หลังผ่านพ้นทุ่งละเมอที่เกือบทำพวกเขาไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีก พวกของไรอันก็เดินทางมาถึงจุดหนึ่งกลางป่าที่ทำให้พวกเขาต้องหยุดชะงัก เสียงก้าวเดินที่ดังกึกก้องจากทิศทางเบื้องหน้าบ่งบอกว่ามีคนจำนวนมากกำลังเคลื่อนที่เข้ามา ลีอา เอลเลียต และอาเรียน่าต่างเตรียมตัวพร้อมรับมือ ด้วยความระมัดระวังที่พวกเขาเคยชินกับการเผชิญหน้าศัตรูทุกเมื่อ
แต่เมื่อเห็นกองทัพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า พวกเขากลับต้องเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจเหล่าทหารในชุดเกราะสีเงินสว่างเจิดจ้า ปรากฏตัวขึ้นอย่างสง่างาม ธงประจำอาณาจักรแอสทาราปลิวไสวในอากาศ ผืนธงนั้นมีรูปดวงอาทิตย์สีทอง ที่ส่องแสงรอบด้าน ล้อมรอบด้วย ลวดลายเกลียวของธาตุทั้งสี่ (น้ำ ไฟ ดิน ลม) ที่หมุนวนเข้าหากัน สื่อถึงความสมดุลและการทำงานร่วมกันของพลังแห่งธรรมชาติ พื้นหลังของธงเป็น สีฟ้าอ่อน ที่สื่อถึงท้องฟ้าและสันติสุข ธงนี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความเป็นปึกแผ่นของแอสทารา แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นในการรักษาสมดุลระหว่างพลังที่หลากหลายเพื่อให้เกิดความสงบสุขในอาณาจักร พวกเขาถือดาบที่เปล่งประกายแสงแห่งความยุติธรรม และมีออร่าที่ทรงพลังล้อมรอบตัว พวกทหารเหล่านี้เดินเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ เสียงเกราะกระทบกันเบาๆ ขณะที่พวกเขาเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ข้างหน้าของพวกเขาคือแม่ทัพที่นำกองทัพนี้ด้วยท่าทีองอาจและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แม่ทัพผู้สวมหมวกเกราะที่มีขนสีทองปักไว้ที่ยอด สะท้อนแสงแดดที่ส่องลงมา เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าไรอัน ใบหน้าที่แสดงออกถึงความเด็ดเดี่ยวแต่ยังคงความอ่อนโยนในสายตา เขาค้อมหัวเล็กน้อยให้ไรอันและพวกพ้อง เป็นการแสดงความเคารพ ที่ทำให้ไรอันรู้สึกได้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นี้เพียงลำพัง "ข้าแม่ทัพอาร์เดน นำทัพมาจากเมืองหลวงเอลดูรา กษัตริย์แห่งแอสทาราทรงทราบถึงสถานการณ์ที่ท่านต้องเผชิญ และส่งพวกเรามาเพื่อช่วยเหลือ" แม่ทัพอาร์เดนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมีอำนาจ เขามองดูไรอันและพวกพ้องอย่างจริงจัง "ข้าทราบดีว่าพวกท่านได้ต่อสู้กับความมืดมาอย่างยาวนาน แต่บัดนี้ ท่านไม่ได้ต่อสู้อยู่ลำพังอีกต่อไปแล้ว" ไรอันรู้สึกถึงความอบอุ่นในหัวใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น การที่ได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์และกองทัพแอสทาราทำให้เขารู้สึกถึงความหวังที่เคยเลือนลางกลับมาอีกครั้ง ลีอาและเอลเลียตต่างก็รู้สึกเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่คิดว่าการเดินทางอันยาวนานนี้จะนำพวกเขามาพบกับพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ "ข้ารู้สึกซาบซึ้งในความช่วยเหลือของพวกท่าน ข้าคือไรอัน และคนเหล่านี้คือลีอา เอลเลียต และอาเรียน่า พวกเรามีภารกิจสำคัญที่ต้องทำลายพลังเงามืดของลูเซียส ซึ่งกำลังคุกคามทั้งอาณาจักรแอสทาราและทุกชีวิตในดินแดนนี้" ไรอันกล่าวด้วยความจริงจังในเสียงของเขา แม้เขาจะรู้สึกยินดีที่ได้รับการช่วยเหลือ แต่เขาก็ไม่ลืมถึงภารกิจสำคัญที่ยังคงรออยู่เบื้องหน้า แม่ทัพอาร์เดนพยักหน้าอย่างเข้าใจ "ข้าทราบถึงภัยคุกคามของลูเซียส และข้าเชื่อว่าด้วยการร่วมมือของพวกเรา เราจะสามารถหยุดยั้งความมืดนี้ได้ พวกทหารของข้ามีพลังธาตุหลากหลายที่พร้อมจะสนับสนุนการต่อสู้ของพวกท่าน ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมน้ำ ดิน ไฟ หรือแม้กระทั่งลม พวกเรามาที่นี่เพื่อร่วมรบเคียงข้างท่าน จนกว่าจะเอาชนะความมืดนี้ได้" เมื่อคำพูดของแม่ทัพจบลง ทหารแต่ละคนที่ยืนอยู่ข้างหลังต่างก็ก้าวออกมา พวกเขาแสดงความสามารถของตนอย่างพร้อมเพรียง ทหารที่มีพลังธาตุไฟสร้างเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงรอบดาบของตน ทหารที่มีพลังธาตุน้ำเรียกกระแสน้ำขึ้นมาล้อมรอบตัว ทหารธาตุดินใช้พลังยกแผ่นดินขึ้นมาเป็นกำแพงเพื่อป้องกัน และทหารธาตุลมสร้างกระแสลมที่หมุนวนอย่างรุนแรง ทั้งหมดนี้แสดงถึงความพร้อมและความมุ่งมั่นที่จะร่วมสู้กับพวกไรอันเพื่อเอาชนะศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไรอันมองดูทหารเหล่านั้นด้วยความรู้สึกอุ่นใจ เขาหันไปหาพวกพ้องของเขา และพบว่าในสายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวังและความกล้าที่กลับมาอีกครั้ง เขารู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ด้วยพันธมิตรใหม่เหล่านี้ เขาเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถฝ่าฟันไปได้ “ขอบคุณ... ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่พวกท่านทำ ข้าสัญญาว่าเราจะร่วมกันต่อสู้จนกว่าความมืดจะถูกขับไล่ออกไป และอาณาจักรของเราจะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง” ไรอันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แม่ทัพอาร์เดนยิ้มให้ไรอันและกล่าวด้วยความเชื่อมั่น “พวกเราพร้อมแล้วที่จะนำแสงสว่างกลับมาสู่แอสทารา”เมื่อพันธมิตรทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกัน การเดินทางครั้งใหม่ที่เต็มไปด้วยความหวังและความมุ่งมั่นก็ได้เริ่มต้นขึ้น พวกเขาจะเผชิญหน้ากับลูเซียสและพลังเงามืดที่คุกคามอาณาจักร และด้วยความร่วมมือกัน พวกเขาจะนำพาแสงสว่างกลับคืนสู่แอสทาราอีกครั้ง แต่มันจะเป็นเช่นที่พวกเขาหวังไว้แน่หรือ?หลังจากที่กองทัพแห่งแอสทาราได้เข้าร่วมเดินทาง การเดินทางที่เคยเต็มไปด้วยอุปสรรคและความลำบากก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ด้วยกำลังพลและการจัดการที่มีระเบียบของทหารจากแอสทารา การเดินทางจึงดูราบรื่นและสะดวกสบายมากขึ้นอย่างชัดเจน ลีอาและอาเรียน่า สองสาวที่เคยต้องรับมือกับความเหน็ดเหนื่อยและอันตรายตลอดทาง ตอนนี้กลับได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากทหารหนุ่มผู้มีน้ำใจ ทหารเหล่านี้คอยให้การสนับสนุนและปกป้องพวกเธออย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมที่พักให้สะดวกสบายที่สุดหรือการจัดหาอาหารที่ดีที่สุดให้พวกเธอจึงได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ในแต่ละคืนเมื่อกองทัพหยุดพัก ลีอาและอาเรียน่าจะได้รับการจัดเตรียมที่พักที่ใกล้กับศูนย์กลางของค่ายมากที่สุด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยและได้รับการปกป้องจากทหารฝีมือดี พวกเขาจัดเตรียมเต็นท์ที่สะดวกสบาย ปูด้วยพรมหนานุ่มและหมอนที่ทำจากขนสัตว์ พวกเขายังจุดตะเกียงที่ให้แสงสว่างอ่อนๆ สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและสงบเงียบ ลีอารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อได้รับการดูแลเช่นนี้ และเธอก็สังเกตเห็นว่าอาเรียน่าก็เช่นกัน เด็กสาวที่เคยมีใบหน้าตึงเครียดและเหนื่อยล้าตลอดการเดินทาง ตอนนี้
พวกเงามืดนี้ดูเหมือนจะไม่มีชีวิต ไม่รู้จักความเจ็บปวดหรือความกลัว มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นจากความมืดที่ลูเซียสได้ปลุกขึ้นมาเพื่อทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า กองทัพแอสทาราต่างรู้สึกถึงความกดดันที่หนักอึ้ง แต่แม่ทัพอาร์เดนก็ไม่ยอมให้ความกลัวเข้ามาครอบงำ เขาเงยหน้าขึ้นและตะโกนสั่งการ “ทุกคนเตรียมตัว! อย่าปล่อยให้ความมืดนี้ครอบงำจิตใจเรา! เราคือทหารแห่งแอสทารา เราจะยืนหยัดต่อสู้จนถึงที่สุด!” ทหารแอสทาราต่างกุมอาวุธของตนแน่น ดาบของพวกเขาเปล่งประกายแสงแห่งความหวัง ท่ามกลางความมืดที่หนาทึบ พวกเขายืนหยัดอย่างไม่สั่นคลอน แม้จะรู้ดีว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่ากลัวและไร้ความปรานีที่สุดที่พวกเขาเคยพบมา ทันใดนั้น กองทัพเงามืดก็เริ่มเคลื่อนไหว เสียงฝีเท้าที่เหมือนกระซิบของพวกมันดังสะท้อนก้องไปทั่ว ร่างของพวกมันพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทหารแอสทาราเตรียมพร้อมรับการโจมตี ดาบของพวกเขาพุ่งเข้าใส่เงามืดที่เข้ามาใกล้ แต่ดาบที่เปล่งประกายแสงสว่างกลับไม่สามารถทำลายเงามืดเหล่านี้ได้ง่ายๆ มันพุ่งทะลุผ่านร่างของเงามืดไป แต่พวกมันกลับไม่หยุดการโจมตี ความน่าสะพรึงกลัวของเงามืดนี้คือพวกมันดูเหมือนไร้ซึ่ง
บุคลิกของลูเซียสนั้นเยือกเย็นและเต็มไปด้วยความมั่นใจ เขาพูดน้อย แต่ทุกคำพูดของเขามีน้ำหนักและมีอำนาจมากพอที่จะทำให้ผู้คนต้องฟังอย่างตั้งใจ เสียงของเขานุ่มลึกและเป็นเสียงที่ชวนให้รู้สึกถึงพลังที่ซ่อนอยู่ข้างใน ราวกับว่ามีบางสิ่งที่เขากำลังปิดบังไว้เบื้องหลังท่าทางที่สงบนิ่งนั้น ลูเซียสไม่เพียงแค่มีความสามารถในการใช้พลังเงามืดที่ทรงอำนาจเท่านั้น แต่ยังมีเสน่ห์ที่ยากจะต้านทาน ความเย้ายวนในตัวเขาทำให้ผู้ที่พบเจอต้องหวั่นไหวและถูกดึงดูดเข้าสู่ความมืดที่แฝงอยู่ภายในตัวเขาอย่างไม่รู้ตัว “ไรอัน... ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะกล้ามาหาข้าที่นี่” “ข้ามาเพื่อช่วยเจ้าและหยุดเจ้า ลูเซียส ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าใช้พลังแห่งความมืดนี้เพื่อทำร้ายผู้บริสุทธิ์อีกต่อไป” ไรอันประกาศด้วยความมุ่งมั่น ลูเซียสหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าเจ้าจะหยุดข้าได้หรือ? เจ้าทิ้งข้าไว้กับความมืดและความแค้น และตอนนี้เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถช่วยข้าได้งั้นหรือ?” “ข้ารู้ว่าข้าเคยทำผิด ข้าควรจะยืนอยู่ข้างเจ้าตั้งแต่แรก” ไรอันยอมรับด้วยความเจ็บปวด “แต่ข้าก็รู้ว่ามันยังไม่สายเกินไปที่จะหยุดเจ้า ได้โปรดเ
โดยไม่ทันให้พวกไรอันได้ตั้งตัว ลูเซียสก็ปล่อยพลังเงามืดที่ทวีความแข็งแกร่งออกมา คลื่นพลังมืดนั้นพุ่งเข้าใส่พวกเขาอย่างรวดเร็ว ไรอันรีบเรียกพลังธาตุน้ำของเขาขึ้นมาเพื่อต้านทาน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังความมืดอันแข็งแกร่งของลูเซียส ไรอันไม่อาจรับมือได้ ลีอารีบเข้ามาช่วยด้วยการเรียกพลังแห่งธรรมชาติ เธอสร้างกำแพงเถาวัลย์ขึ้นมาปกป้องพวกเขา แต่เถาวัลย์เหล่านั้นถูกพลังมืดของลูเซียสฉีกขาดไปอย่างง่ายดาย การโจมตีของลูเซียสยังคงไม่หยุด เขาปล่อยพลังมืดอีกครั้ง คราวนี้พุ่งตรงเข้าใส่ไรอันอย่างเต็มแรง ไรอันพยายามต้านทานแต่พลังมืดนั้นแทรกซึมเข้ามาในร่างของเขา เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ท่วมท้นและพลังที่ถูกดึงออกไปจากตัวเขา “ไรอัน!” ลีอาร้องออกมาด้วยความตกใจ เธอพยายามจะเข้าไปช่วย แต่ถูกพลังมืดของลูเซียสกันออกไป เอลเลียตพยายามเข้ามาสมทบ เขาใช้กระบองเหล็กฟาดเข้าไปที่ลูเซียส แต่ลูเซียสก็สามารถป้องกันและสวนกลับได้อย่างรวดเร็ว พลังมืดของลูเซียสทำให้เอลเลียตต้องถอยไปหลายก้าว แม้ว่าเขาจะทนทานต่อการบาดเจ็บและพิษ แต่พลังของลูเซียสก็รุนแรงเกินกว่าที่เขาจะรับมือได้ในขณะนี้ ไรอันถูกพลังมืดโจมตีอย่างหนักจนล
การสูญเสียลีอาและแม่ทัพอาร์เดนไปเป็นเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจของไรอันอย่างรุนแรง เขารู้สึกเหมือนว่าทุกสิ่งที่เขาพยายามปกป้องได้พังทลายลงต่อหน้าต่อตา ความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดที่ตามมานั้นทำให้เขารู้สึกท้อแท้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เขาตระหนักว่าพลังที่แท้จริงของเขานั้นอาจไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงการควบคุมธาตุน้ำเท่านั้นหลังจากหนีรอดออกมาจากเกาะยมทูต ไรอัน เอลเลียต และอาเรียน่าตัดสินใจที่จะพักฟื้นร่างกายและจิตใจในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกลจากอำนาจของลูเซียส ในหมู่บ้านนี้ พวกเขาได้พบกับผู้เฒ่าปราชญ์อีกครั้ง ซึ่งต้อนรับพวกเขาด้วยความอบอุ่นและให้ที่พักพิงเพื่อให้พวกเขาสามารถฟื้นฟูพลังได้“ข้าเห็นแววตาของเจ้าไรอัน” ผู้เฒ่าปราชญ์กล่าวขณะนั่งจ้องมองไรอันที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขา “เจ้าไม่ได้พ่ายแพ้ เจ้าแค่กำลังค้นพบตัวเอง”ไรอันมองผู้เฒ่าปราชญ์ด้วยความสับสน “แต่ข้าสูญเสียลีอาไป ข้าไม่สามารถปกป้องเธอได้ ส่วนสหายร่วมรบข้าก็ยังเสียเขาไป ข้ารู้สึกว่าข้าอ่อนแอเหลือเกิน”ผู้เฒ่าปราชญ์ยิ้มอ่อนโยน “บางครั้งการสูญเสียคือบทเรียนที่สำคัญที่สุด มันไม่ใช่ความแข็งแกร่งภายนอกที่เจ้าไม่เคยรู้จัก แต่เป็นพลั
เอลเลียตมองต้นไม้ใหญ่นั้นด้วยความสงสัย “ข้าจะต้องทำอย่างไร?” “เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังของเจ้าโดยไม่ให้มันครอบงำเจ้า” ผู้เฒ่าปราชญ์กล่าว “เริ่มจากการใช้พลังในการฟื้นฟูร่างกายของเจ้า เจ้าเคยทนทานต่อบาดแผลและพิษ แต่ตอนนี้เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเร่งกระบวนการฟื้นตัวนั้นให้เร็วขึ้น”ผู้เฒ่าปราชญ์ให้เอลเลียตฝึกฝนการควบคุมการฟื้นฟูของร่างกายโดยใช้สมาธิในการสร้างพลังงานจากภายใน เขาให้เอลเลียตฝึกโดยการเผชิญหน้ากับความเหนื่อยล้าและบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นจากการฝึกอย่างหนัก เอลเลียตต้องเรียนรู้ที่จะปลดปล่อยพลังงานจากภายในร่างกายของเขาเพื่อรักษาตัวเองในเวลาอันสั้น นอกจากการฟื้นฟูร่างกายแล้ว ผู้เฒ่าปราชญ์ยังสอนเอลเลียตถึงการปลดปล่อยพลังงานเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการต่อสู้ของเขา เอลเลียตฝึกฝนการใช้กระบองเหล็กของเขาในการโจมตีต้นไม้ใหญ่โดยไม่ทำลายมัน แต่เพื่อฝึกฝนการควบคุมพลังของเขาให้แม่นยำและทรงพลังที่สุด การฝึกนี้ทำให้เอลเลียตได้ค้นพบว่าพลังที่แท้จริงของเขาไม่ใช่เพียงการต้านทานหรือการฟื้นฟู แต่ยังรวมถึงการใช้พลังนั้นในการปก
ผู้เฒ่าปราชญ์ไม่ได้หยุดการฝึกเพียงแค่นั้น เขาตัดสินใจที่จะสอนให้ไรอันและเอลเลียตได้ฝึกฝนการใช้พลังร่วมกัน การผสานพลังของธาตุน้ำและพลังชีวิตของเอลเลียตเพื่อสร้างพลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิมการฝึกนี้เริ่มจากการเรียนรู้ที่จะปรับพลังของพวกเขาให้สอดคล้องกัน ไรอันต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังน้ำในรูปแบบที่สามารถทำงานร่วมกับพลังแห่งชีวิตของเอลเลียต ขณะที่เอลเลียตก็ต้องปรับพลังของเขาให้สามารถเข้ากับพลังน้ำของไรอันได้ผู้เฒ่าปราชญ์จัดการทดสอบโดยให้พวกเขาร่วมมือกันในการสร้างกำแพงน้ำที่ไม่เพียงแค่ป้องกันศัตรูเท่านั้น แต่ยังสามารถฟื้นฟูพลังงานให้กับพวกเขาในขณะเดียวกันด้วย ไรอันต้องสร้างกระแสน้ำที่ไม่เพียงแต่แข็งแกร่ง แต่ยังต้องอ่อนโยนพอที่จะไม่ทำลายพลังของเอลเลียต ขณะที่เอลเลียตก็ต้องเสริมสร้างพลังน้ำนี้ให้คงทนและเข้มแข็งยิ่งขึ้นการฝึกนี้เป็นความท้าทายที่ต้องใช้ทั้งความเข้าใจและความเชื่อมั่นในกันและกัน พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะเปิดใจและสื่อสารโดยไม่ต้องใช้คำพูด รู้จักการทำงานร่วมกันในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนเมื่อพวกเขาสามารถสร้างกำแพงน้ำที่แข็งแกร่งและมีพลังในการฟื้นฟูได้สำเร็จ ผู้เฒ่าปราช
ปราสาทร้างที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเกาะยมทูตเต็มไปด้วยความมืดและเงียบสงัด มันเป็นสถานที่ที่เคยรุ่งเรืองในอดีต แต่ตอนนี้ถูกทิ้งร้างให้เป็นที่พำนักของความมืดที่แผ่ขยายจากจิตใจของลูเซียส หมอกหนาที่ปกคลุมรอบๆ ปราสาทนั้นหนาแน่นจนแทบจะบดบังแสงจากดวงจันทร์ แต่ไรอัน เอลเลียต และอาเรียน่าก็ยืนหยัดอยู่หน้าทางเข้าปราสาทอย่างไม่เกรงกลัว พวกเขามาที่นี่พร้อมกับความมุ่งมั่นที่ไม่มีวันสั่นคลอน และพลังที่ได้รับการปลุกขึ้นมาใหม่จากการฝึกฝนอย่างหนัก พวกเขารู้ดีว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ที่สำคัญที่สุดในชีวิต และมันจะเป็นการตัดสินชะตากรรมของพวกเขา ลีอา และแม้แต่ลูเซียส “ทุกคนพร้อมหรือยัง?” ไรอันถามเสียงต่ำ แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ปราสาทที่ยืนตระหง่านเบื้องหน้าเอลเลียตพยักหน้ารับ “พร้อมเสมอ ข้าไม่กลัวความมืดอีกต่อไปแล้ว เราจะพานางกลับมา และจะหยุดยั้งลูเซียสให้ได้” อาเรียน่ากำลังมองไปยังปราสาทที่เต็มไปด้วยเงามืด สายตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ข้าเองก็พร้อม พี่ชาย ข้าจะใช้พลังของข้าเพื่อช่วยพวกท่าน ข้าจะไม่ยอมให้ความมืดนี้เอาชนะพวกเราได้” ทั้งสามคนเดินเข้าไป
ชีวิตของไรอันและลีอาเดินหน้าไปสู่ความสงบสุขที่พวกเขาเคยฝันถึง หลังจากการต่อสู้ที่ยาวนานและการสูญเสียที่ทำให้หัวใจของพวกเขาต้องบอบช้ำ พวกเขาก็ได้สร้างครอบครัวเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น หมู่บ้านที่เคยถูกครอบงำด้วยเงามืดกลับมาสดใสอีกครั้ง และชีวิตใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับงานแต่งงานเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความยินดีและความหวังลีอาและไรอันมีลูกแฝดชายหญิงที่เปรียบเสมือนดวงดาวสว่างไสวในชีวิตของพวกเขา เด็กทั้งสองคนเปี่ยมไปด้วยความไร้เดียงสาและความสดใสที่ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านรู้สึกถึงความหวังและความสุขที่แท้จริง ครอบครัวของพวกเขาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความรัก ไรอันเป็นพ่อที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและปกป้องลูกๆ ด้วยชีวิต ขณะที่ลีอาเป็นแม่ที่อบอุ่นและอ่อนโยน คอยดูแลทุกคนด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักในขณะเดียวกัน เอลเลียตและเฟนิกซ์ก็ออกเดินทางไปผจญภัยในดินแดนใหม่ๆ เพื่อฝึกฝนตนเองและค้นหาความหมายใหม่ในชีวิต พวกเขาเลือกที่จะไม่หยุดอยู่กับที่ แต่ออกเดินทางเพื่อค้นหาประสบการณ์และความรู้ใหม่ๆ ที่จะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นในทุกด้านอาเรียน่าเองก็เลือกทางเดินที่แตกต่างออกไป เธอตัดสินใจออกเดินทาง
ลูเซียสหายใจลึก รู้สึกถึงน้ำหนักที่ถูกยกออกจากบ่าของเขา แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่าย และแม้ว่าความมืดในจิตใจของเขายังคงหลงเหลืออยู่ แต่ความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงและหาความสงบสุขในตัวเองก็มีมากกว่าลีอาที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างไรอันก็ยิ้มให้ลูเซียสด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเห็นใจ “ข้ายังเชื่อในตัวเจ้า ลูเซียส ข้ารู้ว่าลึกๆ แล้วเจ้าไม่ได้ต้องการทำร้ายใคร เจ้าก็แค่ต้องการคนที่จะเชื่อมั่นและอยู่เคียงข้างเจ้า”อาเรียน่าก้าวเข้ามาสมทบ “เราเป็นครอบครัว... ครอบครัวที่ยอมรับกันได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านไม่จำเป็นต้องต่อสู้เพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว”ลูเซียสมองดูพวกเขาทั้งสี่คน น้ำตาที่เก็บกดไว้ตลอดหลายปีเริ่มไหลลงมาอาบแก้ม เขารู้สึกถึงความโล่งใจและความหวังที่เคยสูญเสียไปนานแล้ว“ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่ข้าเคยทำ” ลูเซียสกล่าวทั้งน้ำตา “ข้าขอโทษที่ข้าเคยเลือกทางที่ผิด และข้าขอโทษที่ข้าพยายามจะทำร้ายพวกเจ้า”“เจ้าไม่ต้องขอโทษอะไรอีกแล้ว” ไรอันกล่าวขณะที่เขาเข้ามาใกล้ลูเซียสและยื่นมือออกไป “สิ่งสำคัญคือเจ้าได้กลับมา และเราจะผ่านทุกสิ่งไปด้วยกัน” ไ
"ในคืนหนึ่ง... ข้าจำได้ว่าแม่ของข้าไม่ได้มาร่ำลาข้า ข้าเพียงเห็นแผ่นหลังของพ่อที่หันมาเอ่ยคำสุดท้ายกับข้า 'เจ้าต้องไป...เพื่อปกป้องตระกูล' คำพูดเหล่านั้นยังคงก้องอยู่ในหัวข้าตลอดมา ข้าถูกขับไล่ออกจากบ้าน ถูกส่งไปในป่าลึก โดยไม่มีแม้แต่ใครสักคนที่จะมาอธิบายว่าเหตุใด ข้าเป็นแค่เด็ก แต่ข้ากลับถูกทิ้งไว้ในความมืด โดยไม่มีที่พึ่งพิง ไม่มีความอบอุ่นของครอบครัว" เขาก้มหน้า น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น"ตอนที่ข้าจากไป ไรอันยังไม่เกิด พ่อและแม่ของเราคิดว่าเมื่อข้าไม่อยู่แล้ว พวกเขาจะสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ ข้าถูกลบออกจากความทรงจำของครอบครัว...และไรอัน เขาเกิดขึ้นมาโดยที่ไม่รู้เลยว่าข้าเคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา"ลีอาหันไปมองลูเซียสอย่างตกตะลึง เธอไม่เคยได้ยินเรื่องราวนี้มาก่อน ลูเซียส...พี่น้องร่วมสายเลือดของไรอัน ถูกผลักไสออกจากครอบครัวในวัยเด็ก เพียงเพราะพลังที่เขาไม่ได้เลือกที่จะมี"ข้าเร่ร่อนอยู่ในป่า เดียวดายและเต็มไปด้วยความกลัว ข้าไม่รู้ว่าข้าควรทำอย่างไร ข้ารอคอยวันที่ครอบครัวจะมารับข้ากลับ แต่วันนั้นไม่เคยมาถึง ข้าโตขึ้นมาท่ามกลางความโดดเดี่ยวและความเกลียดชัง ข้าเรียนรู้ที่จะใช้พ
แต่ลีอากลับก้าวออกมาจากเงามืดนั้นอย่างช้าๆ เธอหยุดอยู่ตรงหน้าไรอันและอาเรียน่า น้ำตาของเธอไหลลงมาเมื่อเธอรู้สึกถึงความอบอุ่นจากพวกเขา “ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษที่ข้าเคยละทิ้งพวกเจ้า...”ไรอันยิ้มอย่างอ่อนโยนและก้าวเข้ามากอดเธอไว้ “ไม่เป็นไร ลีอา เจ้ากลับมาแล้ว นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด” แสงสว่างที่เปล่งออกมาจากตัวอาเรียน่าเริ่มส่องประกายอย่างแรงกล้าอีกครั้ง ลูเซียสรู้สึกถึงพลังที่ถอยห่างจากตัวเขา ความมืดที่เคยทำให้เขาแข็งแกร่งกลับกลายเป็นภาระที่หนักอึ้ง เขารู้สึกถึงความอ่อนแอที่เข้ามาครอบงำ ร่างกายของเขาเริ่มสั่นไหวและอ่อนแรงลง “ไม่... ไม่!” ลูเซียสตะโกนด้วยความสิ้นหวัง แต่พลังที่เขาเคยยึดมั่นกลับหายไปทีละน้อย เงามืดที่เคยล้อมรอบตัวเขาเริ่มจางหายไป ราวกับว่ามันถูกดูดกลืนเข้าสู่แสงสว่างที่พวกเขาสร้างขึ้นมา ลีอายังคงมองไปทางลูเซียสที่ยืนอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความสับสน ดวงตาของเธอที่เต็มไปด้วยความสงสารและความเห็นใจสะท้อนถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนที่เธอมีต่อลูเซียส แม้ว่าเธอจะถูกสะกดจิตในช่วงเวลาที่อยู่กับเขา แต่เธอก็สามารถจดจำทุกเรื่องราวท
พลังเงามืดของลูเซียสถูกต้านทานด้วยบาเรียน้ำของไรอันและแสงสว่างของอาเรียน่า แต่ลูเซียสก็ไม่ยอมแพ้ เขารวบรวมพลังทั้งหมดที่มีและปล่อยคลื่นพลังมืดออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้มันรุนแรงและน่ากลัวกว่าครั้งก่อน มันเป็นพลังที่ถูกหล่อหลอมจากความแค้นและความโดดเดี่ยว คลื่นพลังมืดที่เขาปล่อยออกมานั้นไม่เพียงแต่รุนแรง แต่ยังเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า ลูเซียสไม่มีเจตนาที่จะยอมแพ้หรือยอมให้ใครเข้ามาขวางทางเขาได้อีก เอลเลียตที่เป็นด่านแรกของการป้องกัน ยังคงยืนหยัดไม่ถอย เขาใช้กระบองเหล็กของเขาฟาดลงไปที่พื้นอีกครั้งเพื่อสร้างแรงกระแทกที่พุ่งตรงเข้าไปปะทะกับพลังเงามืด แต่ความรุนแรงของพลังมืดนั้นกลับทำให้พื้นดินแตกออกเป็นรอยแยก ลมพายุจากพลังมืดกวาดเอาเศษซากและฝุ่นผงขึ้นมาหมุนวนรอบตัวเอลเลียต ทำให้การมองเห็นของเขาเริ่มพร่ามัว อย่างไรก็ตาม เอลเลียตยังคงยืนอยู่ได้ด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในตัวเพื่อนร่วมทางของเขา “พวกเจ้ารีบทำสิ่งที่ต้องทำ!” เขาตะโกนด้วยเสียงที่ยังเต็มไปด้วยพลัง “ข้าจะยืนหยัดตรงนี้ ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!” ไรอันรู้ดีว่
ปราสาทร้างที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเกาะยมทูตเต็มไปด้วยความมืดและเงียบสงัด มันเป็นสถานที่ที่เคยรุ่งเรืองในอดีต แต่ตอนนี้ถูกทิ้งร้างให้เป็นที่พำนักของความมืดที่แผ่ขยายจากจิตใจของลูเซียส หมอกหนาที่ปกคลุมรอบๆ ปราสาทนั้นหนาแน่นจนแทบจะบดบังแสงจากดวงจันทร์ แต่ไรอัน เอลเลียต และอาเรียน่าก็ยืนหยัดอยู่หน้าทางเข้าปราสาทอย่างไม่เกรงกลัว พวกเขามาที่นี่พร้อมกับความมุ่งมั่นที่ไม่มีวันสั่นคลอน และพลังที่ได้รับการปลุกขึ้นมาใหม่จากการฝึกฝนอย่างหนัก พวกเขารู้ดีว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ที่สำคัญที่สุดในชีวิต และมันจะเป็นการตัดสินชะตากรรมของพวกเขา ลีอา และแม้แต่ลูเซียส “ทุกคนพร้อมหรือยัง?” ไรอันถามเสียงต่ำ แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ปราสาทที่ยืนตระหง่านเบื้องหน้าเอลเลียตพยักหน้ารับ “พร้อมเสมอ ข้าไม่กลัวความมืดอีกต่อไปแล้ว เราจะพานางกลับมา และจะหยุดยั้งลูเซียสให้ได้” อาเรียน่ากำลังมองไปยังปราสาทที่เต็มไปด้วยเงามืด สายตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ข้าเองก็พร้อม พี่ชาย ข้าจะใช้พลังของข้าเพื่อช่วยพวกท่าน ข้าจะไม่ยอมให้ความมืดนี้เอาชนะพวกเราได้” ทั้งสามคนเดินเข้าไป
ผู้เฒ่าปราชญ์ไม่ได้หยุดการฝึกเพียงแค่นั้น เขาตัดสินใจที่จะสอนให้ไรอันและเอลเลียตได้ฝึกฝนการใช้พลังร่วมกัน การผสานพลังของธาตุน้ำและพลังชีวิตของเอลเลียตเพื่อสร้างพลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิมการฝึกนี้เริ่มจากการเรียนรู้ที่จะปรับพลังของพวกเขาให้สอดคล้องกัน ไรอันต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังน้ำในรูปแบบที่สามารถทำงานร่วมกับพลังแห่งชีวิตของเอลเลียต ขณะที่เอลเลียตก็ต้องปรับพลังของเขาให้สามารถเข้ากับพลังน้ำของไรอันได้ผู้เฒ่าปราชญ์จัดการทดสอบโดยให้พวกเขาร่วมมือกันในการสร้างกำแพงน้ำที่ไม่เพียงแค่ป้องกันศัตรูเท่านั้น แต่ยังสามารถฟื้นฟูพลังงานให้กับพวกเขาในขณะเดียวกันด้วย ไรอันต้องสร้างกระแสน้ำที่ไม่เพียงแต่แข็งแกร่ง แต่ยังต้องอ่อนโยนพอที่จะไม่ทำลายพลังของเอลเลียต ขณะที่เอลเลียตก็ต้องเสริมสร้างพลังน้ำนี้ให้คงทนและเข้มแข็งยิ่งขึ้นการฝึกนี้เป็นความท้าทายที่ต้องใช้ทั้งความเข้าใจและความเชื่อมั่นในกันและกัน พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะเปิดใจและสื่อสารโดยไม่ต้องใช้คำพูด รู้จักการทำงานร่วมกันในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนเมื่อพวกเขาสามารถสร้างกำแพงน้ำที่แข็งแกร่งและมีพลังในการฟื้นฟูได้สำเร็จ ผู้เฒ่าปราช
เอลเลียตมองต้นไม้ใหญ่นั้นด้วยความสงสัย “ข้าจะต้องทำอย่างไร?” “เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังของเจ้าโดยไม่ให้มันครอบงำเจ้า” ผู้เฒ่าปราชญ์กล่าว “เริ่มจากการใช้พลังในการฟื้นฟูร่างกายของเจ้า เจ้าเคยทนทานต่อบาดแผลและพิษ แต่ตอนนี้เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเร่งกระบวนการฟื้นตัวนั้นให้เร็วขึ้น”ผู้เฒ่าปราชญ์ให้เอลเลียตฝึกฝนการควบคุมการฟื้นฟูของร่างกายโดยใช้สมาธิในการสร้างพลังงานจากภายใน เขาให้เอลเลียตฝึกโดยการเผชิญหน้ากับความเหนื่อยล้าและบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นจากการฝึกอย่างหนัก เอลเลียตต้องเรียนรู้ที่จะปลดปล่อยพลังงานจากภายในร่างกายของเขาเพื่อรักษาตัวเองในเวลาอันสั้น นอกจากการฟื้นฟูร่างกายแล้ว ผู้เฒ่าปราชญ์ยังสอนเอลเลียตถึงการปลดปล่อยพลังงานเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการต่อสู้ของเขา เอลเลียตฝึกฝนการใช้กระบองเหล็กของเขาในการโจมตีต้นไม้ใหญ่โดยไม่ทำลายมัน แต่เพื่อฝึกฝนการควบคุมพลังของเขาให้แม่นยำและทรงพลังที่สุด การฝึกนี้ทำให้เอลเลียตได้ค้นพบว่าพลังที่แท้จริงของเขาไม่ใช่เพียงการต้านทานหรือการฟื้นฟู แต่ยังรวมถึงการใช้พลังนั้นในการปก
การสูญเสียลีอาและแม่ทัพอาร์เดนไปเป็นเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจของไรอันอย่างรุนแรง เขารู้สึกเหมือนว่าทุกสิ่งที่เขาพยายามปกป้องได้พังทลายลงต่อหน้าต่อตา ความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดที่ตามมานั้นทำให้เขารู้สึกท้อแท้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เขาตระหนักว่าพลังที่แท้จริงของเขานั้นอาจไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงการควบคุมธาตุน้ำเท่านั้นหลังจากหนีรอดออกมาจากเกาะยมทูต ไรอัน เอลเลียต และอาเรียน่าตัดสินใจที่จะพักฟื้นร่างกายและจิตใจในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกลจากอำนาจของลูเซียส ในหมู่บ้านนี้ พวกเขาได้พบกับผู้เฒ่าปราชญ์อีกครั้ง ซึ่งต้อนรับพวกเขาด้วยความอบอุ่นและให้ที่พักพิงเพื่อให้พวกเขาสามารถฟื้นฟูพลังได้“ข้าเห็นแววตาของเจ้าไรอัน” ผู้เฒ่าปราชญ์กล่าวขณะนั่งจ้องมองไรอันที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขา “เจ้าไม่ได้พ่ายแพ้ เจ้าแค่กำลังค้นพบตัวเอง”ไรอันมองผู้เฒ่าปราชญ์ด้วยความสับสน “แต่ข้าสูญเสียลีอาไป ข้าไม่สามารถปกป้องเธอได้ ส่วนสหายร่วมรบข้าก็ยังเสียเขาไป ข้ารู้สึกว่าข้าอ่อนแอเหลือเกิน”ผู้เฒ่าปราชญ์ยิ้มอ่อนโยน “บางครั้งการสูญเสียคือบทเรียนที่สำคัญที่สุด มันไม่ใช่ความแข็งแกร่งภายนอกที่เจ้าไม่เคยรู้จัก แต่เป็นพลั