1
ดวงตะวันสีแดงพระจันทร์สีเลือด
“นี่เธอ เมื่อไหร่จะเลิกให้ข้าวคนไร้บ้านพวกนั้นสักที” ชายหนุ่มแต่งตัวจัดจ้านถามขึ้น ขณะดวงตาก็ปรายมองยังคนไร้บ้านสองคนที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ตรงโต๊ะนอกกระจกร้านอาหารของเธอ
พิมดาว หญิงสาวอายุยี่สิบสองเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีสาขาโภชนาการอาหาร หลังเรียนจบก็นำเงินที่มีมาลงทุนเปิดร้านอาหาร ทำเลตั้งอยู่ตรงข้ามทางเข้าหมู่บ้านหรูหากเทียบกับค่าครองชีพในปัจจุบัน
“จะทำได้ยังไงคะพี่ เป็นร้านอาหารแต่ปล่อยคนหิวพิมทำไม่ได้” เธอตอบเขาพลางเหลือบมองไปนอกกระจกร้าน มือก็เช็ดโต๊ะที่พึ่งเก็บเสร็จ แม้ไม่ใช่คนร่ำรวย แต่เธอก็มีมากพอจะแบ่งปันให้ผู้อื่นถึงจะแค่เล็กน้อยก็ตาม
เธอเป็นลูกคนเดียวและตอนนี้ก็เหลือเพียงตัวคนเดียวจึงไม่กังวลกับสิ่งใดอีก ชีวิตเธอก็มีเพียงแค่นี้ทำงานหาเงิน ทำบุญให้อาหารคนหิวโหยบ้าง หลังปิดร้านก็นอนอ่านหนังสือ ดูซีรีส์ตามประสาสาวโสด
“งั้นเธอก็ไปใจบุญที่อื่นสิ ลูกบ้านร้องเรียนมาไม่รู้กี่รอบแล้ว เขาบอกว่าร้านเธอทำให้หมู่บ้านดูโลมาก”
“ก็แค่ให้อาหารคนหิว มันดูต่ำตรงไหนคะ พิมไม่ย้ายหรอก ถ้าใครไม่พอใจก็ย้ายเองเลย” หญิงสาวไม่ยอมแพ้ เดือนนี้นี่เป็นครั้งที่สี่แล้วที่นิติบุคคลของหมู่บ้านมาเตือนเธอให้ย้ายออกไป แต่เธอก็ยังไม่คิดจะย้ายไปไหน เธอไม่ได้ทำอะไรผิดทำไมต้องย้าย
อีกอย่างร้านของเธอไม่ได้อยู่ในโครงการสักหน่อย อย่างมากก็แค่อยู่ใกล้เคียงกันเท่านั้น
“ฉันมาเตือนเธอครั้งสุดท้าย หลังจากนี้อาจจะเป็นคนอื่นแต่คงไม่ได้มาเตือนเหมือนฉันหรอกนะ” พูดจบผู้ชายคนนั้นก็เดินจากไป ทิ้งให้เธอมองตามด้วยความไม่เข้าใจ
ไม่ได้มาเตือน ทำไมจะมาพังร้านเธอหรือไง นี่มันปีอะไรแล้วยังจะมาข่มขู่ไล่ที่อีก บ้านเมืองมีขื่อมีแปเธอกลัวที่ไหนกัน
นอกกระจกคนไร้บ้านกินข้าวเสร็จก็ยืนยกมือไหว้เธออยู่นอกร้านหลายครั้ง ก่อนจะช่วยกันเก็บกวาดใบไม้ที่ตกหล่นบนโต๊ะอาหารนอกห้องแอร์ แล้วพากันจากไป
ถึงเวลาปิดร้านของเธอสักที...
ไม่ไกลจากร้านเป็นสวนสาธารณะที่มักมีคนพาเด็ก สุนัขไปเดินเล่นกัน เพราะมีมุมให้พักผ่อนออกกำลังกาย ซ้ำยังมีบึงน้ำขนาดใหญ่ให้คนได้ปั่นจักรยานเล่นรอบบึงด้วย
พิมดาวปิดร้านเสร็จก็มักจะไปนั่งเล่นในสวนเพื่ออ่านหนังสือ บางทีก็นั่งมองเด็ก ๆ วิ่งเล่นกัน มันช่วยให้เธอไม่เหงาหรือแปลกแยกเกินไป ขณะกำลังหย่อนตัวลงใต้ต้นไม้ข้างบึงใหญ่
“ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย” ดวงตากลมโตตวัดขวับเมื่อได้ยินเสียงเด็กผู้ชายร้องให้ช่วยเสียงดังลั่น มุมหนึ่งที่ริมบึงเธอพบเด็กหญิงอายุประมาณห้าหกขวบกำลังตีน้ำในบึงเป็นวงกว้างอยู่
ในบริเวณนั้นไม่พบผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ที่สามารถช่วยเหลือได้เลย พิมดาววิ่งไปอย่างรวดเร็วไม่หยุดชั่งใจใด ๆ โยนกระเป๋าสะพายทิ้งกระโดดลงน้ำเพื่อช่วยเด็กผู้หญิง
“ไม่ต้องร้อง ๆ พี่มาช่วยแล้ว”
“ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย” เด็กผู้ชายคนนั้นยังร้องตะโกนเสียงดัง มีหลายคนได้ยินก็รีบวิ่งเข้ามาเพื่อช่วยเธออีกแรง พิมดาวพยายามว่ายน้ำลากเด็กน้อยเข้าฝั่งเพื่อส่งขึ้นไปบนบก แต่ดูเหมือนเด็กน้อยจะกลืนน้ำเข้าไปเยอะ
ทุกอย่างดูวุ่นวายมากจนไม่มีใครทันสังเกตเธอที่ตอนนี้ถูกตะคริวกินจนไม่สามารถขยับได้และค่อย ๆ จมลงไปในน้ำอย่างเชื่องช้า
ไม่มีใครสักคนเลยที่จะทันสังเกตคนให้การช่วยเหลือ เพราะตอนนี้ทุกคนกำลังสนใจการช่วยให้เด็กน้อยคนนั้น
ภาพตรงหน้าเป็นเวลาเย็นแต่ท้องฟ้ากลับไม่สว่างอย่างที่ควร พระอาทิตย์ดวงโตเปล่งแสงสีแดงราวเลือดนก นี่คือสิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้ก่อนที่การมองเห็นของเธอจะมืดดับ…
งานเทศกาลโคมไฟ
โจวเจียวเจียวมองเห็นภาพตรงหน้าและรู้สึกริษยาในใจ กับนางมู่หลินเฟิงไม่เคยยิ้มให้แม้สักครั้งแต่กับสืออีหรานผู้นั้น ทั้งยิ้มให้และมอบสายตาอบอุ่นอ่อนโยนให้
หญิงสาวบิดผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นกระทั่งมันขาดเพราะแรงดึงรั้ง
“เสี่ยวมั่ว จืออวิ๋นพวกเราไปกันเถอะ” สุรเสียงหวานใสดังขึ้นพร้อมกับเรือนร่างอรชนขยับไปจากลานชมโคมไฟ หญิงสาวเดินไปหยุดตรงศาลาริมน้ำเพื่อรอคอยพี่ชายและสหายของพี่ชายตามคำนัดหมาย
ทั้งสามรออยู่เกือบหนึ่งเค่อก็มีคนมาเสียที แต่กลับมิใช่คนที่นางรอคอย
“เจียวเจียว เจ้ารอผู้ใดอยู่หรือ” สืออีหรานเป็นผู้เอ่ยทักขึ้นมาก่อน เมื่อเห็นสตรีวัยเดียวกัน หาใช่เพราะมีจิตไมตรีต่อกัน ไม่ว่าผู้ใดก็รับรู้ว่าโจวเจียวเจียวมีใจให้มู่หลินเฟิง แต่มู่หลินเฟิงกลับมีใจให้สืออีหรานคุณหนูชื่อเสียงโด่งดังอันดับหนึ่งในเมือง
“เราสองไม่สนิทมากพอจะให้เจ้าเรียกข้าเช่นนี้กระมัง” โจวเจียวเจียวตวัดสายตามองพลางเอ่ยชัดถ้อยคำ นางเกลียดสืออีหรานแต่ไม่เคยทำร้ายนางเพราะกลัวว่าท่านพี่มู่จะเกลียดนาง
สิ่งที่นางทำได้ก็แค่พูดจากระทบกระเทียบสืออีหรานให้เจ็บใจบ้างเท่านั้น
สืออีหรานรู้ดีอยู่แก่ใจจึงจงใจยั่วโทสะโจวเจียวเจียวทุกครา เพื่อให้ตนเองดูน่าสงสารในสายตามู่หลินเฟิง ครานี้ก็เช่นกัน
“เหตุใดจึงไม่สนิทเล่า ท่านพี่มู่กับคุณชายโจวเป็นสหายกัน ภายหน้าข้ากับท่านพี่มู่แต่งงานก็ย่อมต้องไปมาหาสู่กับเจ้า” เสียงเล็กเสียงน้อยที่เอ่ยออกมาช่างขัดหูโจวเจียวเจียวยิ่งนัก ดวงตากลมโตมองสตรีตรงหน้าด้วยความกรุ่นโกรธ
“ผู้ใดกล่าวว่าจะแต่งกับเจ้ากันสืออีหราน”
“เมื่อครู่เจียวเจียวก็เห็นแล้วมิใช่หรือ ท่านพี่มู่เป็นผู้บอกกับข้าเอง” หญิงสาวผู้นั้นกล่าวพลางยกยิ้มมุมปาก นางรู้ดีว่าจะทำเช่นไรให้โจวเจียวเจียวมีโทสะจนเผลอทำตัวไม่ดีต่อหน้ามู่หลินเฟิง
สืออีหรานเหยียดยิ้มเยาะจนโจวเจียวเจียวสังเกตได้ จึงยื่นมือไปกระชากแขนนางอย่างแรง ปลายหางตาเรียวของสืออีหรานสังเกตได้ว่าด้านหลังของนางเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ที่บนผืนน้ำมีโคมน้ำลอยอยู่มากมาย
ตัวนางนั้นว่ายน้ำได้บ้างเล็กน้อยผิดกับโจวเจียวเจียวที่ว่ายน้ำไม่เป็นเลย นางแสร้งหย่อนเท้าไปบนผืนน้ำก่อนจะกระชากให้โจวเจียวเจียวหล่นลงไปกับตนเอง
“กรี๊ด”
“คุณหนู ช่วยด้วยช่วยคุณหนูด้วย” เสี่ยวมั่วตะโกนเสียงดัง นางรู้ดีว่าผู้เป็นนายของตนว่ายน้ำไม่เป็น
“แค่ก ๆ ช่วยด้วย” แม้จะตกน้ำสืออีหรานก็ยังร้องให้คนช่วยด้วยน้ำเสียงหวานหยด ต่างกับโจวเจียวเจียวที่เอาแต่ตีน้ำ ไม่มีแรงจะมาสนใจร้องเรียกผู้ใด
รอบบริเวณโกลาหลนัก ผู้คนตะโกนพากันร้องตะโกนว่าบุตรสาวตระกูลโจวและตระกูลสือตกน้ำ โจวจี้หยวนและมู่หลินเฟิงที่เพิ่งเดินมาถึงจึงรีบวิ่งไปยังริมบึงกว้าง พุ่งกระโจนลงน้ำเพื่อไปช่วยสตรีทั้งสอง
สืออีหรานยังคงลอยตัวอยู่บนผืนน้ำ แต่โจวเจียวเจียวกำลังจมลงสู่ก้นบึงลึกเบื้องล่าง ภาพสุดท้ายก่อนนางจะจมลงไปเป็นภาพที่มู่หลินเฟิงเลือกช่วยสืออีหรานไม่ปรายตามองนางแม้แต่น้อย
ไม่มีใจจะเหลียวมองนางเลยสักช่วงเวลา…
เช่นนี้นางจึงปล่อยตัวไม่พยายามไขว่คว้าที่จับยึดอีกต่อไป พระจันทร์สีเหลืองกระจ่างพลันเปลี่ยนเป็นสีชาดราวกับโลหิตนก นางจึงปิดตาลงยอมรับชะตากรรมที่ผู้อื่นมอบให้
2ป่วยจนเลอะเลือนห้าวันหลังจากเทศกาลโคมไฟ หญิงสาวลืมตาขึ้นเมื่อผู้คนในห้องออกไปจนหมดก่อน จึงลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงอุ่น เพราะเหตุใดนางจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า ไม่มีเหตุผลรองรับเอาเสียเลย ซ้ำยังต้องมาอยู่ในร่างนางร้ายสุดแสนอาภัพผู้นี้อีกจะกล่าวว่านางเป็นนางร้ายก็ร้ายไม่เท่านางร้ายคนอื่น ๆ หรือแม้แต่นางเอกของเรื่องยังร้ายเสียกว่า นางร้ายเพราะนางมักถูกมอบบทนางร้ายให้มากกว่าจะแสดงเอง นอกจากนี้สุดท้ายยังต้องตายเพราะพระเอกสุดที่รักของนางอีกต่างหากก่อนตายนางก็เป็นคนดีมาตลอดเหตุใดพอได้มีโอกาสใช้ชีวิตจึงทำให้นางมีโชคชะตาเช่นนี้กันเล่า“ขอบคุณสวรรค์ที่มอบบทตัวละครที่สุดแสนจะโชคดีคนนี้ให้ เฮ้อ เอาไงต่อดีไอ้พิม” หญิงสาวพึมพำกับตนเอง นางอ่านหนังสือมามากส่วนใหญ่ผู้ที่มาเป็นนางร้ายหรือตัวประกอบหากทำตัวโจ่งแจ้งไปจะกลายเป็นที่สนใจ สุดท้ายกลายเป็นตัวดำเนินเรื่องทั้งนั้นนางควรทำอย่างไรดี นางไม่อยากมีส่วนในนิยายเรื่องนี้แล้วยิ่งไม่อยากตายอย่างอนาถภายใต้คมดาบของบุรุษใจคอโหดเหี้ยม หลอกใช้สตรีเช่นมู่หลินเฟิงคิดไปก็พลันปวดหัวไปสงสัยนางจะไข้ขึ้นเสียแล้ว คงเพราะร่างกายบอบบางของโจวเจียวเจียวนี่กระมัง
3กลวิธี“เจียวเจียว เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” เสียงฝีเท้าย่ำรวดเร็วเรียกให้นางฟื้นจากภวังค์ความคิด ลืมตามองไปทางประตูห้อง ตัวยังไม่ถึงแต่น้ำเสียงห่วงใยนี้กลับมาถึงเร็วยิ่งนักหญิงสาวยกมือขึ้นนวดคลึงขมับตนเองแผ่วเบา มีเรื่องให้นางต้องใช้ความคิดอีกแล้ว จากนี้นางควรแสร้งเป็นโจวเจียวเจียวให้สมบูรณ์ไม่เช่นนั้นคงมีเรื่องให้ปวดหัวไม่เว้นวัน“ท่านพี่ เหตุใดโหวกเหวกเช่นนี้” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลดังเช่นโจวเจียวเจียวคนก่อน แม้เอาแต่ใจแต่นางไม่เคยหยาบคายกับพี่ชายเพียงคนเดียวเลยสักครั้งกลับกันมักออดอ้อนจนสุดท้ายก็ได้สิ่งที่ต้องการ แต่วิธีการเช่นนั้นใช้ไม่ได้กับมู่หลินเฟิง“เสี่ยวมั่วกล่าวว่าเจ้าต้องการกระดาษและพู่กัน”“เป็นเช่นนั้น เจียวเจียวเพียงอยากหาสิ่งใดทำเท่านั้น เหตุใดท่านพี่จึงต้องกระวนกระวายเช่นนี้”“เจ้าป่วยหนักหรือ เหตุใดจึงอยากได้ของที่มองแล้วทำตนเองเวียนหัวเล่า”“ตอนนี้เจียวเจียวไม่รู้สึกเช่นนั้นแล้ว ท่านอย่าได้กังวล ข้าหายดีแล้ว” ผู้ฟังขมวดคิ้วจนหว่างคิ้วย่นลง แม้จะไม่เชื่อว่านางหายแล้ว แต่เท่าที่มองเห็นน้องสาวก็ไม่เป็นอันใดอย่างนางกล่าวจริง ๆเขายกมือแตะหน้าผากนาง ดูว่ายังมีอา
4ตัวละครสำคัญเดิมทีโจวจี้หยวนไม่อยากให้นางไปแต่เมื่อน้องสาวออดอ้อนมีหรือพี่ชายคนนี้จะทนได้ สุดท้ายก็ยอมให้นางไปแต่โดยดี หากไม่ต้องไปตรวจดูการค้าอื่น เขาคงตามไปไม่ให้นางคาดสายตาเป็นแน่เช้าวันต่อมาโจวเจียวเจียวตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางจัดแจงล้างหน้าล้างตา เลือกอาภรณ์สีอ่อนงดงามแต่ไม่โดดเด่น งานพิธีวันนี้เป็นงานปักปิ่นของบุตรสาวตระกูลเฉียน หากแต่งสีฉูดฉาดจนเกินไปเกรงว่านางจะกลายเป็นผู้ที่โดดเด่นเสียเองเมื่อเสี่ยวมั่วมาถึงจึงพบว่าคุณหนูของตนแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงหวีแต่งผมเท่านั้น นางจึงเข้าไปช่วยเหลือ ผมหนาดกดำยาวสลวยครึ่งหนึ่งถูกเกล้าขึ้นไปเป็นมวยอยู่กลางศีรษะ ผมอีกครึ่งที่ปล่อยไว้ถูกมัดปลายด้วยผ้าสีแดงสดปิ่นหยกขาวและปิ่นไข่มุกถูกปักลงไปบนมวยผม แม้ไม่ได้โดดเด่นแต่งดงามไม่น้อยเลย“เสร็จแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”“เช่นนั้น เจ้าไปหยิบกล่องไม้บนเตียงข้ามาด้วย” สาวใช้ทำตามอย่างว่าง่ายแต่ก็ไม่ลืมเอ่ยถามความสงสัยภายในออกไป“สิ่งใดหรือเจ้าค่ะ”“วันนี้เป็นพิธีปักปิ่น ข้าย่อมต้องมอบของขวัญให้นางให้สมฐานะบุตรีสกุลโจว ไม่เช่นนั้นก็เสียแรงที่คนเหล่านั้นส่งเทียบเชิญให้แล้ว” นางรู้ดีว่าน้อยคนนักจะช
5พอเหมาะพอดี“คุณชายท่านมองสิ่งใดอยู่หรือ” บ่าวรับใช้ถามพลางรินน้ำชาบนโต๊ะให้ผู้เป็นนายที่นั่งมองเหม่อไปยังโต๊ะสตรีทั้งสอง ซึ่งยามนี้กำลังพูดคุยหยอกล้อกันจนเพลิดเพลิน“นั่นใช่โจวเจียวเจียวหรือไม่” บุรุษผู้นั้นเอ่ยถาม มือก็รับถ้วยชาที่มีไอร้อนลอยกรุ่นมาจิบ แม้สายตาจะเลิกมองนางแต่ยังไม่ละความสนใจจากนางไปเขาเคยได้ยินผู้คนเล่าลือกันว่าโจวเจียวเจียวเป็นหญิงสาวที่เอาแต่ใจตนเอง ไม่สนใจ ไม่ไว้หน้าผู้ใดนอกเสียจากมู่หลินเฟิง บุรุษที่นางพึงใจที่สุด แต่มู่หลินเฟิงไม่ชื่นชอบนาง“ขอรับนั่นคุณหนูโจว บุตรสาวคนเดียวของตระกูลโจว น้องสาวคนเดียวของคุณชายโจว คุณชายท่านสนใจหรือ”“ข้าหรือจะสนนาง เพียงได้ยินข่าวว่านางจงใจผลักบุตรสาวใต้เท้าสือตกน้ำในงานโคมไฟ จึงอยากรู้ว่านางเป็นคนเช่นไร”“เอาแต่ใจตามประสาบุตรสาวเศรษฐีขอรับ มิต่างจากคุณหนูตระกูลอื่น ต่างก็แต่เป็นคนโพงพางไปเสียหน่อยไม่เหมือนคุณหนูบ้านอื่น”
6น่าสนใจสืออีหรานเป็นสตรีเจ้าเล่ห์ นางมีความคิดลึกซึ้งกว่าผู้อื่น เชี่ยวชาญการใช้เสน่ห์ตนเองในการหลอกใช้ผู้อื่น หลินซีเป็นคุณชายน้อยตระกูลหลินมีอำนาจ มีผู้คนเกรงใจหากได้เขามาคอยอยู่ข้างกาย ผู้ใดจะกล้าเอ่ยคำไม่ดีต่อนางเมื่อได้รู้จากบุตรสาวคนโตของตระกูลเฉียน วันนี้หลินซีจะมาที่ตระกูลเพื่อร่วมพิธีปักปิ่นนางก็วางแผนไว้แล้ว กลับผิดแผนเพราะหว่านจืออวิ๋นสตรีโง่ผู้นั้นไปเสีย“เจ้า เจ้าคือ...? ช่างเถอะ ข้ามีธุระขอตัวก่อน” สตรีงามย่อมดึงดูดบุรุษ แต่ไม่ใช่กับหลินซีเพราะเขาเองก็งามไม่แพ้สตรี ยิ่งเมื่อไม่มีธุระให้พูดคุยกันเขายิ่งไม่สนใจจะอยู่พูดคุยให้ตกเป็นเรื่องเล่าลืออีกทั้งเขายังต้องไปขอโทษหญิงสาวที่ถูกเขาตวาด นางตั้งใจช่วยเหลือกลับถูกต่อว่า เขานี่ช่างไร้มโนธรรมยิ่งนักร่างสูงโปร่งสวมชุดสีชิงดูสง่ายิ่งเมื่อสอดรับกับใบหน
7ข้อที่สองสตรีทั้งสองแยกจากกันหน้าประตูสกุลเฉียน รถเทียมม้าสกุลโจวมุ่งหน้าไปบนถนนครึกครื้นของตลาดฝั่งประจิมม่านหน้าต่างถูกตลบขึ้นเพื่อดูผู้คนพลุกพล่านเดินเวียนไปเวียนมาในนิยายกล่าวว่าถนนเส้นนี้ครึกครื้นเต็มไปด้วยผู้คน วันนี้ได้เห็นกับตาเป็นจริงดังนั้น รอยยิ้มเพลิดเพลินประดับไว้บนดวงหน้าจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูตลอดการเดินทางเมื่อถึงกลางตลาดนางพลันได้ยินเสียงโหวกเหวกของคนหลายคน ครู่หนึ่งรถม้าก็หยุดลง โจวเจียวเจียวนึกสงสัยจึงเอ่ยถามเสี่ยวมั่วที่นั่งอยู่ข้างกาย เด็กสาวโผล่หน้าออกไปถามคนขับรถม้า“มีสิ่งใดหรือ”“เรียนคุณหนู ตรงหน้ามีขอทานขวางอยู่ขอรับ” โจวเจียวเจียวย่นคิ้วตั้งท่าจะลุกไปดูแต่กลัวว่าจะเป็นที่สนใจมากเกินไป เสี่ยวมั่วจึงโผล่หน้าออกไปฟังความให้แน่ชัดจากนั้นกลับมาแจ้งแก่คุณหนูของตนว่า มีขอทาน
8เจียวเจียวสำนึกผิดแล้วตะวันทอแสงยามเช้า หญิงสาวผุดลุกจากเตียงนอนอุ่น ความมุ่งหมายในวันนี้คือถูกมู่หลินเฟิงด่า เขาชอบสตรีเรียบร้อยอ่อนโยนเช่นนั้นวันนี้นางจึงจงใจสวมอาภรณ์สีเข้ม แต่งริมฝีปากด้วยสีชาดที่สดราวกับโลหิตอย่างไรอย่างนั้นนางส่องกระจกพร้อมรอยยิ้ม หมุนตัวไปมาครู่หนึ่งก็เอ่ยชมตนเอง“งามมาก ใช่หรือไม่เสี่ยวมั่ว”“งามเจ้าค่ะ แต่คุณชายมู่คงไม่ชอบกระมังเจ้าคะ” สาวใช้กล่าวขึ้นคุณหนูของนางมักแต่งกายด้วยสีอ่อน เพื่อให้มู่หลินเฟิงสนใจแต่ยามนี้กลับต่างออกไปนางไม่เข้าใจเอาเสียเลยโจวเจียวเจียวคิดว่าเพียงแค่การแต่งกายคงไม่ทำให้มู่หลินเฟิงหันมาสนใจนางได้ในทันที จึงไม่จำเป็นต้องสวมรอยเป็นนางในยามนี้เพราะอย่างไรนางก็เป็นเจียวเจียวที่เขาไม่ต้องใจ จะสวมเสื้อผ้าสีใดก็คงไม่ต่างกัน เพียงแต่สีเข้มคงทำให้เขาร
9บุรุษผู้นั้นเจ้าของร่างอรชรวิ่งออกจากห้องตำรามานั่งอยู่ในสวนของลานบ้าน ทั้งที่รู้ว่าตนเองไม่ใช่โจวเจียวเจียวผู้นั้นแต่เมื่อถูกด่าหนักเข้านางกลับรู้สึกแย่ จนไม่อาจละทิ้งคำพูดเมื่อครู่ของมู่หลินเฟิงไปได้เลย“เจียวเจียว” โจวจี้หยวนเสียงเบา น้ำเสียงแฝงความเป็นห่วงไว้มากมาย แม้มู่หลินเฟิงจะเป็นสหาย แต่เขาก็สงสารผู้เป็นน้องสาวเหลือเกิน ในใจมู่หลินเฟิงคงมีเพียงสืออีหราน ไหนเลยจะมีที่ว่างพอให้นางถึงจะพูดไปนางก็ไม่มีทางเชื่อเขาอยู่ดี เขาเลยไม่คิดห้ามนางอีก เพียงปลอบใจอยู่ข้าง ๆ เท่านั้นชายหนุ่มเดินเข้ามาวางมือไว้บนศีรษะนางแผ่วเบา คล้ายกับกำลังปลอบใจนางโดยไร้คำพูดใดโจวเจียวเจียวนางมีพี่ชาย สหาย บิดามารดา และข้ารับใช้ที่ดี เหตุใดจึงหลงรักบุรุษผู้นั้นมากมายถึงเพียงนี้ ทั้งที่หลังจากเขารู้จักสืออีหรานก็ไม่เคยมีความหวังให้นางเลยแม้แต่น้อย
ฤกษ์ดีงานวิวาห์สองงานถูกจัดขึ้นพร้อมกัน เป็นเหตุให้เรื่องนี้ร่ำลือไปทั่วเมืองเทียนเผิง สองตระกูลขุนนางสำคัญวิวาห์บุตรสาวจากตระกูลคหบดีชื่อดัง งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่โรงเตี้ยมมีชื่อแห่งหนึ่งซึ่งเป็นของตระกูลโจวอีกเช่นกันทั้งสองไม่ได้คิดจะแต่งวันเดียวกัน แต่ฤกษ์ดีวันนี้กลับมีเพียงห้าปีครั้ง หลินซีเองก็ไม่อยากรอ มู่หลินเฟิงก็ไม่อยากรอ ยิ่งมีบุตรปีนี้จะเกื้อหนุนครอบครัวเป็นอย่างมาก อีกทั้งสตรีทั้งสองยังกลัวจะไม่ได้ไปร่วมดื่มอวยพรให้อีกฝ่ายเมื่อเลือกไม่ได้จึงตกลงแต่งพร้อมกัน มู่หลินเฟิงและหลินซียังคงปะทะฝีปากกันบ่อย ๆ แต่ทุกครั้งก็ถูกว่าที่ภรรยาตำหนิจนหน้าบูดกันไปทุกทีหากงานจัดในบ้าน เจ้าสาวย่อมไม่มีหน้าที่มาต้อนรับ แต่งานวิวาห์นี้กลับจัดในโรงเตี้ยมใหญ่โต เจ้าสาวทั้งสองจึงสวมผ้าคลุมหน้าพูดคุยกับผู้มาร่วมยินดีด้วยได้ กระทั่งมีชายสูงศักดิ์ผู้หนึ่งเดินเข้ามาคารวะสุรากับโจวเจียวเจียว“
ตอนพิเศษอารมณ์ดีหลังถูกสตรีในใจปฏิเสธชัดเจน หลินซีรู้สึกว่าตนเองต้องเสียใจมากเป็นแน่ ทว่าเรื่องราวไม่เป็นเช่นนั้น เขารู้สึกราวยกภูเขาออกจากอกเสียมากกว่า ร่างสูงโปร่งที่มีใบหน้างดงามราวอิสตรีเดินเอื่อยไปเรื่อย ๆ บนถนนเส้นหลักของตลาดฝั่งประจิมแม้จะมีใบหน้างดงามจนหาที่เปรียบได้ยากและเป็นที่ชื่นชอบของสตรีมากมาย แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าก่อกวนเพราะตระกูลนักรบเช่นเขาไหนเลยจะรู้จักรักหยกถนอมบุปผาได้เฉิงเชียงที่เดินอยู่ด้านหลังขยับขึ้นมากระซิบชายหนุ่มแผ่วเบา“คุณชายนั่นแม่นางจืออวิ๋นขอรับ” หว่านจืออวิ๋นเป็นสตรีที่งดงามราวเทพธิดาไม่ต่างสืออีหราน ต่างกันเพียงนางไม่ใช่บุตรสาวตระกูลขุนนาง หากแต่เป็นบุตรสาวพ่อค้ายามนี้ไร้ซึ่งเงาของสืออีหราน นางจึงเป็นที่เลื่องลือมากยิ่งขึ้น มีบรรดาบุตรชายขุนนางหลายคนมาทำความรู้จัก บางคนต้อ
47พิมดาวจวนตระกูลมู่เงียบเชียบราวกับจวนร้างแต่ยังมีเสียงเล็ดลอดออกมาทำให้รู้ว่าแท้จริงที่นี่มิได้ร้างผู้คน สตรีวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเตียงสีหน้าเศร้าหมองไม่น้อย นางชี้หน้าผู้เป็นสามีต่อว่าเขาแต่ตนเองกับร่ำ ๆ จะร้องไห้บุตรชายนางไปทำงานต่างเมืองสองเดือนแล้ว แม้มีจดหมายแต่ราวกับไม่มี จดหมายนั้นหาใช่บุตรชายนางเขียน หากบุตรชายนางยังอยู่ดีเหตุใดจึงไม่เขียนจดหมายมาเอง“ท่านโกหกข้า ลูกข้าอยู่ที่ใด ฮือ...” อี้ฮูหยินกล่าวไปร่ำไห้ไป จดหมายสองฉบับที่ส่งมา ลายมือแทบไม่ต่างจากบุตรชายแต่นางที่เฝ้ามองบุตรชายเติบใหญ่ มีหรือไม่สามารถจำได้ลายมือบนจดหมายถูกปลอมแปลงขึ้น แล้วเหตุใดต้องปลอมหากไม่ใช่เพราะบุตรชายนาง...“ฮูหยินเจ้าใจเย็น ๆ เสียก่อน เฟิงเอ๋อร์ยังอยู่ดี”“อยู่ดีหร
46ขอเพียงท่านฟื้นปลายวสันต์ลมโชยพัดผ่านกิ่งไม้ใบไม้เสียดสีกันฟังราวกับกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติเขียวขจีให้ความสดชื่นไม่น้อย เพียงแต่ที่นี่คือเรือนข้างในคฤหาสน์หลังใหญ่สกุลโจว ร่างสูงโปร่งบนเตียงก็ยังคงหลับตาอยู่เช่นเดิมหญิงสาวใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมดำสนิทที่ถูกลมพัดของมู่หลินเฟิงออกจากใบหน้า“สองเดือนแล้วที่ท่านปล่อยให้ข้าพูดคุยเพียงลำพัง ยังไม่ทันได้หมั้นหมายก็ทิ้งให้ข้ากังวลเช้าเย็นเช่นนี้ คิดว่าข้ายังจะอยากแต่งกับท่านอีกหรือคุณชายมู่” บ่นไปก็เช็ดตัวเขาไป นางทำจนเคยชินไปเสียแล้ว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนนางจึงเช็ดเนื้อเช็ดตัวของเขาทั้งเช้าและเย็นเดิมทีนางคิดว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาภายในหนึ่งเดือน เพราะก่อนนี้เขาตอบสนองนางด้วยการขยับนิ้ว แต่ก็เพียงแค่ครั้งเดียว ดูเหมือนอี้ฮูหยินเองก็เริ่มสงสัยแล้วเหมือนกันว่าบุตรชายไม่ได
45ข้ายังรออยู่ตระกูลสือที่รุ่งเรืองในอดีต ยามนี้จบสิ้นแล้วทั้งตระกูล ประตูใหญ่จวนสือที่เคยรุ่งโรจน์บรรดาขุนนางน้อยใหญ่ตบเท้าเข้ามาทำความรู้จัก บัดนี้มีเพียงเศษใบไม้ปลิดปลิว เวิ้งว้างวังเวง ประตูปิดสนิทถูกแปะทับด้วยกระดาษสีแดงแผ่นยาวในตลาดมีประกาศความผิดติดไว้ให้ผู้คนรับรู้ ตระกูลสือกำเริบเสิบสาน ไม่เกรงกลัวกฎหมาย สตรีสกุลสือไร้คุณธรรมบงการลอบทำร้ายผู้อื่น ต้องโทษทั้งตระกูล ยึดทรัพย์ยึดจวน ริบคืนบรรดาศักดิ์ทั้งหมดสือจินเฉิงถูกโบยห้าสิบครั้ง เนรเทศไปชายแดน สืออีหรานถูกโบยสามสิบครั้งถูกกรีดใบหน้าด้านขวาว่าไร้คุณธรรม เกรงว่าชั่วชีวิตนี้นางคงไม่อาจผูกสมัครรักผู้ใดได้อีก ส่วนมารดาของนางถูกโบยยี่สิบครั้งฐานเป็นมารดาที่สั่งสอนบุตรสาวไร้คุณธรรมเมื่อได้ยินเรื่องนี้โจวเจียวเจียวไม่ได้มีท่าทางยินดียินร้ายใดต่อเรื่องที่ได้ย
44ท่านต้องฟื้นจวนแม่ทัพหลินมู่หลินเฟิงถูกพากลับมายังจวนตระกูลหลิน เพราะอยู่ใกล้ที่สุด อีกทั้งหมอของตระกูลหลินเชี่ยวชาญชำนาญบาดแผลเช่นนี้มากกว่า ร่างโชกเลือดถูกยกเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง สาวใช้สองสามคนช่วยท่านหมออยู่ภายใน ผ่านไปเกือบสองเค่อจึงยกเอาอ่างไม้ออกมา เปลี่ยนเป็นน้ำร้อนแล้วเข้าไปอีกโจวเจียวเจียวเดินวนไปวนมา ร้อนใจนักไม่รู้คนโง่ผู้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง มีดปักคาไว้ไม่รู้ถูกส่วนสำคัญบ้างหรือไม่เหตุใดคน ๆ นั้นจึงโง่เช่นนี้ การช่วยคนต้องช่วยโดยไม่ให้ตนเองเป็นอันตรายไปด้วย นี่อันใดกันทำตนเองบาดเจ็บคาบเกี่ยวชีวิต คิดแล้วยิ่งขุ่นเคืองเป็นถึงจอหงวนสิ้นคิดนักหญิงสาวทำได้เพียงต่อว่าเขาในใจ นางต่อว่าเขาจนลืมไปกระมังว่าตนเองก็ตายเพราะช่วยผู้อื่น“ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ร่างเล็กปรี่เข้าไปถาม
43มีสิ่งใดจะสั่งเสียทัศนวิสัยเบื้องหน้าช่างพร่าเลือนหลังฟื้นคืนสติโจวเจียวเจียวพยายามหรี่ตาลงเล็กน้อยมองลอดรูเล็กบนผนัง กลิ่นอับบนผนังบ่งบอกว่าที่นี่เก่ามากเพียงใด ด้านในไม่มีเงาผู้คนเช่นนั้นคนชุดดำคงอยู่ด้านนอก“นางฟื้นหรือยัง” เสียงทุ้มแว่วมาจากหลังประตู โจวเจียวเจียวแสร้งเอนกายลงนอนบนพื้นไม้ผุพังทำเหมือนตนเองยังไม่ฟื้นคืนสติ ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงเปิดประตู ไม่รู้ว่าที่แท้คนเหล่านี้ต้องการสิ่งใดจากนางแต่คนเหล่านี้เป็นคนของสืออีหรานแน่นอน เพราะบนโลกนี้คนที่เกลียดนางมีเพียงสตรีแซ่สือ อีกทั้งก่อนหน้านางยังมาพูดจาข่มโอ้อวดว่าตนกำลังจะได้แต่งกับมู่หลินเฟิง ทว่าผ่านไปเพียงคืนเดียวก็หล่นจากความฝันเสียแล้ว“นางยังไม่ฟื้น”“ฟื้นไม่ฟื้นก็ช่าง รีบจัดการเสีย ยามนี
42ถูกจับตัวไปกระดาษใบแรกถูกเปิดอ่าน ในกระดาษมีเพียงประโยคเดียวเหมือนจดหมายตอบกลับอย่างไรอย่างนั้น อ่านจบแผ่นแรกก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นมาทั้งที่ไม่ใช่ข้อความหวานซึ้งใดแท้ ๆ‘ข้าไม่คิดถึงท่าน’‘ข้าไม่คิดถึงท่าน’‘ข้าไม่คิดถึงท่าน’‘ข้าไม่คิดถึงท่าน’ จดหมายสี่ฉบับแรกเนื้อความเหมือนกัน ข้อความสั้น ๆ ไม่ลงชื่อแต่กลับเรียกรอยยิ้มของผู้อ่านได้เป็นอย่างดีหากนางไม่คิดถึงจริง ๆ จะอุตส่าห์เขียนจดหมายตอบกลับเขาทุกฉบับหรือ แม้นางจะบอกว่าไม่คิดถึงแต่ยามที่เขียนข้อความนี้ลงไป นางย่อมต้องนึกถึงคำถามเป็นแน่แต่จดหมายฉบับสุดท้ายกลับต่างออกไป ตัวหนังสือเล็กแต่เป็นระเบียบ สะอาดตา ไม่น่าเชื่อว่าเจียวเจียวที่เกลียดการเขียนอักษรจะเขียนได้ดีเช่นนี้ ตัวอักษรตรงหน้าไม
41เช่นนั้นท่านก็กลับไปหน้าคฤหาสน์สกุลโจวร่างสูงสง่ายืนตระหง่านอยู่หน้าประตูใหญ่ หลังเฉากงกงประกาศพระราชโองการวันต่อมามู่หลินเฟิงจึงมาถึงจวนตั้งแต่เช้า เขาต้องการพูดคุยโจวเจียวเจียวเรื่องการสมรสนี้สิ่งที่ทำให้เขาเร่งซ่อมแซมบ้านเรือนจนเสร็จรวดเร็ว คือข่าวสารจากองค์ชายรอง ในจดหมายกล่าวเพียงประโยคเดียวก็ทำเขาร้อนรนนั่งไม่ติดเก้าอี้เสียแล้ว‘ข่าวว่าช่วงนี้ตระกูลหลินเตรียมขบวนสินสอด’ตระกูลหลินมีบุตรชายเพียงคนเดียวนั่นคือหลินซี ฉะนั้นการหมั้นหมายนี้ย่อมเป็นของหลินซี เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าสาวผู้นั้นเป็นใคร มู่หลินเฟิงคิดถึงภาพที่นางและหลินซีไล่ตีกันจึงคิดว่าอย่างไรก็คงเป็นเจียวเจียว จึงเร่งจัดการงานให้เสร็จแล้วรีบกลับมายังเมืองหลวงทว่าทุกสิ่งก็ยังเหนือความหมายของเขาอยู่ดี แม้จะดีใจที่ได้ประทานสมรสกั