ไรอันตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
"ลูเซียสเคยเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลข้า? ทำไมข้าถึงไม่เคยรู้มาก่อน?"
"เพราะมันเป็นความลับที่ถูกปกปิดไว้อย่างยาวนาน" ผู้เฒ่าปราชญ์ตอบ
"ลูเซียสคือพี่น้องร่วมสายเลือดของเจ้า แต่เขาเกิดมาพร้อมกับพลังแห่งเงามืด พลังที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อสมดุลของอาณาจักร ครอบครัวของเจ้าจึงตัดสินใจที่จะปกปิดเรื่องนี้และผลักไสเขาออกไปจากตระกูล"
คำพูดของผู้เฒ่าปราชญ์ทำให้ไรอันรู้สึกถึงความสับสนและความเจ็บปวดในใจ เขาไม่เคยรู้ว่าลูเซียสคือพี่น้องร่วมสายเลือด และไม่เคยรู้ว่าตระกูลของเขามีส่วนในการทำให้ลูเซียสกลายเป็นผู้ที่ครอบครองพลังแห่งความมืด
"เพราะความแค้นที่ถูกฝังลึกในใจ ลูเซียสจึงหันไปหาพลังแห่งเงามืดและทำสัญญากับมัน เพื่อที่จะใช้พลังนั้นในการล้างแค้นต่อครอบครัวและอาณาจักรที่เขารู้สึกว่าทรยศเขา" ผู้เฒ่าปราชญ์กล่าวเสริม
"แต่พลังนั้นไม่ได้มอบเพียงความแข็งแกร่งให้แก่เขา มันยังได้ครอบครองจิตวิญญาณของเขาด้วย"
ลีอาที่ฟังอยู่เงียบๆ ตลอดการสนทนา มองดูไรอันด้วยความเห็นใจ เธอยื่นมือออกไปตบบนหลังมือเขาเบาๆ เธอเข้าใจถึงความรู้สึกที่ต้องพบกับความจริงที่เจ็บปวด แต่เธอเชื่อว่าไรอันจะต้องสามารถก้าวข้ามมันไปได้
"ข้าต้องทำอย่างไร?" ไรอันถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสับสนและเป็นทุกข์
"ข้าจะหยุดลูเซียสได้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นพี่น้องของข้า?"
"เจ้าต้องใช้พลังของเจ้าเพื่อฟื้นฟูสมดุลที่ถูกทำลาย และเจ้าต้องเผชิญหน้ากับลูเซียส ไม่ใช่ในฐานะศัตรู แต่ในฐานะพี่น้อง" ผู้เฒ่าปราชญ์ตอบ
"การต่อสู้ระหว่างเจ้าและลูเซียสไม่ใช่เพียงการต่อสู้เพื่อหยุดยั้งความชั่วร้าย แต่ยังเป็นการต่อสู้เพื่อคืนความสงบสุขและความเข้าใจให้กับตระกูลของเจ้า"
ไรอันรู้สึกถึงความหนักอึ้งในใจที่ถูกปลดเปลื้องออกมาเล็กน้อย แต่เขายังคงรู้สึกถึงความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า การเผชิญหน้ากับลูเซียสจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขารู้ว่าเขาไม่สามารถหนีจากความจริงนี้ได้อีกต่อไป
"ข้าจะทำมัน ข้าจะเผชิญหน้ากับลูเซียส และจะนำพาเขากลับคืนสู่แสงสว่าง" ไรอันกล่าวด้วยความมุ่งมั่น
ผู้เฒ่าปราชญ์พยักหน้าอย่างเห็นใจ
"ข้าหวังว่าเจ้าและลูเซียสจะหาทางคืนดีกันได้ และข้าขอให้เจ้ามีพลังที่จะผ่านพ้นความมืดมิดนี้ไป"
หลังจากการสนทนานั้น ผู้เฒ่าปราชญ์ได้ให้แผนที่แก่ไรอันและลีอา เพื่อช่วยนำทางพวกเขาไปยังสถานที่ที่ลูเซียสซ่อนตัวอยู่
หลังจากที่ผู้เฒ่าปราชญ์เล่าเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับตระกูลของไรอันและการทรยศในอดีต จิตใจของไรอันเต็มไปด้วยความสับสนและความเจ็บปวด ความจริงที่เขาเพิ่งได้รับรู้ทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่เขาไม่เคยคาดคิด
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ถกเถียงหรือวางแผนการเดินทางต่อไป เสียงฝีเท้าที่รวดเร็วและหนักแน่นก็ดังขึ้นจากภายนอกบ้านไรอัน ลีอา และผู้เฒ่าปราชญ์หันไปมองประตูบ้านด้วยความตื่นตัว
“เกิดอะไรขึ้น?” ลีอาถามเบาๆ
“ข้าก็ไม่แน่ใจ...” ผู้เฒ่าปราชญ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“แต่ข้ารู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลเข้ามาใกล้”
ก่อนที่ผู้เฒ่าจะพูดจบ ประตูบ้านก็ถูกถีบเปิดออกอย่างแรง เผยให้เห็นกลุ่มนักฆ่าลึกลับสามคนที่ยืนอยู่ในเงามืด พวกเขาสวมชุดสีดำทมิฬ ใบหน้าถูกปิดบังด้วยหน้ากาก และในมือของพวกเขาถืออาวุธที่เปล่งแสงสีดำออกมา พลังอันมืดมิดแผ่ซ่านไปทั่วห้อง สร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกคนในที่นั้น
"พวกเขาคือใครน่ะ?" ลีอาถามด้วยเสียงสั่นเครือ
"นักฆ่าที่ถูกส่งมาเพื่อสังหารข้า" ผู้เฒ่าปราชญ์ตอบอย่างสงบนิ่ง
แม้ว่าเขาจะรู้สึกถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามา "พวกเขามาจากกลุ่มที่รับใช้เงามืดของลูเซียส"
"พวกเขามาเพื่อปิดปากข้าก่อนที่ข้าจะสามารถให้ความช่วยเหลือพวกเจ้าได้" ผู้เฒ่าปราชญ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
"แต่ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเขาทำได้สำเร็จ"
ไรอันก้าวขึ้นมาขวางหน้าผู้เฒ่า ดาบของเขาถูกชักออกมาในพริบตา
"ท่านผู้เฒ่า หาที่หลบก่อน!"
นักฆ่าคนหนึ่งพุ่งเข้าหาไรอันด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ ดาบของพวกเขาฟาดฟันอย่างแม่นยำ แต่ไรอันสามารถหลบเลี่ยงได้และตอบโต้ด้วยดาบของเขาเอง การต่อสู้ระหว่างไรอันและนักฆ่าลึกลับเริ่มขึ้นอย่างดุเดือด
ลีอาเองก็ไม่ยอมแพ้ เธอใช้พลังแห่งธรรมชาติเรียกเถาวัลย์ออกมาจากพื้นดินเพื่อพันรอบนักฆ่าอีกคนหนึ่ง แต่พวกเขาก็ฉลาดพอที่จะใช้พลังเงามืดเพื่อตัดเถาวัลย์ทิ้งและพุ่งเข้าหาเธอ ลีอารีบหลบอย่างรวดเร็ว ขณะที่เธอใช้พลังเรียกหนามแหลมขึ้นจากพื้นดินเพื่อสร้างสิ่งกีดขวาง เสียงดาบปะทะกันดังสนั่นทั่วบ้านเล็กๆ นี้ ในขณะที่ไรอันและลีอาพยายามสู้กับนักฆ่าที่แสนแข็งแกร่ง อาเรียน่าซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังตู้หนังสือได้แต่จ้องมองด้วยความหวาดกลัว แต่เด็กหญิงก็รู้ว่าตนเองต้องอดทน เธอรู้ว่าตอนนี้มีเพียงต้องแอบซ่อนตัวถึงจะไม่ทำให้พี่ชายและพี่สาวต้องกังวล
ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น ประตูด้านหลังบ้านก็ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มวัยประมาณ 16 ปี ปรากฏตัวขึ้น เขามีรูปร่างสูงโปร่งและดวงตาที่เปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น มือของเขาถือกระบองเหล็กที่ดูหนักหน่วงและพร้อมจะต่อสู้ได้ทุกเมื่อ
“ท่านตาเคยบอกแล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้นสักวัน!” ชายหนุ่มตะโกน
ขณะที่เขาพุ่งเข้ามาช่วยพวกไรอัน เงื้อกระบองเหล็กฟาดลงไปที่นักฆ่าคนหนึ่งอย่างแรง ทำให้เขาล้มลงไปกับพื้นผู้เฒ่าปราชญ์มองหลานชายของเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความภูมิใจ
“เอลเลียต ข้าดีใจที่เจ้ามาทันเวลา”เอลเลียต ซึ่งเป็นหลานชายของผู้เฒ่าปราชญ์ หันมามองพวกไรอัน “ข้าได้ยินเสียงการต่อสู้เลยรีบมาช่วย ข้าคือเอลเลียต หลานของผู้เฒ่า และข้าจะไม่ยอมให้ใครโดนทำร้ายในถิ่นข้า!”
ไรอันพยักหน้ารับ
“ไป!”
การต่อสู้ดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด แม้จะเป็นเพียงชายหนุ่ม เอลเลียตก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความชำนาญในการต่อสู้ เขาใช้กระบองเหล็กในการต่อสู้กับนักฆ่าลึกลับอีกคนอย่างไม่ย่อท้อ ลีอาใช้พลังแห่งธรรมชาติสนับสนุนการโจมตีของเขา ขณะที่ไรอันยังคงต่อสู้กับนักฆ่าที่ทรงพลังที่สุด
ในท้ายที่สุด ด้วยความร่วมมือของทุกคน นักฆ่าลึกลับทั้งสามคนก็ถูกปราบลง พวกเขาสลายหายไปในเงามืด ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ แต่ความรู้สึกหนักอึ้งยังคงอยู่ในใจของไรอันและเพื่อนร่วมทาง
หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง เอลเลียตเดินเข้ามาหาผู้เฒ่าปราชญ์
“ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าข้าไม่อยากให้ท่านอยู่คนเดียว ในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านต้องการการปกป้อง และข้าจะไม่ปล่อยให้พวกมันทำร้ายท่านได้”
ผู้เฒ่าปราชญ์ยิ้มอ่อนโยน
“เจ้าทำได้ดีมาก เอลเลียต ข้าแก่เกินกว่าจะต่อสู้ได้เหมือนเมื่อก่อน ข้ารู้สึกขอบใจที่เจ้ามาช่วยข้าและพวกเขา”
เอลเลียตหันไปทางไรอันและลีอา
“พวกเขาคือใครหรือท่านตา”
ผู้เฒ่าปราชญ์เล่าเรื่องทั้งหมดให้หลานชายฟัง
“เช่นนั้น ข้าขอร่วมเดินทางกับพวกท่าน ข้ามีทักษะในการต่อสู้และความรู้เกี่ยวกับพื้นที่รอบๆ นี้ และที่สำคัญข้าต้องการล้างแค้นพวกมันที่พยายามทำร้ายครอบครัวข้า”
ไรอันมองดูเอลเลียตด้วยความชื่นชม
“เรายินดีที่เจ้าจะมาร่วมทางกับเรา เอลเลียต พลังของเจ้าจะเป็นกำลังสำคัญในภารกิจของเราแน่นอน”
ผู้เฒ่าปราชญ์ยิ้มให้กับหลานชายและหันไปหาพวกไรอัน
“ข้าขอให้พวกเจ้าจงระวังตัว นักฆ่าที่มาคือสัญญาณว่าอำนาจของลูเซียสกำลังแผ่ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ พวกเจ้าจะต้องพบกับอันตรายที่มากยิ่งขึ้น แต่ข้าหวังว่าสุดท้ายแล้ว เจ้าจะหาทางหยุดยั้งเขาได้”
ผู้เฒ่าปราชญ์ยื่นแผนที่ให้แก่ไรอัน
“นี่คือแผนที่ที่จะนำทางพวกเจ้าไปยังสถานที่ที่ลูเซียสซ่อนตัวอยู่ มันจะเป็นการเดินทางที่ยาวนานและเต็มไปด้วยอันตราย แต่ข้ารู้ว่าเจ้ามีพลังมากพอที่จะผ่านพ้นมันไปได้”
ไรอันรับแผนที่มาอย่างนอบน้อม
“ข้าขอขอบคุณท่านปราชญ์ ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งลูเซียสและนำความสงบสุขกลับคืนสู่แผ่นดินนี้”
หลังจากที่พวกเขาเตรียมตัวเรียบร้อย ไรอัน ลีอา อาเรียน่า และเอลเลียตก็เริ่มออกเดินทางไปตามเส้นทางที่แผนที่ชี้นำ เส้นทางที่เต็มไปด้วยความท้าทายและอันตรายรอพวกเขาอยู่ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในกัน
ก่อนออกเดินทาง ผู้เฒ่าปราชญ์พาหลานชายไปที่ห้องด้านหลังของบ้าน ที่นั่นมีกรงเหล็กขนาดใหญ่ซึ่งภายในบรรจุนกเหยี่ยวตัวหนึ่งที่สง่างามและน่าเกรงขาม
"นี่คือเฟนิกซ์ เหยี่ยววายุคู่ใจของข้า" เอลเลียตพูดพร้อมกับยิ้ม
ภาพของเหยี่ยวตัวนี้ทำให้เขารู้สึกถึงพลังและความมั่นใจที่มีมากขึ้น เฟนิกซ์คือเหยี่ยวที่มีขนสีทองประกายและดวงตาสีเหลืองอำพันที่แสดงถึงความเฉียบคม มันมีขนาดใหญ่กว่านกเหยี่ยวทั่วไป และปีกที่กว้างของมันทำให้มันสามารถทะยานสู่ท้องฟ้าได้อย่างรวดเร็วและเงียบสงบ เอลเลียตเปิดกรงและเรียกเหยี่ยววายุ มันบินออกมาจากกรงอย่างสง่างามก่อนจะร่อนลงมาที่แขนของเขา
"เฟนิกซ์เป็นเพื่อนคู่ใจของข้ามานาน มันไม่เพียงแค่สามารถส่งสารได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังมีดวงตาที่เฉียบคมและสามารถสอดส่องภัยอันตรายได้ในระยะทางหลายกิโลเมตร" เอลเลียตอธิบายด้วยความภาคภูมิใจ
ไรอันและลีอาต่างมองดูเฟนิกซ์ด้วยความทึ่ง ลีอายิ้มออกมาและยื่นมือไปแตะขนของมันเบาๆ "มันสวยงามจริงๆ เอลเลียต ข้าว่าเฟนิกซ์จะเป็นประโยชน์มากในการเดินทางของเรา"เอลเลียตพยักหน้า
"มันเคยช่วยข้าหลายครั้งในการต่อสู้และการสอดแนม ข้ามั่นใจว่ามันจะช่วยให้พวกเรารอดพ้นจากอันตรายที่กำลังจะมาถึงได้"
เฟนิกซ์กางปีกกว้างก่อนจะบินขึ้นไปยังท้องฟ้าภายนอกบ้านอย่างรวดเร็ว มันทะยานขึ้นไปสูงจนเกือบจะลับสายตา ก่อนจะเริ่มบินวนไปทั่วบริเวณรอบหมู่บ้านอย่างเงียบเชียบ เพื่อตรวจสอบว่ามีภัยอันตรายใดๆ อยู่ใกล้เคียงหรือไม่
ผู้เฒ่าปราชญ์ยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นเฟนิกซ์ทำหน้าที่ของมัน
"เฟนิกซ์จะเป็นตาของพวกเจ้าในที่ที่พวกเจ้าไม่อาจมองเห็น ข้าขอให้พวกเจ้าโชคดีและปลอดภัยในการเดินทาง"
ไรอัน ลีอา อาเรียน่า และเอลเลียตบอกลาผู้เฒ่าปราชญ์ เอลเลียตนัยน์ตาแดงก่ำ
“ข้าขอตัวไปเก็บของก่อนนะ” เอลเลียตพูดจบก็รีบเดินไปยังที่พักของเขาทันที
“ข้าฝากหลานชายคนนี้ของข้าด้วยนะ แม้ว่าเขาจะยังเด็ก แต่ย่อมจะมีประโยชน์ต่อแผนการของพวกเจ้า” ผู้เฒ่าปราชญ์พูด และมองเข้าไปในดวงตาของไรอัน
“ท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะปกป้องเขาด้วยชีวิต หากภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะรีบพาเขากลับมาหาท่านอย่างแน่นอน” ไรอันให้คำมั่นแก่ชายชรา
หลังจากเตรียมการทุกอย่างพร้อม พวกไรอันก็ออกเดินทางต่อไปตามเส้นทางที่แผนที่ชี้นำ
ผู้เฒ่าปราชญ์มองตามหลังสี่คนหนึ่งสัตว์ที่เดินจากไป
‘ท่านตา สิ่งนี้คืออะไรเหรอครับ?’
‘หนอนขนเม่นน่ะ เจ้าต้องระวังนะ หากไปแตะโดนขนมัน เจ้าจะทรมานเพราะพิษของมันอันตรายมาก’
‘ข้าไม่กลัวหรอก’ เด็กชายวัยห้าขวบ ใช้มือจับหนอนขนเม่น ก่อนที่ผู้เป็นตาจะช่วยทัน
‘โอ๊ยยย’ เด็กชายร้องลั่น พร้อมเอามือซ้ายกุมมือขวาทึ่บาดเจ็บไว้
‘นั่นไง ตาบอกแล้วใช่มั้ย ดื้อจริงๆ’ ถึงปากจะดุหลาน แต่ชายชราก็รีบเข้าไปดูมือของหลานชายตัวน้อย
‘นี่มัน…’ คนเป็นตาพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจ จากที่คิดว่าจะเห็นแผลไหม้พุพองน่ากลัว แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นเพียงรูเล็กๆหลายสิบรูที่เกิดจากหนามพิษของหนอนขนเม่นแทงเท่านั้น
‘ท่านตา ข้าเจ็บ ต่อไปข้าไม่ดื้อแล้ว’
วันต่อมา หลานชายตัวน้อยวิ่งมาหาตาอย่างร่าเริง พร้อมชูนิ้วข้างที่บาดเจ็บให้คนเป็นตาดู
‘ท่านตา แผลข้าหายแล้ว ยาของท่านดีจริงๆ’
หลังจากนั้นก็มีอีกหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าหลานคนนี้จะโดนอะไร ก็จะหายได้อย่างรวดเร็ว
“ท่านผู้เฒ่า ไม่ต้องไปห่วงเด็กๆมันหรอก เอลเลียตน่ะแข็งแรงไม่เหมือนเด็กอื่น ท่านก็รู้นี่ อีกอย่างเขาก็โตแล้วนะ”
ชายวัยกลางคนร้างท้วมคนหนึ่งเดินมาสะกิดแขนผู้เฒ่าปราชญ์ เมื่อเห็นเขายืนอยู่ตรงนั้นนานมาก
“นั่นสินะ หลานตัวน้อยของข้า เติบใหญ่แล้ว”
ชายชราถอนหายใจยาว แล้วหันกายเข้าที่พักไป
ผู้เฒ่าปราชญ์ไม่คาดคิดเลยว่า การจากกันของเขากับหลานชายครานี้ จะจากกันไปนานเสียจนเขาแทบรอไม่ไหว ร่างกายชราทรุดลงไปทุกวัน
เฟนิกซ์บินนำหน้าเป็นระยะทางไกล สอดส่องและส่งสัญญาณเตือนเมื่อพบสิ่งผิดปกติ ดวงตาที่เฉียบคมของมันสามารถมองเห็นอันตรายที่ซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเงามืดที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาหรือสัตว์ร้ายที่ซุ่มอยู่ในสุมทุมพุ่มไม้ระหว่างการเดินทาง
เฟนิกซ์ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของกลุ่ม มันส่งสารไปยังหมู่บ้านข้างเคียงที่พวกเขาต้องผ่าน เพื่อเตือนชาวบ้านถึงภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น และช่วยให้พวกไรอันสามารถวางแผนล่วงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ครั้งหนึ่งเมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับฝูงหมาป่าที่ถูกพลังเงามืดครอบงำ เฟนิกซ์ก็ใช้ความเร็วของมันบินวนล่อหลอกรอบฝูงหมาป่า ทำให้พวกมันเสียสมาธิ และเปิดโอกาสให้ไรอัน ลีอา และเอลเลียตสามารถโจมตีและผ่านพ้นอันตรายไปได้
ความสามารถและความจงรักภักดีของเฟนิกซ์ทำให้มันกลายเป็นสมาชิกที่ขาดไม่ได้ของกลุ่ม ทุกคนต่างรู้สึกขอบคุณที่มีมันคอยสนับสนุนและช่วยเหลือในการเดินทางครั้งนี้
ระหว่างการเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตรายและความท้าทาย ไรอัน ลีอา เอลเลียต และอาเรียน่าได้พัฒนาความสัมพันธ์และความผูกพันที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่ในหมู่พวกเขา ความรู้สึกที่ซับซ้อนที่สุดกลับเกิดขึ้นระหว่างไรอันและลีอา ทุกครั้งที่พวกเขาร่วมเผชิญกับอุปสรรค ความใกล้ชิดและความเข้าใจในกันและกันก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเช้าวันหนึ่ง เมื่อพวกเขาตั้งแคมป์ใกล้ลำธารเล็กๆ ที่น้ำใสสะอาดสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกาย ลีอากำลังนั่งอยู่ริมลำธารพลางล้างหน้าเบาๆ ส่วนอาเรียน่า ลงไปแหวกว่ายน้ำเล่นอย่างสบายใจไรอันเดินออกไปนั่งเงียบๆเพียงลำพัง ปล่อยให้สองสาวใช้เวลาทำธุระส่วนตัวมือของเขาสัมผัสที่ด้ามดาบอย่างเงียบๆ ขณะที่สายลมพัดเบาๆ ผ่านผิวหน้าของเขา ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆครึ้มดูเหมือนจะสะท้อนความรู้สึกในใจของเขาเอง ภาพความทรงจำจากอดีตค่อยๆ ผุดขึ้นมาในจิตใจของเขา ราวกับว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เขานึกถึงลูเซียส เพื่อนรักที่เคยเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตลอด พวกเขาไม่ใช่เพียงแค่เพื่อนร่วมรบ แต่เป็นพี่น้องในสนามรบที่มีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเกินกว่าคำพูดจะอธิบายได้ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น ไรอันจำได้ว่าเขาก
หลังจากเดินทางผ่านป่าทึบและภูเขาสูง พวกไรอัน ลีอา เอลเลียต อาเรียน่า และเฟนิกซ์ เหยี่ยววายุผู้ซื่อสัตย์ ก็มาถึงจุดหมายปลายทางต่อไปที่แผนที่ของผู้เฒ่าปราชญ์ระบุไว้ นั่นคือ "ทะเลมรกต" พวกเขายืนอยู่บนหน้าผาสูง มองลงไปยังทะเลสีเขียวมรกตที่แผ่กว้างออกไปจนสุดสายตา น้ำทะเลใสดุจคริสตัลที่สะท้อนแสงแดดเป็นประกาย ทำให้ทะเลนี้ดูงดงามอย่างไม่ธรรมดา แต่ความงดงามนี้ซ่อนเร้นอันตรายที่พวกเขาไม่คาดคิด"เราต้องข้ามทะเลมรกตนี้เพื่อไปยังที่ซ่อนของลูเซียส" ไรอันกล่าวขณะเปิดแผนที่ดูเส้นทาง "แต่มันไม่ได้บอกว่าเราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง"ลีอามองทะเลด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ "ทะเลนี้ดูเงียบสงบเกินไป ข้าว่ามันต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ"เอลเลียตพยักหน้า "ถูกต้อง ทะเลที่เงียบเกินไปมักซ่อนภัยอันตราย ข้าจะให้เฟนิกซ์สำรวจจากฟ้าก่อน แล้วพวกเราค่อยลงไปข้ามทะเลนี้"เฟนิกซ์รับคำสั่งของเอลเลียตด้วยการกระพือปีกบินขึ้นสู่ท้องฟ้ากว้าง มันบินวนสำรวจรอบๆ พื้นที่ทะเลมรกต เฟนิกซ์มีสายตาที่เฉียบคมและสามารถมองเห็นได้ไกลหลายกิโลเมตร มันจึงสังเกตเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนน้ำสีมรกตนี้"มันมีบางสิ่งอยู่ใต้น้ำ" เอลเลียตพูดขึ้นขณะที่เฟ
เธอรีบเข้าไปประคองให้ไรอันพาไปนั่งพักอยู่ใกล้ๆกับอาเรียน่า เธอเดินออกไปช่วยเอลเลียตต่อสู้ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว กรามขบกันแน่น นึกถึงแผลของไรอันและสีหน้าหวาดกลัวของอาเรียน่า เธอก็รู้ว่าจะอ่อนแอไม่ได้ ในขณะนั้นเองเธอก็เริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในตัวเอง พลังภายในที่ลึกซึ้งซึ่งเธอไม่เคยรู้สึกมาก่อนค่อยๆ ตื่นขึ้นมา เธอสัมผัสได้ถึงการเชื่อมโยงกับสิ่งมีชีวิตรอบๆ ตัวเธอที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จิตใจของลีอาเริ่มเปิดรับเสียงเบาๆ ที่ดังขึ้นจากผืนน้ำ มันเป็นเสียงกระซิบของสัตว์น้ำที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเลลึก พวกมันกำลังเฝ้าดูการต่อสู้ ลีอาตัดสินใจที่จะใช้พลังใหม่ที่เธอเพิ่งค้นพบ เพื่อสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ เธอหลับตาลงและมุ่งสมาธิไปยังพลังภายในของเธอ"ได้โปรด... ช่วยพวกเราด้วย" ลีอาพูดออกมาด้วยภาษาของสัตว์น้ำที่เธอเพิ่งเข้าใจ เสียงของเธอสื่อถึงความหวังและความมุ่งมั่นที่จะปกป้องพวกพ้องของเธอ "สัตว์ประหลาดนี้เป็นภัยต่อทั้งพวกเราและพวกเจ้า ข้าขอร้องให้พวกเจ้าช่วยเราต่อสู้"เสียงของลีอาส่งสัญญาณออกไปในน้ำทะเล และในไม่ช้า ลีอาก็รู้สึกถึงการต
ขณะที่ทะเลมรกตค่อยๆ ห่างออกไปข้างหลัง ไรอัน ลีอา เอลเลียต และอาเรียน่าต่างรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น การเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตรายเริ่มทิ้งร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้าให้พวกเขา ทุกคนไม่พูดอะไรมาก เพียงแค่เดินหน้าต่อไปโดยมีความหวังว่าพวกเขาจะได้พักในไม่ช้า ในที่สุดพวกเขาก็ถึงฝั่ง พวกเขาได้พบกับสถานที่แห่งหนึ่งที่มีทุ่งดอกไม้สีสันสวยงามมากมาย สถานที่นี้ถูกปกคลุมด้วยดอกไม้หลากสีที่ชูช่อบานสะพรั่งไปทั่ว ทุ่งดอกไม้นั้นดูเงียบสงบและน่าหลงใหลจนเหมือนภาพวาดที่เต็มไปด้วยสีสันที่สดใส พวกเขาต่างมองไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจและความยินดี ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการหยุดพักหลังจากการเดินทางที่ยากลำบาก “พี่ลีอา ดูนี่สิคะ” อาเรียน่าเรียกเสียงใส พลางจับจูงมือของลีอาให้เดินดูดอกไม้หลากสีเหล่านั้นอย่างร่าเริง ลีอาเดินตามเด็กน้อยพลางยิ้มอ่อน แต่ก็ดีแล้ว เธอชอบที่จะเห็นรอยยิ้มของเด็กสาวมากกว่าสีหน้าที่เป็นกังวลและหงอยเหงา ส่วนเอลเลียตและไรอันพากันเดินสำรวจทุ่งดอกไม้บริเวณนี้ เพื่อหาที่เหมาะๆทำที่ไว้นอนพัก เอลเลียตปล่อยเฟนิกซ์ให้บินออกหาอ
ในที่สุด เมื่อทั้งคู่รวบรวมพลังจิตใจและตระหนักถึงความจริง พวกเขาก็สามารถฉีกห้วงฝันที่ลวงหลอกนั้นออกมาได้ ความจริงเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นอีกครั้ง ทันทีที่พวกเขาตื่นขึ้นมาในโลกแห่งความจริง เสียงของเอลเลียตยังคงก้องอยู่ในหู "พวกเราต้องไปกำราบลูเซียส... อย่าลืมความตั้งใจของพวกเรา"ไรอัน ลีอา และเอลเลียตต่างพากันหอบหายใจแรง ร่างกายของพวกเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อหลังจากที่ต้องฝ่าฟันห้วงฝันอันลวงตานั้นมาได้ พวกเขาเริ่มรู้สึกถึงความหนักอึ้งที่ผ่อนคลายลงเมื่อกลับมาอยู่ในโลกแห่งความจริงอีกครั้ง แต่เมื่อหันไปมองอาเรียน่า พวกเขาพบว่าเธอยังนอนนิ่งอยู่ ไม่ได้ฟื้นขึ้นมาพร้อมกับพวกเขา“อาเรียน่า!” ลีอาเรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล เธอรีบเข้าไปนั่งข้างๆ น้องสาวคนเล็กของพวกเขา หัวใจของเธอเริ่มสั่นไหวเมื่อเห็นว่าอาเรียน่ายังคงติดอยู่ในห้วงฝัน ร่างของเธอไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาของเธอปิดสนิท ราวกับว่าเธอยังจมอยู่ในความปรารถนาที่ไม่อาจหลุดพ้นได้ไรอันและเอลเลียตต่างก็รีบเข้ามาดูอาการของอาเรียน่า "เธอยังไม่ตื่น" เอลเลียตเอ่ยขึ้นพร้อมกับเอามือจับที่ไหล่ของเธอเบาๆ หวังว่าเธอจะ
หลังผ่านพ้นทุ่งละเมอที่เกือบทำพวกเขาไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีก พวกของไรอันก็เดินทางมาถึงจุดหนึ่งกลางป่าที่ทำให้พวกเขาต้องหยุดชะงัก เสียงก้าวเดินที่ดังกึกก้องจากทิศทางเบื้องหน้าบ่งบอกว่ามีคนจำนวนมากกำลังเคลื่อนที่เข้ามา ลีอา เอลเลียต และอาเรียน่าต่างเตรียมตัวพร้อมรับมือ ด้วยความระมัดระวังที่พวกเขาเคยชินกับการเผชิญหน้าศัตรูทุกเมื่อ แต่เมื่อเห็นกองทัพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า พวกเขากลับต้องเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจเหล่าทหารในชุดเกราะสีเงินสว่างเจิดจ้า ปรากฏตัวขึ้นอย่างสง่างาม ธงประจำอาณาจักรแอสทาราปลิวไสวในอากาศ ผืนธงนั้นมีรูปดวงอาทิตย์สีทอง ที่ส่องแสงรอบด้าน ล้อมรอบด้วย ลวดลายเกลียวของธาตุทั้งสี่ (น้ำ ไฟ ดิน ลม) ที่หมุนวนเข้าหากัน สื่อถึงความสมดุลและการทำงานร่วมกันของพลังแห่งธรรมชาติ พื้นหลังของธงเป็น สีฟ้าอ่อน ที่สื่อถึงท้องฟ้าและสันติสุข ธงนี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความเป็นปึกแผ่นของแอสทารา แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นในการรักษาสมดุลระหว่างพลังที่หลากหลายเพื่อให้เกิดความสงบสุขในอาณาจักร พวกเขาถือดาบที่เปล่งประกายแสงแห่งความยุติธรรม และมีออร่าที่ทรงพลังล้อมรอบตัว พวกทหารเห
หลังจากที่กองทัพแห่งแอสทาราได้เข้าร่วมเดินทาง การเดินทางที่เคยเต็มไปด้วยอุปสรรคและความลำบากก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ด้วยกำลังพลและการจัดการที่มีระเบียบของทหารจากแอสทารา การเดินทางจึงดูราบรื่นและสะดวกสบายมากขึ้นอย่างชัดเจน ลีอาและอาเรียน่า สองสาวที่เคยต้องรับมือกับความเหน็ดเหนื่อยและอันตรายตลอดทาง ตอนนี้กลับได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากทหารหนุ่มผู้มีน้ำใจ ทหารเหล่านี้คอยให้การสนับสนุนและปกป้องพวกเธออย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมที่พักให้สะดวกสบายที่สุดหรือการจัดหาอาหารที่ดีที่สุดให้พวกเธอจึงได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ในแต่ละคืนเมื่อกองทัพหยุดพัก ลีอาและอาเรียน่าจะได้รับการจัดเตรียมที่พักที่ใกล้กับศูนย์กลางของค่ายมากที่สุด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยและได้รับการปกป้องจากทหารฝีมือดี พวกเขาจัดเตรียมเต็นท์ที่สะดวกสบาย ปูด้วยพรมหนานุ่มและหมอนที่ทำจากขนสัตว์ พวกเขายังจุดตะเกียงที่ให้แสงสว่างอ่อนๆ สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและสงบเงียบ ลีอารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อได้รับการดูแลเช่นนี้ และเธอก็สังเกตเห็นว่าอาเรียน่าก็เช่นกัน เด็กสาวที่เคยมีใบหน้าตึงเครียดและเหนื่อยล้าตลอดการเดินทาง ตอนนี้
พวกเงามืดนี้ดูเหมือนจะไม่มีชีวิต ไม่รู้จักความเจ็บปวดหรือความกลัว มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นจากความมืดที่ลูเซียสได้ปลุกขึ้นมาเพื่อทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า กองทัพแอสทาราต่างรู้สึกถึงความกดดันที่หนักอึ้ง แต่แม่ทัพอาร์เดนก็ไม่ยอมให้ความกลัวเข้ามาครอบงำ เขาเงยหน้าขึ้นและตะโกนสั่งการ “ทุกคนเตรียมตัว! อย่าปล่อยให้ความมืดนี้ครอบงำจิตใจเรา! เราคือทหารแห่งแอสทารา เราจะยืนหยัดต่อสู้จนถึงที่สุด!” ทหารแอสทาราต่างกุมอาวุธของตนแน่น ดาบของพวกเขาเปล่งประกายแสงแห่งความหวัง ท่ามกลางความมืดที่หนาทึบ พวกเขายืนหยัดอย่างไม่สั่นคลอน แม้จะรู้ดีว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่ากลัวและไร้ความปรานีที่สุดที่พวกเขาเคยพบมา ทันใดนั้น กองทัพเงามืดก็เริ่มเคลื่อนไหว เสียงฝีเท้าที่เหมือนกระซิบของพวกมันดังสะท้อนก้องไปทั่ว ร่างของพวกมันพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทหารแอสทาราเตรียมพร้อมรับการโจมตี ดาบของพวกเขาพุ่งเข้าใส่เงามืดที่เข้ามาใกล้ แต่ดาบที่เปล่งประกายแสงสว่างกลับไม่สามารถทำลายเงามืดเหล่านี้ได้ง่ายๆ มันพุ่งทะลุผ่านร่างของเงามืดไป แต่พวกมันกลับไม่หยุดการโจมตี ความน่าสะพรึงกลัวของเงามืดนี้คือพวกมันดูเหมือนไร้ซึ่ง
ลูเซียสยืนนิ่งอยู่ในความมืดที่แผ่ซ่านไปทั่วห้อง ความมืดนี้ไม่ใช่แค่เงาหรือความมืดธรรมดา แต่มันคือพลังที่อยู่ในตัวเขามาตั้งแต่เกิด มันเป็นพลังที่ทำให้เขาถูกตัดสินและขับไล่ออกไปจากครอบครัวตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขาเงยหน้าขึ้นมองลีอาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าและความแค้นที่ถูกฝังลึกในใจมาเนิ่นนาน”ข้าเคยเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนั้น” ลูเซียสเริ่มเล่า น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา แต่ทุ้มลึก “ข้าเกิดมาในตระกูลสูงส่งแห่งแอสทารา ข้าเคยมีทุกสิ่งที่เด็กคนหนึ่งต้องการ...มีบ้านที่อบอุ่น มีพ่อแม่ที่ข้าเคารพรัก แต่พวกเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อพวกเขารู้ว่าข้ามีพลังเงามืดในตัว” ลีอานั่งฟังด้วยความตั้งใจ หัวใจของเธอหนักอึ้งเมื่อได้ยินความเจ็บปวดในคำพูดของเขา เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าลูเซียสต้องทนทุกข์กับอดีตเช่นนี้”ข้าจำได้ชัดเจน ตอนที่ข้ายังเป็นเด็กแค่ 7 ขวบ ข้าคิดว่าพลังนี้เป็นสิ่งพิเศษ ข้ารู้สึกแตกต่าง แต่ข้ากลับไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงทำให้คนอื่นๆ กลัว ข้าพยายามใช้มันเพื่อแสดงให้พ่อแม่เห็นว่า ข้าสามารถปกป้องพวกเขาได้ แต่สิ่งที่ข้าได้รับกลับเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและรังเกียจ” ลูเซียสหยุดไปช
ชีวิตของไรอันและลีอาเดินหน้าไปสู่ความสงบสุขที่พวกเขาเคยฝันถึง หลังจากการต่อสู้ที่ยาวนานและการสูญเสียที่ทำให้หัวใจของพวกเขาต้องบอบช้ำ พวกเขาก็ได้สร้างครอบครัวเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น หมู่บ้านที่เคยถูกครอบงำด้วยเงามืดกลับมาสดใสอีกครั้ง และชีวิตใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับงานแต่งงานเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความยินดีและความหวังลีอาและไรอันมีลูกแฝดชายหญิงที่เปรียบเสมือนดวงดาวสว่างไสวในชีวิตของพวกเขา เด็กทั้งสองคนเปี่ยมไปด้วยความไร้เดียงสาและความสดใสที่ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านรู้สึกถึงความหวังและความสุขที่แท้จริง ครอบครัวของพวกเขาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความรัก ไรอันเป็นพ่อที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและปกป้องลูกๆ ด้วยชีวิต ขณะที่ลีอาเป็นแม่ที่อบอุ่นและอ่อนโยน คอยดูแลทุกคนด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักในขณะเดียวกัน เอลเลียตและเฟนิกซ์ก็ออกเดินทางไปผจญภัยในดินแดนใหม่ๆ เพื่อฝึกฝนตนเองและค้นหาความหมายใหม่ในชีวิต พวกเขาเลือกที่จะไม่หยุดอยู่กับที่ แต่ออกเดินทางเพื่อค้นหาประสบการณ์และความรู้ใหม่ๆ ที่จะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นในทุกด้านอาเรียน่าเองก็เลือกทางเดินที่แตกต่างออกไป เธอตัดสินใจออกเดินทาง
ลูเซียสหายใจลึก รู้สึกถึงน้ำหนักที่ถูกยกออกจากบ่าของเขา แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่าย และแม้ว่าความมืดในจิตใจของเขายังคงหลงเหลืออยู่ แต่ความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงและหาความสงบสุขในตัวเองก็มีมากกว่าลีอาที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างไรอันก็ยิ้มให้ลูเซียสด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเห็นใจ “ข้ายังเชื่อในตัวเจ้า ลูเซียส ข้ารู้ว่าลึกๆ แล้วเจ้าไม่ได้ต้องการทำร้ายใคร เจ้าก็แค่ต้องการคนที่จะเชื่อมั่นและอยู่เคียงข้างเจ้า”อาเรียน่าก้าวเข้ามาสมทบ “เราเป็นครอบครัว... ครอบครัวที่ยอมรับกันได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านไม่จำเป็นต้องต่อสู้เพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว”ลูเซียสมองดูพวกเขาทั้งสี่คน น้ำตาที่เก็บกดไว้ตลอดหลายปีเริ่มไหลลงมาอาบแก้ม เขารู้สึกถึงความโล่งใจและความหวังที่เคยสูญเสียไปนานแล้ว“ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่ข้าเคยทำ” ลูเซียสกล่าวทั้งน้ำตา “ข้าขอโทษที่ข้าเคยเลือกทางที่ผิด และข้าขอโทษที่ข้าพยายามจะทำร้ายพวกเจ้า”“เจ้าไม่ต้องขอโทษอะไรอีกแล้ว” ไรอันกล่าวขณะที่เขาเข้ามาใกล้ลูเซียสและยื่นมือออกไป “สิ่งสำคัญคือเจ้าได้กลับมา และเราจะผ่านทุกสิ่งไปด้วยกัน” ไ
"ในคืนหนึ่ง... ข้าจำได้ว่าแม่ของข้าไม่ได้มาร่ำลาข้า ข้าเพียงเห็นแผ่นหลังของพ่อที่หันมาเอ่ยคำสุดท้ายกับข้า 'เจ้าต้องไป...เพื่อปกป้องตระกูล' คำพูดเหล่านั้นยังคงก้องอยู่ในหัวข้าตลอดมา ข้าถูกขับไล่ออกจากบ้าน ถูกส่งไปในป่าลึก โดยไม่มีแม้แต่ใครสักคนที่จะมาอธิบายว่าเหตุใด ข้าเป็นแค่เด็ก แต่ข้ากลับถูกทิ้งไว้ในความมืด โดยไม่มีที่พึ่งพิง ไม่มีความอบอุ่นของครอบครัว" เขาก้มหน้า น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น"ตอนที่ข้าจากไป ไรอันยังไม่เกิด พ่อและแม่ของเราคิดว่าเมื่อข้าไม่อยู่แล้ว พวกเขาจะสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ ข้าถูกลบออกจากความทรงจำของครอบครัว...และไรอัน เขาเกิดขึ้นมาโดยที่ไม่รู้เลยว่าข้าเคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา"ลีอาหันไปมองลูเซียสอย่างตกตะลึง เธอไม่เคยได้ยินเรื่องราวนี้มาก่อน ลูเซียส...พี่น้องร่วมสายเลือดของไรอัน ถูกผลักไสออกจากครอบครัวในวัยเด็ก เพียงเพราะพลังที่เขาไม่ได้เลือกที่จะมี"ข้าเร่ร่อนอยู่ในป่า เดียวดายและเต็มไปด้วยความกลัว ข้าไม่รู้ว่าข้าควรทำอย่างไร ข้ารอคอยวันที่ครอบครัวจะมารับข้ากลับ แต่วันนั้นไม่เคยมาถึง ข้าโตขึ้นมาท่ามกลางความโดดเดี่ยวและความเกลียดชัง ข้าเรียนรู้ที่จะใช้พ
แต่ลีอากลับก้าวออกมาจากเงามืดนั้นอย่างช้าๆ เธอหยุดอยู่ตรงหน้าไรอันและอาเรียน่า น้ำตาของเธอไหลลงมาเมื่อเธอรู้สึกถึงความอบอุ่นจากพวกเขา “ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษที่ข้าเคยละทิ้งพวกเจ้า...”ไรอันยิ้มอย่างอ่อนโยนและก้าวเข้ามากอดเธอไว้ “ไม่เป็นไร ลีอา เจ้ากลับมาแล้ว นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด” แสงสว่างที่เปล่งออกมาจากตัวอาเรียน่าเริ่มส่องประกายอย่างแรงกล้าอีกครั้ง ลูเซียสรู้สึกถึงพลังที่ถอยห่างจากตัวเขา ความมืดที่เคยทำให้เขาแข็งแกร่งกลับกลายเป็นภาระที่หนักอึ้ง เขารู้สึกถึงความอ่อนแอที่เข้ามาครอบงำ ร่างกายของเขาเริ่มสั่นไหวและอ่อนแรงลง “ไม่... ไม่!” ลูเซียสตะโกนด้วยความสิ้นหวัง แต่พลังที่เขาเคยยึดมั่นกลับหายไปทีละน้อย เงามืดที่เคยล้อมรอบตัวเขาเริ่มจางหายไป ราวกับว่ามันถูกดูดกลืนเข้าสู่แสงสว่างที่พวกเขาสร้างขึ้นมา ลีอายังคงมองไปทางลูเซียสที่ยืนอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความสับสน ดวงตาของเธอที่เต็มไปด้วยความสงสารและความเห็นใจสะท้อนถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนที่เธอมีต่อลูเซียส แม้ว่าเธอจะถูกสะกดจิตในช่วงเวลาที่อยู่กับเขา แต่เธอก็สามารถจดจำทุกเรื่องราวท
พลังเงามืดของลูเซียสถูกต้านทานด้วยบาเรียน้ำของไรอันและแสงสว่างของอาเรียน่า แต่ลูเซียสก็ไม่ยอมแพ้ เขารวบรวมพลังทั้งหมดที่มีและปล่อยคลื่นพลังมืดออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้มันรุนแรงและน่ากลัวกว่าครั้งก่อน มันเป็นพลังที่ถูกหล่อหลอมจากความแค้นและความโดดเดี่ยว คลื่นพลังมืดที่เขาปล่อยออกมานั้นไม่เพียงแต่รุนแรง แต่ยังเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า ลูเซียสไม่มีเจตนาที่จะยอมแพ้หรือยอมให้ใครเข้ามาขวางทางเขาได้อีก เอลเลียตที่เป็นด่านแรกของการป้องกัน ยังคงยืนหยัดไม่ถอย เขาใช้กระบองเหล็กของเขาฟาดลงไปที่พื้นอีกครั้งเพื่อสร้างแรงกระแทกที่พุ่งตรงเข้าไปปะทะกับพลังเงามืด แต่ความรุนแรงของพลังมืดนั้นกลับทำให้พื้นดินแตกออกเป็นรอยแยก ลมพายุจากพลังมืดกวาดเอาเศษซากและฝุ่นผงขึ้นมาหมุนวนรอบตัวเอลเลียต ทำให้การมองเห็นของเขาเริ่มพร่ามัว อย่างไรก็ตาม เอลเลียตยังคงยืนอยู่ได้ด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในตัวเพื่อนร่วมทางของเขา “พวกเจ้ารีบทำสิ่งที่ต้องทำ!” เขาตะโกนด้วยเสียงที่ยังเต็มไปด้วยพลัง “ข้าจะยืนหยัดตรงนี้ ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!” ไรอันรู้ดีว่
ปราสาทร้างที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเกาะยมทูตเต็มไปด้วยความมืดและเงียบสงัด มันเป็นสถานที่ที่เคยรุ่งเรืองในอดีต แต่ตอนนี้ถูกทิ้งร้างให้เป็นที่พำนักของความมืดที่แผ่ขยายจากจิตใจของลูเซียส หมอกหนาที่ปกคลุมรอบๆ ปราสาทนั้นหนาแน่นจนแทบจะบดบังแสงจากดวงจันทร์ แต่ไรอัน เอลเลียต และอาเรียน่าก็ยืนหยัดอยู่หน้าทางเข้าปราสาทอย่างไม่เกรงกลัว พวกเขามาที่นี่พร้อมกับความมุ่งมั่นที่ไม่มีวันสั่นคลอน และพลังที่ได้รับการปลุกขึ้นมาใหม่จากการฝึกฝนอย่างหนัก พวกเขารู้ดีว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ที่สำคัญที่สุดในชีวิต และมันจะเป็นการตัดสินชะตากรรมของพวกเขา ลีอา และแม้แต่ลูเซียส “ทุกคนพร้อมหรือยัง?” ไรอันถามเสียงต่ำ แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ปราสาทที่ยืนตระหง่านเบื้องหน้าเอลเลียตพยักหน้ารับ “พร้อมเสมอ ข้าไม่กลัวความมืดอีกต่อไปแล้ว เราจะพานางกลับมา และจะหยุดยั้งลูเซียสให้ได้” อาเรียน่ากำลังมองไปยังปราสาทที่เต็มไปด้วยเงามืด สายตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ข้าเองก็พร้อม พี่ชาย ข้าจะใช้พลังของข้าเพื่อช่วยพวกท่าน ข้าจะไม่ยอมให้ความมืดนี้เอาชนะพวกเราได้” ทั้งสามคนเดินเข้าไป
ผู้เฒ่าปราชญ์ไม่ได้หยุดการฝึกเพียงแค่นั้น เขาตัดสินใจที่จะสอนให้ไรอันและเอลเลียตได้ฝึกฝนการใช้พลังร่วมกัน การผสานพลังของธาตุน้ำและพลังชีวิตของเอลเลียตเพื่อสร้างพลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิมการฝึกนี้เริ่มจากการเรียนรู้ที่จะปรับพลังของพวกเขาให้สอดคล้องกัน ไรอันต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังน้ำในรูปแบบที่สามารถทำงานร่วมกับพลังแห่งชีวิตของเอลเลียต ขณะที่เอลเลียตก็ต้องปรับพลังของเขาให้สามารถเข้ากับพลังน้ำของไรอันได้ผู้เฒ่าปราชญ์จัดการทดสอบโดยให้พวกเขาร่วมมือกันในการสร้างกำแพงน้ำที่ไม่เพียงแค่ป้องกันศัตรูเท่านั้น แต่ยังสามารถฟื้นฟูพลังงานให้กับพวกเขาในขณะเดียวกันด้วย ไรอันต้องสร้างกระแสน้ำที่ไม่เพียงแต่แข็งแกร่ง แต่ยังต้องอ่อนโยนพอที่จะไม่ทำลายพลังของเอลเลียต ขณะที่เอลเลียตก็ต้องเสริมสร้างพลังน้ำนี้ให้คงทนและเข้มแข็งยิ่งขึ้นการฝึกนี้เป็นความท้าทายที่ต้องใช้ทั้งความเข้าใจและความเชื่อมั่นในกันและกัน พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะเปิดใจและสื่อสารโดยไม่ต้องใช้คำพูด รู้จักการทำงานร่วมกันในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนเมื่อพวกเขาสามารถสร้างกำแพงน้ำที่แข็งแกร่งและมีพลังในการฟื้นฟูได้สำเร็จ ผู้เฒ่าปราช
เอลเลียตมองต้นไม้ใหญ่นั้นด้วยความสงสัย “ข้าจะต้องทำอย่างไร?” “เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังของเจ้าโดยไม่ให้มันครอบงำเจ้า” ผู้เฒ่าปราชญ์กล่าว “เริ่มจากการใช้พลังในการฟื้นฟูร่างกายของเจ้า เจ้าเคยทนทานต่อบาดแผลและพิษ แต่ตอนนี้เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเร่งกระบวนการฟื้นตัวนั้นให้เร็วขึ้น”ผู้เฒ่าปราชญ์ให้เอลเลียตฝึกฝนการควบคุมการฟื้นฟูของร่างกายโดยใช้สมาธิในการสร้างพลังงานจากภายใน เขาให้เอลเลียตฝึกโดยการเผชิญหน้ากับความเหนื่อยล้าและบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นจากการฝึกอย่างหนัก เอลเลียตต้องเรียนรู้ที่จะปลดปล่อยพลังงานจากภายในร่างกายของเขาเพื่อรักษาตัวเองในเวลาอันสั้น นอกจากการฟื้นฟูร่างกายแล้ว ผู้เฒ่าปราชญ์ยังสอนเอลเลียตถึงการปลดปล่อยพลังงานเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการต่อสู้ของเขา เอลเลียตฝึกฝนการใช้กระบองเหล็กของเขาในการโจมตีต้นไม้ใหญ่โดยไม่ทำลายมัน แต่เพื่อฝึกฝนการควบคุมพลังของเขาให้แม่นยำและทรงพลังที่สุด การฝึกนี้ทำให้เอลเลียตได้ค้นพบว่าพลังที่แท้จริงของเขาไม่ใช่เพียงการต้านทานหรือการฟื้นฟู แต่ยังรวมถึงการใช้พลังนั้นในการปก