"หมอหลวง เมื่อไหร่กระรอกน้อยจะฟื้น นี่มันสามวันแล้วนะ" รัชทายาทเร่งด้วยความร้อนใจ ตั้งแต่คนที่ปกป้องไวท์ปรากฏตัวคราวนั้น ก็ทำให้เหล่าคนรับใช้แพร่ข่าวลือใหม่ออกไปว่าเป็นลูกครึ่งเทพกับมังกร จะต้องนำพาความโชคดีมาให้กับจักรวรรดิอย่างแน่นอน แต่ความโชคดีนั้นทำไมถึงไม่ส่งผลกับเจ้าตัวเลยล่ะ ทำไมถึงนอนนิ่งอยู่แบบนี้ จะให้ข้าช้ำใจตายหรืออย่างไรกัน ฟื้นขึ้นมาเถอะ เจ็บจนจะทนไม่ไหวแล้ว
"ออกไปให้หมด" การบังคับเสียงไม่ให้สั่นมันยากถึงเพียงนี้เชียวหรือ
"พะยะค่ะ รัชทายาท / เพคะ รัชทายาท"
น้ำตาของร่างสูงเอ่อล้นไปรอบดวงตาจนไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย ถึงแม้ว่าอาการบาดเจ็บทางร่างกายจะหายตั้งแต่วันแรกที่ได้รับการรักษาแล้วก็ตาม แต่กลับไม่ฟื้นขึ้นมาเสียที ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าแวมไพร์ที่เย็นชาอย่างเขาจะต้องมานั่งร้องไห้ให้กับมนุษย์เพียงคนเดียวด้วย ช่างน่าขันเสียจริง
"พี่คีย์ ร้องไห้ทำไมเหรอครับ ใครทำอะไรให้เสียใจเหรอ" มือขาวเกลี่ยน้ำตาที่อยู่หางตาทั้งสองข้างด้วยความเป็นห่วง ทำไมสีหน้าอิดโรยแบบนี้ ไม่ได้นอนมากี่วันแล้วเนี่ย
"กระรอกน้อยฟื้นแล้ว! เจ้าฟื้นแล้ว! ข้าเป็นห่วงจนแทบบ้า! " ร่างสูงโปร่งถูกรวบตัวเข้าไปกอดด้วยความดีใจ แรงกอดที่มากเกินไปจนทำให้รู้สึกอึดอัด อีกฝ่ายพยายามดิ้นออกมาจนแขนแกร่งผ่อนแรงลงนิดหน่อยเพื่อให้หายใจสะดวกขึ้นแต่ก็ไม่ได้ยอมปล่อย
"ปล่อยผมก่อนครับ แน่นเกินไปแล้ว" มือขาวพยายามทุบหลังรัชทายาทที่ร่างกายเหมือนทองคำล้ำค่าสำหรับใครต่อใครในจักรวรรดิ เมื่อรู้แบบนั้นก็รีบผ่อนแรงลงทันทีแต่ไม่ได้ยอมปล่อยอย่างที่เสียงหวานบอก
"ข้าขอกอดไว้แบบนี้นะ เพราะคิดว่าไม่น่าจะไหวแล้ว"
ตุ้บ!
ร่างสูงนอนลงพร้อมกับกอดไวท์เอาไว้ข้างกายแล้วหลับไปทันที แบบนี้เรียกว่าผีอำหรือแวมไพร์อำดีล่ะเนี่ย หลับไปทั้งที่ยังกอดเขาอยู่แบบนี้ได้ยังไง พอจะแกะออกมันก็แน่นจนต้องยอมแพ้และหลับตามกันไปในที่สุด
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
"รัชทายาทพะยะค่ะ หม่อมฉัน..." เมล์กะมาเรียกเจ้านายของตนเองให้ไปรับประทานอาหารเย็นแต่พอเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้าก็เงียบลงพร้อมกับเดินออกจากห้องไปแล้วสั่งห้ามไม่ให้ใครเข้ามารบกวนทั้งสองขณะหลับอีก
"รัชทายาทล่ะ เจ้าตามให้มากินข้าวไม่ใช่เหรอ" จักรพรรดิถามหลังไม่เห็นหน้าลูกชายของตนเอง ตั้งแต่ว่าที่ลูกสะใภ้สลบไปวันนั้นก็อยู่เฝ้าไม่ห่าง ไม่ยอมกินข้าวเลยสักมื้อจนร่างกายเริ่มซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด หากหนูไวท์ไม่รีบฟื้นขึ้นมาล่ะก็...เจ้าลูกชายตัวดีต้องตรอมใจตายเป็นแน่
"รัชทายาทหลับไปแล้วพะยะค่ะ นอนกอดคุณชายไวท์ไม่ห่างกายเลย" เมล์ตอบไปตามความจริง ทำให้สีหน้าของจักรพรรดิและจักรพรรดินีเป็นห่วงมากกว่าเดิม การรอคอยใครสักคนมัน ทรมาณมากกว่าที่คิดเอาไว้ เนื่องจากในจักรวรรดิการมีความรักของเผ่าพันธ์เดียวกันทำให้ไม่ค่อยสนใจเรื่องเวลาเท่าไหร่นัก ซึ่งคีย์เองก็ได้ซึมซับสิ่งนี้มาเช่นกันแต่เมื่อรู้ว่าไวท์อาจจะตายเพราะอายุขัยสั้นกว่าแวมไพร์มากนัก สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเศร้าหมองลงทันทีจนใครเห็นก็ต้องสงสารกันทั้งนั้น
"มีเทน เจ้าไปสืบเรื่องผู้ให้กำเนิดหนูจีนมาสิ ข้าว่ามันมีบางอย่างแปลกไป" จักรพรรดิสั่งเสียงเครียด
"พะยะค่ะ ท่านจักรพรรดิ"
"ทำไมเหรอที่รัก มีอะไรกันหรือเปล่า" จักรพรรดินีถามด้วยความสงสัย
"ข้าคิดว่ามีบางอย่างแปลกไป เกี่ยวกับความทรงจำของเด็กคนนั้น"
จากกลางวันเป็นกลางคืนระยะเวลาผ่านไปหลายต่อวัน เหล่าคนรับใช้เริ่มเป็นห่วงอีกครั้งเพราะจากการที่คุณชายไวท์ร่างกายแข็งแรงแต่ยังไม่ฟื้นสักที แต่ตอนนี้กลายเป็นรัชทายาทเหมือนจะไม่ฟื้นด้วยอีกคน ราชวงศ์เริ่มสั่นคลอนอีกครั้งจนกระทั่งหมอหลวงมาตรวจร่างกายปรากฏว่ารัชทายาทร่างกายอ่อนเพลียเลยทำให้หลับยาว ส่วนคุณชายไวท์รอฟื้นเพราะร่างกายแข็งแรงดี ไม่มีปัญหาอะไร
"ข้าถามว่าเมื่อไหร่ลูกของข้าจะฟื้น! ไม่ได้ถามว่าร่างกายเป็นยังไง" เสียงตวาดของจักรพรรดิดั่งลั่นห้องนอนของรัชทายาท
"หม่อมฉันพยายามสุดความสามารถแล้วพะยะค่ะ ตอนนี้ทำได้แค่รอให้ฟื้นสติ" หมอหลวงบอกอีกครั้งพร้อมคุกเข่าขอพระราชทานอภัยโทษเพราะสุดความสามารถแล้วจริงๆ
"รัชทายาทฟื้นแล้วขอรับ! " เมล์บอกเสียงดังลั่นห้องนอนของรัชทายาท ทำให้ทุกคนรีบเข้ามาดูด้วยความโกลาหลจนต้องมีการห้ามปรามไม่ให้รบกวนคนที่เพิ่งฟื้นมากขนาดนั้น
"หมอหลวง! เจ้ารีบตรวจอาการของลูกข้ากับลูกสะใภ้ข้าเดี๋ยวนี้! " จักรพรรดินีเร่ง หมอหลวงรีบวิ่งมาตรวจร่างกายของทั้งคู่ด้วยความหวาดกลัวว่าหัวจะหลุดออกจากบ่า ถึงแวมไพร์จะมีอายุขัยที่ยาวนานแต่ก็ตายได้หากต้องสู้กับราชวงศ์ที่มีเลือดเข้มข้มกว่าขุนนางหรือสามัญชนด้วยกัน
"รัชทายาทกับคุณชายไวท์ร่างกายแข็งแรงดีพะยะค่ะ หากได้รับประทานอาหารหน่อยน่าจะช่วยบำรุงร่ายกายได้"
สายตาคมมองซ้ายมองขวาด้วยความงงงวยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำให้ทุกคนถึงมารวมตัวกันในห้องของเขาแบบนี้ และดูเป็นเรื่องใหญ่มากเสียด้วยหมอหลวงถึงได้มีท่าทีหวาดกลัวท่านพ่อและท่านแม่แบบนั้น
"ลูกแม่เจ้าเป็นยังไงบ้าง แม่เป็นห่วงลูกมากเลยนะ หนูไวท์ แม่ใจจะขาดแล้วหนูเป็นยังไงบ้าง" จักรพรรดินีถามเสียงสะอึกสะอื้นเพราะกลัวจะเสียแก้วตาดวงใจทั้งสองไป แวมไพร์ที่ดีกับมนุษย์ที่ดีไม่สมควรต้องมานอนไม่ฟื้นแบบนี้ นางไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าจะต้องสูญเสียทั้งสองไปจะเสียใจมากแค่ไหน
"ท่านพี่จะทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วงกันไปถึงไหน รู้ไหมว่าหลับกันมากี่วันแล้ว" ถึงคำพูดของคลาสจะร้ายกาจแต่ก็ยังแฝงความห่วงใยเอาไว้ เพราะพี่ชายของเขาไม่น่าจะอ่อนแอจนมาตรอมใจแบบนี้ มนุษย์คนนี้มีอะไรดีนักหนาถึงต้องยอมสละชีวิตอันเป็นนิรันดร์ให้ด้วย
"อีกสามวันหากทั้งคู่ยังไม่ฟื้น พวกขุนนางจะพากันมาเลือกรัชทายาทคนใหม่อยู่แล้วนะ ยังจะมัวนอนอะไรกันอีก" คำพูดของครอสถากถางยิ่งกว่าของคลาสแต่น้ำตาและเสียงสะอื้นนั้นทำให้รู้ว่าเป็นห่วงมากแค่ไหน
"ข้าคิดว่าทุกคนกำลังเข้าใจผิดนะ เพราะว่าข้าแค่หลับไปเพราะทำงานหามรุ่งหามค่ำมาหลายวันเลยทำให้ตัวเองอยู่ในสภาวะคงสภาพไม่ฟื้นเพื่อรักษาร่างกาย ส่วนกระรอกน้อยก็กลัวว่าจะตกใจเลยใช้มนต์ให้หลับไปพร้อมกันแล้วมาฟื้นวันนี้ที่ร่างกายแข็งแรงแล้ว"
"รัชทายาทหมายความว่ายังไงพะยะค่ะ" เมล์กำลังสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น
"ข้าหมายความว่าทำไมทุกคนถึงไม่รู้ว่านี่คืออาการดีฟของแวมไพร์ที่มักใช้เวลาร่างกายอ่อนแอในการพักผ่อน แล้วท่านเป็นหมอหลวงอย่างไรทำไมถึงไม่รู้ ตอนนี้งงไปหมดแล้ว" คีย์ถึงกับงงว่าทุกคนในที่นี้เป็นแวมไพร์ทำไมถึงไม่คิดถึง อาการดีฟของเขาบ้าง แล้วมาพากันตกใจแบบนี้คืออะไร เรียนมาคืนครูกันไปหมดแล้วเหรอ
"สรุปว่าเจ้าดีฟอยู่แล้วใช้มนต์สะกดทำให้หนูไวท์หลับไปพร้อมกันแล้วมนต์สะกดจะคลายก็ต่อเมื่อเจ้าฟื้นใช่ไหม" ดูเหมือนคนที่ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้เร็วที่สุดคือจักรพรรดิ เพราะเขาเป็นคนแรกที่สรุปและซักถามทันที
"ใช่พะยะค่ะ ท่านพ่อ" และทุกคนก็เริ่มมีสีหน้าคาดโทษหมอหลวงทันที ไหนบอกว่าตรวจทุกโรคแล้วทำไมถึงไม่คิดถึงอาการดีฟของแวมไพร์กันล่ะ เกือบจะเป็นเรื่องใหญ่ในจักรวรรดิอยู่แล้ว ราชวงศ์จะมาสั่นคลอนเพราะรัชทายาทดีฟไปสามวัน มันออกจะบ้าเกินไปแล้ว
"มิน่าล่ะ! ข้าถึงได้หลับตามน้ำแบบไม่อยากจะตื่น พลังของท่านพี่สุดยอดไปเลย" ไวท์บอกพลางชูนิ้วโป้งให้ทั้งสองข้าง สำหรับจักรวรรดิแล้วการยกนิ้วไม่มีความหมายอะไรแต่ดูท่าสำหรับโลกมนุษย์น่าจะหมายถึงเก่งหรือเปล่า"ในโลกมนุษย์หมายความว่าเก่งใช่ไหม""ไม่ใช่แค่เก่งนะพะยะค่ะ เขาเรียกว่าเจ๋งไปเลย""เจ๋งไปเลย หมายความว่าอย่างไร""หมายความว่าสุดยอดมาก แปลกใหม่ เรียกว่าเจ๋งพะยะค่ะ""ข้าคิดว่าตอนนี้พวกเจ้าควรกินอะไรสักหน่อยนะ อาหารถูกยกมาวางให้แล้ว พวกเจ้าก็คุยกันต่อไปเถอะ" จักรพรรดิไอสองสามครั้งเพื่อเตือนว่าไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคุยกันสบายใจแบบนี้ ควรกินข้าวและไปจัดการเรื่องข่าวลือให้เรียบร้อยเสียก่อน ไม่เช่นนั้นน่าจะกลายเป็นเรื่องไปมากกว่านี้อย่างแน่นอน"รัชทายาท""พะยะค่ะ ท่านพ่อ""เจ้าจะต้องเข้าไปอธิบายเรื่องการดีฟให้ที่ประชุมฟัง ส่วนหนูไวท์" เรื่องดีฟคือหัวข้อสำคัญในการคุยงานครั้งนี้งั้นรึ"พะยะค่ะ ท่านจักรพรรด
"อะไรนะ! เทพ! ""อะไรนะ! มังกร! "ความโกลาหลเกิดขึ้นในห้องประชุมทันทีเพราะเทพกับมังกรคือสิ่งที่แวมไพร์ไม่สามารถต่อกรได้สักอย่าง แต่สายเลือดที่น่ากลัวทั้งสองดันไหลเวียนอยู่ในตัวมนุษย์ผู้นี้ แถมยังเป็นเทพแห่งแสงสว่างและมังกรที่แข็งแกร่งที่สุดของยุคอีกต่างหากทำอะไรให้ไม่พอใจขึ้นมา จักรวรรดิไม่ล่มสลายเพราะเด็กคนนี้งั้นรึ รัชทายาทไปเจอตัวมาได้ยังไงกันปึง!"เงียบ แล้วฟังที่รัชทายาทพูดต่อ" จักรพรรดิทุบโต๊ะเพื่อปรามให้เหล่าแวมไพร์ทั้งหมดสงบลงทั้งในห้องประชุมและนอกห้องประชุม เสียงที่เปล่งออกมาช่างทรงพลังยิ่งนัก"เรื่องชาติกำเนิดน่าจะหมดปัญหาแล้ว ต่อไปคือเรื่องที่ว่าอาการของข้าจะเป็นอะไรไหม ข้าแค่ดีฟไปสองสามวันเพราะทำงานหนักเฉยๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและสั่นคลอนทั้งนั้น ใครที่หวังจะชิงบัลลังค์ก็รีบล้มเลิกไปซะ ถ้ายังอยากมีชีวิตที่ยืนยาวต่อไป""ข้าไม่ได้หวังให้ประชาชนเห็นด้วยมากนัก แต่ประชาชนบางส่วนที่เคยเจอมนุษย์ผู้นี้แล้วก็รับรู้ได้ใช่หรือไม่ว่าเขาไม่ได้เป็นอันตรายกับพว
"แม่อยากคุยกับหนูไวท์แต่ตามหาตัวตั้งนานแล้วไม่เจอ ก็เลยตามกลิ่นเลือดมาถึงรู้ว่าอยู่สวนหลังวังนี่เอง ชงชาให้แม่ดื่มหน่อยได้ไหมเอ่ย""ได้พะยะค่ะ แต่ว่าหม่อมฉันต้องเตรียมอุปกรณ์ก่อนแล้วพวกเขาจะทำยังไงดีพะยะค่ะ" ดวงตากลมโตมองไปยังกลุ่มเหล่าลูกครึ่งแวมไพร์ด้วยความสงสารเพราะตนเองก็ไม่มีอำนาจมากพอที่จะพาไปไหนมาไหนและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูดีกว่านี้ จะทำให้เธอเอ็นดูไปถึงไหนกันนะ"แม่คิดว่าพวกเขาน่าจะดูแลตัวเองกันได้นะ รัชทายาทสั่งให้ใครดูแลหนูไวท์บ้าง" จักรพรรดินีส่งสายตาคาดโทษไปด้วยถึงพวกเขาจะไม่กลัวเพราะเป็นคนของรัชทายาทก็เถอะ ร้ายกาจกันจริงๆ เจ้าพวกนี้"ถ้างั้นเฟลิกซ์ตามผมมาที่ห้องครัว ท่านจักรพรรดินีรบกวนรอที่ห้องนะพะยะค่ะ""ไม่จ๊ะ แม่อยากดูหนูไวท์ชงชาด้วยตาตัวเอง""งั้นไปกันครับ" ร่างสูงโปร่งเดินนำไปยังห้องครัวโดยมีผู้ติดตามของจักรพรรดินีและของตนเองตามมาไม่ห่าง ตอนแรกมีการนินทาเรื่องความไม่แน่นอน ชาติกำเนิด ตอนนี้เปลี่ยนเป็นว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องว่าที่จักรพรรดินีไหม หรืออะไรยังไงก
ณ ห้องนั่งเล่น"แม่ต้องการคำอธิบายจากรัชทายาท ลูกไปเจอเด็กคนนี้มาจากที่ไหน ทำไมช่างเหมือนมนุษย์เมื่อร้อยปีก่อนที่ลูกเก็บได้ไม่มีผิดเพี้ยน ฉลาดหลักแหลม วางตัวดี พูดจาเฉียบขาด แถมยังสามารถสยบแฝดได้ด้วย ขนาดแม่ยังจำแฝดสลับกันเลย มันหมายความว่ายังไงกันแน่" จักรพรรดินีรัวคำถามใส่ลูกชายคนโตเป็นจำนวนมากแต่อีกฝ่ายทำเพียงยิ้มตอบมาเท่านั้น ไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไรมากมาย"ท่านแม่ถามมากมายขนาดนี้ ข้าตอบไม่ถูกเลยพะยะค่ะ" รัชทายาทตอบพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ท่าทางที่ไม่ได้มาเห็นมาเป็นเวลาร้อยปี บัดนี้ทุกอย่างปลดล็อคหมดแล้ว ไร้คำถามจากองค์จักรพรรดินีมีเพียงการส่งรอยยิ้มแบบเดียวกันคืนกลับไปเท่านั้น"อย่ามารู้กันแค่สองคนแล้วปล่อยให้พวกผมงงแบบนี้ได้ไหม รีบบอกความจริงมาได้แล้ว" คลาสเริ่มโวยวายทันทีเพราะตนเองเกิดช้ากว่าอยู่หลายร้อยปี ทำให้เรื่องราวบางอย่างก็ไม่ได้รับรู้เท่าพี่คนโตมากนัก และในรัชสมัยของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันนั้นมีจักรพรรดินีเป็นภรรยาเพียงคนเดียว ไม่ได้มีราชินีหรือพระสนมเพิ่มแม้แต่คนเดียว ทำให้เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางรุ่นใหม่รักเ
ภายในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ดยุคริคก็สามารถจัดงานแต่งตั้งคุณชายไวท์ให้เป็นบุตรบุญธรรมอย่างเป็นทางการได้ภายในระยะเวลาที่ทางจักรพรรดินีกำหนดจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นความหวาดกลัวโดยสัญชาติญาณ หรือเพราะว่ามีความสามารถในการจัดการอยู่แล้วกันแน่นะ บัตรเชิญที่ส่งออกไปทั้งหมดนั้นได้รับการตอบรับทั้งหมด เนื่องจากมีแต่คนอยากรู้ว่าคนๆ นี้หน้าตานั้นเป็นยังไง ทำไมรัชทายาทถึงได้ออกตัวปกป้องมากขนาดนี้ แถมยังมีผู้ใหญ่หลายคนหนุนหลังอีก เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำมากกว่าที่คาดคิดเอาไว้บรรยากาศในงานเหมือนงานเลี้ยงของแวมไพร์ทั่วไป พรมสีแดงเหมือนสีเลือด ผ้าม่านสีดำสนิท ช่างเป็นงานเลี้ยงที่น่ากลัวได้ดีจริงๆ เหล่าบรรดาขุนนาง เชื้อพระวงศ์ แพทย์ชั้นสูง พ่อค้าระดับมหาเศรษฐีเท่านั้นที่จะได้เข้าร่วมงานในครั้งนี้ รัชทายาทเดินเข้ามาในงานด้วยชุดสูทสีดำสนิทสวมชุดคลุมลายปักสีทองอร่ามพร้อมมงกุฎรวมถึงดาบแห่งผู้สืบทอด บ่งบอกให้รู้ว่าพระองค์ให้เกียรติแขกในวันนี้มากถึงได้แต่งตัวมาเต็มยศแบบนี้ ปกติพระองค์จะสวมเพียงสูทเท่านั้น ไม่ได้ใส่ชุดที่พิธีรีตองมากขนาดนี้มาก่อน ไม่เว้นแม้แต่องค์จักรพรรดิ องค์จักรพรรดินี องค์ช
ทันทีที่รัชทายาทตอบไปแบบนั้นเหล่าสาวๆ ก็พากันส่งเสียงกรี๊ดแสดงความยินดีกันมากมาย และพากันไปบอกปากต่อปากทำให้มีคนที่ไม่พอใจในเรื่องนี้เพราะตนเองก็สนใจไวท์อยู่ไม่น้อย จู่ๆ จะมาครอบครองเอาไว้คนเดียวแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด และเริ่มออกตัวกันว่าชอบไวท์อย่างออกนอกหน้ากันในงานเลี้ยงทันที"รัชทายาทจะพูดแบบนั้นไม่ได้นะพะยะค่ะ" เทรเลอร์บอกพลางมองไปที่คนที่อยู่ข้างกายแล้วส่งสายตาให้ว่าอยากให้มาอยู่กับตนเองมากกว่า"เจ้าหมายความว่ายังไง สวิต เทรเลอร์""หม่อมฉันก็สนใจในตัวคุณชายริค ไวท์ ไม่น้อย แถมยังไม่ได้ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เพราะฉะนั้นหม่อมฉันมีสิทธิที่จะได้เดินหน้าจีบคุณชายอย่างเต็มที่""ได้ข่าวว่าคุณชายเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ที่รังเกียจมนุษย์มากเป็นอันดับต้นๆ ทำไมถึงได้มาสนใจมนุษย์เสียแล้วล่ะขอรับ" บลัฟเฟอร์ถามด้วยสีหน้ากวนประสาทเพราะเขารู้มาตลอดว่าคุณชายคนโตจากตระกูลสวิตเกลียดชังมนุษย์มากแค่ไหน ทำไมถึงได้ให้ความสนใจคนที่เขาหมายปองเสียได้"ไวท์ออกจะน่ารักขนาดนี้ พวกเราสองคนจะไม่เข้าร่วมได้
"ถ้างั้นผมเองก็จะดูแลทุกคนตราบจนลมหายใจสุดท้ายเช่นกัน ดีไหมเอ่ย" รอยยิ้มหวานที่สดใสเหมือนโลกทั้งใบถูกส่งมายังเฟลิกซ์ ถึงแม้ว่าจะอยู่มานานแต่ไม่เคยมีใครทำตัวแบบกับเขาเลยสักครั้ง ทำให้เสียงข้างในหัวใจเต้นแปลกไปจากที่เคยเป็น ใบหน้าเริ่มแดงก่ำเหมือนคนออกกำลังกายมาอย่างหนัก"เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าแดงจัง" นิ้วเรียวยาวจิ้มหน้าผากอีกฝ่ายด้วยความสงสัยโดนที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกครึ่งแวมไพร์เขินขนาดนี้"ไม่เป็นไรขอรับ เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมน้ำให้อาบ นอนดึกไม่เป็นผลดีเท่าไหร่""แล้วผมไม่ต้องนอนกลางวันแล้วตื่นกลางคืนเหรอ แบบนั้นต้องเรียกว่านอนเลยวันไม่ดีเท่าไหร่" ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจสถานการ์ณแล้วว่าเด็กตรงหน้าคือลูกหลานของตาแก่ไม่ผิดอย่างแน่นอน การใช้คำ การพูดจา การมองทะลุปรุโปร่งแบบนี้การคัดสรรคนมาดูแลริค ไวท์ บุตรชายบุตรธรรมของเชื้อพระวงศ์อย่างตระกูลริคเสร็จสิ้นภายในสามวันเพราะถ้ายิ่งล้าช้า การเรียนการสอนต่างๆ ก็จะช้าตามไปด้วย โดยคนที่จะมาสอนนั้นไม่ใช่คนอื่นคนไกล ก็คือเหล่าบรรดาที่คัดเลือกม
"ถึงจะแบบนั้นก็ไม่ได้ขอรับ มันยังอันตรายเกินไป""เฟลิกซ์ เจ้าจะดื้อดึงไปถึงไหนกัน ก่อนหน้านี้นายของเจ้าก็ไปดินแดนอื่นมามากมายก่อนที่จะเข้าวังหลวง จะมาทำเป็นพิธีรีตองให้ยุ่งยากทำไมกัน" เขาเห็นมาตลอดว่ารัชทายาทพาไปดินแดนอื่นแต่ทำไมเวลานี้กลับไปไม่ได้เสียแล้ว"นับวันกลิ่นยิ่งรุนแรงรอให้สร้อยปกปิดกลิ่นที่ถูกสั่งมาถึงเสียก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยว่ากันขอรับ" การปะทะฝีปากยังคงดำเนินต่อไปเพราะคนห้ามไม่ได้อยู่ที่นี่นั่นเองมือขาวเริ่มจัดเตรียมของสำหรับอาหารกินเล่นในเวลานี้โดยมีคัสซัสมองด้วยความกังวลเป็นระยะ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นมนุษย์ทำของกินแปลกประหลาดมาก่อน แถมยังมีรสชาติอร่อยน่าเหลือเชื่ออีก"คัสซัสไม่ต้องกังวลไป แค่นี้ข้าทำได้ ไม่มีปัญหา" เสียงทุ้มนุ่มบอกพลางจัดแจงเตรียมทำอย่างทะมัดทะแมงก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!"รัชทายาทเรียกให้คุณชายไปเข้าพบขอรับ""บอกให้ท่านพี่รอก่อนนะ ข้าขอทำอาหารก่อน""ถึงจะเป็นบุตรบุญธรรมแห่งตระกูลริคก
ขาซ้ายเข้าเตะกลางลำตัวเข้าอย่างจังแต่เอิรล์หลบได้ทันแล้วออกหมัดซ้ายสวนกลับไป ซึ่งใบหน้าหวานหลบแล้วแต่เฉียดโดนนิดหน่อยทำให้ใบหน้าเป็นรอยขึ้นมาเล็กน้อย ปลายดาบของมือขวาวาดไปทางขวาหวังจะฟันให้โดนจุดสำคัญแต่อีกคนหลบได้ทันเช่นกันเคร้ง!!!เสียงดาบทั้งสองเข้าปะทะกันซึ่งหน้า ใบหน้าของทั้งสองคนไม่มีใครยอมใครเลย แม้ว่าจะเป็นเพียงการเรียนและการฝึกซ้อมแต่ดูจริงจังมากจนนึกว่าจะฆ่ากันจริง ๆ ไวท์อาศัยจังหวะที่เอิรล์สนใจแต่การปะทะด้านยกขาขวาขึ้นมาเตะกลางลำตัวอีกคนจนกระเด็นไปอีกทาง“ไหวหรือเปล่าขอรับ เอิรล์ฟาร์ดอน” ร่างสูงโปร่งรีบวิ่งตามไปในทิศทางที่อีกคนกระเด็นไปทันทีด้วยความเป็นห่วง“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ว่าแต่ท่านเรียกผิดแล้ว” เอิรล์ส่ายหัวเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู“ผิดอย่างไรหรือขอรับ”“ท่านต้องเรียกข้าว่า อาจารย์ฟาร์ดอนต่างหาก”“ได้ขอรับ อาจารย์ฟาร์ดอน”แปะ! แปะ! แปะ!&
“ข้าไม่ใช่พี่ชายของท่าน ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกัน” เสียงทุ้มนุ่มตอบพลางกางมือออกแล้วสับไม้ให้ขาดออกจากกันเป็นสองท่อน“ฝีมือของคุณชายริค สมบูรณ์แบบมากจริง ๆ ”“ขอบคุณสำหรับคำชม แต่ว่าอยากจะลองฝึกด้วยกันไหมล่ะขอรับ” เสียงทุ้มนุ่มถามหลังจากเห็นอีกคนมองด้วยความสนใจมานาน“น่าสนใจขอรับ ต้องเริ่มจากอะไรก่อน” เอิรล์ฟาร์ดอนไม่มีทางปฏิเสธคำชวนอยู่แล้ว เพราะหลังจากสังเกตดี ๆ ช่างเป็นอะไรที่ประหลาดและแตกต่างนักเอิรล์ฟาร์ดอนตั้งใจเรียนสิ่งที่อีกคนสอนอย่างตั้งใจ ถึงจะเข้าใจทั้งหมดแล้วลองทำตามแต่มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะต้องใช้พละกำลังที่มหาศาลและสมาธิสูงพอสมควร ดูด้วยตาเปล่ายังไม่สามารถทำตามได้ในทันที“จะทำยังไงต่อไปหรือพะยะค่ะ รัชทายาท” เมล์ถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้วว่าผู้เป็นนายกำลังหวงพระคู่หมั้นของตนเอง“หวังว่าจะผลัดกันแลกเปลี่ยนวิชาเฉย ๆ เพราะข้าผูกพันธะสัญญาเลือดกับไวท์แล้ว ถึงจะมาชอบยังไงคงจะไม่มีทางเป็นไปได้อีก เลิกหวังสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้เสียดีกว่า” เสียง
“อร่อยขอรับ รสชาติแตกต่างจากที่เคยกินมา” ใบหน้าของฟาร์ดอนบ่งบอกถึงความพอใจหลังชิมนมสดของคุณชายริค ไม่ได้โกหกเรื่องรสชาติ อร่อย กลมกล่อม ไม่เหมือนที่เคยกินมาเลย“ถ้างั้นจะลองช่วยกันทำขนมไหมครับ อยากได้คนช่วยนวดแป้ง”“ไม่มีปัญหาขอรับ งั้นให้ทำตรงไหนบ้าง”เสียงหัวเราะของทั้งสองคนระหว่างช่วยกันทำขนมดังพอสมควรจนกระทั่งเฟลิกซ์เดินผ่านมาเห็นพอดี เหมือนผู้เป็นนายของเขาจะมีเสน่ห์มากจนใครเห็นก็เอ็นดู แต่ว่าเอ็นดูอย่างเดียวก็พอ อย่ามีความรู้สึกอื่นเข้ามาด้วย“เจ้าไปตามไวท์มาดูเอกสารตรงนี้สิ คิดว่าน่าจะอยู่ห้องครัว”“พะยะค่ะ รัชทายาท”เมล์จะเดินมาเรียกคุณชายริคให้ไปหาแต่มาเห็นกำลังตั้งใจทำขนมเลยกลายเป็นไม่กล้าเรียกแล้วหยุดยืนรอจนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก...“เมล์มีอะไรจะคุยกับผมหรือเปล่าครับ ยืนรอนานแล้วไม่ใช่เหรอ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยทักโดยที่ยังคงพยายามผสมแป้งอยู่ด้านในครัว ทำให้ทุก
มือหนาเปิดซองจดหมายที่ข้ารับใช้คนสนิทของจักรพรรดินีส่งมาให้ ก็ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วว่าสิ่งที่คู่หมั้นของตนเองต้องการคืออะไร เพราะว่าบางทีเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ที่ผ่านมาการปกป้องอยู่ฝ่ายเดียวอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดี“เป็นยังไงบ้างพะยะค่ะ” เมล์ถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ารู้แล้วว่าเรื่องอะไร เดี๋ยวจะไปขอโทษไวท์ในช่วงเช้าแล้วกัน”“ถ้างั้นพักผ่อนเถอะพะยะค่ะ ราตรีสวัสดิ์”แกร๊ก!แสงแดดส่องเข้าห้องนอนบ่งบอกถึงเวลาเย็นเพราะเป็นช่วงพระอาทิตย์ตกดิน เขาเริ่มจะชินกับการใช้ชีวิตแบบแวมไพร์ไปเสียแล้ว ถ้าจะตื่นแบบมนุษย์น่าจะใช้เวลาปรับตัวหลายวันอย่างแน่นอน“อรุณสวัสดิ์ขอรับ ท่านไวท์” เฟลิกซ์เอ่ยทักทายพลางเดินเข้ามาแล้วส่งผ้าขนหนูให้“นี่เป็นชาขาวขอรับ เชิญรับประทานก่อนจะไปอาบน้ำขอรับ” มือขาวรับชาจากถ้วยมาโดยไม่พูดอะไร“เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมอาหารเช้าให้ขอรับ”
“เลือกของครบหรือยังกระรอกน้อย”“ครบแล้วครับ”“ถ้างั้นกลับกันเถอะ”“ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เจอกันที่พะยะค่ะ รัชทายาท” สวิตเอ่ยทักทายพลางทำความเคารพ“ไม่ต้องมากพิธีลอร์ดสวิต ที่นี่ไม่ใช่ในวัง” เสียงทุ้มต่ำบอกก่อนที่จะมีคนสังเกตเห็น“ไม่ได้เห็นสิ่งนี้นานมากพะยะค่ะ เห็นทีหม่อมฉันจะต้องไปกระจายข่าวลือใหม่”“ข่าวลืออะไรครับ”“ก็ข่าวลือว่าเจ้ากับรัชทายาทมาเดินเที่ยวเล่นด้วยกันนอกวัง จะได้สยบข่าวลือว่าเจ้ากับรัชทายาทจะเลิกกันอย่างไรเล่าไวท์”“อะไรนะครับ” เสียงทุ้มนุ่มตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน มีข่าวแบบนี้ออกไปด้วยเหรอ“ไม่ต้องห่วงไปครับ ข้าจะไปทำให้มีข่าวลือใหม่เอง”“ไม่น่าจะต้องทำแบบนั้นหรอกครับ ดูวุ่นวายเปล่า ๆ ”“ไม่ได้หรอกครับคุณชาย
“ท่านพ่อกับท่านแม่คิดยังไงพะยะค่ะ” คลาสกลั้นใจถามออกมาหลังจากเล่าแผนการทั้งหมดให้ฟัง“สำหรับพ่อเห็นด้วยทุกอย่าง จัดการได้เลย” จักรพรรดิตอบพลางพยักหน้าเห็นด้วย เป็นวิธีที่ดีที่จะสยบข่าวทั้งหมดและทำให้หันความสนใจได้เป็นอย่างดี“แม่เองก็เห็นด้วย เรื่องนี้จะไม่เข้าไปยุ่งอย่างเด็ดขาดแล้วถึงเวลาจะมีการประกาศให้สามารถส่งคนที่จะเข้ามาเป็นคู่หมั้นให้กับลูกทั้งสองคนหลังจากจัดการเรื่องนั้นเรียบร้อย”“พะยะค่ะ ถ้าเช่นนั้นข้ากับน้องจะเริ่มแผนเลย”ฝาแฝดต่างคนต่างเดินทางไปยังเขตปกครองต่าง ๆ ที่มีแวมไพร์ส่งบุตรสาวและบุตรชายมาให้เลือกเป็นพระสนมรวมถึงคนที่หวังจะได้อำนาจที่ใหญ่โตขึ้น หลังจากเจอการต้อนรับขององค์ชายทั้งสองต่างพากันกรีดร้องโหยหวนแล้วรับปากว่าจะไม่ทำเรื่องแบบนี้อีกถึงจะมีการประกาศออกจากทางสำนักพระราชวังให้สามารถส่งคู่ครองมาให้เหล่าองค์ชายฝาแฝดเลือกได้แต่ก็ไม่มีใครส่งมาหาแม้แต่คนเดียว ทุกอย่างเป็นไปตามเกมของแฝดนรก เป็นปีกคู่ป้องกันการเข้าแ
“ถ้าลูกครึ่งเทพมังกรอย่างเจ้าลดยศข้าเช่นนี้ ไม่สู้ประหารข้าไปเลยดีกว่าเหรอ” ลอร์ดฟาร์ดอนตะโกนออกมาเหมือนคนตกใจจนทำตัวไม่ถูก ร่างสูงโปร่งค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้อีกฝ่ายแล้วกระซิบข้างหู“ให้มีชีวิตอยู่อย่างแวมไพร์ถูกลดขั้นเพราะลบหลู่ราชวงศ์มันน่าจะสะใจกว่าการให้หนีไปตายเสียอีก เจ้าถือยศเช่นนี้คงจะเจ็บปวดจนอยากจะตายให้ได้เลยใช่ไหมล่ะ”“แต่ว่า...อย่าเพิ่งรีบตาย ข้าเพิ่งจะเริ่มต้น”“อ๊าก!!!”หลังจากฟังคำพูดที่เหมือนเสียงกระซิบของปีศาจมากกว่าลูกครึ่งเทพมังกร ลอร์ดฟาร์ดอนก็ร้องขอความตายนับครั้งไม่ถ้วนเพราะไม่อยากถูกลงโทษเช่นนี้เหมือนกับคนอื่น ดยุคฟาร์ดอนเห็นสภาพของบุตรชายตนเอง เหล่าขุนนางและผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมดแล้วก็ได้แต่เหงื่อตกลูกหลานของตาแก่น่ากลัวเหมือนตาแก่จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินบทลงโทษ การพูดจา และการข่มขู่ให้กลัวแบบนั้น ไม่ผิดแน่นอน เด็กคนนี้คือลูกหลานของตาแก่“พอจะเข้าใจเหตุผลแล้วใช่ไหม ดยุคฟาร์ดอน&
“ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงตบข้า”“เจ้าน่าจะถามตัวเองว่าทำไมถึงทำแบบนี้”แววตาของสองพ่อลูกจ้องกันเนิ่นนานเหมือนต่างคนต่างความคิดและไม่ลงรอยกัน คีย์ยืนดูเหตุการณ์อยู่เงียบ ๆ เพราะเขาก็อยากให้จัดการกันเองโดยที่ไม่ต้องเปลืองแรงเหมือนกัน“ทีนี้ องค์รัชทายาทจะตัดสินหม่อมฉันว่ายังไงพะยะค่ะ” ลอร์ดฟาร์ดอนถามพลางแสยะยิ้ม ถึงจะโทษประหารชีวิต เขาก็ไม่คิดที่จะสนใจอยู่แล้วเพราะว่าอย่างไรซะ ก็ไม่มีวันที่จะยอมรับลูกครึ่งเทพมังกรเป็นพระคู่หมั้นเคียงคู่เด็ดขาด“ข้าจะจับเจ้าเข้าคุกหลวงแล้วรอการตัดสินจากคู่หมั้นของข้า คนที่เจ้าเกลียดขี้หน้าจนไม่อยากจะยอมรับนั่นล่ะ”“จับตัวไป”“พะยะค่ะ” หลังสิ้นสุดคำตัดสินขององค์รัชทายาทเหล่าองค์รักษ์หน่วยพิเศษก็มาพากันจับตัวลูกชายคนโตของตระกูลออกไปรับโทษ“ทำแบบนี้ดีแล้วหรือพะยะค่ะ รัชทายาท” ดยุคฟาร์ดอนมองด้วยความสงสัย เพราะเหตุใดถึงให้พระคู่หมั้นตั
“จงเชื่อฟังข้า ช่วงนี้เข้าเรียนภายในวังของท่านพี่ อย่าดื้อ” คลาสบอกพลางจ้องใบหน้าหวานด้วยสีหน้าจริงจัง ถึงจะทำตัวเป็นลูกครึ่งเทพกับมังกรแต่ไม่ใช่ว่าที่จะมาเกรงกลัว“แต่ว่า...”“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น เจ้าจะต้องเชื่อฟังข้าเพราะท่านพี่ฝากฝังเจ้าไว้กับข้า”“ตอนไหน”“ตั้งแต่ตอนที่ท่านพี่ออกไปแล้ว นี่เจ้าไม่รู้ความหมายของท่านพี่งั้นรึ”ไวท์เถียงไม่ออกกับคำพูดของคลาส ถึงเขาจะอยู่ที่นี่มาเกินครึ่งปีแล้วแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาไม่เข้าใจภาษาของที่นี่เลย บางอย่างก็ยังไม่สามารถปรับตัวได้อย่างที่อีกคนกล่าวมากจริง ๆคลาสเห็นไวท์เงียบผิดปกติเลยหันมามองหน้าใกล้มากกว่าเดิม คำพูดของเขาคงไปสะกิดใจเข้าแล้วหรือเปล่า แต่พูดเรื่องจริง ในอนาคตเด็กคนนี้คือจักรพรรดินี จำเป็นต้องเรียนรู้และเตรียมพร้อมสำหรับการขึ้นครองบัลลังค์ไปพร้อมกับพี่ชายของเขา เพราะพี่ชายเลือกที่จะไม่มีสนมก็ต้องช่วยกันทำงาน ลำพังฝั่งอาวุโสช่วยทำงานบริหารบ้านเม