เธอรีบเข้าไปประคองให้ไรอันพาไปนั่งพักอยู่ใกล้ๆกับอาเรียน่า เธอเดินออกไปช่วยเอลเลียตต่อสู้ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว กรามขบกันแน่น นึกถึงแผลของไรอันและสีหน้าหวาดกลัวของอาเรียน่า เธอก็รู้ว่าจะอ่อนแอไม่ได้
ในขณะนั้นเองเธอก็เริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในตัวเอง พลังภายในที่ลึกซึ้งซึ่งเธอไม่เคยรู้สึกมาก่อนค่อยๆ ตื่นขึ้นมา เธอสัมผัสได้ถึงการเชื่อมโยงกับสิ่งมีชีวิตรอบๆ ตัวเธอที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จิตใจของลีอาเริ่มเปิดรับเสียงเบาๆ ที่ดังขึ้นจากผืนน้ำ มันเป็นเสียงกระซิบของสัตว์น้ำที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเลลึก พวกมันกำลังเฝ้าดูการต่อสู้ ลีอาตัดสินใจที่จะใช้พลังใหม่ที่เธอเพิ่งค้นพบ เพื่อสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ เธอหลับตาลงและมุ่งสมาธิไปยังพลังภายในของเธอ "ได้โปรด... ช่วยพวกเราด้วย" ลีอาพูดออกมาด้วยภาษาของสัตว์น้ำที่เธอเพิ่งเข้าใจ เสียงของเธอสื่อถึงความหวังและความมุ่งมั่นที่จะปกป้องพวกพ้องของเธอ "สัตว์ประหลาดนี้เป็นภัยต่อทั้งพวกเราและพวกเจ้า ข้าขอร้องให้พวกเจ้าช่วยเราต่อสู้"เสียงของลีอาส่งสัญญาณออกไปในน้ำทะเล และในไม่ช้า ลีอาก็รู้สึกถึงการตอบรับจากสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังในทะเล เธอได้ยินเสียงกระแสน้ำที่เปลี่ยนทิศทาง เสียงสะท้อนลึกๆ จากใต้พื้นน้ำที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้น สายตาของเธอจ้องมองไปยังพื้นผิวน้ำที่เริ่มมีคลื่นเคลื่อนตัวอย่างผิดปกติ ทันใดนั้น เงามืดขนาดใหญ่ก็เริ่มปรากฏขึ้นใต้เรือของพวกเขา ลีอารู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่แผ่ซ่านมาจากใต้น้ำ แล้วมันก็ปรากฏตัวขึ้น... สิ่งมีชีวิตที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบ มันคือปลาวาฬสีขาวเงินที่เปล่งประกายจากแสงแดดที่ส่องลงมาสู่ท้องทะเล มันมีขนาดใหญ่มหึมาและมีดวงตาสีฟ้าที่แสดงถึงความฉลาดและความเก่าแก่ วาฬตัวนี้มีครีบขนาดใหญ่ที่แข็งแรงราวกับจะสามารถฟาดทุกสิ่งที่ขวางหน้าให้แหลกสลายได้ มันส่งเสียงร้องกึกก้องสะท้อนไปทั่วทั้งมหาสมุทร เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยพลังและอำนาจและไม่เพียงแค่วาฬยักษ์เท่านั้น ที่ห่างออกไปไม่ไกล พวกเขาเห็นฝูงปลากระเบนขนาดใหญ่กำลังโฉบผ่านน้ำด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง ปลากระเบนเหล่านี้มีแผ่นหลังแข็งแรงและหางที่ยาวและแหลมคม ราวกับเป็นหอกที่สามารถเจาะทะลุเกล็ดของสัตว์ประหลาดใดๆ ก็ได้ แผ่นหลังของพวกมันเปล่งประกายสีเงินสดใส พร้อมที่จะโจมตีศัตรูที่มาบุกรุกอาณาเขตของมัน เหนือผิวน้ำ พวกนกกาน้ำที่ปีกเป็นสีดำเข้มและมีจะงอยปากที่แข็งแกร่งโฉบลงมา มันไม่ได้เป็นเพียงนกธรรมดา แต่เป็นผู้พิทักษ์ท้องฟ้าแห่งท้องทะเล ปีกของพวกมันกว้างใหญ่และแกร่งพอที่จะฟาดใส่สิ่งมีชีวิตใต้น้ำ ปกป้องผู้ที่พวกมันเลือกจะช่วยเหลือ ทันทีที่สัตว์ประหลาดยักษ์ลำตัวเท่ากับเรือห้าลำปรากฏตัวขึ้นจากทะเล สายตาสีแดงฉานและฟันแหลมคมที่พร้อมขย้ำทุกสิ่งที่ขวางหน้า สัตว์ทะเลที่ลียาเรียกหาก็เริ่มเข้าประจำตำแหน่ง วาฬยักษ์สีขาวเงินพุ่งตัวขึ้นมาปะทะกับสัตว์ประหลาด ปลากระเบนก็ว่ายวนรอบๆสัตว์ประหลาดนั้นอย่างรวดเร็ว หางของพวกมันฟาดใส่เกล็ดสีเขียวมรกตที่แข็งแรงของมันจนเกิดเสียงดังก้องเสียจนเอลเลียตและลีอาต้องขบกรามแน่นและหยีตาพร้อมเอามือปิดหู ขณะที่นกกาน้ำก็โฉบลงมาจิกใส่ส่วนหัวและดวงตาของสัตว์ประหลาด ทำให้มันสะบัดหัวไปมาอย่างบ้าคลั่ง เจ้าเฟนิกซ์ก็ไม่น้อยหน้า มันเข้าร่วมต่อสู้ด้วยเช่นกัน เสียงคำรามของสัตว์ประหลาดก้องกังวานไปทั่วท้องทะเล มันพยายามต่อสู้และดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นจากการโจมตีจากทุกทิศทุกทาง มันฟาดหางและขยับร่างยาวใหญ่ของมันอย่างดุดัน แต่สัตว์ทะเลที่ลีอาเรียกมาช่วยนั้นต่างมีพลังและความเด็ดเดี่ยวในการปกป้องอาณาเขตของมันเอง ลีอามองดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง ปากอ้าค้าง เธอไม่เคยคิดว่าการเรียกร้องของเธอจะได้รับการตอบรับจากสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังเช่นนี้ หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความหวัง เธอรู้ว่าพวกเขาอาจมีโอกาสที่จะรอดพ้นจากสัตว์ประหลาดนี้ได้ ขณะที่สัตว์ทะเลเหล่านั้นเข้าปะทะกับสัตว์ประหลาดอย่างไม่ลดละอยู่นั้น ลีอายังคงใช้พลังของเธอในการควบคุมเถาวัลย์และคลื่นน้ำเพื่อกดดันสัตว์ประหลาดนั้นไว้ ในขณะเดียวกันเอลเลียตก็ใช้โอกาสนี้เข้าโจมตีอย่างต่อเนื่องเอลเลียตใช้กระบองเหล็กของเขาฟาดลงไปที่ส่วนที่เป็นแผลของสัตว์ประหลาดอีกครั้ง ทำให้มันเจ็บปวดอย่างหนัก แม้จะโดนฟันและหนามพิษจากเกล็ดของสัตว์ประหลาด แต่บาดแผลของเขาก็หายอย่างรวดเร็วด้วยความสามารถพิเศษ ขณะที่เฟนิกซ์ยังคงบินวนเหนือหัวสัตว์ประหลาดเพื่อสอดส่องและส่งสัญญาณเตือนถึงการเคลื่อนไหวของมัน ลีอาและเอลเลียตหันมาสบตากัน พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากการปะทะของวาฬยักษ์สีขาวเงินกับสัตว์ประหลาดเกล็ดสีมรกต ท้องฟ้าและท้องทะเลดูลุกโชนไปด้วยความโกลาหล ขณะที่สัตว์ประหลาดพยายามสะบัดร่างใหญ่โตของมันอย่างดุเดือดเพื่อสลัดวาฬยักษ์และฝูงปลากระเบนที่พยายามทำลายมัน วาฬยักษ์กระแทกเข้ากับลำตัวของสัตว์ประหลาดอีกครั้ง น้ำทะเลกระเซ็นขึ้นสูงจนเหมือนกำแพงน้ำที่ท่วมท้น เอลเลียตซึ่งยืนอยู่ใกล้ขอบเรือจับกระบองเหล็กของเขาแน่น เขามองดูลีอาซึ่งกำลังตั้งสมาธิเพื่อควบคุมพลังแห่งธรรมชาติของเธอในการสื่อสารกับสัตว์ทะเล ทันใดนั้น สัตว์ประหลาดเกล็ดมรกตก็สะบัดร่างยาวใหญ่ของมันอย่างแรงจนทำให้วาฬยักษ์กระเด็นออกไป ลำตัวของมันหมุนวนอย่างรวดเร็ว และมันก็พุ่งตัวเข้าใส่เรือของพวกเขาในทันที เอลเลียตกระโดดขึ้นมาขวางทางสัตว์ประหลาดนั้นด้วยความรวดเร็ว เขาใช้กระบองเหล็กฟาดลงไปที่เกล็ดของมัน เสียงกระทบของเหล็กกับเกล็ดที่แข็งเหมือนเหล็กทำให้เกิดเสียงดังสนั่นวาฬยักษ์รีบกลับมาต่อสู้กับสัตว์ประหลาดอีกครั้ง มันพุ่งตัวเข้าปะทะจากด้านข้าง ทำให้สัตว์ประหลาดหยุดชะงักชั่วขณะ ขณะที่ฝูงปลากระเบนก็พุ่งเข้าจู่โจมที่จุดอ่อนของมัน คือบริเวณคอและท้องที่ไม่มีเกล็ดปกป้อง หางแหลมของพวกมันแทงลงไปในเนื้อของสัตว์ประหลาด ทำให้มันร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด ลีอายืนอยู่ที่ศูนย์กลางของเรือ กางแขนออกและเรียกพลังจากธรรมชาติเข้ามาสู่ตัวเธอ เสียงคลื่นและสายลมกลายเป็นเหมือนคำพูดที่เธอใช้ในการสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตในทะเล เธอร้องเรียกอีกครั้งเพื่อขอกำลังเสริม และทันใดนั้น เธอรู้สึกถึงการตอบรับจากใต้ทะเลลึก “มาแล้ว…” ลีอาพูดเบาๆ ด้วยความหวังที่พุ่งขึ้นในใจพวกเขามองลงไปยังพื้นน้ำ และเห็นเงาขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สิ่งนั้นคือฝูงฉลามขาวที่ว่ายมาจากความลึกของมหาสมุทร พวกมันมีดวงตาสีดำสนิทและคมเขี้ยวที่แหลมคม ร่างของพวกมันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและทรงพลัง ฉลามเหล่านี้เป็นนักล่าที่ดุร้ายและเก่งกาจที่สุดในมหาสมุทรฉลามขาวตัวหนึ่งพุ่งเข้าใส่ส่วนท้องของสัตว์ประหลาดทันที มันกัดฟันคมลงไปในเนื้อที่ไม่มีกำบังและสะบัดหัวอย่างดุเดือด ส่วนฉลามตัวอื่นๆ ก็เริ่มเข้าล้อมและโจมตีสัตว์ประหลาดจากทุกทิศทาง การโจมตีที่รุนแรงและไม่หยุดยั้งทำให้สัตว์ประหลาดเริ่มอ่อนแรง มันพยายามดิ้นรนและหมุนตัวเพื่อหลบหนี แต่แรงกระแทกจากฉลามและวาฬยักษ์ทำให้มันไม่สามารถทำได้ เอลเลียตไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป เขาใช้กระบองเหล็กกระแทกที่หัวของสัตว์ประหลาดซ้ำๆ เพื่อลดทอนความสามารถในการต่อสู้ของมัน และเมื่อมันเริ่มอ่อนแรงลง ลีอาก็ใช้พลังของเธอเพื่อเรียกกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวเข้าโจมตีสัตว์ประหลาดอย่างต่อเนื่อง คลื่นน้ำที่ถูกเรียกขึ้นมาทับถมลำตัวของสัตว์ประหลาด กดทับมันลงไปในทะเลอย่างรุนแรงในที่สุด เมื่อฉลามขาวและวาฬยักษ์ได้รวมพลังกันทำให้สัตว์ประหลาดยักษ์ลำตัวใหญ่มโหฬารนี้ต้องจมลงไปในท้องทะเลอีกครั้ง มันส่งเสียงคำรามครั้งสุดท้ายด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่ร่างยาวใหญ่ของมันจะถูกดึงลงไปสู่ความมืดลึกของมหาสมุทร ทุกอย่างกลับมาสู่ความเงียบสงบ ลีอาและเอลเลียตต่างหายใจหอบหนัก พวกเขายืนมองท้องทะเลที่บัดนี้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สัตว์ทะเลที่ช่วยเหลือพวกเขาค่อยๆ ว่ายกลับสู่ที่อยู่ของพวกมัน และวาฬยักษ์ก็หันกลับมามองพวกเขาอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ว่ายออกไปอย่างสง่างาม “เราทำได้แล้ว” ลีอาพูดด้วยความโล่งใจ และรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจ ลีอาถอนหายใจยาว เธอมองดูทะเลมรกตที่กลับมาเงียบสงบด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน การตื่นขึ้นของพลังใหม่ที่ทำให้เธอสามารถสื่อสารกับสัตว์น้ำได้ทำให้เธอรู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้น และมีบทบาทสำคัญในการปกป้องพวกพ้องของเธอ "เจ้าทำได้ดีมาก ลีอา" ไรอันกล่าวขณะที่เขาเข้ามาหาเธอ "ข้าไม่เคยเห็นพลังเช่นนี้มาก่อน เจ้าไม่เพียงแต่มีความสามารถในการต่อสู้ แต่ยังมีความสามารถในการสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งอีกด้วย" ลีอายิ้มออกมาเล็กน้อย "ข้าเองก็ไม่เคยรู้ว่าข้ามีพลังนี้มาก่อน แต่ข้าเชื่อว่ามันจะมีประโยชน์มากในการเดินทางครั้งนี้" "แน่นอน" เอลเลียตกล่าวขณะยิ้มให้เธอเช่นกัน "ข้ารู้สึกว่าเรามีโอกาสมากขึ้นในการเผชิญหน้ากับลูเซียส ถ้าพวกเรายังคงร่วมมือกันเช่นนี้" อาเรียน่าวิ่งเข้ามาหาลีอาและกอดเธอไว้แน่น "พี่สาวเก่งมากเลย ข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน!" เฟนิกซ์บินลงมาจากฟ้าและส่งเสียงร้องอย่างภูมิใจ มันมาเกาะที่แขนของเอลเลียตซึ่งยื่นออกมาต้อนรับมัน "เจ้าเองก็ทำได้ดีมาก เฟนิกซ์ เจ้าเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีที่สุดของข้า" ลีอาเดินไปหาไรอัน และค่อยๆประคองตัวเขา ก่อนจะใช้พลังธรรมชาติรักษาขาและบาดแผลตามตัวให้เขา ไรอันมองลำแสงสีขาวนวลนั้น เขารู้สึกอุ่นวาบในจุดที่ลำแสงนั้นตกต้อง ชายหนุ่มแอบมองใบหน้าสาวสวยที่ตั้งใจใช้พลังรักษาเขา หัวใจไรอันกระตุกแทบลืมเต้น ตอนนี้ลีอาราวกับเทพธิดา เขาละสายตาจากเธอไม่ได้จริงๆ “เสร็จแล้ว ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง” ลีอาเงยหน้าขึ้นมอง กลับพบว่าไรอันมองเธออยู่ สายตาของเขาบ่งบอกถึงความชื่นชมและหลงใหลอย่างเปิดเผย เเธอจึงหยิกแขนชายหนุ่มเต็มแรง “โอ๊ยย” ไรอันร้องสุดเสียง ไม่ใช่เพราะเจ็บแต่ตกใจมากกว่า “หยิกเรียกสติ” ว่าแล้วลีอาก็เดินไปสมทบกับอาเรียน่า เอลเลียตและเฟนิกซ์ ไรอันเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ ส่ายหน้าไปมา เมื่อทุกอย่างกลับมาสงบ พวกไรอันก็มองทะเลมรกตที่เงียบสงบอีกครั้ง พวกเขารู้ว่าการข้ามทะเลนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการท้าทายที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ แต่ด้วยพลังและความสามารถที่พวกเขามี พวกเขามั่นใจว่าจะสามารถเผชิญหน้ากับสิ่งที่รออยู่ข้างหน้าได้อย่างมั่นคงพวกเขาพายเรือต่อไปยังปลายทางที่ไม่รู้จัก ขณะที่ทะเลมรกตค่อยๆ ห่างออกไปข้างหลัง ยังมีอันตรายอะไรที่รอให้พวกเขาเข้าไปติดกับ พวกเขาไม่สนใจ ขอแค่ตอนนี้ได้พักหายใจก็มีความสุขแล้วขณะที่ทะเลมรกตค่อยๆ ห่างออกไปข้างหลัง ไรอัน ลีอา เอลเลียต และอาเรียน่าต่างรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น การเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตรายเริ่มทิ้งร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้าให้พวกเขา ทุกคนไม่พูดอะไรมาก เพียงแค่เดินหน้าต่อไปโดยมีความหวังว่าพวกเขาจะได้พักในไม่ช้า ในที่สุดพวกเขาก็ถึงฝั่ง พวกเขาได้พบกับสถานที่แห่งหนึ่งที่มีทุ่งดอกไม้สีสันสวยงามมากมาย สถานที่นี้ถูกปกคลุมด้วยดอกไม้หลากสีที่ชูช่อบานสะพรั่งไปทั่ว ทุ่งดอกไม้นั้นดูเงียบสงบและน่าหลงใหลจนเหมือนภาพวาดที่เต็มไปด้วยสีสันที่สดใส พวกเขาต่างมองไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจและความยินดี ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการหยุดพักหลังจากการเดินทางที่ยากลำบาก “พี่ลีอา ดูนี่สิคะ” อาเรียน่าเรียกเสียงใส พลางจับจูงมือของลีอาให้เดินดูดอกไม้หลากสีเหล่านั้นอย่างร่าเริง ลีอาเดินตามเด็กน้อยพลางยิ้มอ่อน แต่ก็ดีแล้ว เธอชอบที่จะเห็นรอยยิ้มของเด็กสาวมากกว่าสีหน้าที่เป็นกังวลและหงอยเหงา ส่วนเอลเลียตและไรอันพากันเดินสำรวจทุ่งดอกไม้บริเวณนี้ เพื่อหาที่เหมาะๆทำที่ไว้นอนพัก เอลเลียตปล่อยเฟนิกซ์ให้บินออกหาอ
ในที่สุด เมื่อทั้งคู่รวบรวมพลังจิตใจและตระหนักถึงความจริง พวกเขาก็สามารถฉีกห้วงฝันที่ลวงหลอกนั้นออกมาได้ ความจริงเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นอีกครั้ง ทันทีที่พวกเขาตื่นขึ้นมาในโลกแห่งความจริง เสียงของเอลเลียตยังคงก้องอยู่ในหู "พวกเราต้องไปกำราบลูเซียส... อย่าลืมความตั้งใจของพวกเรา"ไรอัน ลีอา และเอลเลียตต่างพากันหอบหายใจแรง ร่างกายของพวกเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อหลังจากที่ต้องฝ่าฟันห้วงฝันอันลวงตานั้นมาได้ พวกเขาเริ่มรู้สึกถึงความหนักอึ้งที่ผ่อนคลายลงเมื่อกลับมาอยู่ในโลกแห่งความจริงอีกครั้ง แต่เมื่อหันไปมองอาเรียน่า พวกเขาพบว่าเธอยังนอนนิ่งอยู่ ไม่ได้ฟื้นขึ้นมาพร้อมกับพวกเขา“อาเรียน่า!” ลีอาเรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล เธอรีบเข้าไปนั่งข้างๆ น้องสาวคนเล็กของพวกเขา หัวใจของเธอเริ่มสั่นไหวเมื่อเห็นว่าอาเรียน่ายังคงติดอยู่ในห้วงฝัน ร่างของเธอไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาของเธอปิดสนิท ราวกับว่าเธอยังจมอยู่ในความปรารถนาที่ไม่อาจหลุดพ้นได้ไรอันและเอลเลียตต่างก็รีบเข้ามาดูอาการของอาเรียน่า "เธอยังไม่ตื่น" เอลเลียตเอ่ยขึ้นพร้อมกับเอามือจับที่ไหล่ของเธอเบาๆ หวังว่าเธอจะ
หลังผ่านพ้นทุ่งละเมอที่เกือบทำพวกเขาไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีก พวกของไรอันก็เดินทางมาถึงจุดหนึ่งกลางป่าที่ทำให้พวกเขาต้องหยุดชะงัก เสียงก้าวเดินที่ดังกึกก้องจากทิศทางเบื้องหน้าบ่งบอกว่ามีคนจำนวนมากกำลังเคลื่อนที่เข้ามา ลีอา เอลเลียต และอาเรียน่าต่างเตรียมตัวพร้อมรับมือ ด้วยความระมัดระวังที่พวกเขาเคยชินกับการเผชิญหน้าศัตรูทุกเมื่อ แต่เมื่อเห็นกองทัพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า พวกเขากลับต้องเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจเหล่าทหารในชุดเกราะสีเงินสว่างเจิดจ้า ปรากฏตัวขึ้นอย่างสง่างาม ธงประจำอาณาจักรแอสทาราปลิวไสวในอากาศ ผืนธงนั้นมีรูปดวงอาทิตย์สีทอง ที่ส่องแสงรอบด้าน ล้อมรอบด้วย ลวดลายเกลียวของธาตุทั้งสี่ (น้ำ ไฟ ดิน ลม) ที่หมุนวนเข้าหากัน สื่อถึงความสมดุลและการทำงานร่วมกันของพลังแห่งธรรมชาติ พื้นหลังของธงเป็น สีฟ้าอ่อน ที่สื่อถึงท้องฟ้าและสันติสุข ธงนี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความเป็นปึกแผ่นของแอสทารา แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นในการรักษาสมดุลระหว่างพลังที่หลากหลายเพื่อให้เกิดความสงบสุขในอาณาจักร พวกเขาถือดาบที่เปล่งประกายแสงแห่งความยุติธรรม และมีออร่าที่ทรงพลังล้อมรอบตัว พวกทหารเห
หลังจากที่กองทัพแห่งแอสทาราได้เข้าร่วมเดินทาง การเดินทางที่เคยเต็มไปด้วยอุปสรรคและความลำบากก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ด้วยกำลังพลและการจัดการที่มีระเบียบของทหารจากแอสทารา การเดินทางจึงดูราบรื่นและสะดวกสบายมากขึ้นอย่างชัดเจน ลีอาและอาเรียน่า สองสาวที่เคยต้องรับมือกับความเหน็ดเหนื่อยและอันตรายตลอดทาง ตอนนี้กลับได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากทหารหนุ่มผู้มีน้ำใจ ทหารเหล่านี้คอยให้การสนับสนุนและปกป้องพวกเธออย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมที่พักให้สะดวกสบายที่สุดหรือการจัดหาอาหารที่ดีที่สุดให้พวกเธอจึงได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ในแต่ละคืนเมื่อกองทัพหยุดพัก ลีอาและอาเรียน่าจะได้รับการจัดเตรียมที่พักที่ใกล้กับศูนย์กลางของค่ายมากที่สุด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยและได้รับการปกป้องจากทหารฝีมือดี พวกเขาจัดเตรียมเต็นท์ที่สะดวกสบาย ปูด้วยพรมหนานุ่มและหมอนที่ทำจากขนสัตว์ พวกเขายังจุดตะเกียงที่ให้แสงสว่างอ่อนๆ สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและสงบเงียบ ลีอารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อได้รับการดูแลเช่นนี้ และเธอก็สังเกตเห็นว่าอาเรียน่าก็เช่นกัน เด็กสาวที่เคยมีใบหน้าตึงเครียดและเหนื่อยล้าตลอดการเดินทาง ตอนนี้
พวกเงามืดนี้ดูเหมือนจะไม่มีชีวิต ไม่รู้จักความเจ็บปวดหรือความกลัว มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นจากความมืดที่ลูเซียสได้ปลุกขึ้นมาเพื่อทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า กองทัพแอสทาราต่างรู้สึกถึงความกดดันที่หนักอึ้ง แต่แม่ทัพอาร์เดนก็ไม่ยอมให้ความกลัวเข้ามาครอบงำ เขาเงยหน้าขึ้นและตะโกนสั่งการ “ทุกคนเตรียมตัว! อย่าปล่อยให้ความมืดนี้ครอบงำจิตใจเรา! เราคือทหารแห่งแอสทารา เราจะยืนหยัดต่อสู้จนถึงที่สุด!” ทหารแอสทาราต่างกุมอาวุธของตนแน่น ดาบของพวกเขาเปล่งประกายแสงแห่งความหวัง ท่ามกลางความมืดที่หนาทึบ พวกเขายืนหยัดอย่างไม่สั่นคลอน แม้จะรู้ดีว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่ากลัวและไร้ความปรานีที่สุดที่พวกเขาเคยพบมา ทันใดนั้น กองทัพเงามืดก็เริ่มเคลื่อนไหว เสียงฝีเท้าที่เหมือนกระซิบของพวกมันดังสะท้อนก้องไปทั่ว ร่างของพวกมันพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทหารแอสทาราเตรียมพร้อมรับการโจมตี ดาบของพวกเขาพุ่งเข้าใส่เงามืดที่เข้ามาใกล้ แต่ดาบที่เปล่งประกายแสงสว่างกลับไม่สามารถทำลายเงามืดเหล่านี้ได้ง่ายๆ มันพุ่งทะลุผ่านร่างของเงามืดไป แต่พวกมันกลับไม่หยุดการโจมตี ความน่าสะพรึงกลัวของเงามืดนี้คือพวกมันดูเหมือนไร้ซึ่ง
บุคลิกของลูเซียสนั้นเยือกเย็นและเต็มไปด้วยความมั่นใจ เขาพูดน้อย แต่ทุกคำพูดของเขามีน้ำหนักและมีอำนาจมากพอที่จะทำให้ผู้คนต้องฟังอย่างตั้งใจ เสียงของเขานุ่มลึกและเป็นเสียงที่ชวนให้รู้สึกถึงพลังที่ซ่อนอยู่ข้างใน ราวกับว่ามีบางสิ่งที่เขากำลังปิดบังไว้เบื้องหลังท่าทางที่สงบนิ่งนั้น ลูเซียสไม่เพียงแค่มีความสามารถในการใช้พลังเงามืดที่ทรงอำนาจเท่านั้น แต่ยังมีเสน่ห์ที่ยากจะต้านทาน ความเย้ายวนในตัวเขาทำให้ผู้ที่พบเจอต้องหวั่นไหวและถูกดึงดูดเข้าสู่ความมืดที่แฝงอยู่ภายในตัวเขาอย่างไม่รู้ตัว “ไรอัน... ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะกล้ามาหาข้าที่นี่” “ข้ามาเพื่อช่วยเจ้าและหยุดเจ้า ลูเซียส ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าใช้พลังแห่งความมืดนี้เพื่อทำร้ายผู้บริสุทธิ์อีกต่อไป” ไรอันประกาศด้วยความมุ่งมั่น ลูเซียสหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าเจ้าจะหยุดข้าได้หรือ? เจ้าทิ้งข้าไว้กับความมืดและความแค้น และตอนนี้เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถช่วยข้าได้งั้นหรือ?” “ข้ารู้ว่าข้าเคยทำผิด ข้าควรจะยืนอยู่ข้างเจ้าตั้งแต่แรก” ไรอันยอมรับด้วยความเจ็บปวด “แต่ข้าก็รู้ว่ามันยังไม่สายเกินไปที่จะหยุดเจ้า ได้โปรดเ
โดยไม่ทันให้พวกไรอันได้ตั้งตัว ลูเซียสก็ปล่อยพลังเงามืดที่ทวีความแข็งแกร่งออกมา คลื่นพลังมืดนั้นพุ่งเข้าใส่พวกเขาอย่างรวดเร็ว ไรอันรีบเรียกพลังธาตุน้ำของเขาขึ้นมาเพื่อต้านทาน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังความมืดอันแข็งแกร่งของลูเซียส ไรอันไม่อาจรับมือได้ ลีอารีบเข้ามาช่วยด้วยการเรียกพลังแห่งธรรมชาติ เธอสร้างกำแพงเถาวัลย์ขึ้นมาปกป้องพวกเขา แต่เถาวัลย์เหล่านั้นถูกพลังมืดของลูเซียสฉีกขาดไปอย่างง่ายดาย การโจมตีของลูเซียสยังคงไม่หยุด เขาปล่อยพลังมืดอีกครั้ง คราวนี้พุ่งตรงเข้าใส่ไรอันอย่างเต็มแรง ไรอันพยายามต้านทานแต่พลังมืดนั้นแทรกซึมเข้ามาในร่างของเขา เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ท่วมท้นและพลังที่ถูกดึงออกไปจากตัวเขา “ไรอัน!” ลีอาร้องออกมาด้วยความตกใจ เธอพยายามจะเข้าไปช่วย แต่ถูกพลังมืดของลูเซียสกันออกไป เอลเลียตพยายามเข้ามาสมทบ เขาใช้กระบองเหล็กฟาดเข้าไปที่ลูเซียส แต่ลูเซียสก็สามารถป้องกันและสวนกลับได้อย่างรวดเร็ว พลังมืดของลูเซียสทำให้เอลเลียตต้องถอยไปหลายก้าว แม้ว่าเขาจะทนทานต่อการบาดเจ็บและพิษ แต่พลังของลูเซียสก็รุนแรงเกินกว่าที่เขาจะรับมือได้ในขณะนี้ ไรอันถูกพลังมืดโจมตีอย่างหนักจนล
การสูญเสียลีอาและแม่ทัพอาร์เดนไปเป็นเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจของไรอันอย่างรุนแรง เขารู้สึกเหมือนว่าทุกสิ่งที่เขาพยายามปกป้องได้พังทลายลงต่อหน้าต่อตา ความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดที่ตามมานั้นทำให้เขารู้สึกท้อแท้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เขาตระหนักว่าพลังที่แท้จริงของเขานั้นอาจไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงการควบคุมธาตุน้ำเท่านั้นหลังจากหนีรอดออกมาจากเกาะยมทูต ไรอัน เอลเลียต และอาเรียน่าตัดสินใจที่จะพักฟื้นร่างกายและจิตใจในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกลจากอำนาจของลูเซียส ในหมู่บ้านนี้ พวกเขาได้พบกับผู้เฒ่าปราชญ์อีกครั้ง ซึ่งต้อนรับพวกเขาด้วยความอบอุ่นและให้ที่พักพิงเพื่อให้พวกเขาสามารถฟื้นฟูพลังได้“ข้าเห็นแววตาของเจ้าไรอัน” ผู้เฒ่าปราชญ์กล่าวขณะนั่งจ้องมองไรอันที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขา “เจ้าไม่ได้พ่ายแพ้ เจ้าแค่กำลังค้นพบตัวเอง”ไรอันมองผู้เฒ่าปราชญ์ด้วยความสับสน “แต่ข้าสูญเสียลีอาไป ข้าไม่สามารถปกป้องเธอได้ ส่วนสหายร่วมรบข้าก็ยังเสียเขาไป ข้ารู้สึกว่าข้าอ่อนแอเหลือเกิน”ผู้เฒ่าปราชญ์ยิ้มอ่อนโยน “บางครั้งการสูญเสียคือบทเรียนที่สำคัญที่สุด มันไม่ใช่ความแข็งแกร่งภายนอกที่เจ้าไม่เคยรู้จัก แต่เป็นพลั
ชีวิตของไรอันและลีอาเดินหน้าไปสู่ความสงบสุขที่พวกเขาเคยฝันถึง หลังจากการต่อสู้ที่ยาวนานและการสูญเสียที่ทำให้หัวใจของพวกเขาต้องบอบช้ำ พวกเขาก็ได้สร้างครอบครัวเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น หมู่บ้านที่เคยถูกครอบงำด้วยเงามืดกลับมาสดใสอีกครั้ง และชีวิตใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับงานแต่งงานเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความยินดีและความหวังลีอาและไรอันมีลูกแฝดชายหญิงที่เปรียบเสมือนดวงดาวสว่างไสวในชีวิตของพวกเขา เด็กทั้งสองคนเปี่ยมไปด้วยความไร้เดียงสาและความสดใสที่ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านรู้สึกถึงความหวังและความสุขที่แท้จริง ครอบครัวของพวกเขาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความรัก ไรอันเป็นพ่อที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและปกป้องลูกๆ ด้วยชีวิต ขณะที่ลีอาเป็นแม่ที่อบอุ่นและอ่อนโยน คอยดูแลทุกคนด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักในขณะเดียวกัน เอลเลียตและเฟนิกซ์ก็ออกเดินทางไปผจญภัยในดินแดนใหม่ๆ เพื่อฝึกฝนตนเองและค้นหาความหมายใหม่ในชีวิต พวกเขาเลือกที่จะไม่หยุดอยู่กับที่ แต่ออกเดินทางเพื่อค้นหาประสบการณ์และความรู้ใหม่ๆ ที่จะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นในทุกด้านอาเรียน่าเองก็เลือกทางเดินที่แตกต่างออกไป เธอตัดสินใจออกเดินทาง
ลูเซียสหายใจลึก รู้สึกถึงน้ำหนักที่ถูกยกออกจากบ่าของเขา แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่าย และแม้ว่าความมืดในจิตใจของเขายังคงหลงเหลืออยู่ แต่ความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงและหาความสงบสุขในตัวเองก็มีมากกว่าลีอาที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างไรอันก็ยิ้มให้ลูเซียสด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเห็นใจ “ข้ายังเชื่อในตัวเจ้า ลูเซียส ข้ารู้ว่าลึกๆ แล้วเจ้าไม่ได้ต้องการทำร้ายใคร เจ้าก็แค่ต้องการคนที่จะเชื่อมั่นและอยู่เคียงข้างเจ้า”อาเรียน่าก้าวเข้ามาสมทบ “เราเป็นครอบครัว... ครอบครัวที่ยอมรับกันได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านไม่จำเป็นต้องต่อสู้เพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว”ลูเซียสมองดูพวกเขาทั้งสี่คน น้ำตาที่เก็บกดไว้ตลอดหลายปีเริ่มไหลลงมาอาบแก้ม เขารู้สึกถึงความโล่งใจและความหวังที่เคยสูญเสียไปนานแล้ว“ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่ข้าเคยทำ” ลูเซียสกล่าวทั้งน้ำตา “ข้าขอโทษที่ข้าเคยเลือกทางที่ผิด และข้าขอโทษที่ข้าพยายามจะทำร้ายพวกเจ้า”“เจ้าไม่ต้องขอโทษอะไรอีกแล้ว” ไรอันกล่าวขณะที่เขาเข้ามาใกล้ลูเซียสและยื่นมือออกไป “สิ่งสำคัญคือเจ้าได้กลับมา และเราจะผ่านทุกสิ่งไปด้วยกัน” ไ
"ในคืนหนึ่ง... ข้าจำได้ว่าแม่ของข้าไม่ได้มาร่ำลาข้า ข้าเพียงเห็นแผ่นหลังของพ่อที่หันมาเอ่ยคำสุดท้ายกับข้า 'เจ้าต้องไป...เพื่อปกป้องตระกูล' คำพูดเหล่านั้นยังคงก้องอยู่ในหัวข้าตลอดมา ข้าถูกขับไล่ออกจากบ้าน ถูกส่งไปในป่าลึก โดยไม่มีแม้แต่ใครสักคนที่จะมาอธิบายว่าเหตุใด ข้าเป็นแค่เด็ก แต่ข้ากลับถูกทิ้งไว้ในความมืด โดยไม่มีที่พึ่งพิง ไม่มีความอบอุ่นของครอบครัว" เขาก้มหน้า น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น"ตอนที่ข้าจากไป ไรอันยังไม่เกิด พ่อและแม่ของเราคิดว่าเมื่อข้าไม่อยู่แล้ว พวกเขาจะสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ ข้าถูกลบออกจากความทรงจำของครอบครัว...และไรอัน เขาเกิดขึ้นมาโดยที่ไม่รู้เลยว่าข้าเคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา"ลีอาหันไปมองลูเซียสอย่างตกตะลึง เธอไม่เคยได้ยินเรื่องราวนี้มาก่อน ลูเซียส...พี่น้องร่วมสายเลือดของไรอัน ถูกผลักไสออกจากครอบครัวในวัยเด็ก เพียงเพราะพลังที่เขาไม่ได้เลือกที่จะมี"ข้าเร่ร่อนอยู่ในป่า เดียวดายและเต็มไปด้วยความกลัว ข้าไม่รู้ว่าข้าควรทำอย่างไร ข้ารอคอยวันที่ครอบครัวจะมารับข้ากลับ แต่วันนั้นไม่เคยมาถึง ข้าโตขึ้นมาท่ามกลางความโดดเดี่ยวและความเกลียดชัง ข้าเรียนรู้ที่จะใช้พ
แต่ลีอากลับก้าวออกมาจากเงามืดนั้นอย่างช้าๆ เธอหยุดอยู่ตรงหน้าไรอันและอาเรียน่า น้ำตาของเธอไหลลงมาเมื่อเธอรู้สึกถึงความอบอุ่นจากพวกเขา “ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษที่ข้าเคยละทิ้งพวกเจ้า...”ไรอันยิ้มอย่างอ่อนโยนและก้าวเข้ามากอดเธอไว้ “ไม่เป็นไร ลีอา เจ้ากลับมาแล้ว นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด” แสงสว่างที่เปล่งออกมาจากตัวอาเรียน่าเริ่มส่องประกายอย่างแรงกล้าอีกครั้ง ลูเซียสรู้สึกถึงพลังที่ถอยห่างจากตัวเขา ความมืดที่เคยทำให้เขาแข็งแกร่งกลับกลายเป็นภาระที่หนักอึ้ง เขารู้สึกถึงความอ่อนแอที่เข้ามาครอบงำ ร่างกายของเขาเริ่มสั่นไหวและอ่อนแรงลง “ไม่... ไม่!” ลูเซียสตะโกนด้วยความสิ้นหวัง แต่พลังที่เขาเคยยึดมั่นกลับหายไปทีละน้อย เงามืดที่เคยล้อมรอบตัวเขาเริ่มจางหายไป ราวกับว่ามันถูกดูดกลืนเข้าสู่แสงสว่างที่พวกเขาสร้างขึ้นมา ลีอายังคงมองไปทางลูเซียสที่ยืนอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความสับสน ดวงตาของเธอที่เต็มไปด้วยความสงสารและความเห็นใจสะท้อนถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนที่เธอมีต่อลูเซียส แม้ว่าเธอจะถูกสะกดจิตในช่วงเวลาที่อยู่กับเขา แต่เธอก็สามารถจดจำทุกเรื่องราวท
พลังเงามืดของลูเซียสถูกต้านทานด้วยบาเรียน้ำของไรอันและแสงสว่างของอาเรียน่า แต่ลูเซียสก็ไม่ยอมแพ้ เขารวบรวมพลังทั้งหมดที่มีและปล่อยคลื่นพลังมืดออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้มันรุนแรงและน่ากลัวกว่าครั้งก่อน มันเป็นพลังที่ถูกหล่อหลอมจากความแค้นและความโดดเดี่ยว คลื่นพลังมืดที่เขาปล่อยออกมานั้นไม่เพียงแต่รุนแรง แต่ยังเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า ลูเซียสไม่มีเจตนาที่จะยอมแพ้หรือยอมให้ใครเข้ามาขวางทางเขาได้อีก เอลเลียตที่เป็นด่านแรกของการป้องกัน ยังคงยืนหยัดไม่ถอย เขาใช้กระบองเหล็กของเขาฟาดลงไปที่พื้นอีกครั้งเพื่อสร้างแรงกระแทกที่พุ่งตรงเข้าไปปะทะกับพลังเงามืด แต่ความรุนแรงของพลังมืดนั้นกลับทำให้พื้นดินแตกออกเป็นรอยแยก ลมพายุจากพลังมืดกวาดเอาเศษซากและฝุ่นผงขึ้นมาหมุนวนรอบตัวเอลเลียต ทำให้การมองเห็นของเขาเริ่มพร่ามัว อย่างไรก็ตาม เอลเลียตยังคงยืนอยู่ได้ด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในตัวเพื่อนร่วมทางของเขา “พวกเจ้ารีบทำสิ่งที่ต้องทำ!” เขาตะโกนด้วยเสียงที่ยังเต็มไปด้วยพลัง “ข้าจะยืนหยัดตรงนี้ ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!” ไรอันรู้ดีว่
ปราสาทร้างที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเกาะยมทูตเต็มไปด้วยความมืดและเงียบสงัด มันเป็นสถานที่ที่เคยรุ่งเรืองในอดีต แต่ตอนนี้ถูกทิ้งร้างให้เป็นที่พำนักของความมืดที่แผ่ขยายจากจิตใจของลูเซียส หมอกหนาที่ปกคลุมรอบๆ ปราสาทนั้นหนาแน่นจนแทบจะบดบังแสงจากดวงจันทร์ แต่ไรอัน เอลเลียต และอาเรียน่าก็ยืนหยัดอยู่หน้าทางเข้าปราสาทอย่างไม่เกรงกลัว พวกเขามาที่นี่พร้อมกับความมุ่งมั่นที่ไม่มีวันสั่นคลอน และพลังที่ได้รับการปลุกขึ้นมาใหม่จากการฝึกฝนอย่างหนัก พวกเขารู้ดีว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ที่สำคัญที่สุดในชีวิต และมันจะเป็นการตัดสินชะตากรรมของพวกเขา ลีอา และแม้แต่ลูเซียส “ทุกคนพร้อมหรือยัง?” ไรอันถามเสียงต่ำ แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ปราสาทที่ยืนตระหง่านเบื้องหน้าเอลเลียตพยักหน้ารับ “พร้อมเสมอ ข้าไม่กลัวความมืดอีกต่อไปแล้ว เราจะพานางกลับมา และจะหยุดยั้งลูเซียสให้ได้” อาเรียน่ากำลังมองไปยังปราสาทที่เต็มไปด้วยเงามืด สายตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ข้าเองก็พร้อม พี่ชาย ข้าจะใช้พลังของข้าเพื่อช่วยพวกท่าน ข้าจะไม่ยอมให้ความมืดนี้เอาชนะพวกเราได้” ทั้งสามคนเดินเข้าไป
ผู้เฒ่าปราชญ์ไม่ได้หยุดการฝึกเพียงแค่นั้น เขาตัดสินใจที่จะสอนให้ไรอันและเอลเลียตได้ฝึกฝนการใช้พลังร่วมกัน การผสานพลังของธาตุน้ำและพลังชีวิตของเอลเลียตเพื่อสร้างพลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิมการฝึกนี้เริ่มจากการเรียนรู้ที่จะปรับพลังของพวกเขาให้สอดคล้องกัน ไรอันต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังน้ำในรูปแบบที่สามารถทำงานร่วมกับพลังแห่งชีวิตของเอลเลียต ขณะที่เอลเลียตก็ต้องปรับพลังของเขาให้สามารถเข้ากับพลังน้ำของไรอันได้ผู้เฒ่าปราชญ์จัดการทดสอบโดยให้พวกเขาร่วมมือกันในการสร้างกำแพงน้ำที่ไม่เพียงแค่ป้องกันศัตรูเท่านั้น แต่ยังสามารถฟื้นฟูพลังงานให้กับพวกเขาในขณะเดียวกันด้วย ไรอันต้องสร้างกระแสน้ำที่ไม่เพียงแต่แข็งแกร่ง แต่ยังต้องอ่อนโยนพอที่จะไม่ทำลายพลังของเอลเลียต ขณะที่เอลเลียตก็ต้องเสริมสร้างพลังน้ำนี้ให้คงทนและเข้มแข็งยิ่งขึ้นการฝึกนี้เป็นความท้าทายที่ต้องใช้ทั้งความเข้าใจและความเชื่อมั่นในกันและกัน พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะเปิดใจและสื่อสารโดยไม่ต้องใช้คำพูด รู้จักการทำงานร่วมกันในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนเมื่อพวกเขาสามารถสร้างกำแพงน้ำที่แข็งแกร่งและมีพลังในการฟื้นฟูได้สำเร็จ ผู้เฒ่าปราช
เอลเลียตมองต้นไม้ใหญ่นั้นด้วยความสงสัย “ข้าจะต้องทำอย่างไร?” “เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังของเจ้าโดยไม่ให้มันครอบงำเจ้า” ผู้เฒ่าปราชญ์กล่าว “เริ่มจากการใช้พลังในการฟื้นฟูร่างกายของเจ้า เจ้าเคยทนทานต่อบาดแผลและพิษ แต่ตอนนี้เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเร่งกระบวนการฟื้นตัวนั้นให้เร็วขึ้น”ผู้เฒ่าปราชญ์ให้เอลเลียตฝึกฝนการควบคุมการฟื้นฟูของร่างกายโดยใช้สมาธิในการสร้างพลังงานจากภายใน เขาให้เอลเลียตฝึกโดยการเผชิญหน้ากับความเหนื่อยล้าและบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นจากการฝึกอย่างหนัก เอลเลียตต้องเรียนรู้ที่จะปลดปล่อยพลังงานจากภายในร่างกายของเขาเพื่อรักษาตัวเองในเวลาอันสั้น นอกจากการฟื้นฟูร่างกายแล้ว ผู้เฒ่าปราชญ์ยังสอนเอลเลียตถึงการปลดปล่อยพลังงานเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการต่อสู้ของเขา เอลเลียตฝึกฝนการใช้กระบองเหล็กของเขาในการโจมตีต้นไม้ใหญ่โดยไม่ทำลายมัน แต่เพื่อฝึกฝนการควบคุมพลังของเขาให้แม่นยำและทรงพลังที่สุด การฝึกนี้ทำให้เอลเลียตได้ค้นพบว่าพลังที่แท้จริงของเขาไม่ใช่เพียงการต้านทานหรือการฟื้นฟู แต่ยังรวมถึงการใช้พลังนั้นในการปก
การสูญเสียลีอาและแม่ทัพอาร์เดนไปเป็นเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจของไรอันอย่างรุนแรง เขารู้สึกเหมือนว่าทุกสิ่งที่เขาพยายามปกป้องได้พังทลายลงต่อหน้าต่อตา ความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดที่ตามมานั้นทำให้เขารู้สึกท้อแท้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เขาตระหนักว่าพลังที่แท้จริงของเขานั้นอาจไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงการควบคุมธาตุน้ำเท่านั้นหลังจากหนีรอดออกมาจากเกาะยมทูต ไรอัน เอลเลียต และอาเรียน่าตัดสินใจที่จะพักฟื้นร่างกายและจิตใจในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกลจากอำนาจของลูเซียส ในหมู่บ้านนี้ พวกเขาได้พบกับผู้เฒ่าปราชญ์อีกครั้ง ซึ่งต้อนรับพวกเขาด้วยความอบอุ่นและให้ที่พักพิงเพื่อให้พวกเขาสามารถฟื้นฟูพลังได้“ข้าเห็นแววตาของเจ้าไรอัน” ผู้เฒ่าปราชญ์กล่าวขณะนั่งจ้องมองไรอันที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขา “เจ้าไม่ได้พ่ายแพ้ เจ้าแค่กำลังค้นพบตัวเอง”ไรอันมองผู้เฒ่าปราชญ์ด้วยความสับสน “แต่ข้าสูญเสียลีอาไป ข้าไม่สามารถปกป้องเธอได้ ส่วนสหายร่วมรบข้าก็ยังเสียเขาไป ข้ารู้สึกว่าข้าอ่อนแอเหลือเกิน”ผู้เฒ่าปราชญ์ยิ้มอ่อนโยน “บางครั้งการสูญเสียคือบทเรียนที่สำคัญที่สุด มันไม่ใช่ความแข็งแกร่งภายนอกที่เจ้าไม่เคยรู้จัก แต่เป็นพลั