๓
คำหวานและอดีต
แม้จะล่วงเลยเวลาทำงานมามากพอสมควรแล้วแต่ร่างบางก็ยังวุ่นอยู่กับเอกสารตรงหน้าที่เคลียร์ไม่เสร็จเสียที
หลังจากกลับมาจากส่งเอกสาร ปนิธิก็เรียกประชุมงานเพราะเกิดข้อผิดพลาดบางอย่างขึ้น ข้อมูลบัญชีดูจะไม่สมบูรณ์เมื่อดูจากตาราง เธอจึงต้องนั่งแก้ไขใหม่และเมื่องานยังไม่เสร็จเธอถึงยังไม่ได้กลับบ้านแม้ว่าคนอื่นจะทยอยกันกลับหมดแล้วจนเหลือเพียงเธอและปนิธิเท่านั้น
“ขวัญกลับเถอะพรุ่งนี้ค่อยมาทำใหม่”
ดวงตากลมโตจ้องไปที่หน้าคอมพิวเตอร์มั่น
“ขวัญขอทำให้เสร็จก่อนนะคะ พี่ปันกลับก่อนได้เลย”
“ไม่ละ พี่รอกลับพร้อมขวัญดีกว่า” และเขาก็ปฏิเสธ ชายหนุ่มนั่งรอร่างบางไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้างเลยสักนิด
ปนิธิเดินไปเดินมาดูบรรยากาศข้างนอกก็พบว่าท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนฝนกำลังจะตก เพราะช่วงนี้เป็นฤดูฝนเขาจึงพกร่มมาตลอด
“เหมือนฝนจะตกเลย” ชายหนุ่มเดินมานั่งที่โต๊ะของดาหวันแล้วเอ่ยขึ้น
จอมขวัญไม่ได้พูดอะไรเธอตั้งใจทำงานต่อไป จนมีเสียงโทรศัพท์ของปนิธิดังขึ้น
“ครับแม่ อ้อ จริงเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะรีบกลับไป” เสียงตื่นตระหนกเรียกความสนใจของหญิงสาวคนขยันได้ทันที
“เกิดอะไรขึ้นหรือคะพี่ปัน”
“พอดีว่าป้าข้างบ้านพี่แกตกบันได ไม่มีใครพาไปโรงพยาบาลพี่เลยต้องรีบกลับ ขวัญอย่ากลับดึกนะพี่คงต้องไปแล้ว” พูดจบเขาก็วิ่งจากไปทันทีโดยถือร่มไปด้วยทั้งๆ ที่ในใจคิดว่าจะเอาให้จอมขวัญแท้ๆ
แต่เมื่อมาถึงชั้นล่างเขาจึงเพิ่งคิดออก แม้ใจจะอยากเอาขึ้นไปให้แต่ก็ห่วงคนทางบ้านจึงฝากยามแถวนั้นเอาไว้ให้จอมขวัญแทน
ล่วงเลยเวลางานมาแล้วสามชั่วโมง ในที่สุดงานของเธอก็เสร็จเสียที จอมขวัญบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยล้าจากการนั่งทำงานเป็นเวลานาน เธอเก็บสัมภาระแล้วลงมาข้างล่างก็พบว่าตอนนี้ฝนตกแรงมากพอสมควรและดูท่าว่า จะตกหนักมากอีกด้วย
“คุณขวัญครับ คุณปันฝากร่มไว้ให้ครับ” พนักงานรักษาความปลอดภัยที่สนิทกันเดินมาพร้อมกับร่ม
จอมขวัญยกมือไหว้ขอบคุณก่อนจะคิดไปถึงรุ่นพี่ที่สนิท
..ขนาดตัวไม่อยู่ก็ยังคงห่วงใยเธอเสมอ แต่ว่าตอนนี้ฝนตกหนักมาถึงเธอกางร่มไปก็คงไม่แคล้วเปียกฝนอยู่ดี
ร่างบางจึงติดสินใจว่าจะรอให้ฝนซาลงกว่านี้เสียก่อนถึงจะออกไป
“ลุงยามคะ ขวัญขอรอด้วยได้ไหมคะ ให้ฝนซาก่อน ถ้าออกไปตอนนี้มีหวังได้เปียกหมดตัวแน่”
ลุงยามใจดีพยักหน้า ร่างบางจึงเดินไปนั่งรอฝนหยุดที่โซฟาสำหรับแขกทั่วไปที่มาติดต่องานยังชั้นล่าง เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดปิดเพราะได้ยินเสียงฟ้าร้อง
..บรรยากาศเย็นสบายแบบนี้ถ้าอยู่บ้านเธอคงกินข้าวกับครอบครัวแล้วนอนอย่างสบายอารมณ์
เวลาเดินผ่านไปเรื่อยๆ ฝนก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตก ตอนนี้ลุงยามไปดูท่อน้ำที่ดูเหมือนจะตันจากการที่น้ำพัดเอาขยะมาด้วยปิดทางเดินน้ำจึงต้องไปเอา ขยะที่ติดรูออก น้ำก็เพิ่มระดับสูงขึ้นเพราะฝนตกหนักและไม่มีที่ระบายมากเท่าที่ควร
“ทำไมยังไม่กลับบ้าน”
เสียงขรึมทรงพลังทำให้จอมขวัญที่เหม่อลอยสะดุ้งทันที เธอเงยหน้ามอง ก็พบกับท่านประธานของบริษัทที่ยืนหน้านิ่งมองเธออยู่
“คือว่าฝนตกค่ะ ฉันเลยจะรอให้ฝนหยุดก่อน” กว่าจะเรียบเรียงคำพูดได้เธอก็อึ้งไปหลายวินาที จนเขาต้องมองเธอราวกับจะย้ำให้ตอบโดยเร็ว จอมขวัญจึงมีสติตอบเขาได้
ชนวีร์มองเธอแล้วดูบรรยากาศข้างนอกที่ฝนยังคงตกหนัก อันที่จริงเขาก็รีบกลับบ้านเพราะน้องสาวบอกให้กลับไปกินข้าวด้วยแต่เพราะงานที่ยังไม่เสร็จเลยต้องเคลียร์ให้เสร็จเสียก่อนจึงล่วงเลยเวลาไปมากโข
“ตามมา”
“คะ” ดูเหมือนว่าจอมขวัญจะงงกับคำพูดของชนวีร์เพราะเขาไม่ได้เติมคำให้ประโยคนั้นสมบูรณ์ขึ้น
ชายหนุ่มมองเธออย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่แล้วโน้มตัวลงไปจับข้อมือของเธอ ใช้แรงเพียงนิดเดียวก็สามารถดึงร่างบางให้ลุกขึ้นได้
“ฉันจะไปส่ง ตามมา”
นั่นยิ่งทำให้เธองงเป็นไก่ตาแตกเพราะชนวีร์ต่างจากอดีตเป็นอย่างมาก แม้จะมีแววว่าเขาไม่ชอบเธอแต่ก็ไม่ระรานกลับดูเหมือนจะมีน้ำใจมากกว่าเมื่อก่อนเสียด้วยซ้ำไป ใจสาวน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะและเมื่อมองไปที่ข้อมือเธอก็ยิ่งหน้าแดงมากยิ่งขึ้น
ชนวีร์เดินออกมานอกบริษัทคุยกับยามสักครู่ก็พาจอมขวัญเดินไปที่จอดรถซึ่งอยู่ด้านข้างทันที เขาพาเธอเดินหลบฝนโดยที่ยังจับข้อมือเล็กไว้แน่น ทำเอาร่างบางถึงกับต้องแอบมองอยู่หลายครั้งด้วยความเขินอาย แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการออกไปให้ดูน่าเกลียด
เมื่อถึงรถจอมขวัญก็ขึ้นไปนั่งข้างคนขับทันที ชนวีร์ออกรถด้วยความเร็วที่พอเหมาะ พ้นจากบริษัทรถก็ติดยาวเป็นหางว่าวเพราะเกิดอุบัติเหตุขึ้นนั่นเอง
ชนวีร์สบถออกมาอย่างหัวเสียก่อนจะพยายามหาช่องทางลัด เขาหันไปถามที่อยู่ของจอมขวัญแล้วก็พาเธอซิกแซ็กออกมาจากการจราจรที่ติดขัดมาได้
“คงติดไฟแดงอีกนาน” เมื่อมาถึงอีกทางแยกเขาก็เอ่ยขึ้นมา
จอมขวัญมองดูทางข้างหน้าก็เห็นจะจริงเพราะรถยาวมากแถมไฟเขียวก็ไม่กี่วินาทีเท่านั้น
“เอ่อ อันที่จริงฉันกลับเองก็ได้นะคะ” จอมขวัญบอกด้วยความเกรงใจ
“ไม่เป็นไรฉันไม่ได้จะไปไหนอยู่แล้ว” เขาบอกแบบสบายๆ
จอมขวัญนั่งนิ่งไม่ได้พูดอะไรต่อ บรรยากาศในรถเงียบพอสมควรเพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีอะไรจะพูด
“คิดยังไงถึงมาทำงานที่นี่” คำถามที่ดูสบายๆ และชนวีร์เองก็ถามเหมือนชวนคุย
“ว่างงานมานานค่ะ เลยอยากหางานทำ” เขาพยักหน้าเข้าใจ
“เอ่อ คุณวีร์คะ” เมื่อบรรยากาศเงียบจอมขวัญก็ทนไม่ไหวเรื่องที่เธอยังคงค้างคาใจ เธอคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะถามเขาแล้ว
“มีอะไรเหรอ”
“เรื่องเมื่อสามปีก่อนนั้น คุณหายโกรธฉันแล้วหรือคะ” เกริ่นเรื่องขึ้น
ชนวีร์ก็หน้านิ่งทันทีถึงแม้ว่าจะนิ่งอยู่แล้วก็ตาม มือที่ปล่อยสบายกำแน่นโดยที่จอมขวัญไม่ทันเห็น หญิงสาวมองเขาอย่างรอคำตอบแต่ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะเงียบอยู่นาน
จอมขวัญจึงก้มหน้าลงมองมือที่ประสานกันอยู่บนตัก พยายามสะกดกลั้นความเสียใจที่ก่อตัวขึ้นมาเงียบๆ
“ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่...”
“โกรธ ฉันยังโกรธเธออยู่”
จบคำพูดของร่างสูง จอมขวัญก็นิ่งไปราวกับถูกน้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือสาดซัดมาที่ร่าง ความเสียใจพุ่งขึ้นมาจนจุกอกและมันกำลังจะกลั่นออกมาทางตา จอมขวัญหันไปมองข้างนอกแล้วแอบปาดน้ำตาออก
“แต่กำลังพยายาม...พยายามที่จะลืมเรื่องทั้งหมด ในเมื่อทรายไปสบายแล้ว” เงียบอยู่นานชนวีร์จึงพูดขึ้น และคำพูดนั้นดูเหมือนจะเรียกความสนใจจากจอมขวัญได้เป็นอย่างดี
เธอหันหน้ามาทางเขาทั้งๆ ที่ขอบตายังคงแดง ดีที่ตอนนี้ค่ำพอควรจึงมองไม่เห็นเท่าไหร่
“ฉันไม่อยากยึดติด เธอช่วยฉันให้ลืมได้ไหม”
ดวงตาเรียวทรงเสน่ห์มองมาที่เธอนิ่ง จนจอมขวัญต้องเสมองไปทางอื่นแก้เขิน ดวงตาของเขามีเสน่ห์เกินกว่าที่เธอจะมองนานได้ ยิ่งแววตานั้นดูเหมือนจะแฝงคำเว้าวอนเอาไว้ด้วย ร่างบางยิ่งใจสั่นเข้าไปใหญ่
“ไฟเขียวแล้วค่ะ” เมื่อเห็นว่าเขายังไม่ออกรถเธอเลยบอก
ชนวีร์ขับตามคันข้างหน้าไปทันทีแล้วก็ติดอีกเหมือนเดิม เวลาผ่านไปเรื่อยๆ โดยที่ทั้งคู่ยังไม่ได้พูดอะไรกันอีก กว่าจะผ่านการจราจรที่แน่นของเมืองหลวงมาได้ก็ร่วมสองชั่วโมงเลยทีเดียว
ชนวีร์มาจอดยังหน้าที่พักตามคำบอกของคนข้างกายบนรถในตอนนี้ รถของเขาไม่ใช่ยี่ห้อหรูแต่ทำไมในความรู้สึกของจอมขวัญมันช่างนิ่มและอบอุ่นเหลือเกิน เธอลงจากรถเพราะฝนหยุดตกไปนานแล้ว ชนวีร์เดินลงจากรถมาเช่นกัน
“คำตอบของฉันล่ะ” เขาทวงถามคำตอบจากเธอหลังจากที่ใช้เวลาคิดเสียนาน
“คะ”
“ก็ที่ฉันถามว่าให้เธอช่วยทำให้ฉันลืมเรื่องราวเมื่อสามปีก่อนได้ไหม เธอยังไม่ให้คำตอบเลยว่าได้หรือเปล่า”
ไม่พูดเปล่าร่างสูงก้าวเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าของจอมขวัญด้วยระยะที่ใกล้พอสมควรในความคิดของร่างบาง เธอก้มหน้าไม่กล้าเงยขึ้นสบตาเขาเพราะมันดูทรงพลังและพานจะทำให้เธออ่อนระทวยไปเสียทุกที
“ไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมาพูดกันหน่อยหรือ”
..น้ำเสียงที่อ่อนโยนนั้นมันคืออะไร จอมขวัญคิดว่าเธอคงจะไม่มีโอกาสได้ยินเขาพูดแบบนั้นกับเธอเป็นแน่
“ฉัน” เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับสายตาที่ทำเอาแข้งขาอ่อนไปในทันที ระยะที่ห่างกันไม่เกินสิบเซนติเมตรแน่นอนเธอมั่นใจ
“ขวัญ”
“คะ”
ชนวีร์รุกหนักมาจนจอมขวัญไปไม่เป็น
“เมื่อก่อนยังแทนตัวเองว่าขวัญอยู่เลยไม่ใช่เหรอ” คำเฉลยของชนวีร์ยิ่งทำให้จอมขวัญหน้าแดงเข้าไปใหญ่
เธอไม่กล้าพูดอะไรอีกและใบหน้าก็แดงก่ำเสียจนเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งที่อากาศเย็นสบายแท้ๆ แต่จอมขวัญกลับร้อนที่ใบหน้า ยิ่งจ้องดวงตาเรียวของเขาด้วยแล้วยิ่งทำให้แข้งขาพานจะอ่อนแรงไปเสียดื้อๆ
“เอาละ พรุ่งนี้มาให้คำตอบฉันด้วยนะ แล้วเจอกัน”
ดูท่าว่าจอมขวัญจะยังไม่ได้สติเพราะเมื่อชนวีร์เดินไปขึ้นรถแล้วขับกลับบ้าน เธอก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนเลย
จอมขวัญใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น
“ขวัญอย่างนั้นหรือ” ให้เธอแทนตัวเองว่าขวัญได้ใช่ไหม
ยิ่งคิดแก้มใสก็ยิ่งแดงเข้าไปอีกก่อนที่เธอจะเอามือมาจับสร้อยที่ห้อยคออยู่ เป็นสร้อยที่เธอเก็บไว้อย่างดีเพราะมันมีความหมายสำหรับเธอมาก เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้ดีในสายตาของใครคนหนึ่ง
จอมขวัญในอดีตไม่ได้เป็นแบบนี้สักนิด หญิงสาวผอมจนแทบจะปลิวลมได้ ผิวก็เป็นสีแทนไม่ได้ขาวอย่างเช่นปัจจุบัน ผมก็เสียและชี้ฟูแถมฟันเธอก็เหยินออกมาอีกต่างหาก หญิงสาวไม่มีส่วนไหนที่น่าพิสมัยเลยสักนิด โดนล้อบ่อยด้วยซ้ำไปว่าเป็นหญิงอัปลักษณ์ไม่สวย จนกระทั่งเมื่อตอนเธออยู่มัธยมศึกษาชั้นที่หก หญิงสาวไปเรียนพิเศษที่ในตัวเมืองกลับบ้านค่ำ ระหว่างทางนั้นเองมีโจรมากระชากกระเป๋าขณะที่เธอรอรถเมล์อยู่
“ช่วยด้วยค่ะ โจรกระชากกระเป๋าค่ะ ช่วยด้วย!” เพราะคนโดยรอบไม่ค่อยมีหญิงสาวจึงส่งเสียงตะโกนออกไปก่อนจะวิ่งตามโจรไปไม่คิดชีวิต กระเป๋าใบนั้นมีโทรศัพท์ที่พ่อเพิ่งซื้อให้และเธอก็หวงมันมากเสียด้วย
โจรเร็วจนเธอตามไม่ทัน หญิงสาวหอบหายใจเหนื่อยเพราะไม่ค่อยออกกำลังกาย ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ เธอมองไปข้างหน้าไม่เห็นโจรแล้ว มันวิ่งหายลับไปพร้อมกับกระเป๋าของเธอ
..ไม่นะ เธอเพิ่งได้มือถือมาใหม่โดยแท้ ถ้าเธอเอาไปโรงเรียนเพื่อนต้องเข้ามาขอดูและเล่นกับเธอแน่นอน ทำไมถึงใจร้ายขนาดนี้นะ
“ฮึก จะทำยังไง” ตอนนี้ทั้งตัวเธอมีเงินแค่ยี่สิบบาทค่ารถเท่านั้น ของสำคัญทั้งหมดอยู่ในกระเป๋า
จอมขวัญนั่งร้องไห้ก่อนจะพยายามลุกขึ้นทั้งที่ใจอ่อนแรงเหลือเกิน
“ร้องไห้ทำไม พี่เอากระเป๋ามาให้แล้วนะ” เสียงอันอ่อนโยนและอบอุ่นปลุกให้จอมขวัญตื่นจากฝันร้าย เธอมองผู้ชายตรงหน้าอย่างอึ้งๆ หล่อราวกับเทพบุตรยิ่งตอนนี้เขากลายเป็นพระเอกขี่ม้าขาวสำหรับเธอ ร่างบางนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกยิ่งชนวีร์ยิ้มให้เธอก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูกราวกับต้องมนต์สะกดของเทวดาตนนี้เสียแล้ว
“เอากระเป๋าไปสิครับ” เขาบอกพร้อมกับยัดกระเป๋าใส่มือเธอเพราะรู้ว่าหญิงสาวคงยังไม่หายจากอาการตกใจ
“อย่าร้องไห้อีกนะคนเก่ง ร้องไห้แล้วจะไม่สวยนะ พี่ไปแล้ว” ก่อนไปเขายีผมเธออย่างเอ็นดู
ดวงตากลมมองตามแผ่นหลังของเขาที่เดินไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้าม จอมขวัญมองเขานิ่งอยู่นานจนรถคันนั้นเคลื่อนออกไป ความอบอุ่นยังติดอยู่ เธอเอามือจับที่ศีรษะทันที ความอบอุ่นนี้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งใจ ใบหน้าหล่อที่เธอจำได้แม่นยำ เขาคือรักแรกของเธอ
“เอ๊ะ! นั่น” กระดุมเม็ดสีดำตกอยู่บนพื้นและถ้าเธอเดาไม่ผิดมันคงเป็นของเขาอย่างแน่นอน ร่างบางก้มลงไปเก็บกระดุมนั้นทันที เธอยิ้มออกมาเมื่อมองพิจารณามัน
“พี่กระดุมจ๋า ไปอยู่กับขวัญดีกว่านะ” สาวน้อยนำกระดุมติดตัวกลับไปด้วย เธอโบกรถกลับบ้าน
หลังจากนั้นเป็นต้นมาจอมขวัญก็ปฏิวัติตัวเองใหม่จากคนขี้เหร่ของห้องกลายเป็นสาวสวยที่ผู้ชายต่างมาขายขนมจีบกันและแน่นอนว่าเธอไม่ได้สนใจพวกเขาสักนิด
วันประกาศผลสอบมาถึง จอมขวัญนั่งลุ้นเพราะเธอส่งคะแนนไปที่มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ และลงคณะที่มีคนลงสมัครเป็นจำนวนมากแถมคะแนนยังสูงมากอีกด้วย จอมขวัญนั่งลุ้นผลและเมื่อเปิดมาดู เธอก็ต้องกระโดดไปกอดแม่อย่างดีใจเพราะเธอติดตามที่หวัง หญิงสาววิ่งไปหาตากับยายแล้วไปกอดพร้อมทั้งผละมากอดพ่อและน้องชาย ใบหน้าหวานยิ้มออกมาอย่างยินดี
..ในที่สุดเธอก็ทำได้ แล้วตอนไหนนะจะได้เจอกับเขาอีก พี่ชายใจดีคนนั้น
ในรั้วมหาวิทยาลัย จอมขวัญถือเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่งมีผู้ชายมาจีบเธอไม่ซ้ำหน้าแต่สาวสวยก็เพียรปฏิเสธไปทุกคน จอมขวัญได้เป็นตัวแทนคณะไปประกวดดาวมหาลัยแต่เธอไม่ได้ตำแหน่ง จอมขวัญได้ตำแหน่งขวัญใจมหาชนมาแทน ซึ่งทุกคนต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอสวยมากและควรจะได้มากกว่าอีกคนเสียด้วยซ้ำไปแต่เพราะเธอไม่มีเส้นสายจึงมาไกลได้เพียงเท่านี้
“ขวัญสวยที่สุดเลยรู้ไหม” ทรายทิพย์เพื่อนสนิทของจอมขวัญเอ่ยอย่างร่าเริงในขณะที่ช่วยเพื่อนรักหอบดอกไม้ลงมาจากเวทีการประกวด
“ไม่หรอก คนอื่นสวยกว่าขวัญตั้งเยอะ”
“ไม่ ในความรู้สึกของทรายนะ ขวัญสวยมากกว่าอีก เสียดายอะ”
สองสาวช่วยกันถือดอกไม้ออกมายังลานกว้างที่คนไม่ค่อยมี
“ขวัญ ทรายโทรบอกพี่ชายของทรายมารับแล้วนะ” เพื่อนสนิทบอกแถมยังหน้าแดงอีกด้วย
จอมขวัญมองอย่างรู้ทันแล้วอดแซ็วไม่ได้
“พี่ชายที่ทรายคิดไม่ซื่อด้วยใช่ไหมล่ะ”
ทรายทิพย์ตีไหล่เพื่อนไปหนึ่งทีเบาๆ
“บ้า ไม่ใช่สักหน่อย” บ่นอุบอิบอยู่คนเดียวก่อนจะยิ้มร่าดีใจเมื่อพี่ชายเดินส่งยิ้มมาให้แต่ไกล
จอมขวัญหันหลังไปมองก็ต้องอึ้งเมื่อพบว่าพี่ชายของทรายทิพย์คือคุณกระดุม ผู้ชายที่ช่วยเธอคนนั้น! หญิงสาวนิ่งอึ้งไปและเมื่อเห็นเขาเดินมาหาเพื่อนรักของเธอก็รู้สึกเจ็บขึ้นมา
..ทรายทิพย์ชอบผู้ชายคนนี้ และดูเหมือนว่าเขาเองก็คงรู้สึกไม่ต่างจากทรายทิพย์สักเท่าไหร่
“พี่วีร์คะ นี่จอมขวัญเพื่อนของทรายเองค่ะ” ทรายทิพย์เอ่ยแนะนำให้พี่ชายรู้จักกับเพื่อนสนิทของตัวเอง
ชนวีร์มองก่อนจะยิ้มให้เพียงน้อยนิดเพราะด้วยนิสัยของเขาแล้วชายหนุ่มมักไม่ชอบยิ้มให้ใครพร่ำเพรื่อเท่าไหร่
“ขวัญ นี่พี่วีร์พี่ชายของทรายเอง”
แนะนำกันเสร็จทรายทิพย์ก็ให้พี่ชายช่วยขนของ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้หรือตุ๊กตาที่จอมขวัญได้รับเอาไปไว้หอของพวกเธอสองคน ทรายทิพย์อาศัยอยู่กับจอมขวัญที่หอพักในมหาวิทยาลัย เพราะอยากสัมผัสชีวิตเด็กหอตลอดระยะเวลาสี่ปีในการเรียนมหาวิทยาลัยแห่งนี้
ชนวีร์ขับรถไปส่งสองสาวก่อนจะชวนทรายทิพย์ออกไปกินข้าวด้วยกันสองคน หลังจากไม่ได้เจอกันมาเกือบจะสองปีแล้วเพราะเขาไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ
ชายหนุ่มพาน้องสาวที่ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าคิดกับเธอมากกว่าน้องมาที่ร้านอาหารหรูบนดาดฟ้าของโรงแรมชื่อดัง
“พี่วีร์คะ ทำไมพาทรายมาที่นี่ล่ะ”
“ทำไมครับ ทรายไม่ชอบเหรอ” ถามกลับด้วยใบหน้าที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา
“ชอบค่ะ แต่มันแพงนะ”
“แพงแค่ไหนสำหรับทรายพี่เงินจ่ายเสมอ”
คำหวานนั้นทำเอาสาวเจ้าอายม้วน เธอหันไปสั่งเมนูที่ต้องการทันทีพร้อมกับสั่งให้ชนวีร์ด้วย
บรรยากาศโรแมนติกจนทรายทิพย์อดเขินไม่ได้ สองหนุ่มสาวรับประทานอาหารใต้แสงจันทร์และแสงเทียนที่ส่องสว่าง
“ทราย พี่มีของจะให้ด้วย” กล่องกำมะหยี่ถูกยื่นมาตรงหน้าทรายทิพย์
หญิงสาวหยิบมาก่อนจะเปิดดูก็พบแหวนเงินเรียบที่มีตัวอักษรสลักข้างในว่า CS เป็นชื่อย่อที่ชนวีร์มักจะใช้บ่อยจนเธอสงสัย
“ชนวีร์กับทรายทิพย์ไงครับ ชื่อของพี่กับของทราย พี่รักทรายนะ เป็นแฟนกับพี่ได้ไหม”
คำเอ่ยขอตรงๆ ทำให้น้องน้อยถึงกับพูดไม่ออก มันตื้นตันเพราะความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาไม่ใช่แค่รักข้างเดียวอีกต่อไปแล้ว
..เขาขอเธอเป็นแฟน เขารักเธอเหมือนกัน
“ค่ะ” ทรายทิพย์ตอบกลับไปทันที
ชนวีร์เดินมากอดเธอแน่นในที่สุด หัวใจของเขาถูกเติมเต็มด้วยผู้หญิงคนนี้ เขาสาบานว่าจะดูแลเธออย่างดีไปตลอดชีวิต
หลังจากกลับมา ทรายทิพย์ก็พูดให้จอมขวัญฟังทุกเรื่องและนั่นทำให้หญิงสาวจุกจนพูดไม่ออก
..คนที่เธอแอบรัก รักแรกของเธอเป็นแฟนกับเพื่อนรักของเธอ แล้วแบบนี้เธอจะทำอะไรได้อีกละนอกจากอยู่เฉยๆ และให้เขารักกัน
คืนนั้นจอมขวัญนอนร้องไห้จนตอนเช้าตื่นมาตาบวม เธอไม่ไปเรียนบอกกับทรายทิพย์ว่าไม่สบายแล้วนอนคลุมโปง หัวใจดวงน้อยรวดร้าวเพราะทุกสิ่งที่เธอทำมาเพื่อเขาแต่เหมือนว่าเขาจะจำเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ
..เจ้าชายขี่ม้าขาวของเธอกลายไปเป็นของคนอื่นเสียแล้ว คนอื่นที่เป็นเพื่อนที่เธอรักมากที่สุดนั่นเอง
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จอมขวัญใช้ชีวิตส่วนมากอยู่กับทรายทิพย์และก็ต้องเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อชนวีร์มาหาคนรัก ทั้งสองแสดงถึงความรักที่มีต่อกันจนจอมขวัญอิจฉา บางครั้งเธอก็อยากเดินแทรกกลางระหว่างทั้งคู่แต่ก็ไม่กล้า เธอทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะทรายทิพย์คือเพื่อนของเธอ เพื่อนรักที่หาได้ยาก
เวลาไปกินข้าวกันสามคนแม้จะมีทรายทิพย์อยู่ด้วยแต่ก็ดูเหมือนเธอเป็นส่วนเกิน จนเดี๋ยวนี้เธอไม่ไปกับทรายทิพย์ถ้ามีชนวีร์อยู่ด้วย และอีกอย่างที่ทำให้เธอเจ็บปวดคือชนวีร์แทบจะไม่คุยอะไรกับเธอเลย เขาหวานใส่แฟนสาวแต่กับจอมขวัญแทบจะไม่ได้ยินเสียงเขา เมื่ออยู่ด้วยกันสองคนเขาก็เงียบหรือไม่ก็ถามไถ่เธอนิดหน่อยก่อนจะทำอย่างอื่นไป ใจของเธอเจ็บจนอยากจะร้องไห้แต่เพราะร้องมันเสียทุกคืนจนน้ำตาจะไม่เหลือแล้ว
ในคืนหนึ่งที่จอมขวัญไม่สบาย หญิงสาวมานอนที่ห้องของทรายทิพย์เพราะเพื่อนสนิทบังคับว่าจะได้ดูแลกันสะดวกก่อนที่อีกฝ่ายจะออกจากห้องไปซื้อยาให้เธอ ระหว่างที่หลับนั้นเองจอมขวัญรู้สึกเหมือนมีคนมานอนกอดก่อนจะจูบที่แก้มนวลเบาๆ เธอพยายามขัดขืนแต่ก็ไม่ได้ผลเพราะเขาช่างแข็งแรงเหลือเกิน
“พี่เอง คนดี” เสียงที่คุ้นเคยทำให้เธอหยุดดิ้นนั่นทำให้ชนวีร์โจมตีด้วยการจูบแผ่วเบาที่ริมฝีปากของเธอ เขากอดเธอไว้แน่นและรู้สึกว่าคนใต้ร่างกำลังไม่สบายเพราะอุณหภูมิตัวที่ร้อนมากนั่นเองแต่เขาก็ยังไม่หยุดที่จะแตะต้องร่างกายของเธอเพราะคิดว่าคือทรายทิพย์
ชนวีร์จูบเธออย่างดูดดื่มราวกับจะสูบวิญญาณออกจากร่างกายสาว เขาลูบไล้ไปทั่วร่างกายของเธอและยิ่งลุ่มหลงเพราะมันช่างยั่วยวนยิ่งนัก เขาสอดมือเข้าไปภายในเสื้อยืดตัวบางลูบหน้าท้องเนียนที่แบนราบไม่มีไขมันและขึ้นสูงไปยังดอกบัวคู่งามและก่อนที่เขาจะทำอะไรไปมากกว่านี้ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเสียก่อน
“ขวัญ! ทรายมาแล้วนะ เดี๋ยวเอาโจ๊กใส่ถ้วยเข้าไปให้นะ” และนั่นทำให้ชนวีร์รีบดีดตัวออกมาทันที
ชายหนุ่มเดินไปเปิดไฟมองจอมขวัญที่นอนหน้าแดงด้วยแววตาวาวโรจน์ ผู้หญิงคนนี้คิดจะอ่อยเขาและปลอมตัวเป็นทรายทิพย์อย่างนั้นหรือ
“ไม่” จอมขวัญพูดไม่ออกเพราะเจ็บคอและร่างกายอ่อนเพลียด้วย
ชนวีร์เปิดประตูห้องออกไปเจอกับแฟนสาวทรายทิพย์ก็ตกใจ
“พี่มาหาเราแต่เห็นเพื่อนเราไม่สบายเลยอยู่ดูรอเรา” ยังไม่ทันที่ทรายทิพย์จะได้พูดอะไรร่างสูงก็พูดโดยไม่ฟังอะไรแล้วเดินไปนั่งรอข้างนอกทันที
“เขาเป็นอะไรของเขา”
เพราะไม่ได้คิดอะไรมากทรายทิพย์จึงเดินเอาโจ๊กไปให้เพื่อนพร้อมกับยาและน้ำก่อนจะเดินไปหาชนวีร์ที่นั่งรออยู่
จอมขวัญกินโจ๊กไปแล้วก็รู้สึกผิดที่เธอรู้สึกดีกับจูบของเขาเมื่อครู่ มันรู้สึกร้อนไปทั่วร่าง ไม่อยากให้เขาหยุดแต่เมื่อเห็นดวงตาวาวโรจน์ก็เจ็บจนอยากร้องไห้ มือบางปาดน้ำตาออกอีกครั้งเมื่อน้ำตาไหลลงมาอย่างคนอ่อนแอ
“ไม่ร้องนะขวัญ” เธอปลอบตัวเองแล้วกินโจ๊กจนหมดแล้วตามด้วยยาก่อนจะนอนหลับไปในเวลาค่ำ
ในความฝันเธอฝันว่าเขาเดินมากอดเธอไว้ด้วยอ้อมกอดที่อบอุ่น เช็ดน้ำตาให้เธออย่างแผ่วเบาพร้อมกับกระซิบที่ข้างหูของเธอว่ารักมากมาย
ใช่..นั่นมันก็แค่ฝันเพราะเมื่อตื่นมาพบกับความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด
“เธอมันเป็นผู้หญิงน่ารังเกียจและขยะแขยงที่สุด!” เมื่อเขาอยู่กับเธอสองคนเขาก็พูดขึ้น
จอมขวัญไม่ได้โต้ตอบอะไรไปเธอนิ่งเงียบ
“ขอโทษค่ะ” จอมขวัญเอ่ยเบาๆ ก่อนจะเดินหนีออกไประหว่างที่รอเพื่อนไปสั่งอาหารอยู่ เธอเดินร้องไห้ออกมาแล้วหลบมานั่งอยู่ริมสระน้ำที่ไม่ค่อยมีคน ร่างบางสะอื้นจนตัวโยนใจยิ่งเจ็บเมื่อเขาเกลียดเธอเข้าไปเสียแล้ว
“ขวัญไปไหนคะ” ทรายทิพย์มาถึงโต๊ะก็ถามหาเพื่อน
“เขาว่ามีธุระเลยให้เรากินข้าวกันสองคน ทรายซื้ออะไรมาให้พี่กินครับ” ชนวีร์ตัดบทหวานใส่แฟนสาว
เขานั่งเล่นอยู่คณะของทรายทิพย์จนค่ำถึงกลับบ้าน โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีสายตาอาลัยอาวรณ์มองอยู่
จอมขวัญมองเขาอย่างตัดพ้อเพราะตอนนั้นเขาคือเทพบุตรสำหรับเธอ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเทพบุตรจะกลายร่างเป็นซาตานเสียแล้ว
๔รุกเช้าต่อมาบรรยากาศโดยรอบมีเมฆหนาพอสมควร ท้องฟ้าไม่มีแสงแดดเลยแม้แต่น้อยเพราะเมฆมาบดบัง ร่างบางเดินออกมาจากหอพักด้วยความเร่งรีบตอนนี้เธอสายมากแล้วกว่าที่จะขึ้นรถเมล์แล้วไปถึงบริษัทคงได้ลงชื่อสายแน่นอนใบหน้าหวานมีเหงื่อผุดขึ้นบริเวณไรผม เธอเช็ดอย่างเร่งรีบแล้วเดินออกมาโดยเร็วก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแตรรถ“ขึ้นมาสิ” แล้วก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อพบว่ารถที่มาจอดเทียบริมฟุตปาธแล้วกดแตรใส่เธอนั้นคือเจ้านายของเธอนั้นเอง“คุณวีร์” ดูเหมือนการที่ชนวีร์จอดรถโดยไม่ได้เลี้ยวหลบทำให้เกิดปัญหาขึ้นเพราะตอนนี้ข้างหลังรถเริ่มติด เสียงแตรบีบดังเพราะความรีบของรถด้านหลัง“ขึ้นมาเร็ว รถข้างหลังเขาบีบแตรไล่ฉันอยู่นะ”ไม่ทันจะได้ขึ้นเพราะเขาจ้องเธอด้วยสายตาบังคับ จอมขวัญขึ้นรถมานั่ง ชนวีร์ก็ขับออกไป“คุณวีร์มาทำอะไรแถวนี้คะ” ขึ้นรถมาได้เธอก็ถามเขาชนวีร์หันมามองคนข้างกายแล้วมองไปตรงทางข้างหน้า“ก็แค่ผ่านมา เห็นพนักงานเดินข้างทางดูคุ้นๆ สงสารเลยรับมา ทำไมเหรอ” หญิงสาวส่ายหน้า แม้จะแอบคาดหวังสักนิดว่าเขามารับเธอแต่ก็คงเป็นได้แค่ความหวังเพราะความจริงไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เธอคิดแม้แต่น้อยเลยด้วยซ้ำบนรถต
๕แผนการ“คุณวีร์!” ใบหน้าคมเข้มที่คุ้นเคยตอนนี้มีเลือดไหลลงมาเป็นทางจอมขวัญมองเขาอย่างเป็นห่วง พยายามประคองให้ร่างสูงไปนอนข้างเตียงของเธอ ร่างบางวิ่งวุ่นหาผ้าขนหนูขนาดเล็กและกะละมังใส่น้ำเพื่อมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้เขา จอมขวัญเช็ดหน้าที่มีเลือดเปื้อนให้ชนวีร์ก่อนจะเห็นว่าแผลไม่ใหญ่ถึงขั้นต้องเย็บแต่ที่เลือดไหลเยอะอาจเพราะโดนฝนด้วยก็เป็นได้“หนะ หนาว” เสียงเข้มเอ่ยแผ่วเบาเต็มที“ทนหน่อยนะคะ”ฝนยังคงตกไม่หยุด ร่างบางเข้าไปเปลี่ยนน้ำแล้วมาถอดเสื้อให้ชายหนุ่มทันที แม้ใจจะเต้นแรงแต่ถ้าให้เขานอนเปียกแบบนี้ก็กลัวว่าจะเป็นปอดบวมไปเสียก่อน เมื่อเสร็จที่ท่อนบนท่อนล่างยิ่งสร้างความกังวลใจให้เธอเข้าไปอีก“ขอโทษนะคะ ขวัญทำด้วยใจบริสุทธิ์นะ” ก่อนจะถอดกางเกงให้เขาจอมขวัญก็บอกก่อน กลั้นใจรูดซิปแล้วพยายามดึงลงมาแต่มันค่อนข้างทุลักทุเลพอสมควร“คุณวีร์ช่วยยกสะโพกขึ้นหน่อยได้ไหมคะ” ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินหรือเปล่าที่เธอพูดแต่ก็บอกไปแล้ว ดูเหมือนว่าชนวีร์จะรู้ว่าเธอพูดอะไรเพราะเขายกสะโพกขึ้นทำให้ผ่านช่วงทุลักทุเลไปได้ ตอนนี้ทั้งร่างหนาจึงมีเพียงแค่กางเกง บ๊อกเซอร์เท่านั้นจอมขวัญพยายามไม่มองแล้วหากางเกงขนา
๖เมารักร่างบางส่องกระจกเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเองหลังได้รับโทรศัพท์จากบุษบามินตราช่วงเช้าที่ผ่านมาว่าจะมารับเธอไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าที่ตนเองดูแลร้านเพชรอยู่ มีเรื่องราวมากมายที่ต้องการจะคุยด้วย จอมขวัญก็ตอบรับปากไป ทั้งสองสาวจึงนัดกันเวลาสิบโมงครึ่งที่ห้างดังระหว่างที่เดินออกมาจากห้องเพื่อไปขึ้นรถเมล์ที่ตอนนี้คนก็เยอะพอสมควร สองเท้าเดินไปอย่างไม่เร่งรีบเพราะเธอกะเวลาแล้วว่าอย่างไรก็ไปถึงที่นัดหมายก่อนเวลาอย่างแน่นอน“สวัสดีค่ะแม่”“เป็นอย่างไรบ้างขวัญ ไม่ค่อยโทรหาแม่เลยนะ”ร่างบางอมยิ้มก่อนจะออดอ้อนแม่บอกถึงสาเหตุที่ไม่ค่อยได้โทรไปหา“ขอโทษนะคะแม่ ขวัญยุ่งมากงานเต็มโต๊ะเลยจริงๆ น้า” เสียงหวานตอบกลับไปจนมารดาที่กำลังนั่งเย็บผ้าอยู่คิดว่าถ้าลูกสาวอยู่ด้วยตอนนี้ต้องกอดเธอเป็นแน่แท้“จ้า งานเยอะก็อย่าหักโหมนะลูก พักบ้างนะ เดี๋ยวถ้าพ่อกับแม่ว่างจะลงไปหานะ ตาก็บ่นถึงเราตลอดเวลาเลย จนยายต้องปรามบ้าง”หล่อนหัวเราะออกมาด้วยความขำ ตามักจะเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่สมัยที่เธอมาเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพแล้ว ตาของเธอมักจะหวงหลานเสมอเพราะหลานสาวออกจะสวยปานนั้น“ฝากบอกตาด้
๗คำหวานแสงแดดที่ส่องเข้ามาภายในบ้านทำให้ร่างสูงที่นอนหลับตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงียก่อนจะรับรู้ได้ว่าข้างกายตนตอนนี้ว่างเปล่าและเย็นชืด..เธอหายไปไหนชนวีร์มองรอบกายก็ไม่พบร่างที่ตนกกกอดเมื่อคืน คิดแล้วเขาก็แสยะยิ้มอย่างสมใจถึงแม้ว่าเหตุการณ์เมื่อคืนจะไม่ได้อยู่ในแผนการของเขาแต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะทำให้แผนของเขาสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นร่างสูงลุกขึ้นจากที่นอน ค้นเสื้อผ้าที่จะใส่แล้วเข้าไปอาบน้ำข้างนอกที่ตอนนี้บรรยากาศเย็นกำลังดี เขาใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็เสร็จ แต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ออกมาข้างนอก ชนวีร์เข้าไปตากผ้าขนหนูและเก็บที่นอนส่วนของตนเองตรวจดูความเรียบร้อยแล้วค่อยออกมาจากบ้าน ไปยังบ้านของนายฮุง เมื่อมาถึงเขาก็พบนายฮุงกำลังนั่งรับประทานอาหารกับผู้หญิงที่อายุค่อนข้างมาก“สวัสดีคุณชนวีร์ กินข้าวด้วยกันไหม” เรียกตามคนอัธยาศัยดีร่างสูงจึงเดินมานั่งร่วมวงด้วย“ก็ดีเหมือนกันครับ แล้วคุณเห็นแฟนผมไหม” มองไปโดยรอบก็ยังไม่พบร่างบางที่คุ้นตาจึงเอ่ยถามขึ้นมานายฮุงอมยิ้มกับแม่ของตนแล้วหันมามองผู้ชายที่นั่งทำหน้างง“เมียคุณไปเดินเล่นในหมู่บ้านกับเมียผมตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกเมื่อคืนคงเพลียสิท่
๘แค่ละครหรือความรู้สึกจริงสองสัปดาห์แล้วที่ชนวีร์ไม่เข้าบริษัทเคเคโภคภัณฑ์เพราะว่าเกิดปัญหาที่บริษัทส่งออกรถยนต์ขึ้น ทำให้เขาต้องไปที่ต่างประเทศเพื่อเคลียร์ปัญหา แต่ว่าที่เขาหายไปก็ไม่ได้ตัดขาดการติดต่อกับเธอ ชายหนุ่มมักจะโทรมาหาเธอทุกวันคุยกันเป็นชั่วโมงแม้บางครั้งอาจจะเงียบไปแต่เธอก็ไม่ได้อึดอัดแต่อย่างใด“ขวัญ พี่ขอดูเอกสารรายรับของสัปดาห์ที่แล้วหน่อย” ดาหวันไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารที่กำลังตรวจจอมขวัญหาเอกสารก่อนจะยื่นให้ทันทีแล้วกลับมาคำนวณรายได้ของสัปดาห์นี้ต่อ งานของเธอต้องใช้ตัวเลขทั้งวัน กลับหอไปบางครั้งต้องกินยาแก้ปวดหัวไว้ทุกทีบริษัทวันนี้วุ่นวายพอสมควร เพราะชนวีร์สั่งการมาว่าหลังจากที่เขากลับ มาจากต่างประเทศจะมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่มาดูบริษัทจึงต้องทำรายงานเตรียมไว้ช่วงบ่ายจอมขวัญก็ทำงานจนแทบไม่มีเวลาได้หายใจหายคอเลย เมื่อเลิกงานเธอก็เดินออกจากบริษัทเพื่อที่จะขึ้นรถเมล์กลับหอแต่ระหว่างทางก็เจอกับปนิธิเมื่อจะทักเขาอีกฝ่ายก็เดินผ่านเธอไปราวกับมองไม่เห็น ทำเอาจอมขวัญชะงักหน้าเสียสองสัปดาห์มานี้ปนิธิไม่พูดคุยกับเธอเลยก็ว่าได้หรือถ้าคุยก็เป็นเรื่องงานเท่านั้น แม้ว่าจอมขวัญ
๙จุดสำคัญรถคันหรูขับเข้ามาภายในบ้านหลังใหญ่ที่ตอนนี้เปิดไฟไว้เพียงหน้าบ้านเท่านั้น ภายในตัวบ้านถูกปิดไว้แต่ไม่ได้ลงกลอน ชนวีร์ลงจากรถไปประเปิดประตูให้หญิงสาวที่ตอนนี้หลับอยู่ในรถด้วยความเพลีย ร่างบางถูกเขาอุ้มขึ้นเพราะไม่อยากจะรบกวน“ตายแล้วคุณวีร์นั่นใครเป็นอะไรคะ” แม่บ้านที่นั่งรอเจ้านายเดินออกมาจากห้องพักหลังบ้านเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดและเสียงรถ “ตายแล้ว! นี่มันคุณขวัญนี่คะ” เมื่อมองดูใกล้ๆ ก็พบว่าเป็นจอมขวัญเพื่อนสนิทของคุณหนูทรายทิพย์ที่ลาจากโลกนี้ไปแล้วนั่นเองชนวีร์ไม่พูดอะไรมากเขาหันมาสั่งให้แม่บ้านเตรียมน้ำใส่กะละมังเล็กและผ้าขนหนูขนาดเล็กเพื่อไปเช็ดตัวให้เธอ ซึ่งคุณแม่บ้านคนเก่าแก่ก็รีบทำตามเมื่อมาถึงชั้นสองของบ้านชนวีร์ก็พาร่างบางไปนอนยังห้องของตัวเอง ไม่นานนักคุณแม่บ้านคนเก่าแก่ก็ตามขึ้นมา ชนวีร์จึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหล่อนในการดูแลเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หญิงสาวเพราะว่าถ้าเป็นเขาคงไม่ควรเท่าไหร่นัก“พี่วีร์ พี่ขวัญเป็นอย่างไรบ้างคะ” บุษบามินตรามาถึงบ้านพร้อมกับพีรยศก็ถามถึงพี่สาวคนสนิททันที ชนวีร์เลยบอกว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรแล้วตอนนี้ป้าหอมจันทร์ก็กำลังดูแลอยู่ น้อ
๑๐เจ็บปวดร่างบางที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มสีขาวยังคงหลับใหลหลังจากที่เมื่อคืนทำกิจกรรมจนดึก เขาไม่ปล่อยให้เธอนอนเลยจนกระทั่งตีสอง ด้วยความเหนื่อย จอมขวัญหลับไปตอนไหนไม่รู้และตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นง่ายๆ เสียด้วยร่างสูงซึ่งกำลังใส่นาฬิกาอยู่มองไปที่คนบนเตียงแล้วแสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย เกมรักได้จบลงไปแล้ว ต่อไปนี้เขาจะมอบเกมแค้นให้เธอเอง หลังจากแต่งตัวเสร็จชนวีร์ก็เดินออกไปจากห้องโดยไม่เหลียวแลกลับมาดูคนบนเตียงเลยสักนิดแต่เขาก็ยังมีกะใจสั่งอาหารเช้าขึ้นมาให้เธออยู่เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นปลุกให้คนที่กำลังอยู่ในนิทราลืมตาตื่นขึ้นมา เธอยกมือบังแสงอาทิตย์ที่สาดมายังเตียงนอนก่อนจะมองไปรอบกายทันที ข้างกายที่เมื่อคืนเคยอุ่นตอนนี้กลับเย็นชืดจนน่าใจหาย“สวัสดีค่ะพี่ดา”เป็นดาหวันที่โทรมาหาเธอเพราะสายมากแล้วแต่ ก็ยังไม่เห็นจอมขวัญเข้ามาที่บริษัท‘ขวัญอยู่ไหนจ๊ะ พอดีพี่เห็นสายมากแล้วเรายังไม่เข้ามาเลยเป็นห่วง’ในขณะที่คุยโทรศัพท์จอมขวัญก็พยายามสอดส่ายสายตาหาคนที่นอนด้วยเมื่อคืน“เอ่อ พอดีมีธุระนิดหน่อยค่ะ เดี๋ยวขวัญเข้าไปนะคะพี่ดา” บอกลาเสร็จเธอก็กดวางสายแล้วหยิบชุดคลุมมาสวมปิดร่างกา
๑๑ทำร้ายใจกลับลงมาจากห้องของท่านประธาน จอมขวัญก็เดินมายังแผนกพยายามที่จะไม่ร้องไห้แต่ก็กลั้นไว้ได้ยากเหลือเกิน ใจดวงน้อยเจ็บไปหมดจนเธอคิดว่าอย่างไรวันนี้ก็คงทำงานไม่ได้แน่นอน เมื่อมาถึงยังแผนกบัญชีร่างบางก็เดินเข้าไปขอลางานกับปนิธิโดยมีสายตาทั้งสามคู่มองอยู่“พี่วีร์คะ ขวัญขอลางานช่วงเช้านะคะ” บอกเสียงสั่นในขณะที่ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาพร้อมจะไหลลงมาทุกเมื่อจนปนิธิสงสารเขาพอจะรู้เรื่องของเธอจากข่าวที่แพร่ไปอย่างรวดเร็ว“พี่อนุมัติ แต่มีข้อแม้ว่าขวัญต้องให้พี่ไปด้วยนะ” อยากจะปฏิเสธแต่ดูเหมือนว่าหัวหน้าของเธอจะเก็บของทันทีที่พูดจบโดยที่ไม่เปิดทางให้เธอได้ปฏิเสธเลยปนิธิเก็บของเสร็จก็สะพายกระเป๋าเดินจับมือจอมขวัญออกมาข้างนอกห้องโดยมีสายตาทั้งสามคู่มองอยู่“ผมออกไปทำธุระกับขวัญนะ เดี๋ยวตอนบ่ายจะเข้ามา” ทั้งสามตอบรับร่างสูงจึงให้รุ่นน้องไปเก็บของแล้วเดินตามเขาออกไปข้างนอก ทั้งสองเดินออกมาด้วยกันทำให้เป็นเป้าสายตาอย่างมากเพราะมีข่าวว่าปนิธิเมินจอมขวัญช่วงหนึ่งในขณะที่ฝ่ายหญิงตัวติดกับท่านประธาน และก็มีข่าวมาอีกว่าท่านประธานทิ้งฝ่ายหญิงทำให้ลือกันไปต่างๆ ว่าจอมขวัญจะหันมาหาปนิธิ“นั่นไง ฉันว่า