ระหว่างการเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตรายและความท้าทาย ไรอัน ลีอา เอลเลียต และอาเรียน่าได้พัฒนาความสัมพันธ์และความผูกพันที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่ในหมู่พวกเขา ความรู้สึกที่ซับซ้อนที่สุดกลับเกิดขึ้นระหว่างไรอันและลีอา ทุกครั้งที่พวกเขาร่วมเผชิญกับอุปสรรค ความใกล้ชิดและความเข้าใจในกันและกันก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เช้าวันหนึ่ง เมื่อพวกเขาตั้งแคมป์ใกล้ลำธารเล็กๆ ที่น้ำใสสะอาดสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกาย ลีอากำลังนั่งอยู่ริมลำธารพลางล้างหน้าเบาๆ ส่วนอาเรียน่า ลงไปแหวกว่ายน้ำเล่นอย่างสบายใจ ไรอันเดินออกไปนั่งเงียบๆเพียงลำพัง ปล่อยให้สองสาวใช้เวลาทำธุระส่วนตัว มือของเขาสัมผัสที่ด้ามดาบอย่างเงียบๆ ขณะที่สายลมพัดเบาๆ ผ่านผิวหน้าของเขา ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆครึ้มดูเหมือนจะสะท้อนความรู้สึกในใจของเขาเอง ภาพความทรงจำจากอดีตค่อยๆ ผุดขึ้นมาในจิตใจของเขา ราวกับว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เขานึกถึงลูเซียส เพื่อนรักที่เคยเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตลอด พวกเขาไม่ใช่เพียงแค่เพื่อนร่วมรบ แต่เป็นพี่น้องในสนามรบที่มีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเกินกว่าคำพูดจะอธิบายได้ ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น ไรอันจำได้ว่าเขากับลูเซียสพบกันครั้งแรกที่ค่ายฝึกซ้อม ทั้งคู่ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความฝันและความมุ่งมั่น แม้จะมีความแตกต่างทางพื้นเพและบุคลิกภาพ แต่พวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนกันได้อย่างรวดเร็ว ความผูกพันระหว่างพวกเขาเริ่มจากการฝึกซ้อมต่อสู้ด้วยกัน ลูเซียสเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการใช้ดาบ ในขณะที่ไรอันมีความเฉลียวฉลาดและสามารถวางกลยุทธ์ได้เป็นเลิศ พวกเขามักจะใช้เวลาฝึกซ้อมกันในยามเช้าและยามเย็น ทั้งสองผลัดกันเป็นคู่ต่อสู้และคู่ซ้อม เรียนรู้จากกันและกันเสมอ เมื่อใครคนหนึ่งล้มลง อีกคนก็จะช่วยพยุงขึ้นมาเสมอ ไม่มีคำพูดใดที่จะอธิบายความรู้สึกของพวกเขาได้ดีไปกว่าความไว้วางใจที่ลึกซึ้งนั้น ในสนามรบที่เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงดาบกระทบกัน พวกเขายืนเคียงข้างกันเสมอ ลูเซียสเป็นคนที่ไรอันเชื่อมั่นว่าจะปกป้องหลังของเขา และในทางกลับกัน ลูเซียสก็รู้ว่าไรอันจะไม่มีวันทิ้งเขาไว้เบื้องหลัง พวกเขาต่อสู้ด้วยกันในหลายศึก ทั้งสองผ่านความเป็นและความตายมาด้วยกันหลายครั้ง และหลายครั้งที่ไรอันรู้สึกถึงความกลัวและความหวาดหวั่น แต่เมื่อเห็นลูเซียสยืนหยัดอยู่เคียงข้าง เขาก็รู้สึกเข้มแข็งขึ้น ไรอันจำได้ถึงคืนหนึ่งที่พวกเขานั่งรอบกองไฟ หลังจากที่เพิ่งเอาชีวิตรอดจากการโจมตีของข้าศึกที่รุนแรงที่สุด ลูเซียสยิ้มให้เขาและกล่าวว่า “เจ้ารู้ไหม ไรอัน... ไม่ว่าศึกไหน ข้าก็มั่นใจว่าจะรอดมาได้ เพราะข้ามีเจ้าอยู่เคียงข้าง” คำพูดนั้นยังคงก้องอยู่ในใจของไรอัน เขาไม่เคยคิดว่ามันจะกลายเป็นความทรงจำที่ปวดร้าวในเวลาต่อมา ความทรงจำอีกหลายเหตุการณ์ไหลกลับเข้ามาในใจของไรอัน เขาจำได้ถึงวันที่พวกเขาช่วยกันต้านทานข้าศึกจนถึงที่สุด วันที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความเป็นตายอย่างแท้จริง ข้าศึกที่มาจากทุกทิศทุกทางเหมือนคลื่นทะเลที่ไม่มีวันหยุดพัก กองทัพของพวกเขาถูกโจมตีอย่างหนักจนแทบไม่เหลือแรงที่จะสู้ต่อ แต่ไรอันและลูเซียสไม่เคยยอมแพ้ แม้จะบาดเจ็บและเหนื่อยล้าเกินบรรยาย ทั้งคู่ยืนเคียงข้างกัน สู้จนกระทั่งไม่มีแรงยืน เมื่อดาบที่ไรอันถืออยู่เริ่มหนักเหมือนแทบจะยกไม่ไหว แขนสองข้างที่จับด้ามดาบนั้นสั่นไหว ลูเซียสก็เข้ามาประคองและกระตุ้นให้เขาอย่าถอยกลับ "อย่ายอมแพ้ ไรอัน ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าล้มที่นี่" ลูเซียสพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่สั่นคลอน แม้จะอยู่ท่ามกลางเสียงกรีดร้องและเสียงดาบกระทบกัน แต่คำพูดของลูเซียสก็เหมือนเป็นเแรงผลักดันที่คอยปลุกให้ไรอันลุกขึ้นสู้ต่อไป พวกเขาสู้ไปด้วยกัน ล้มลงและลุกขึ้นสู้ใหม่ ดาบฟาดฟันและลูกศรพุ่งเข้าใส่เหมือนพายุ แต่ไรอันและลูเซียสยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง จนกระทั่งพวกเขาต้านทานข้าศึกได้ในที่สุด ข้าศึกที่ดูเหมือนไม่มีวันหมดเริ่มถอยกลับไป ทิ้งร่างที่ไร้ชีวิตและเสียงหอบหายใจหนักๆ ไว้ในสนามรบที่เต็มไปด้วยเลือดและเหงื่อ เมื่อการต่อสู้จบลง ทั้งคู่ต่างนั่งลงกับพื้นดินอย่างอ่อนล้า พวกเขามองไปรอบๆ เห็นเพื่อนร่วมรบที่ยังยืนอยู่และผู้ที่ล้มลงไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีกแล้ว ทั้งไรอันและลูเซียสต่างรู้สึกถึงความเจ็บปวดในร่างกายและจิตใจ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความภาคภูมิใจที่พวกเขายังอยู่เคียงข้างกัน แม้จะผ่านความยากลำบากและอันตรายมากเพียงใดก็ตาม วันนั้นเป็นวันที่พวกเขาสาบานว่าจะปกป้องกันและกันจนวันตาย ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถแยกพวกเขาออกจากกันได้ ไรอันจำได้ถึงคำสาบานนั้น ลูเซียสยื่นมือออกไปและจับมือไรอันแน่น ดวงตาของเขาส่องประกายด้วยความเชื่อมั่น “ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ ไรอัน ข้าสาบาน” คำพูดนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่คำพูด แต่มันเป็นคำมั่นสัญญาที่มาจากใจ และไรอันก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เขาจับมือของลูเซียสตอบและยิ้มให้ “ข้าก็สาบานว่าจะปกป้องเจ้า ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม” เสียงหัวเราะของพวกเขาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของสนามรบ มันเป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความโล่งใจ ความสุขที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ และความภาคภูมิใจที่พวกเขาได้ปกป้องสิ่งที่พวกเขารักไว้ได้ พวกเขาแบ่งปันช่วงเวลาแห่งชัยชนะนั้นด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งและมีค่า ทุกครั้งที่พวกเขาผ่านความเป็นและความตายมาด้วยกัน มิตรภาพของพวกเขาก็ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่พวกเขาได้พักผ่อนหลังการต่อสู้ เสียงหัวเราะและคำพูดล้อเลียนกันทำให้พวกเขารู้สึกถึงชีวิตชีวาและความหวังที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แม้ในยามที่โลกดูเหมือนจะโหดร้ายที่สุด แต่ตราบใดที่พวกเขายังมีกันและกัน พวกเขาก็ยังคงเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ แต่มิตรภาพนั้นกลับถูกทำลายลงอย่างช้าๆ เมื่อความมืดเริ่มกลืนกินลูเซียส ความเปลี่ยนแปลงที่ไรอันไม่อาจเข้าใจและไม่อาจยอมรับได้ ในวันที่ลูเซียสเลือกทางเดินที่ต่างออกไป ไรอันรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายได้ มันเหมือนกับการสูญเสียส่วนหนึ่งของตัวเองไป “ทำไม... ทำไมเจ้าต้องทิ้งทุกอย่างไปแบบนี้” ไรอันพึมพำเบาๆ กับตัวเอง ขณะที่ความทรงจำอันแสนหวานกลายเป็นความเจ็บปวดที่ไม่มีวันลืม ไรอันถอนหายใจและเงยหน้ามองท้องฟ้า แม้ว่าลูเซียสจะเปลี่ยนไป แต่ความทรงจำที่พวกเขาเคยมีร่วมกันยังคงเป็นแรงผลักดันให้เขาก้าวต่อไป ในหัวใจของเขายังมีความหวังว่า... สักวันหนึ่งเขาจะสามารถดึงเพื่อนรักกลับมาจากความมืดได้ แม้ว่าจะต้องผ่านอุปสรรคมากมายเพียงใดก็ตาม “ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ?” เสียงใสของลีอาดึงไรอันออกจากภวังค์ เขามองเธอที่กำลังหันหน้ามาทางเขา ดวงตาสีเขียวมรกตของเธอเปล่งประกายด้วยความสงสัยและความอ่อนโยนไรอันยิ้มออกมาเล็กน้อย เขามองดูเธอด้วยความรู้สึกที่เขาเองก็ไม่อาจเข้าใจได้ดีนัก หัวใจของเขาเต้นรัวทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มของเธอ “ข้าแค่คิดว่า… ข้ารู้สึกโชคดีที่มีเจ้าร่วมทาง ข้าไม่เคยคิดว่าจะมีใครที่ข้ารู้สึกเชื่อใจได้มากเท่านี้” ลีอายิ้ม “ข้าเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน การเดินทางครั้งนี้คงจะหนักหนากว่านี้ถ้าไม่มีท่านอยู่เคียงข้าง ข้ารู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่ท่านอยู่ใกล้” คำพูดของเธอทำให้หัวใจของไรอันอบอุ่นขึ้น แต่ก็มีบางสิ่งในใจของเขาที่ทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจ “แต่ข้าก็อดคิดไม่ได้ว่า…ข้าอาจจะไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ ข้าเคยล้มเหลวมาก่อน และข้ากลัวว่าจะทำให้เจ้าเจ็บปวดและผิดหวัง” ลีอามองหน้าเขาอย่างจริงจัง “ท่านไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบทุกสิ่งไว้คนเดียว ไรอัน ข้าเองก็แข็งแกร่งและพร้อมที่จะต่อสู้เคียงข้างท่าน เราต่างต้องพึ่งพากันและกัน การต่อสู้นี้ไม่ใช่เรื่องของท่านเพียงคนเดียว” ไรอันรับรู้ถึงความตั้งใจและความมุ่งมั่นในน้ำเสียงของเธอ เขารู้สึกว่าลีอาไม่ใช่เพียงแค่ผู้หญิงที่เขาต้องปกป้อง แต่เธอคือพันธมิตรที่เขาไว้ใจได้และเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญในภารกิจของเขา “ข้าแค่… ไม่อยากให้เจ้าต้องเสี่ยงอันตรายเพราะข้า” ไรอันพูดออกมาเสียงแผ่ว แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่แท้จริง “หยุด! ฟังข้าก่อน” ไรอันรีบพูดต่อ เมื่อเห็นลีอากำลังอ้าปากเตรียมพูด“ข้ารู้ว่าเจ้ามีความสามารถ แต่ข้าก็ไม่อาจทนได้ถ้าเจ้าต้องบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเพราะการต่อสู้ที่ข้าเป็นต้นเหตุ” ลีอาหันกลับมามองไรอันตรงๆ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเข้าใจ “ไรอัน ข้าเลือกที่จะเดินทางไปกับท่านเพราะข้าเชื่อในสิ่งที่เรากำลังทำ ข้าเลือกที่จะเสี่ยงเพราะข้าเชื่อในท่าน ข้าอยากให้ท่านเชื่อในตัวเองและเชื่อในข้าเช่นกัน” คำพูดของลีอาทำให้ไรอันรู้สึกถึงพลังใหม่ที่ก่อตัวขึ้นในใจเขา ความกลัวที่เขามีอยู่เริ่มจางหายไป และแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาต้องทำ เขายิ้มออกมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน “ข้าจะทำมัน ข้าจะต่อสู้เพื่อปกป้องเจ้าและทุกคนที่ข้ารัก แต่ข้าก็จะเชื่อในเจ้าและเชื่อว่าพวกเราจะผ่านมันไปด้วยกัน” ลีอายิ้มตอบและยื่นมือไปจับมือไรอัน “เราจะผ่านมันไปด้วยกัน ไม่ว่าอุปสรรคจะเป็นเช่นไร” ทั้งสองคนสัมผัสถึงความอบอุ่นและความมั่นคงที่ส่งผ่านกันฝ่ามือและเรียวนิ้ว ในขณะนั้นสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาได้พัฒนาขึ้นอย่างลึกซึ้ง พวกเขาไม่เพียงแค่เป็นเพื่อนร่วมทาง แต่เป็นคนสำคัญที่พึ่งพาและเชื่อมั่นในกันและกัน ขณะที่พวกเขายืนขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางต่อ เอลเลียตและอาเรียน่าที่กำลังเก็บของอยู่ใกล้ๆ ก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศระหว่างไรอันและลีอา เอลเลียตมองสบตากับอาเรียน่า ทั้งสองพากันหัวเราะคิกคักก่อนที่เอลเลียตจะพูดขึ้นว่า “พวกเราไปกันต่อเถอะ ข้ามีความรู้สึกว่าทางข้างหน้าอาจจะไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านมา” เฟนิกซ์ เหยี่ยววายุคู่ใจของเอลเลียต บินวนเหนือพวกเขา ส่งเสียงร้องเบาๆ ราวกับเป็นสัญญาณเตือนให้พวกเขาระมัดระวัง เส้นทางข้างหน้าเต็มไปด้วยอันตรายและความท้าทาย แต่ด้วยสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้น พวกเขารู้ว่าพวกเขาจะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งได้ด้วยกัน ในขณะที่พวกเขาเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ไรอันมองไปที่ลีอาด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่าเดิม เขารู้ว่าเขาไม่ได้เดินทางคนเดียวอีกต่อไป และไม่ว่าอุปสรรคจะเป็นอย่างไร เขาจะไม่ยอมให้ความกลัวมาขวางกั้นความมุ่งมั่นและความรักที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขาหลังจากเดินทางผ่านป่าทึบและภูเขาสูง พวกไรอัน ลีอา เอลเลียต อาเรียน่า และเฟนิกซ์ เหยี่ยววายุผู้ซื่อสัตย์ ก็มาถึงจุดหมายปลายทางต่อไปที่แผนที่ของผู้เฒ่าปราชญ์ระบุไว้ นั่นคือ "ทะเลมรกต" พวกเขายืนอยู่บนหน้าผาสูง มองลงไปยังทะเลสีเขียวมรกตที่แผ่กว้างออกไปจนสุดสายตา น้ำทะเลใสดุจคริสตัลที่สะท้อนแสงแดดเป็นประกาย ทำให้ทะเลนี้ดูงดงามอย่างไม่ธรรมดา แต่ความงดงามนี้ซ่อนเร้นอันตรายที่พวกเขาไม่คาดคิด"เราต้องข้ามทะเลมรกตนี้เพื่อไปยังที่ซ่อนของลูเซียส" ไรอันกล่าวขณะเปิดแผนที่ดูเส้นทาง "แต่มันไม่ได้บอกว่าเราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง"ลีอามองทะเลด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ "ทะเลนี้ดูเงียบสงบเกินไป ข้าว่ามันต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ"เอลเลียตพยักหน้า "ถูกต้อง ทะเลที่เงียบเกินไปมักซ่อนภัยอันตราย ข้าจะให้เฟนิกซ์สำรวจจากฟ้าก่อน แล้วพวกเราค่อยลงไปข้ามทะเลนี้"เฟนิกซ์รับคำสั่งของเอลเลียตด้วยการกระพือปีกบินขึ้นสู่ท้องฟ้ากว้าง มันบินวนสำรวจรอบๆ พื้นที่ทะเลมรกต เฟนิกซ์มีสายตาที่เฉียบคมและสามารถมองเห็นได้ไกลหลายกิโลเมตร มันจึงสังเกตเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนน้ำสีมรกตนี้"มันมีบางสิ่งอยู่ใต้น้ำ" เอลเลียตพูดขึ้นขณะที่เฟ
เธอรีบเข้าไปประคองให้ไรอันพาไปนั่งพักอยู่ใกล้ๆกับอาเรียน่า เธอเดินออกไปช่วยเอลเลียตต่อสู้ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว กรามขบกันแน่น นึกถึงแผลของไรอันและสีหน้าหวาดกลัวของอาเรียน่า เธอก็รู้ว่าจะอ่อนแอไม่ได้ ในขณะนั้นเองเธอก็เริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในตัวเอง พลังภายในที่ลึกซึ้งซึ่งเธอไม่เคยรู้สึกมาก่อนค่อยๆ ตื่นขึ้นมา เธอสัมผัสได้ถึงการเชื่อมโยงกับสิ่งมีชีวิตรอบๆ ตัวเธอที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จิตใจของลีอาเริ่มเปิดรับเสียงเบาๆ ที่ดังขึ้นจากผืนน้ำ มันเป็นเสียงกระซิบของสัตว์น้ำที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเลลึก พวกมันกำลังเฝ้าดูการต่อสู้ ลีอาตัดสินใจที่จะใช้พลังใหม่ที่เธอเพิ่งค้นพบ เพื่อสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ เธอหลับตาลงและมุ่งสมาธิไปยังพลังภายในของเธอ"ได้โปรด... ช่วยพวกเราด้วย" ลีอาพูดออกมาด้วยภาษาของสัตว์น้ำที่เธอเพิ่งเข้าใจ เสียงของเธอสื่อถึงความหวังและความมุ่งมั่นที่จะปกป้องพวกพ้องของเธอ "สัตว์ประหลาดนี้เป็นภัยต่อทั้งพวกเราและพวกเจ้า ข้าขอร้องให้พวกเจ้าช่วยเราต่อสู้"เสียงของลีอาส่งสัญญาณออกไปในน้ำทะเล และในไม่ช้า ลีอาก็รู้สึกถึงการต
ขณะที่ทะเลมรกตค่อยๆ ห่างออกไปข้างหลัง ไรอัน ลีอา เอลเลียต และอาเรียน่าต่างรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น การเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตรายเริ่มทิ้งร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้าให้พวกเขา ทุกคนไม่พูดอะไรมาก เพียงแค่เดินหน้าต่อไปโดยมีความหวังว่าพวกเขาจะได้พักในไม่ช้า ในที่สุดพวกเขาก็ถึงฝั่ง พวกเขาได้พบกับสถานที่แห่งหนึ่งที่มีทุ่งดอกไม้สีสันสวยงามมากมาย สถานที่นี้ถูกปกคลุมด้วยดอกไม้หลากสีที่ชูช่อบานสะพรั่งไปทั่ว ทุ่งดอกไม้นั้นดูเงียบสงบและน่าหลงใหลจนเหมือนภาพวาดที่เต็มไปด้วยสีสันที่สดใส พวกเขาต่างมองไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจและความยินดี ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการหยุดพักหลังจากการเดินทางที่ยากลำบาก “พี่ลีอา ดูนี่สิคะ” อาเรียน่าเรียกเสียงใส พลางจับจูงมือของลีอาให้เดินดูดอกไม้หลากสีเหล่านั้นอย่างร่าเริง ลีอาเดินตามเด็กน้อยพลางยิ้มอ่อน แต่ก็ดีแล้ว เธอชอบที่จะเห็นรอยยิ้มของเด็กสาวมากกว่าสีหน้าที่เป็นกังวลและหงอยเหงา ส่วนเอลเลียตและไรอันพากันเดินสำรวจทุ่งดอกไม้บริเวณนี้ เพื่อหาที่เหมาะๆทำที่ไว้นอนพัก เอลเลียตปล่อยเฟนิกซ์ให้บินออกหาอ
ในที่สุด เมื่อทั้งคู่รวบรวมพลังจิตใจและตระหนักถึงความจริง พวกเขาก็สามารถฉีกห้วงฝันที่ลวงหลอกนั้นออกมาได้ ความจริงเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นอีกครั้ง ทันทีที่พวกเขาตื่นขึ้นมาในโลกแห่งความจริง เสียงของเอลเลียตยังคงก้องอยู่ในหู "พวกเราต้องไปกำราบลูเซียส... อย่าลืมความตั้งใจของพวกเรา"ไรอัน ลีอา และเอลเลียตต่างพากันหอบหายใจแรง ร่างกายของพวกเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อหลังจากที่ต้องฝ่าฟันห้วงฝันอันลวงตานั้นมาได้ พวกเขาเริ่มรู้สึกถึงความหนักอึ้งที่ผ่อนคลายลงเมื่อกลับมาอยู่ในโลกแห่งความจริงอีกครั้ง แต่เมื่อหันไปมองอาเรียน่า พวกเขาพบว่าเธอยังนอนนิ่งอยู่ ไม่ได้ฟื้นขึ้นมาพร้อมกับพวกเขา“อาเรียน่า!” ลีอาเรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล เธอรีบเข้าไปนั่งข้างๆ น้องสาวคนเล็กของพวกเขา หัวใจของเธอเริ่มสั่นไหวเมื่อเห็นว่าอาเรียน่ายังคงติดอยู่ในห้วงฝัน ร่างของเธอไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาของเธอปิดสนิท ราวกับว่าเธอยังจมอยู่ในความปรารถนาที่ไม่อาจหลุดพ้นได้ไรอันและเอลเลียตต่างก็รีบเข้ามาดูอาการของอาเรียน่า "เธอยังไม่ตื่น" เอลเลียตเอ่ยขึ้นพร้อมกับเอามือจับที่ไหล่ของเธอเบาๆ หวังว่าเธอจะ
หลังผ่านพ้นทุ่งละเมอที่เกือบทำพวกเขาไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีก พวกของไรอันก็เดินทางมาถึงจุดหนึ่งกลางป่าที่ทำให้พวกเขาต้องหยุดชะงัก เสียงก้าวเดินที่ดังกึกก้องจากทิศทางเบื้องหน้าบ่งบอกว่ามีคนจำนวนมากกำลังเคลื่อนที่เข้ามา ลีอา เอลเลียต และอาเรียน่าต่างเตรียมตัวพร้อมรับมือ ด้วยความระมัดระวังที่พวกเขาเคยชินกับการเผชิญหน้าศัตรูทุกเมื่อ แต่เมื่อเห็นกองทัพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า พวกเขากลับต้องเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจเหล่าทหารในชุดเกราะสีเงินสว่างเจิดจ้า ปรากฏตัวขึ้นอย่างสง่างาม ธงประจำอาณาจักรแอสทาราปลิวไสวในอากาศ ผืนธงนั้นมีรูปดวงอาทิตย์สีทอง ที่ส่องแสงรอบด้าน ล้อมรอบด้วย ลวดลายเกลียวของธาตุทั้งสี่ (น้ำ ไฟ ดิน ลม) ที่หมุนวนเข้าหากัน สื่อถึงความสมดุลและการทำงานร่วมกันของพลังแห่งธรรมชาติ พื้นหลังของธงเป็น สีฟ้าอ่อน ที่สื่อถึงท้องฟ้าและสันติสุข ธงนี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความเป็นปึกแผ่นของแอสทารา แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นในการรักษาสมดุลระหว่างพลังที่หลากหลายเพื่อให้เกิดความสงบสุขในอาณาจักร พวกเขาถือดาบที่เปล่งประกายแสงแห่งความยุติธรรม และมีออร่าที่ทรงพลังล้อมรอบตัว พวกทหารเห
หลังจากที่กองทัพแห่งแอสทาราได้เข้าร่วมเดินทาง การเดินทางที่เคยเต็มไปด้วยอุปสรรคและความลำบากก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ด้วยกำลังพลและการจัดการที่มีระเบียบของทหารจากแอสทารา การเดินทางจึงดูราบรื่นและสะดวกสบายมากขึ้นอย่างชัดเจน ลีอาและอาเรียน่า สองสาวที่เคยต้องรับมือกับความเหน็ดเหนื่อยและอันตรายตลอดทาง ตอนนี้กลับได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากทหารหนุ่มผู้มีน้ำใจ ทหารเหล่านี้คอยให้การสนับสนุนและปกป้องพวกเธออย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมที่พักให้สะดวกสบายที่สุดหรือการจัดหาอาหารที่ดีที่สุดให้พวกเธอจึงได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ในแต่ละคืนเมื่อกองทัพหยุดพัก ลีอาและอาเรียน่าจะได้รับการจัดเตรียมที่พักที่ใกล้กับศูนย์กลางของค่ายมากที่สุด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยและได้รับการปกป้องจากทหารฝีมือดี พวกเขาจัดเตรียมเต็นท์ที่สะดวกสบาย ปูด้วยพรมหนานุ่มและหมอนที่ทำจากขนสัตว์ พวกเขายังจุดตะเกียงที่ให้แสงสว่างอ่อนๆ สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและสงบเงียบ ลีอารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อได้รับการดูแลเช่นนี้ และเธอก็สังเกตเห็นว่าอาเรียน่าก็เช่นกัน เด็กสาวที่เคยมีใบหน้าตึงเครียดและเหนื่อยล้าตลอดการเดินทาง ตอนนี้
พวกเงามืดนี้ดูเหมือนจะไม่มีชีวิต ไม่รู้จักความเจ็บปวดหรือความกลัว มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นจากความมืดที่ลูเซียสได้ปลุกขึ้นมาเพื่อทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า กองทัพแอสทาราต่างรู้สึกถึงความกดดันที่หนักอึ้ง แต่แม่ทัพอาร์เดนก็ไม่ยอมให้ความกลัวเข้ามาครอบงำ เขาเงยหน้าขึ้นและตะโกนสั่งการ “ทุกคนเตรียมตัว! อย่าปล่อยให้ความมืดนี้ครอบงำจิตใจเรา! เราคือทหารแห่งแอสทารา เราจะยืนหยัดต่อสู้จนถึงที่สุด!” ทหารแอสทาราต่างกุมอาวุธของตนแน่น ดาบของพวกเขาเปล่งประกายแสงแห่งความหวัง ท่ามกลางความมืดที่หนาทึบ พวกเขายืนหยัดอย่างไม่สั่นคลอน แม้จะรู้ดีว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่ากลัวและไร้ความปรานีที่สุดที่พวกเขาเคยพบมา ทันใดนั้น กองทัพเงามืดก็เริ่มเคลื่อนไหว เสียงฝีเท้าที่เหมือนกระซิบของพวกมันดังสะท้อนก้องไปทั่ว ร่างของพวกมันพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทหารแอสทาราเตรียมพร้อมรับการโจมตี ดาบของพวกเขาพุ่งเข้าใส่เงามืดที่เข้ามาใกล้ แต่ดาบที่เปล่งประกายแสงสว่างกลับไม่สามารถทำลายเงามืดเหล่านี้ได้ง่ายๆ มันพุ่งทะลุผ่านร่างของเงามืดไป แต่พวกมันกลับไม่หยุดการโจมตี ความน่าสะพรึงกลัวของเงามืดนี้คือพวกมันดูเหมือนไร้ซึ่ง
บุคลิกของลูเซียสนั้นเยือกเย็นและเต็มไปด้วยความมั่นใจ เขาพูดน้อย แต่ทุกคำพูดของเขามีน้ำหนักและมีอำนาจมากพอที่จะทำให้ผู้คนต้องฟังอย่างตั้งใจ เสียงของเขานุ่มลึกและเป็นเสียงที่ชวนให้รู้สึกถึงพลังที่ซ่อนอยู่ข้างใน ราวกับว่ามีบางสิ่งที่เขากำลังปิดบังไว้เบื้องหลังท่าทางที่สงบนิ่งนั้น ลูเซียสไม่เพียงแค่มีความสามารถในการใช้พลังเงามืดที่ทรงอำนาจเท่านั้น แต่ยังมีเสน่ห์ที่ยากจะต้านทาน ความเย้ายวนในตัวเขาทำให้ผู้ที่พบเจอต้องหวั่นไหวและถูกดึงดูดเข้าสู่ความมืดที่แฝงอยู่ภายในตัวเขาอย่างไม่รู้ตัว “ไรอัน... ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะกล้ามาหาข้าที่นี่” “ข้ามาเพื่อช่วยเจ้าและหยุดเจ้า ลูเซียส ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าใช้พลังแห่งความมืดนี้เพื่อทำร้ายผู้บริสุทธิ์อีกต่อไป” ไรอันประกาศด้วยความมุ่งมั่น ลูเซียสหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าเจ้าจะหยุดข้าได้หรือ? เจ้าทิ้งข้าไว้กับความมืดและความแค้น และตอนนี้เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถช่วยข้าได้งั้นหรือ?” “ข้ารู้ว่าข้าเคยทำผิด ข้าควรจะยืนอยู่ข้างเจ้าตั้งแต่แรก” ไรอันยอมรับด้วยความเจ็บปวด “แต่ข้าก็รู้ว่ามันยังไม่สายเกินไปที่จะหยุดเจ้า ได้โปรดเ
ลูเซียสยืนนิ่งอยู่ในความมืดที่แผ่ซ่านไปทั่วห้อง ความมืดนี้ไม่ใช่แค่เงาหรือความมืดธรรมดา แต่มันคือพลังที่อยู่ในตัวเขามาตั้งแต่เกิด มันเป็นพลังที่ทำให้เขาถูกตัดสินและขับไล่ออกไปจากครอบครัวตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขาเงยหน้าขึ้นมองลีอาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าและความแค้นที่ถูกฝังลึกในใจมาเนิ่นนาน”ข้าเคยเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนั้น” ลูเซียสเริ่มเล่า น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา แต่ทุ้มลึก “ข้าเกิดมาในตระกูลสูงส่งแห่งแอสทารา ข้าเคยมีทุกสิ่งที่เด็กคนหนึ่งต้องการ...มีบ้านที่อบอุ่น มีพ่อแม่ที่ข้าเคารพรัก แต่พวกเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อพวกเขารู้ว่าข้ามีพลังเงามืดในตัว” ลีอานั่งฟังด้วยความตั้งใจ หัวใจของเธอหนักอึ้งเมื่อได้ยินความเจ็บปวดในคำพูดของเขา เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าลูเซียสต้องทนทุกข์กับอดีตเช่นนี้”ข้าจำได้ชัดเจน ตอนที่ข้ายังเป็นเด็กแค่ 7 ขวบ ข้าคิดว่าพลังนี้เป็นสิ่งพิเศษ ข้ารู้สึกแตกต่าง แต่ข้ากลับไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงทำให้คนอื่นๆ กลัว ข้าพยายามใช้มันเพื่อแสดงให้พ่อแม่เห็นว่า ข้าสามารถปกป้องพวกเขาได้ แต่สิ่งที่ข้าได้รับกลับเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและรังเกียจ” ลูเซียสหยุดไปช
ชีวิตของไรอันและลีอาเดินหน้าไปสู่ความสงบสุขที่พวกเขาเคยฝันถึง หลังจากการต่อสู้ที่ยาวนานและการสูญเสียที่ทำให้หัวใจของพวกเขาต้องบอบช้ำ พวกเขาก็ได้สร้างครอบครัวเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น หมู่บ้านที่เคยถูกครอบงำด้วยเงามืดกลับมาสดใสอีกครั้ง และชีวิตใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับงานแต่งงานเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความยินดีและความหวังลีอาและไรอันมีลูกแฝดชายหญิงที่เปรียบเสมือนดวงดาวสว่างไสวในชีวิตของพวกเขา เด็กทั้งสองคนเปี่ยมไปด้วยความไร้เดียงสาและความสดใสที่ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านรู้สึกถึงความหวังและความสุขที่แท้จริง ครอบครัวของพวกเขาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความรัก ไรอันเป็นพ่อที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและปกป้องลูกๆ ด้วยชีวิต ขณะที่ลีอาเป็นแม่ที่อบอุ่นและอ่อนโยน คอยดูแลทุกคนด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักในขณะเดียวกัน เอลเลียตและเฟนิกซ์ก็ออกเดินทางไปผจญภัยในดินแดนใหม่ๆ เพื่อฝึกฝนตนเองและค้นหาความหมายใหม่ในชีวิต พวกเขาเลือกที่จะไม่หยุดอยู่กับที่ แต่ออกเดินทางเพื่อค้นหาประสบการณ์และความรู้ใหม่ๆ ที่จะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นในทุกด้านอาเรียน่าเองก็เลือกทางเดินที่แตกต่างออกไป เธอตัดสินใจออกเดินทาง
ลูเซียสหายใจลึก รู้สึกถึงน้ำหนักที่ถูกยกออกจากบ่าของเขา แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่าย และแม้ว่าความมืดในจิตใจของเขายังคงหลงเหลืออยู่ แต่ความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงและหาความสงบสุขในตัวเองก็มีมากกว่าลีอาที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างไรอันก็ยิ้มให้ลูเซียสด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเห็นใจ “ข้ายังเชื่อในตัวเจ้า ลูเซียส ข้ารู้ว่าลึกๆ แล้วเจ้าไม่ได้ต้องการทำร้ายใคร เจ้าก็แค่ต้องการคนที่จะเชื่อมั่นและอยู่เคียงข้างเจ้า”อาเรียน่าก้าวเข้ามาสมทบ “เราเป็นครอบครัว... ครอบครัวที่ยอมรับกันได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านไม่จำเป็นต้องต่อสู้เพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว”ลูเซียสมองดูพวกเขาทั้งสี่คน น้ำตาที่เก็บกดไว้ตลอดหลายปีเริ่มไหลลงมาอาบแก้ม เขารู้สึกถึงความโล่งใจและความหวังที่เคยสูญเสียไปนานแล้ว“ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่ข้าเคยทำ” ลูเซียสกล่าวทั้งน้ำตา “ข้าขอโทษที่ข้าเคยเลือกทางที่ผิด และข้าขอโทษที่ข้าพยายามจะทำร้ายพวกเจ้า”“เจ้าไม่ต้องขอโทษอะไรอีกแล้ว” ไรอันกล่าวขณะที่เขาเข้ามาใกล้ลูเซียสและยื่นมือออกไป “สิ่งสำคัญคือเจ้าได้กลับมา และเราจะผ่านทุกสิ่งไปด้วยกัน” ไ
"ในคืนหนึ่ง... ข้าจำได้ว่าแม่ของข้าไม่ได้มาร่ำลาข้า ข้าเพียงเห็นแผ่นหลังของพ่อที่หันมาเอ่ยคำสุดท้ายกับข้า 'เจ้าต้องไป...เพื่อปกป้องตระกูล' คำพูดเหล่านั้นยังคงก้องอยู่ในหัวข้าตลอดมา ข้าถูกขับไล่ออกจากบ้าน ถูกส่งไปในป่าลึก โดยไม่มีแม้แต่ใครสักคนที่จะมาอธิบายว่าเหตุใด ข้าเป็นแค่เด็ก แต่ข้ากลับถูกทิ้งไว้ในความมืด โดยไม่มีที่พึ่งพิง ไม่มีความอบอุ่นของครอบครัว" เขาก้มหน้า น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น"ตอนที่ข้าจากไป ไรอันยังไม่เกิด พ่อและแม่ของเราคิดว่าเมื่อข้าไม่อยู่แล้ว พวกเขาจะสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ ข้าถูกลบออกจากความทรงจำของครอบครัว...และไรอัน เขาเกิดขึ้นมาโดยที่ไม่รู้เลยว่าข้าเคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา"ลีอาหันไปมองลูเซียสอย่างตกตะลึง เธอไม่เคยได้ยินเรื่องราวนี้มาก่อน ลูเซียส...พี่น้องร่วมสายเลือดของไรอัน ถูกผลักไสออกจากครอบครัวในวัยเด็ก เพียงเพราะพลังที่เขาไม่ได้เลือกที่จะมี"ข้าเร่ร่อนอยู่ในป่า เดียวดายและเต็มไปด้วยความกลัว ข้าไม่รู้ว่าข้าควรทำอย่างไร ข้ารอคอยวันที่ครอบครัวจะมารับข้ากลับ แต่วันนั้นไม่เคยมาถึง ข้าโตขึ้นมาท่ามกลางความโดดเดี่ยวและความเกลียดชัง ข้าเรียนรู้ที่จะใช้พ
แต่ลีอากลับก้าวออกมาจากเงามืดนั้นอย่างช้าๆ เธอหยุดอยู่ตรงหน้าไรอันและอาเรียน่า น้ำตาของเธอไหลลงมาเมื่อเธอรู้สึกถึงความอบอุ่นจากพวกเขา “ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษที่ข้าเคยละทิ้งพวกเจ้า...”ไรอันยิ้มอย่างอ่อนโยนและก้าวเข้ามากอดเธอไว้ “ไม่เป็นไร ลีอา เจ้ากลับมาแล้ว นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด” แสงสว่างที่เปล่งออกมาจากตัวอาเรียน่าเริ่มส่องประกายอย่างแรงกล้าอีกครั้ง ลูเซียสรู้สึกถึงพลังที่ถอยห่างจากตัวเขา ความมืดที่เคยทำให้เขาแข็งแกร่งกลับกลายเป็นภาระที่หนักอึ้ง เขารู้สึกถึงความอ่อนแอที่เข้ามาครอบงำ ร่างกายของเขาเริ่มสั่นไหวและอ่อนแรงลง “ไม่... ไม่!” ลูเซียสตะโกนด้วยความสิ้นหวัง แต่พลังที่เขาเคยยึดมั่นกลับหายไปทีละน้อย เงามืดที่เคยล้อมรอบตัวเขาเริ่มจางหายไป ราวกับว่ามันถูกดูดกลืนเข้าสู่แสงสว่างที่พวกเขาสร้างขึ้นมา ลีอายังคงมองไปทางลูเซียสที่ยืนอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความสับสน ดวงตาของเธอที่เต็มไปด้วยความสงสารและความเห็นใจสะท้อนถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนที่เธอมีต่อลูเซียส แม้ว่าเธอจะถูกสะกดจิตในช่วงเวลาที่อยู่กับเขา แต่เธอก็สามารถจดจำทุกเรื่องราวท
พลังเงามืดของลูเซียสถูกต้านทานด้วยบาเรียน้ำของไรอันและแสงสว่างของอาเรียน่า แต่ลูเซียสก็ไม่ยอมแพ้ เขารวบรวมพลังทั้งหมดที่มีและปล่อยคลื่นพลังมืดออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้มันรุนแรงและน่ากลัวกว่าครั้งก่อน มันเป็นพลังที่ถูกหล่อหลอมจากความแค้นและความโดดเดี่ยว คลื่นพลังมืดที่เขาปล่อยออกมานั้นไม่เพียงแต่รุนแรง แต่ยังเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า ลูเซียสไม่มีเจตนาที่จะยอมแพ้หรือยอมให้ใครเข้ามาขวางทางเขาได้อีก เอลเลียตที่เป็นด่านแรกของการป้องกัน ยังคงยืนหยัดไม่ถอย เขาใช้กระบองเหล็กของเขาฟาดลงไปที่พื้นอีกครั้งเพื่อสร้างแรงกระแทกที่พุ่งตรงเข้าไปปะทะกับพลังเงามืด แต่ความรุนแรงของพลังมืดนั้นกลับทำให้พื้นดินแตกออกเป็นรอยแยก ลมพายุจากพลังมืดกวาดเอาเศษซากและฝุ่นผงขึ้นมาหมุนวนรอบตัวเอลเลียต ทำให้การมองเห็นของเขาเริ่มพร่ามัว อย่างไรก็ตาม เอลเลียตยังคงยืนอยู่ได้ด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในตัวเพื่อนร่วมทางของเขา “พวกเจ้ารีบทำสิ่งที่ต้องทำ!” เขาตะโกนด้วยเสียงที่ยังเต็มไปด้วยพลัง “ข้าจะยืนหยัดตรงนี้ ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!” ไรอันรู้ดีว่
ปราสาทร้างที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเกาะยมทูตเต็มไปด้วยความมืดและเงียบสงัด มันเป็นสถานที่ที่เคยรุ่งเรืองในอดีต แต่ตอนนี้ถูกทิ้งร้างให้เป็นที่พำนักของความมืดที่แผ่ขยายจากจิตใจของลูเซียส หมอกหนาที่ปกคลุมรอบๆ ปราสาทนั้นหนาแน่นจนแทบจะบดบังแสงจากดวงจันทร์ แต่ไรอัน เอลเลียต และอาเรียน่าก็ยืนหยัดอยู่หน้าทางเข้าปราสาทอย่างไม่เกรงกลัว พวกเขามาที่นี่พร้อมกับความมุ่งมั่นที่ไม่มีวันสั่นคลอน และพลังที่ได้รับการปลุกขึ้นมาใหม่จากการฝึกฝนอย่างหนัก พวกเขารู้ดีว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ที่สำคัญที่สุดในชีวิต และมันจะเป็นการตัดสินชะตากรรมของพวกเขา ลีอา และแม้แต่ลูเซียส “ทุกคนพร้อมหรือยัง?” ไรอันถามเสียงต่ำ แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ปราสาทที่ยืนตระหง่านเบื้องหน้าเอลเลียตพยักหน้ารับ “พร้อมเสมอ ข้าไม่กลัวความมืดอีกต่อไปแล้ว เราจะพานางกลับมา และจะหยุดยั้งลูเซียสให้ได้” อาเรียน่ากำลังมองไปยังปราสาทที่เต็มไปด้วยเงามืด สายตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ข้าเองก็พร้อม พี่ชาย ข้าจะใช้พลังของข้าเพื่อช่วยพวกท่าน ข้าจะไม่ยอมให้ความมืดนี้เอาชนะพวกเราได้” ทั้งสามคนเดินเข้าไป
ผู้เฒ่าปราชญ์ไม่ได้หยุดการฝึกเพียงแค่นั้น เขาตัดสินใจที่จะสอนให้ไรอันและเอลเลียตได้ฝึกฝนการใช้พลังร่วมกัน การผสานพลังของธาตุน้ำและพลังชีวิตของเอลเลียตเพื่อสร้างพลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิมการฝึกนี้เริ่มจากการเรียนรู้ที่จะปรับพลังของพวกเขาให้สอดคล้องกัน ไรอันต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังน้ำในรูปแบบที่สามารถทำงานร่วมกับพลังแห่งชีวิตของเอลเลียต ขณะที่เอลเลียตก็ต้องปรับพลังของเขาให้สามารถเข้ากับพลังน้ำของไรอันได้ผู้เฒ่าปราชญ์จัดการทดสอบโดยให้พวกเขาร่วมมือกันในการสร้างกำแพงน้ำที่ไม่เพียงแค่ป้องกันศัตรูเท่านั้น แต่ยังสามารถฟื้นฟูพลังงานให้กับพวกเขาในขณะเดียวกันด้วย ไรอันต้องสร้างกระแสน้ำที่ไม่เพียงแต่แข็งแกร่ง แต่ยังต้องอ่อนโยนพอที่จะไม่ทำลายพลังของเอลเลียต ขณะที่เอลเลียตก็ต้องเสริมสร้างพลังน้ำนี้ให้คงทนและเข้มแข็งยิ่งขึ้นการฝึกนี้เป็นความท้าทายที่ต้องใช้ทั้งความเข้าใจและความเชื่อมั่นในกันและกัน พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะเปิดใจและสื่อสารโดยไม่ต้องใช้คำพูด รู้จักการทำงานร่วมกันในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนเมื่อพวกเขาสามารถสร้างกำแพงน้ำที่แข็งแกร่งและมีพลังในการฟื้นฟูได้สำเร็จ ผู้เฒ่าปราช
เอลเลียตมองต้นไม้ใหญ่นั้นด้วยความสงสัย “ข้าจะต้องทำอย่างไร?” “เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังของเจ้าโดยไม่ให้มันครอบงำเจ้า” ผู้เฒ่าปราชญ์กล่าว “เริ่มจากการใช้พลังในการฟื้นฟูร่างกายของเจ้า เจ้าเคยทนทานต่อบาดแผลและพิษ แต่ตอนนี้เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเร่งกระบวนการฟื้นตัวนั้นให้เร็วขึ้น”ผู้เฒ่าปราชญ์ให้เอลเลียตฝึกฝนการควบคุมการฟื้นฟูของร่างกายโดยใช้สมาธิในการสร้างพลังงานจากภายใน เขาให้เอลเลียตฝึกโดยการเผชิญหน้ากับความเหนื่อยล้าและบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นจากการฝึกอย่างหนัก เอลเลียตต้องเรียนรู้ที่จะปลดปล่อยพลังงานจากภายในร่างกายของเขาเพื่อรักษาตัวเองในเวลาอันสั้น นอกจากการฟื้นฟูร่างกายแล้ว ผู้เฒ่าปราชญ์ยังสอนเอลเลียตถึงการปลดปล่อยพลังงานเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการต่อสู้ของเขา เอลเลียตฝึกฝนการใช้กระบองเหล็กของเขาในการโจมตีต้นไม้ใหญ่โดยไม่ทำลายมัน แต่เพื่อฝึกฝนการควบคุมพลังของเขาให้แม่นยำและทรงพลังที่สุด การฝึกนี้ทำให้เอลเลียตได้ค้นพบว่าพลังที่แท้จริงของเขาไม่ใช่เพียงการต้านทานหรือการฟื้นฟู แต่ยังรวมถึงการใช้พลังนั้นในการปก