"มิน่าล่ะ! ข้าถึงได้หลับตามน้ำแบบไม่อยากจะตื่น พลังของท่านพี่สุดยอดไปเลย" ไวท์บอกพลางชูนิ้วโป้งให้ทั้งสองข้าง สำหรับจักรวรรดิแล้วการยกนิ้วไม่มีความหมายอะไรแต่ดูท่าสำหรับโลกมนุษย์น่าจะหมายถึงเก่งหรือเปล่า
"ในโลกมนุษย์หมายความว่าเก่งใช่ไหม"
"ไม่ใช่แค่เก่งนะพะยะค่ะ เขาเรียกว่าเจ๋งไปเลย"
"เจ๋งไปเลย หมายความว่าอย่างไร"
"หมายความว่าสุดยอดมาก แปลกใหม่ เรียกว่าเจ๋งพะยะค่ะ"
"ข้าคิดว่าตอนนี้พวกเจ้าควรกินอะไรสักหน่อยนะ อาหารถูกยกมาวางให้แล้ว พวกเจ้าก็คุยกันต่อไปเถอะ" จักรพรรดิไอสองสามครั้งเพื่อเตือนว่าไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคุยกันสบายใจแบบนี้ ควรกินข้าวและไปจัดการเรื่องข่าวลือให้เรียบร้อยเสียก่อน ไม่เช่นนั้นน่าจะกลายเป็นเรื่องไปมากกว่านี้อย่างแน่นอน
"รัชทายาท"
"พะยะค่ะ ท่านพ่อ"
"เจ้าจะต้องเข้าไปอธิบายเรื่องการดีฟให้ที่ประชุมฟัง ส่วนหนูไวท์" เรื่องดีฟคือหัวข้อสำคัญในการคุยงานครั้งนี้งั้นรึ
"พะยะค่ะ ท่านจักรพรรดิ"
"ก็ต้องเข้าห้องประชุมไปเพื่ออธิบายเรื่องชาติกำเนิดเหมือนกัน พ่อรู้ว่าหนูน่าจะรู้ว่าตนเองมีชาติกำเนิดมาจากอะไร จะได้หายสงสัยกันสักที เพราะเรื่องที่เกิดก่อนหน้านี้มันแพร่ไปทั่ววังหลวงแล้ว หากไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องล่ะก็...ต้องมีการทำให้ราชสำนักปั่นป่วนแน่นอน" ความจริงแล้วจักรพรรดิคิดว่าเหตุการณ์ในวันนั้นน่าจะไปกระตุ้นอะไรบางอย่างในร่างกายของเด็กคนนี้ขึ้นมา แต่อย่างน้อยเรื่องนี้ทุกคนในราชสำนักต้องรับรู้เพื่อไม่ให้เกิดข้อกังขาได้อีกในเรื่องชาติกำเนิด เรียกเหล่าคนรับใช้ในวันนั้นมาสอบปากคำดีกว่า
"พะยะค่ะ หม่อมฉันขอบอกไว้ตรงนี้ว่ามีความทรงจำที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างและรู้แค่ว่าตนเองเป็นมนุษย์ นอกนั้นเรื่องอื่นหม่อมฉันไม่รู้อะไรเลยสักนิด" หลังจากเหตุการณ์ที่รัชทายาทมาหาก็จำไม่ได้อีกเลย เหมือนว่าความทรงจำมันไม่เป็นรูปไม่เป็นร่าง
สิ่งที่จำได้คือถูกยิงตกน้ำน่าจะตายแต่ก็รอดมาได้แล้วถูกพามาที่ไหนสักแห่ง และมารับรู้ว่าที่นี่คือจักรวรรดิโลกคู่ขนาน ไม่ใช่โลกมนุษย์ที่อาศัยอยู่ ป่านนี้พ่อกับแม่จะเป็นห่วงมากแค่ไหนกัน ครอบครัวของผมจะอยู่ดีมีสุขไหม ทุกคนจะกังวลใจในการตามหาผมบ้างหรือเปล่า หลากหลายคำถามมากในตอนนี้ อยู่ที่นี่ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้สักคนแม้กระทั่งคนที่คอยปกป้องเรามาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
รัชทายาทบอกว่าพบตาที่เดียวกับที่เราหล่นลงมาเหมือนกัน แล้วพามาอยู่เหมือนกันแต่สถานะแตกต่างกัน ตอนตามานั้นอยู่ในสถานะของสหายคนสนิทหรือเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น แต่สถานะของผมคือว่าที่สะใภ้ของจักรวรรดิ แม่ของแผ่นดินในอนาคต ทำไมถึงเอาอนาคตที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นมาฝากไว้กับเด็กที่อายุเพียงเท่านี้กัน บางทีปริศนาหลายอย่างก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่พบเลย
ณ ห้องประชุม
"ในเมื่อมากันครบแล้ว เริ่มการประชุมได้" จักรพรรดิเปิดพิธีการประชุมทันที เหล่าขุนนางมองผู้มาเยือนใหม่ทั้งสองคนที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในราชสำนักตอนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้เลยนั่นก็คือรัชทายาท ว่าที่พ่อคนใหม่ของจักรวรรดิ และคุณชายริค ไวท์ ลูกชายบุตรธรรมอย่างไม่เป็นทางการของตระกูลริค
"หัวข้อการประชุมในครั้งนี้คือ ความมั่นคงของจักรวรรดิและชาติกำเนิดของมนุษย์ผู้มาจากโลกอื่น" ดยุคตระกูลโฟลช์ เริ่มหัวข้อการประชุมในครั้งนี้ เนื่องจากข่าวลือหลายอย่างแพร่หลายไปทั่วจนต้องมีการประชุมเพื่อให้รับรู้โดยทั่วกัน ข่าวครั้งนี้จำเป็นต้องมีการถ่ายทอดสดให้ชมทั่วจักรวรรดิเพื่อให้รับรู้กันอย่างทั่วถึงโดยอาศัยคริสตัลเป็นสื่อสารในการฉายภาพขึ้นมาด้วยเวทย์มนตร์
"ข้าขอถามรัชทายาทว่ามนุษย์ผู้นั้นมีความเหมาะสมกับพระองค์ตรงไหนกัน มองไปทางไหนก็เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไปของจักรวรรดิ และไม่มีอะไรยืนยันได้ด้วยว่ามาจากโลกอื่นหรือไม่ ใครจะเป็นคนให้คำตอบกับเรื่องนี้กัน" ดยุคตระกูล สวิตเริ่มถกประเด็นที่ใครๆ ก็อยากถามแต่ไม่กล้าถามเพราะว่าเกรงกลัวรัชทายาทกันหมด สมเป็นตระกูลสวิตที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใดแม้กระทั่งตระกูลกษัตริย์ก็ตาม
"เหมาะสมหรือไม่เดี๋ยวได้รู้กัน ส่วนเรื่องที่ว่าใครจะยืนยันได้นั้น ข้าขอเชิญดยุคสตุฟเฟลผู้ดูแลเรื่องการทำนายและมองเห็นหลายโลกมาให้คำยืนยันในครั้งนี้เพื่อให้ได้รับการยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง รวมถึงให้ไวท์พูดชื่อจริงของตนเองออกมาก่อนที่จะได้รับชื่อใหม่ ซึ่งพยานในครั้งนี้คือคุณชายมาร์แชล บลัฟเฟอร์ เขาคือผู้ที่ถูกช่วยชีวิตเอาไว้เหมือนงานเลี้ยงครั้งก่อน" รัชทายาทเริ่มโต้กลับทันทีด้วยเหตุผล น้ำเสียงเรียบนิ่ง ท่าทีสงบสยบความเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะมีอะไรมาทำลายก็ไม่เคยหวั่นไหวแม้แต่ครั้งเดียว
"ข้าสามารถยืนยันได้ว่าคุณชายไวท์เป็นคนจากโลกอื่นไม่ใช่ของจักรวรรดิ เนื่องจากเสื้อผ้าในตอนแรกที่เดินทางมาถึงที่นี่ไม่เหมือนกับที่ชาวจักรวรรดิใส่กัน นี่คือหลักฐานเสื้อผ้าและข้าวของทั้งหมดของคุณชายไวท์ และข้าคือโหราจารย์คนปัจจุบันที่มีพลังมากที่สุด ย่อมมองเห็นโลกอื่นได้มากที่สุด" ดยุคตระกูลสตุฟเฟลพูดพร้อมชี้แจ้งข้าวของทีละชิ้นว่าแต่ละอันเรียกว่าอะไรแต่ไม่มีใครในจักรวรรดิรู้จักเลยสักคน สิ่งนี้สามารถยืนยันได้ว่ามาจากโลกอื่นเป็นจริง
"ข้าไม่เคยเห็นการต่อสู้ที่ไม่ใช้อาวุธมาก่อนเลย แล้วตอนแรกที่แนะนำตัวกัน มนุษย์ผู้นี้ชื่อ จีน จิรายุ ไพศาล คาดว่าน่าจะเป็นชื่อมาจากโลกอื่น เพราะพวกเราไม่มีชื่อที่ยาวหรือแปลกแบบนี้แน่นอน ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้ในวันนั้นด้วย" มาร์แชลออกโรงอธิบายความจริงแล้ว นอกจากทุกอย่างจะไม่ได้ถูกเตี๊ยมมาแต่สามารถทำให้ไวท์หมดข้อกังขาในเรื่องการมาเยือนจักรวรรดิแล้ว
"ผมชื่อ จิรายุ ไพศาล ชื่อเล่น จีน เป็นนักเรียนระดับมัธยมปลาย ผมไม่รู้จักที่นี่มาก่อนว่าคือที่ไหนจนกระทั่งได้พบกับรัชทายาทของจักรวรรดิ ส่วนเรื่องความเหมาะสมของผมกับรัชทายาท มีเกณฑ์อะไรในการตัดสินว่าอะไรควรอะไรไม่ควร สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตใจว่ามีความภักดีต่อราชวงศ์มากแค่ไหน
ไม่ใช่เอาแต่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในราชสมบัติและอำนาจ สถานที่ๆ ผมจากมาสอนให้มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ เลื่อมใสในศาสนา ทำตัวที่ดีให้เป็นแบบอย่างแก่คนรุ่นหลัง ไม่ใช่มานั่งวิพาทย์วิจารณ์คนอื่นว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ เอาชาติกำเนิดมาตัดสินโดยที่ไม่รู้อะไรสักอย่าง"
"บังอาจ! เจ้ากล้าดูถูกข้างั้นรึ เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม"
"ดยุคสวิตช่วยระงับอารมณ์ด้วย การแสดงกิริยาแบบนี้ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำตระกูลหรอกนะ" ดยุคตระกูลโฟลช์ปรามทันทีที่อีกฝ่ายแสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกมา การทำตัวแบบนี้ต่อหน้าประชาชนไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ถึงจะไม่มีใครเห็นหน้าที่ชัดเจนนอกจากเสียงในการประชุมแต่ทำแบบนี้ก็ไม่ได้ถูกต้องนักเนื่องจากอีกฝ่ายอายุมากกว่าหลายรอบ
"แล้วเจ้าคิดว่าตนเองเหมาะสมกับตระกูลบีเลอมากแค่ไหน" ดยุคตระกูลฟรังซักไซ้ทันทีเพราะอยากรู้ว่ามนุษย์จากโลกอื่นจะตอบเช่นไร
"แน่นอนว่าข้าไม่มีความเหมาะสมอะไรสักอย่างเกี่ยวกับตระกูลบีเลอ และก็ไม่ได้คาดหวังเรื่องที่จะเป็นจักรพรรดินีในอนาคตด้วย แต่ทุกอย่างอยู่บนความไม่แน่นอน ย่อมต้องมีอะไรมาเกี่ยวพันให้เกิดความสัมพันธ์จนหาทางออกได้ในที่สุด ไม่มีใครสามารถทำให้ตนเองได้สมปรารถนา ได้อย่างมีเสียอย่างอยู่ร่ำไป การมีช่วงอายุที่ยาวนานก็ต้องแลกมาความเจ็บปวดที่ต้องทนเห็นคนสำคัญค่อยๆ ตายจากไปทีละคนสองคน แบกรับความทุกข์เอาไว้ที่ตนเองคนเดียวและอยู่กับความเดียวดายไปตราบชั่วนิรันดร์"
"อย่าคิดว่าพ้นข้อหาพวกนั้นแล้วจะได้ใจนะ ชาติกำเนิดของเจ้ามาจากอะไรกันแน่ ตอนแรกเป็นมนุษย์ ผ่านไปสักพักเป็นลูกครึ่งเทพ ล่าสุดเป็นลูกครึ่งเทพกับมังกร เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่ เจ้ารู้ตัวไหม จิรายุ ไพศาล" ดยุคตระกูลริคจี้ปมจุดนี้ทันทีเพราะใครๆ เองก็สงสัยใคร่รู้กันหมดไม่เว้นแม้แต่จักรพรรดิและจักรพรรดินี
"ข้าไม่รู้หรอกว่าตนเองมีชาติกำเนิดเป็นอะไร ความทรงจำมันไม่เป็นรูปเป็นร่าง นอกจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ก่อนที่ข้าจะสลบไปเท่านั้นน่าจะให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ดีที่สุด"
"ข้าในฐานะรัชทายาทของจักรวรรดิจะเป็นคนให้คำตอบเอง จิรายุ ไพศาล เป็นลูกชายที่เกิดจากเทพบุตรของเทพ อพอลโล่กับซิคฟรีด ทุกคนที่อยู่ในห้องครัวเป็นพยานได้ทั้งหมดว่าเห็นเด็กคนนี้มีปีกเหมือนเทวดาและเกล็ดเหมือนมังกร มีคนคอยคุ้มครองเด็กคนนี้อยู่ ทำให้ความทรงจำถูกปิดกั้นไปบ้าง
ข้าคิดว่าความทรงจำจะกลับมาก็ต่อเมื่ออายุครบสิบแปดปีตามวัฒนธรรมของมนุษย์ในจักรวรรดิแต่ไม่รู้ว่าในโลกอื่นจะเหมือนกันหรือไม่"
"อะไรนะ! เทพ! ""อะไรนะ! มังกร! "ความโกลาหลเกิดขึ้นในห้องประชุมทันทีเพราะเทพกับมังกรคือสิ่งที่แวมไพร์ไม่สามารถต่อกรได้สักอย่าง แต่สายเลือดที่น่ากลัวทั้งสองดันไหลเวียนอยู่ในตัวมนุษย์ผู้นี้ แถมยังเป็นเทพแห่งแสงสว่างและมังกรที่แข็งแกร่งที่สุดของยุคอีกต่างหากทำอะไรให้ไม่พอใจขึ้นมา จักรวรรดิไม่ล่มสลายเพราะเด็กคนนี้งั้นรึ รัชทายาทไปเจอตัวมาได้ยังไงกันปึง!"เงียบ แล้วฟังที่รัชทายาทพูดต่อ" จักรพรรดิทุบโต๊ะเพื่อปรามให้เหล่าแวมไพร์ทั้งหมดสงบลงทั้งในห้องประชุมและนอกห้องประชุม เสียงที่เปล่งออกมาช่างทรงพลังยิ่งนัก"เรื่องชาติกำเนิดน่าจะหมดปัญหาแล้ว ต่อไปคือเรื่องที่ว่าอาการของข้าจะเป็นอะไรไหม ข้าแค่ดีฟไปสองสามวันเพราะทำงานหนักเฉยๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและสั่นคลอนทั้งนั้น ใครที่หวังจะชิงบัลลังค์ก็รีบล้มเลิกไปซะ ถ้ายังอยากมีชีวิตที่ยืนยาวต่อไป""ข้าไม่ได้หวังให้ประชาชนเห็นด้วยมากนัก แต่ประชาชนบางส่วนที่เคยเจอมนุษย์ผู้นี้แล้วก็รับรู้ได้ใช่หรือไม่ว่าเขาไม่ได้เป็นอันตรายกับพว
"แม่อยากคุยกับหนูไวท์แต่ตามหาตัวตั้งนานแล้วไม่เจอ ก็เลยตามกลิ่นเลือดมาถึงรู้ว่าอยู่สวนหลังวังนี่เอง ชงชาให้แม่ดื่มหน่อยได้ไหมเอ่ย""ได้พะยะค่ะ แต่ว่าหม่อมฉันต้องเตรียมอุปกรณ์ก่อนแล้วพวกเขาจะทำยังไงดีพะยะค่ะ" ดวงตากลมโตมองไปยังกลุ่มเหล่าลูกครึ่งแวมไพร์ด้วยความสงสารเพราะตนเองก็ไม่มีอำนาจมากพอที่จะพาไปไหนมาไหนและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูดีกว่านี้ จะทำให้เธอเอ็นดูไปถึงไหนกันนะ"แม่คิดว่าพวกเขาน่าจะดูแลตัวเองกันได้นะ รัชทายาทสั่งให้ใครดูแลหนูไวท์บ้าง" จักรพรรดินีส่งสายตาคาดโทษไปด้วยถึงพวกเขาจะไม่กลัวเพราะเป็นคนของรัชทายาทก็เถอะ ร้ายกาจกันจริงๆ เจ้าพวกนี้"ถ้างั้นเฟลิกซ์ตามผมมาที่ห้องครัว ท่านจักรพรรดินีรบกวนรอที่ห้องนะพะยะค่ะ""ไม่จ๊ะ แม่อยากดูหนูไวท์ชงชาด้วยตาตัวเอง""งั้นไปกันครับ" ร่างสูงโปร่งเดินนำไปยังห้องครัวโดยมีผู้ติดตามของจักรพรรดินีและของตนเองตามมาไม่ห่าง ตอนแรกมีการนินทาเรื่องความไม่แน่นอน ชาติกำเนิด ตอนนี้เปลี่ยนเป็นว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องว่าที่จักรพรรดินีไหม หรืออะไรยังไงก
ณ ห้องนั่งเล่น"แม่ต้องการคำอธิบายจากรัชทายาท ลูกไปเจอเด็กคนนี้มาจากที่ไหน ทำไมช่างเหมือนมนุษย์เมื่อร้อยปีก่อนที่ลูกเก็บได้ไม่มีผิดเพี้ยน ฉลาดหลักแหลม วางตัวดี พูดจาเฉียบขาด แถมยังสามารถสยบแฝดได้ด้วย ขนาดแม่ยังจำแฝดสลับกันเลย มันหมายความว่ายังไงกันแน่" จักรพรรดินีรัวคำถามใส่ลูกชายคนโตเป็นจำนวนมากแต่อีกฝ่ายทำเพียงยิ้มตอบมาเท่านั้น ไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไรมากมาย"ท่านแม่ถามมากมายขนาดนี้ ข้าตอบไม่ถูกเลยพะยะค่ะ" รัชทายาทตอบพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ท่าทางที่ไม่ได้มาเห็นมาเป็นเวลาร้อยปี บัดนี้ทุกอย่างปลดล็อคหมดแล้ว ไร้คำถามจากองค์จักรพรรดินีมีเพียงการส่งรอยยิ้มแบบเดียวกันคืนกลับไปเท่านั้น"อย่ามารู้กันแค่สองคนแล้วปล่อยให้พวกผมงงแบบนี้ได้ไหม รีบบอกความจริงมาได้แล้ว" คลาสเริ่มโวยวายทันทีเพราะตนเองเกิดช้ากว่าอยู่หลายร้อยปี ทำให้เรื่องราวบางอย่างก็ไม่ได้รับรู้เท่าพี่คนโตมากนัก และในรัชสมัยของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันนั้นมีจักรพรรดินีเป็นภรรยาเพียงคนเดียว ไม่ได้มีราชินีหรือพระสนมเพิ่มแม้แต่คนเดียว ทำให้เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางรุ่นใหม่รักเ
ภายในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ดยุคริคก็สามารถจัดงานแต่งตั้งคุณชายไวท์ให้เป็นบุตรบุญธรรมอย่างเป็นทางการได้ภายในระยะเวลาที่ทางจักรพรรดินีกำหนดจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นความหวาดกลัวโดยสัญชาติญาณ หรือเพราะว่ามีความสามารถในการจัดการอยู่แล้วกันแน่นะ บัตรเชิญที่ส่งออกไปทั้งหมดนั้นได้รับการตอบรับทั้งหมด เนื่องจากมีแต่คนอยากรู้ว่าคนๆ นี้หน้าตานั้นเป็นยังไง ทำไมรัชทายาทถึงได้ออกตัวปกป้องมากขนาดนี้ แถมยังมีผู้ใหญ่หลายคนหนุนหลังอีก เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำมากกว่าที่คาดคิดเอาไว้บรรยากาศในงานเหมือนงานเลี้ยงของแวมไพร์ทั่วไป พรมสีแดงเหมือนสีเลือด ผ้าม่านสีดำสนิท ช่างเป็นงานเลี้ยงที่น่ากลัวได้ดีจริงๆ เหล่าบรรดาขุนนาง เชื้อพระวงศ์ แพทย์ชั้นสูง พ่อค้าระดับมหาเศรษฐีเท่านั้นที่จะได้เข้าร่วมงานในครั้งนี้ รัชทายาทเดินเข้ามาในงานด้วยชุดสูทสีดำสนิทสวมชุดคลุมลายปักสีทองอร่ามพร้อมมงกุฎรวมถึงดาบแห่งผู้สืบทอด บ่งบอกให้รู้ว่าพระองค์ให้เกียรติแขกในวันนี้มากถึงได้แต่งตัวมาเต็มยศแบบนี้ ปกติพระองค์จะสวมเพียงสูทเท่านั้น ไม่ได้ใส่ชุดที่พิธีรีตองมากขนาดนี้มาก่อน ไม่เว้นแม้แต่องค์จักรพรรดิ องค์จักรพรรดินี องค์ช
ทันทีที่รัชทายาทตอบไปแบบนั้นเหล่าสาวๆ ก็พากันส่งเสียงกรี๊ดแสดงความยินดีกันมากมาย และพากันไปบอกปากต่อปากทำให้มีคนที่ไม่พอใจในเรื่องนี้เพราะตนเองก็สนใจไวท์อยู่ไม่น้อย จู่ๆ จะมาครอบครองเอาไว้คนเดียวแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด และเริ่มออกตัวกันว่าชอบไวท์อย่างออกนอกหน้ากันในงานเลี้ยงทันที"รัชทายาทจะพูดแบบนั้นไม่ได้นะพะยะค่ะ" เทรเลอร์บอกพลางมองไปที่คนที่อยู่ข้างกายแล้วส่งสายตาให้ว่าอยากให้มาอยู่กับตนเองมากกว่า"เจ้าหมายความว่ายังไง สวิต เทรเลอร์""หม่อมฉันก็สนใจในตัวคุณชายริค ไวท์ ไม่น้อย แถมยังไม่ได้ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เพราะฉะนั้นหม่อมฉันมีสิทธิที่จะได้เดินหน้าจีบคุณชายอย่างเต็มที่""ได้ข่าวว่าคุณชายเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ที่รังเกียจมนุษย์มากเป็นอันดับต้นๆ ทำไมถึงได้มาสนใจมนุษย์เสียแล้วล่ะขอรับ" บลัฟเฟอร์ถามด้วยสีหน้ากวนประสาทเพราะเขารู้มาตลอดว่าคุณชายคนโตจากตระกูลสวิตเกลียดชังมนุษย์มากแค่ไหน ทำไมถึงได้ให้ความสนใจคนที่เขาหมายปองเสียได้"ไวท์ออกจะน่ารักขนาดนี้ พวกเราสองคนจะไม่เข้าร่วมได้
"ถ้างั้นผมเองก็จะดูแลทุกคนตราบจนลมหายใจสุดท้ายเช่นกัน ดีไหมเอ่ย" รอยยิ้มหวานที่สดใสเหมือนโลกทั้งใบถูกส่งมายังเฟลิกซ์ ถึงแม้ว่าจะอยู่มานานแต่ไม่เคยมีใครทำตัวแบบกับเขาเลยสักครั้ง ทำให้เสียงข้างในหัวใจเต้นแปลกไปจากที่เคยเป็น ใบหน้าเริ่มแดงก่ำเหมือนคนออกกำลังกายมาอย่างหนัก"เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าแดงจัง" นิ้วเรียวยาวจิ้มหน้าผากอีกฝ่ายด้วยความสงสัยโดนที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกครึ่งแวมไพร์เขินขนาดนี้"ไม่เป็นไรขอรับ เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมน้ำให้อาบ นอนดึกไม่เป็นผลดีเท่าไหร่""แล้วผมไม่ต้องนอนกลางวันแล้วตื่นกลางคืนเหรอ แบบนั้นต้องเรียกว่านอนเลยวันไม่ดีเท่าไหร่" ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจสถานการ์ณแล้วว่าเด็กตรงหน้าคือลูกหลานของตาแก่ไม่ผิดอย่างแน่นอน การใช้คำ การพูดจา การมองทะลุปรุโปร่งแบบนี้การคัดสรรคนมาดูแลริค ไวท์ บุตรชายบุตรธรรมของเชื้อพระวงศ์อย่างตระกูลริคเสร็จสิ้นภายในสามวันเพราะถ้ายิ่งล้าช้า การเรียนการสอนต่างๆ ก็จะช้าตามไปด้วย โดยคนที่จะมาสอนนั้นไม่ใช่คนอื่นคนไกล ก็คือเหล่าบรรดาที่คัดเลือกม
"ถึงจะแบบนั้นก็ไม่ได้ขอรับ มันยังอันตรายเกินไป""เฟลิกซ์ เจ้าจะดื้อดึงไปถึงไหนกัน ก่อนหน้านี้นายของเจ้าก็ไปดินแดนอื่นมามากมายก่อนที่จะเข้าวังหลวง จะมาทำเป็นพิธีรีตองให้ยุ่งยากทำไมกัน" เขาเห็นมาตลอดว่ารัชทายาทพาไปดินแดนอื่นแต่ทำไมเวลานี้กลับไปไม่ได้เสียแล้ว"นับวันกลิ่นยิ่งรุนแรงรอให้สร้อยปกปิดกลิ่นที่ถูกสั่งมาถึงเสียก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยว่ากันขอรับ" การปะทะฝีปากยังคงดำเนินต่อไปเพราะคนห้ามไม่ได้อยู่ที่นี่นั่นเองมือขาวเริ่มจัดเตรียมของสำหรับอาหารกินเล่นในเวลานี้โดยมีคัสซัสมองด้วยความกังวลเป็นระยะ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นมนุษย์ทำของกินแปลกประหลาดมาก่อน แถมยังมีรสชาติอร่อยน่าเหลือเชื่ออีก"คัสซัสไม่ต้องกังวลไป แค่นี้ข้าทำได้ ไม่มีปัญหา" เสียงทุ้มนุ่มบอกพลางจัดแจงเตรียมทำอย่างทะมัดทะแมงก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!"รัชทายาทเรียกให้คุณชายไปเข้าพบขอรับ""บอกให้ท่านพี่รอก่อนนะ ข้าขอทำอาหารก่อน""ถึงจะเป็นบุตรบุญธรรมแห่งตระกูลริคก
"แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะทำไม่ได้เพราะจะมีคนคอยช่วยสอนให้เป็นระยะเวลาสามวัน หมายความว่าสี่วันที่เหลือจะต้องทำเองทุกอย่างทั้งหมดเพียงแค่สองคน คนอื่นข้าให้พักงานเป็นระยะเวลาสี่วัน""ข้อสุดท้ายก็คือในช่วงระยะเวลาการลงโทษนั้นจะต้องใส่ชุดข้ารับใช้หลวงผู้ชายไปจนกว่าจะหมดระยะเวลาการรับโทษ และเรื่องการกระทำความผิดครั้งนี้จะถูกเขียนรายงานส่งทางพระราชวังด้วยลายมือและตราประทับของผม""ส่วนเหตุผลนั้นไม่ยาก หากรู้จักละอายต่อความผิดในครั้งนี้แล้วนั้น จะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง" รอยยิ้มหวานที่เหมือนบาดลงไปในใจของแวมไพร์วัยหนุ่มทั้งสองนั้นไม่ได้ชวนให้ดูน่ารักแต่มันน่าสยดสยองเสียมากกว่าในเวลานี้ เสียงร้องโหยหวนร้องขอความตายดังออกมาจากทั้งคู่ทันที"คุณชายขอรับ ช่วยให้ข้าตายเสียเถอะ หากลงโทษเช่นนี้" เมล์บอกด้วยใบหน้าหนักใจและอยากตายมากกว่ามีชีวิตอยู่ ไม่เพียงแต่เป็นการลงโทษที่ยากแต่ยังสร้างความอับอายให้เป็นประวัติเสื่อมเสียแก่วงศ์ตระกูลอีกต่างหาก"ข้าด้วยขอรับ ถ้าลงโทษแบบนี้ได้โปรดใช้กริชเงินแทงที่หัวใ
"คือว่า...พี่คลาสจะกอดแบบนี้ไปอีกนานไหมครับ" เสียงทุ้มนุ่มเริ่มประท้วงเพราะจากการกอดหลวมเริ่มกระชับแน่นขึ้นแล้วกินเวลานานมากแล้ว แต่เหมือนจะไม่มีเสียงตอบรับจากอีกคน ถึงจะเป็นบนโซฟาแต่ทำไมเงียบผิดปกติ...หรือว่า...ดวงตากลมโตเงยหน้ามองอีกคนที่หลับตาสนิท หายใจสม่ำเสมอเข้าออก นั่นไง...กอดแล้วหลับอีกคนแล้ว ทำไมถึงมาหลับกันแบบนี้ทุกทีแล้วจะขยับหนีได้ยังไงล่ะทีนี้ คิดหนักไปหลายรอบแล้วก็ไม่ได้อะไร นอกจากนอนหลับตามกันไปในที่สุดก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!"ได้เวลาเข้านอนแล้วพะยะค่ะ เจ้าชายคลาส" เลย์เคาะประตูสองสามครั้งให้สัญญาณแต่เหมือนจะไม่มีเสียงตอบรับออกมาเลย มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาก็เข้าใจสถานการณ์ได้ทันที เพราะว่าเจ้านายทั้งสองนอนหลับอยู่บนโซฟาหรือเรียกว่านั่งหลับดี ในฐานะข้ารับใช้คนสนิทเลยไปหาผ้าห่มมาคลุมให้แล้วเดินจากไป คงต้องไม่ให้ใครมารบกวนเวลานอนของทั้งสองคนเสียแล้ว"ท่านลอร์ดเลย์ไม่เรียกเจ้าชายคลาสกับท่านไวท์ออกมารับประทานอาหารหรือพะยะค่ะ ได้เวลาอาหารแล้ว" เฟลิกซ์ถามด้วยความสงสัยแต่เล
"คลาสมาขวางข้าทำไม ไวท์เปิดทางขนาดนี้แล้ว ได้นอนกอดร่างนุ่มนิ่มนั้นคงจะดีไม่น้อยเลย" ครอสบอกด้วยสีหน้าระรื่น นานๆ ทีจะมีคนไม่รู้เรื่องมาให้กอดถึงที่ ไม่ต้องทำอะไรมากมายแค่นอนกอดธรรมดาก็พอแล้ว แค่อยากแกล้งเด็กเท่านั้นเองแต่ทำไมโดนด่าแล้วล่ะ"อย่าไปหาแกล้งคนอื่นแบบนั้น ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ลามกหรืออะไร แต่จะไปกวนจนคนอื่นไม่ได้นอนไม่ได้""จำได้ว่าเคยแกล้งรูมเมทด้วยการไปหลอกผีมาแล้วไม่ใช่รึ เจ้าจงใจจะทำแบบนั้นอีก ใช่หรือไม่" คลาสถามพลางกอดอกเอาเรื่อง"ใช่แล้ว ข้าจงใจจะไปหลอกผีไวท์ รู้ได้ยังไง""เจ้าก็รู้ว่าข้ารู้ความคิดของเจ้า จะมาถามทำไมล่ะ พวกเราเป็นฝาแฝดกันลืมไปแล้วหรือไงเล่า"ไม่ได้มีพลังพิเศษอะไรหรอกแต่สังเกตมาตั้งหลายร้อยปี ยังติดเล่นเหมือนเด็กใครจะไม่รู้กันล่ะ ถ้าทำตัวโตสักหน่อยคงจับผิดยากแล้วล่ะ ทำตัวเหมือนสมัยเด็กใครจะดูไม่ออกกันล่ะ"งั้นไปนอนด้วยกันก็ได้ เดี๋ยวสัปดาห์หน้ามาหาใหม่" ครอสบอกพลางยิ้มหวาน จริงๆ เขาก็ไม่ได้ติดพี่ชายฝาแฝดอย่างที่หลายคนคิด แต่จะม
"เข้าใจพะยะค่ะ เจ้าชายครอส""ดีมาก เจ้าทำถูกแล้ว"ไม่นานก็มีคนมาพาตัวคุณชายริค ไวท์ไปยังวิหารศักดิ์สิทธิเพื่อเรียนรู้การใช้พลังของตนเอง แต่ครอสไม่ได้ตามไปด้วยเพียงสั่งให้คนสนิทของเจ้าตัวตามไปทั้งหมด หากมีเหตุอะไรฉุกเฉินจะได้ช่วยเหลือกันทัน ร่างสูงโปร่งโบกมือลาแล้วตามคนอื่นขึ้นรถม้าไป บรรยากาศในวังเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที สายตาของแวมไพร์สูงศักดิ์มองทุกคนอย่างเอาเรื่อง"พวกเจ้าจะต้องดูแลไวท์ให้ดี รู้ใช่ไหมว่ามันคือคำสั่งไม่ใช่คำสั่งธรรมดา...หากใครไม่ฟัง ข้าจะฆ่ามันด้วยมือของข้าเอง" ออร่าของครอสออกมาอย่างรุนแรง พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณบ่งบอกว่าแฝดผู้พี่ที่ไม่ค่อยเอาเรื่องเอาราวกับใครเอาจริง หากใครไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงโทษถึงขั้นไม่มีลมหายใจอย่างแน่นอน"พะยะค่ะ/เพคะ เจ้าชายครอส" ทุกคนขานรับคำสั่งด้วยความเคารพอย่างหวาดกลัว ไม่คิดจะได้เห็นมุมนี้อีกครั้งหลังจากวางมือมานานแล้ว ท่าทางจะกลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง"ทำแบบนั้นดีแล้วหรือพะยะค่ะ ขู่ให้กลัวแบบนั้น" เลย์ถามด้
"เป็นยังไงบ้างพะยะค่ะ""ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบใจเจ้ามากที่เป็นห่วงข้า""เมล์ กำหนดการที่กระรอกน้อยของข้าจะเดินทางไปวังของคลาสคือเมื่อไหร่" คีย์ถามด้วยสีหน้าครุ่นคิดว่าขาดเหลืออะไรที่ยังไม่ได้สอนหรือช่วยให้ปลอดภัยอีกหรือไม่"วันพรุ่งนี้พะยะค่ะ รัชทายาท เฟลิกซ์จัดการเตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมแล้ว" เมล์ตอบพลางรินน้ำชาให้อย่างชำนาญ"อืม ถ้างั้นก็เดี๋ยวจะไปส่งแล้วกัน จะได้ช่วยกันดูแลความปลอดภัย""ห่วงก็พูดมาเถอะพะยะค่ะ จะทรงลีลาไปทำไมกัน ใครๆ เขาก็ดูออกว่าพระองค์พึงพอใจในตัวท่านชาย" หลังจากการเหน็บของเมล์ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องอาหารถึงกับหัวเราะออกมากันหมดแต่พอรัชทายาทหันไปมองก็พากันเงียบแบบเดิม มีเพียงลอร์ดเมล์เพียงคนเดียวที่จะกล้าพูดอะไรแบบนี้ เพราะทั้งสองคนเป็นเพื่อนกัน เป็นเจ้านายกับคนรับใช้ และเพื่อนร่วมรบมายาวนาน ทำให้มีความสนิทกันมากกว่าคนอื่น"เจ้านี่มันกวนประสาทข้าไม่เคยเปลี่ยน อยู่ด้วยกันมากี่ปีก็ยังทำให้ข้าปวดหัวเสมอมา" 
สุดท้ายแวมไพร์ผู้สูงศักดิ์ก็ไม่ได้หาอะไรกินรองท้องดั่งที่หวังนอกจากน้ำเปล่าเท่านั้น คงต้องรอใครสักคนตื่นมาทำให้กินเสียแล้วล่ะ สายตาคมยังจับจ้องเอกสารต่อไป ขนนกยังคงพลิ้วไหวตลอดเวลา น้ำหมึกค่อยๆ ลดลงตามจำนวนงานที่เริ่มหมดลงตามลำดับ องค์รัชทายาทบิดตัวไปมาสองสามครั้งก่อนจะหลับตาลงเพราะความเหนื่อยล้าแกร๊ก!"อรุณสวัสดิ์ขอรับ ท่านไวท์" เสียงผ้าม่านถูกเปิดออกเผยให้เห็นแสงตะวันกำลังลับขอบฟ้า ถ้วยชาถูกวางลงพร้อมใบชาใส่น้ำร้อนในอุณหภูมิที่พอเหมาะทิ้งไว้ประมาณนึงแล้วเทใส่ถ้วยสำหรับรับประทานยามตื่นนอน"อรุณสวัสดิ์ คัสซัส" ร่างสูงโปร่งยืนให้อีกคนดึงผ้าห่มออกแล้วบิดขี้เกียจไปมาก่อนจะจิบชาที่เริ่มจะชินกับวัฒนธรรมดื่มชาทุกเช้าของที่นี่เสียแล้วสิ"วันนี้เฟลิกซ์ไม่มาเหรอ หรือเปลี่ยนหน้าที่กันแล้ว""ท่านเฟลิกซ์จัดการเรื่องเดินทางของท่านไวท์ขอรับ ให้ข้ามาทำหน้าที่ของข้าส่วนนี้ดีกว่า" เนื่องจากหน้าที่ของคัสซัสต้องมาดูแลเรื่องส่วนตัวมากกว่าเฟลิกซ์ที่มีหน้าที่จัดการงานส่วนรวมทั้งหมดมากกว่า เริ่มมีการแ
"เป็นบุคคลที่น่ากลัวที่สุดแล้ว ขนาดท่านพี่คีย์ ท่านพี่คลาสยังกลัว คนอย่างข้าน่ะหรือ...กลัวสิ ทำไมจะไม่กลัวกันล่ะ" ครอสบอกพลางลูบแขนตัวเองไปมาถึงความสยอง"สรุปแล้วหลังจากอยู่กับข้าอีกหน่อยก็ฝากเจ้าด้วยล่ะคลาส อย่าทำให้เกิดอันตราย ดูแลไวท์ให้ดี""พะยะค่ะ ท่านพี่"หลังจากอาหารมื้อใกล้เช้าคือมื้อสุดท้ายของคืนนี้ ก่อนที่ต่างคนต่างจะพากันไปนอนกลางวันตามวิถีของแวมไพร์ แผนการรับมือและการสอบสวนจะเริ่มนับจากนี้ไป พวกคลั่งเลือดเทพกับมังกรคิดผิดแล้วที่จะกวังเลือดจากลูกหลานของตาแก่"เดินทางปลอดภัยนะครับทุกคน" เสียงทุ้มนุ่มบอกพลางโค้งศรีษะให้กับเหล่าแวมไพร์ที่อายุมากกว่าตนทั้งหมด"ข้าไปก่อนล่ะ ไวท์ เดี๋ยวมาหาใหม่" ครอสบอกพลางโบกมือแล้วสยายปีกกลับเขตปกครองตนเอง"ข้าหวังเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้พบกับคุณชายอีกครั้ง" มาร์แชลบอกแล้วบินไปอีกคน"ไปกันหมดแล้ว ต้องไปบ้างแล้วล่ะ แล้วเจอกันไวท์" ครอสทำท่าทีเล่นทีจริงแล้วหายไปบนท้องฟ้าเสียแล้ว"ข
"พะยะค่ะ รัชทายาท" เพียงประโยคเดียวก็สามารถสยบแวมไพร์ทั้งหมดให้คืนสติกลับมาอีกครั้งแล้วเริ่มประชุมวางแผนเรื่องการออกล่าลูกผสมระหว่างมังกรกับเทพอย่างไวท์ถูกนำมาเป็นประเด็น ทุกพื้นที่มีความต้องการที่จะได้ตัวกันทั้งนั้น สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการฝึกฝนและศึกษาพื้นที่ตามคำสั่งขององค์จักรพรรดิที่ไม่มีใครจะขัดคำสั่งได้แม้ว่าจะเป็นองค์รัชทายาทก็ตาม"ข้าจะให้เดินทางไปกับครอสก่อนแล้วกัน เพราะกำหนดการที่อยู่ที่นี่จะหมดลงแล้ว มีแต่เรื่องวุ่นวายทั้งนั้น" คีย์พยายามไม่หัวเสียแต่ก็อดไม่ได้ แทนที่จะได้อยู่กับคนที่ชอบแต่กลับมีเรื่องทุกครั้งไป"พะยะค่ะ ท่านพี่คีย์""เลิกประชุมได้ กลับเข้าที่พักแล้วระวังตัวเองกันด้วย"ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะไม่คิดว่าเรื่องจะลุกลามใหญ่โตขนาดนี้ การเก็บเด็กต่างโลกมาดูแลทำให้มันวุ่นวายเหมือนตอนเก็บตาแก่มาไม่มีผิดเพี้ยน ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมยังงั้นเหรอ สิ่งที่ต้องรอตอนนี้สร้อยสำหรับกักกลิ่นเลือดให้แค่คนที่พลังสูงเท่านั้นที่จะได้กลิ่นนั้นก็คือแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์แบบเจือจางให้ได้มาก
"ทำไมพวกท่านถึงได้ทำเหมือนว่ามันคือเรื่องปกติ การฆ่ากันไม่ใช่เรื่องปกติที่ควรชินหรือเพิกเฉยแบบนี้""เป็นเรื่องปกติของที่นี่นะไวท์ ถึงข้าจะเอ็นดูเจ้าแต่เห็นด้วยกับแฝดนรก" มาร์แชลบอกพลางยักไหล่เพราะที่นี่ใครอ่อนแอก็จะต้องตาย สิ่งที่ทำได้คือขึ้นมาอยู่จุดสูงสุดแล้วจะรอด การทำร้ายมนุษย์ถูกห้ามเอาไว้ก็จริงแต่ไม่มีกฎไม่ให้ทำร้ายแวมไพร์กันเอง การเข่นฆ่าหรือล้มราชบัลลังค์จึงมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้งในหมู่แวมไพร์ด้วยกันและชนชั้นสูง"เป็นเรื่องปกติของที่นี่จริงๆ ขอรับท่านไวท์ กระผมขอยืนยันอีกหนึ่งเสียง" เฟลิกซ์บอกเพราะเมื่อว่าเจ้านายของตนกำลังจะอ้าปากถามบุคคลที่อยู่สูงที่สุดในห้องทำงานแห่งนี้"สิ่งที่ไวท์ต้องทำคือพยายามเรียนรู้การใช้พลังเวทย์ในชนเผ่าของคุณชายมาให้ได้มากที่สุด เพื่อต่อสู้กับพวกที่ไม่หวังดีทั้งหมดนั่นเอง" ครอสบอกพลางแสยะยิ้มอย่างอารมณ์ดี ไม่ใช่ว่าชอบการเข่นฆ่าแต่อย่างใด หากแต่ได้ออกกำลังบ้างก็คงจะดีไม่น้อยเลย"ที่นี่เป็นแบบนี้มาตลอดขอรับท่านไวท์" คัสซัสยืนยันอีกเสียง"มีอะไรอีกห
"หม่อมฉันมาตามคำสั่งขององค์จักรพรรดิ ที่ให้มาดูการตรวจตราและการตรวจวัดคลื่นพลังของเด็กคนนี้ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือแอบมาด้วยความสมัครใจเลยแม้แต่น้อย" ฟรังบอกด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ถึงจะอยู่หน่วยพิเศษที่ต้องดูแลเรื่องพวกนี้แต่คนอื่นมีมากมายทำไมต้องเป็นเขากันล่ะแอ๊ด!เสียงประตูที่เปิดออกมาดึงดูดความสนใจทุกคนให้หันไปมองบุคคลที่เข้ามาว่าเป็นใครและก็เป็นบุคคลที่ถูกกล่าวถึงเมื่อสักครู่นั่นเอง"ทำไมมากันเยอะขนาดนี้ล่ะครับ มีอะไรกันหรือเปล่า" ไวท์ถามด้วยสีหน้างุนงงเพราะที่นี่คือวังส่วนตัวขององค์รัชทายาท กว่าจะได้มาก็ต้องทำเรื่องขออนุญาตแต่ทำไมมากันเยอะขนาดนี้"ข้าอยากมาดูหน้าของเจ้าว่าเป็นยังไงบ้าง กลัวว่าจะตายก่อนที่จะมาถึงวังของข้าน่ะสิ" สวิตตอบพลางหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี ยิ่งเห็นก็ยิ่งดูดีมากขึ้นทุกวัน ชักอยากจะให้มาอยู่ข้างกายเสียแล้วสิ"สมเป็นปากของเจ้านะสวิต เพราะพวกไม่รู้ที่ต่ำที่สูงถึงได้ชอบทำตัวแบบนี้""นั่นสิพี่ครอส อยู่ดีไม่ว่าดีอยากได้ของที่ไม่คู่ควร"