่างเรา แล้วอีกอย่างเรื่องนี้อยู่ที่การตัดสินใจของนายท่านหยาง พี่หมิงทำได้เพียงส่งข่าวของพี่ให้นายท่านรู้เท่านั้น”หยางเหมยจินหลบเลี่ยงที่จะตอบตรง ๆ แม้ว่าจะสนิทกันอย่างไร เรื่องที่สามีของเธอคือนายท่านหยางนั้น เธอก็ยังไม่พร้อมที่จะบอกพี่สาวคนนี้ จึงทำเพียงพูดว่าสามีของเธอมีความรู้จักมักคุ้นกับนายท่านหยางเท่านั้น“เรื่องนี้ฉันเข้าใจ เธอรู้ใช่ไหมว่าใครต่อใครต่างก็อยากให้นายท่านหยางเข้าร่วมด้วย”ซ่านหลิงเองก็ไม่อยากบังคับน้องสาวคนสนิท เพราะเรื่องนี้เธอกลัวว่าตงเหวินหมิงที่รู้จักมักคุ้นกับนายท่านหยางจะโดนร่างแหไปด้วยหากเกิดอะไรขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึงหยางเหมยจินจะเจอเรื่องเลวร้ายด้วยเหมือนกัน“ฉันเข้าใจ และขอบคุณพี่มากที่มาส่งข่าวเร