3 วันต่อมา
มาเวอริคลืมตาขึ้นมาพร้อมกับความปวดร้าวทั้งร่างกาย และภาพเพดานที่คุ้นเคยมันก็ทำให้เขารู้ตัวว่า ตัวเขาเข้ามาอยู่ห้องขังใต้ดินเป็นเวลาสามวันแล้ว มันทั้งอับทั้งชื้นและมีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย มาเวอริคค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจแล้วพยุงตัวขึ้นลุกนั่ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันยามความเจ็บแปล๊บวิ่งไปทั่วร่างทันทีที่ขยับตัว แต่พอลุกนั่งได้แล้วก็ค่อย ๆ เอนหลังพิงผนังห้องเย็น ๆ
“เจ็บชะมัด” บ่นกับตัวเองแล้วเงยหน้ามองเพดานห้อง ผ่อนลมหายใจออกทางปากอย่างช้า ๆ ตอนนี้มาเวอริคไม่รู้สึกถึงน้ำหนักที่ข้อเท้าแล้วนั่นหมายความว่า โซ่ตรวนที่ถูกตัดถูกนำออกไปแล้วเรียบร้อย ทว่า สภาพของเขาในตอนนี้มันก็น่าเวทนาเหลือเกิน มาเวอริคเริ่มคิดว่าเขาจะรับมือกับอเล็กซานเดอร์ที่ลงมาหายังไงดี เพราะสามวันที่ผ่านมามันเต็มไปด้วยการทรมานที่แสนสาหัส เพียงแค่ต้องการรู้คำตอบในสิ่งที่มาเวอริคบอกกับโรนัลเดล บวกกับความเกลียดชังที่อเล็กซานเดอร์มีต่อมาเวอริค ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเลยกลายเป็นบาดแผลที่ยังไม่หายดีบนร่างกายมาเวอริค และมาเวอริคก็มีเรื่องมากมายที่อยากเอ่ยถามกับอเล็กซานเดอร์
หากอเล็กซานเดอร์ลงมาหาเขาอีกครั้ง เขาจะเอ่ยถามทุกสิ่งทุกอย่างออกไปให้หมด ต้องรีบเคลียร์รีบสะสางทุกอย่างก่อนการโต้กลับจะเริ่มขึ้น โรนัลเดลเองก็คงไม่อยู่เฉยและต้องเคลื่อนไหวเป็นแน่ การเจรจาถูกตัดจบไปแบบนั้นยังไงมันก็ต้องเกิดการปะทะขึ้นระหว่างขั้วอำนาจแม้จะอยู่คนละประเทศก็ตาม มาเวอริคหลับตาลงเล็กน้อยแล้วผ่อนลมหายใจ ชีวิตที่ต้องคอยเดินตามการชักใยนั้น เห็นทีมันจะจบในชีวิตปีที่ 38 ของเขาล่ะนะ
“ถึงเวลาที่แกกับฉันต้องคุยกันหน่อยแล้วมาเวอริค” และแล้วเสียงที่ไม่อยากได้ยินก็ดังขึ้นมานอกห้องขัง มาเวอริคหันหน้ามองไปทางลูกกรงที่กั้นกลางระหว่างตัวเขากับอเล็กซานเดอร์
“ให้ผมพักหน่อยไม่ได้หรือไง?” เอ่ยถามยิ้ม ๆ คำถามเดิม ๆ ของอเล็กซานเดอร์จะถูกเอ่ยถามอีกครั้ง
“สิ่งที่แกพูดไปมันหมายถึงอะไร” อเล็กซานเดอร์เอ่ยถามคนในห้องขัง มาเวอริคแค่นยิ้มแล้วปรายตามองอเล็กซานเดอร์ “ฉันพูดภาษาคนกับแกอยู่ ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง?” พูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความหงุดหงิดเมื่อมาเวอริคยังคงเงียบ
“แล้วคุณอยากได้คำตอบแบบไหน? ไม่สิ ถ้าคุณตอบคำถามของผม ผมจะยอมบอกคุณ” มาเวอริคเอ่ยขึ้นแล้วกัดฟันลุกยืน ก่อนเดินมาเผชิญหน้ากับอเล็กซานเดอร์ สภาพของมาเวอริคย่ำแย่ลงทุกวันจริง ๆ เพราะนอกจากของกินที่เขาได้รับมีเพียงขนมปังหนึ่งชิ้นกับซาวครีมถ้วยเล็ก น้ำเปล่าหนึ่งขวด มาเวอริคยังถูกอเล็กซานเดอร์ทรมานวันละสองชั่วโมงเพื่อรีดเค้นความจริงจากปาก แต่น่าเสียดายที่เอดิสันกับอเล็กซานเดอร์เลี้ยงมาเวอริคมาอึดเกินไป มาเวอริคเลยยังทนได้และไม่หลุดความจริงออกไปแม้แต่นิดเดียว
“แกไม่มีสิทธิ์ต่อรอง”
“แล้วคุณมีสิทธิ์นั้นหรือไง?” มาเวอริคสวนกลับทันที
หมับ!
อเล็กซานเดอร์สอดแขนเข้ามาในช่องว่างของลูกกรงด้วยความเร็ว แล้วคว้าคอมาเวอริคก่อนออกแรงบีบจนแขนของอเล็กซานเดอร์เต็มไปด้วยเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมา มาเวอริคไม่ตกใจเพราะนี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดน
“...เศษขยะอย่างแกอย่ามาปากดีใส่ฉัน” กดเสียงลงต่ำพลางกัดฟันจนกรามขึ้นเป็นสัน
“หึ” มาเวอริคหัวเราะใส่ก่อนอเล็กซานเดอร์จะออกแรงกระชากให้เขาเข้าใกล้ ใบหน้าของมาเวอริคแนบไปกับลูกกรง สายตาของทั้งคู่จ้องกันในระยะประชิด
“หากเรื่องที่แกบอกโรนัลเดลมันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของฉันกับเอดิสัน ฉันจะฆ่าแกเดี๋ยวนี้เลย” อเล็กซานเดอร์ปล่อยมือออกจากคอมาเวอริคทันทีที่พูดจบ มาเวอริคยกมือลูบคอเบา ๆ ก่อนหัวเราะเรียกให้อเล็กมองมาที่เขา
“ผมแค่อยากรู้ว่าในบรรดาลูกของพ่อ มีใครที่เกิดจากคุณบ้างไหม” มาเวอริคเอ่ยถามออกไปแล้วมองหน้าอเล็กซานเดอร์ ใบหน้านั้นไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกมา มาเวอริคเลยคาดเดาไม่ออกว่าตอนนี้อเล็กซานเดอร์รู้สึกยังไง มาเวอริคจึงตัดสินใจโยนคำถามที่คิดมาสด ๆ ร้อน ๆ ในเมื่อไม่ยอมตอบคำถามแรก ก็ขอถามคำถามที่สองเลยแล้วกัน
“พ่อน่ะ ไม่สิ เอดิสัน คาร์ลอฟ ความจริงแล้วก็ท้องได้เหมือนกันใช่ไหม?” นับแต่รับรู้ว่าน้องชายเพียงคนเดียวแตกต่างจากผู้ชายปกติทั่วไป มาเวอริคเลยพยายามหาคำตอบของความแตกต่างนั้นมาเสมอ แต่ไม่ว่าจะหาข้อมูลจากไหนมันก็ไม่มีให้เขานำมาอ้างอิง ยกเว้นผู้ชายข้ามเพศหรือทรานเจนเดอร์จากหญิงสู่ชายที่ยังคงมดลูกเอาไว้ แต่กับเมอร์ลินที่เกิดมาเป็นผู้ชายนั้นมันต้องมีคำตอบที่ลึกกว่านี้
จนกระทั่งมาเวอริคหันมามองคนใกล้ตัวอย่างผู้ให้กำเนิด เอดิสัน คาร์ลอฟ หรือนี่มันจะเป็นกรรมพันธุ์? แต่ทำไมตนหรือลูกชายคนอื่น ๆ ของเอดิสันถึงไม่มีเรื่องแบบนี้กัน ทว่า ด้วยระยะเวลาที่เฝ้าสังเกตเอดิสันและอเล็กซานเดอร์มาอย่างยาวนานหลายปี มาเวอริคก็เริ่มเข้าใจเพราะบางครั้งบางเวลา สายตาของอเล็กซานเดอร์ก็หลุดความรู้สึกยามมองเอดิสัน แน่นอนว่าไม่มีใครสังเกตเห็นนอกจากมาเวอริคที่อยู่กับอเล็กซานเดอร์มากกว่าใคร เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ของแววตา มาเวอริคย่อมรู้ทัน
“....” อเล็กซานเดอร์ตกใจพอสมควร ความเยือนเย็นที่มีถูกสั่นคลอนเล็กน้อย
“ไม่ต้องตกใจขนาดนั้น ผมแค่สันนิษฐานเอง... อยู่ ๆ เมอร์ลินจะมาท้องได้เลยก็คงแปลกแต่หากเป็นกรรมพันธุ์มันก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน แต่มันก็จะมีคำถามที่สามขึ้นมาอีกหนึ่งคำถาม” มาเวอริคมองเข้าไปในแววตาอเล็กซานเดอร์
“...” อเล็กซานเดอร์กำมือแน่น สายตาที่จ้องมองมาเวอริคมีแต่ความเกลียดชังและความอยากจะฆ่าให้ตายคามือ
“ถ้าพ่อท้องได้จริง ๆ แล้วไหนล่ะลูกของคุณกับพ่อ?” สิ้นประโยคคำถาม ความเงียบก็เริ่มคืบคลานเข้ามา บรรยากาศภายในห้องใต้ดินนั้นอับชื้นและทำให้รู้สึกอึดอัดเป็นทุนเดินอยู่แล้ว พอถูกความเงียบเข้าครอบงำจึงทำให้บรรยากาศอึดอัดยิ่งกว่าเดิม ความรู้สึกที่หนักอึ้งกดทับพวกเขาทั้งคู่เอาไว้
“ผมอยากรู้ความจริงของเรื่องทั้งหมด” เป็นมาเวอริคที่ทำลายความเงียบและความน่าอึดอัดนี้ “ผมรู้ว่าคุณเกลียดผมยิ่งกว่าใครเพราะผมเป็นลูกคนแรกที่เกิดจากคนที่คุณรัก แต่ผมก็มีสิทธิ์รู้เรื่องและรู้เหตุผลของความเกลียดชังที่พวกเราทุกคนได้รับจากคุณและเอดิสันไม่ใช่หรือไง?” น้ำเสียงของมาเวอริคอ่อนลง เหตุผลที่ว่าเขาเป็นลูกคนแรกที่เกิดจากเอดิสันมันฟังขึ้นก็จริง แต่มาเวอริคก็เชื่อว่ามันต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น อเล็กซานเดอร์มองหน้ามาเวอริคที่คล้ายคลึงกับเอดิสันในวัยหนุ่มก่อนเขาจะพูดขึ้นมา
“ถ้าแกอยากรู้มากนักก็หาคำตอบด้วยตัวของแกเอง แต่ฉันจะตอบคำถามแรกของแกแล้วกัน”
“...”
“ฉันเป็นหมัน” พูดจบก็หันหลังเดินออกไปทันที มาเวอริคถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วเดินกลับมานั่งที่เตียง ความจริงแล้วสิ่งเดียวที่มาเวอริคกลัวที่สุดคือความจริงที่ว่าเมอร์ลินไม่ใช่น้องแท้ ๆ ของเขาแต่ต่อให้เป็นแบบนั้น เขาก็จะรักเมอร์ลินเหมือนเดิม ทว่า พระเจ้าก็ยังไม่เกลียดเขาไปมากกว่านี้
เมอร์ลินเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดเพียงคนเดียวของเขา
เมอร์ลินเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของเขา
เรื่องนี้ได้รับการยืนยันแล้ว
เอ็มมานูเอล คาร์ลอฟ บุตรชายคนที่สองของเอดิสัน ในยามนี้กำลังใช้ความคิดและวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเจรจาระหว่างคาร์ลอฟและโรนัลเดล สองแขนที่ยกกอดยามนี้กำลังกระชับแน่นขึ้น ปลายนิ้วชี้เคาะลงบนต้นแขนเบา ๆ ก่อนริมฝีปากหนาจะค่อย ๆ ฉีกยิ้มเมื่อตัดสินใจกับอะไรบางอย่าง ใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่แพ้มาเวอริคหันมองน้องชายอย่าง อิการาชิ คาร์ลอฟ ถึงจะต่างมารดาแต่สายเลือดที่ไหวเวียนครึ่งหนึ่งคือคาร์ลอฟเหมือนกัน
“ท่านพี่มีเรื่องอะไรจะพูดหรือเปล่าครับ?” อิการาชิเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
“แกมีความเห็นยังไงกับเรื่องในตอนนี้” ไม่ตอบแต่ถามกลับพร้อมมองหน้าน้องชายเพื่อรอฟังคำตอบ
“อืม... ก็น่าจะสนุกอยู่นะครับในเมื่อท่านพี่มาเวอริคลุกขึ้นมาต่อต้านขนาดนี้ แต่มันเป็นผลดีกับตัวท่านพี่ด้วยไม่ใช่หรือไงครับ?” อิการาชิเอียงศีรษะเล็กน้อย มือที่จับด้ามดาบกำลังเคาะปลายนิ้วชี้เบา ๆ ราวกับตัวเขาเองก็กำลังใช้ความคิดอยู่เหมือนกัน
“ที่แกว่ามาก็อาจจะใช่ แต่อิการาชิ... แกเชื่อไหมล่ะว่าคนที่จะชนะคือมาเวอริค”
“...ทำไมท่านพี่ถึงคิดเช่นนั้น?” รอยยิ้มบนใบหน้าอิการาชิหายไป
“ไม่รู้สิแต่มันเป็นลางสังหรณ์ของฉัน”
“...”
“เพราะฉะนั้นแกมาร่วมมือกับฉันเสียสิน้องชาย” เอ็มมานูเอลยิ้มกว้างแล้วเดินมาหยุดตรงหน้าอิการาชิ “แกเองก็เกลียดไม่ใช่หรือไง ไอ้พ่อเฮงซวยแบบนี้น่ะ?” เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วยิ้มอย่างพึงพอใจยามนัยน์ตาของอิการาชิเผยมาให้เห็น
"หมายความว่าท่านพี่ชวนผมทรยศท่านพ่อใช่ไหม?"
“ใช่ ฉันรับรองว่าแกจะไม่เสียใจ ว่าไง?” ยื่นมือออกมาด้านหน้าเพื่อยืนยันการเป็นพันธมิตรชั่วคราว แต่เดิมทีทั้งสองคนก็แทบจะไม่ได้สนใจกันอยู่แล้ว เพราะเป้าหมายจริง ๆ นอกจากบิดาอย่างเอดิสันแล้ว ก็คือพี่ชายคนโตอย่างมาเวอริค อิการาชิใช้ความคิดอยู่หลายนาทีก่อนตัดสินใจยื่นมือมาจับมือพี่ชายแล้วบีบแน่น
“ผมเอาด้วยและผมหวังว่าการตัดสินใจของท่านพี่จะไม่ทำให้ผมผิดหวังนะครับ”
“เชื่อมือฉันเถอะน่า” เมื่อตกลงที่จะหักหลังบิดาด้วยกัน ทั้งสองก็พูดคุยถึงแผนการและความเป็นไปได้ของสถานการณ์ในตอนนี้
ด้านอเล็กซานเดอร์
อเล็กซานเดอร์เดินกลับขึ้นมาข้างบนด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งเสียจนเขาแทบลากเท้าไม่ออก ขาทั้งสองข้างมันหนักไปหมด แต่ส่วนหนึ่งมันเป็นความผิดของเขา ทุกครั้งที่เอดิสันให้อเล็กซานเดอร์ฝึกมาเวอริค เขามักจะโกรธเกรี้ยวและอาฆาตมาเวอริคเสียจนหนักมือไปทุกครั้ง รวมถึงระบายความอัดอั้นที่อเล็กซานเดอร์แบกมาตลอดหรือจะพูดให้เข้าใจกันโดยง่าย คนที่พูดเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับเอดิสันก็คือตัวอเล็กซานเดอร์เอง เพราะความโกรธแค้นที่พอกพูน ทำให้มือหนึ่งของคาร์ลอฟขาดสติและสูญเสียความเยือกเย็นไปในที่สุด
“ท่านอเล็กครับ ท่านเอดิสันเรียกให้ไปพบที่ห้องนอนครับ”
“อืม” อเล็กซานเดอร์ตอบรับก่อนเปลี่ยนเส้นทางเดินไปยังห้องนอนของเอดิสัน ระหว่างทางเขาเจอกับเนวิตา ภรรยาคนที่สี่ของเอดิสันและยังเป็นผู้หญิงที่สวยจนครั้งหนึ่ง เอดิสันเคยลุ่มหลง ซ้ำยังเคยเป็นเป้าหมายที่อเล็กซานเดอร์อยากฆ่ารองลงมาจากมาเวอริค เนวิตาเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในบรรดาภรรยาของเอดิสัน ถึงตอนนี้จะอายุ 55 ปี แล้วแต่เธอก็ยังสวยที่สุดอยู่ดีและเขาเกลียดความสวยนั้น ความสวยที่พรากคนรักของเขาไปแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งก็ตาม
“เอ่อ...” และเนวิตายังเป็นเพียงคนเดียวที่หาหนทางหลุดพ้นจากตระกูลนี้ เธอทักอเล็กซานเดอร์อย่างหวาดกลัวแต่ก็รวบรวมความกล้าเอ่ยถามออกไป “เห็นอูรีเอลหรือเปล่าคะ?” เนวิตาถามถึงลูกชายของเธอแล้วหลบตาคู่คมที่มองมาอย่างไม่ชอบใจ
“ลูกเธอไม่ใช่หรือไง จะมาถามหากับฉันทำไม”
“ขอโทษค่ะ”
“น่ารำคาญ” เดินผ่านเนวิตาไปทันที เธอถอนหายใจแล้วออกตามหาลูกชายที่หายไป อเล็กซานเดอร์เดินมาถึงห้องนอนของเอดิสัน เขาเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปก่อนจะปิดล็อกประตูให้สนิท เอดิสันกำลังระบายความโกรธลงกับข้าวของในห้อง นัยน์ตาสีน้ำตาลทองกวาดมองสภาพของห้องนอนแล้วหยุดที่เอดิสัน แม้จะผ่านมาสามวันแล้วแต่ความโกรธของเอดิสันก็ยังไม่จางหาย
“เอดดี้” อเล็กซานเดอร์เรียกคนรักก่อนก้าวข้ามเศษของที่แตกกระจายแล้วตรงไปหาเอดิสัน เอดิสันหันมองคนเรียกก่อนก้าวเข้ามาหาคนรัก สองมือคว้าหมับเข้าที่เสื้อแล้วกำแน่น
“มันบอกหรือเปล่า! มาเวอริคมันยอมพูดออกมาหรือยัง?” เอ่ยถามทันทีที่เห็นหน้าอเล็กซานเดอร์ แววตาของเอดิสันมีแต่ความขุ่นเคืองและความกังวล อเล็กซานเดอร์ส่ายหน้าก่อนโอบกอดคนรักแล้วลูบหลังแผ่วเบา
“มาเวอริคไม่ยอมบอกแต่ผมพอจะรู้ว่ามันบอกเรื่องอะไรกับโรนัลเดล” พูดจบก็พาเอดิสันมานั่งลงบนเตียง ส่วนอเล็กซานเดอร์คุกเข่าลงตรงหน้า ฝ่ามือหยาบที่มีแต่รอยแผลเป็นกุมมือคนรักไว้แน่น “เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับคุณคงเป็นหนึ่งในนั้น” บอกไปตามที่คาดเดาไว้ในใจ
“ว่ายังไงนะ?” เอดิสันถามอย่างไม่เชื่อหู “ทำไมนายถึงคิดว่าเป็นเรื่องนั้น”
“วันนี้มาเวอริคถามผมว่าหนึ่งในลูกของคุณมีใครที่เกิดจากผมบ้าง” อเล็กซานเดอร์กดจูบลงบนหลังมือคนรักแล้วแช่จูบไว้แบบนั้นราวสามนาทีก่อนเงยหน้าขึ้นสบตากับเอดิสันที่มองลงมา “และมันยังคาดเดาเรื่องที่คุณท้องได้ขึ้นมาอย่างถูกต้อง” ประโยคที่ออกมาจากปากอเล็กซานเดอร์ทำเอดิสันนั่งไม่ติด
“แล้วนายตอบมันไปว่ายังไง”
“ผมตอบแค่คำถามแรกน่ะ ว่าผมเป็นหมันนั่นหมายถึงไม่มีใครคนไหนที่เป็นลูกของผม”
“เจ้าเด็กนั่น... มันจะฉลาดมากเกินไปแล้ว เกินกว่าที่ฉันต้องการ” เอดิสันกัดฟันพูดก่อนผ่อนลมหายใจแล้วระงับความโกรธของตน นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มมองลงมาที่คนรักก่อนเอื้อนเอ่ยประโยคหนึ่งที่เรียกรอยยิ้มจากอเล็กซานเดอร์ “จูบฉันเดี๋ยวนี้” ริมฝีปากของเอดิสันถูกอเล็กซานเดอร์ครอบครองทันทีพร้อมร่างกายที่เอนลงบนเตียง ก่อนอเล็กซานเดอร์จะมอบความรักที่เขามีให้กับเอดิสัน เอดิสันก็พร้อมรับและพร้อมมอบความรักนั้นกลับคืน
แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ความเงียบสงบของตระกูลคาร์ลอฟก็ต้องหายไปเมื่อได้รับรายงานมาว่า ‘เครื่องบินส่วนตัวของโรนัลเดลลงจอดที่สนามบินอิงเกรเซียนเรียบร้อย’ เมื่อนั้นก็ถึงเวลาที่เอดิสันและคาร์ลอฟจะเคลื่อนไหว
เริ่มการปะทะ
“ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลการเข้าพักของสมาชิกหลักตระกูลโรนัลเดลครับ” กระดาษเพียงไม่กี่แผ่นที่ระบุข้อมูลการเข้าพักถูกยื่นให้กับเอดิสัน เอดิสันมองดูคร่าว ๆ แล้วออกคำสั่งในทันที
“ส่งคนระดับล่างไปก่อกวนเพื่อประเมินความพร้อมของพวกมัน”
“รับทราบครับ” เอดิสันมองคนที่เดินออกไปก่อนหันกลับมาแล้วเริ่มแจกแจงคำสั่งอื่นต่อ อเล็กซานเดอร์เพียงแค่ยืนมองคนรักด้วยสายตาภาคภูมิแต่เพียงครู่เดียว ก็ต้องปรับสายตาให้กลับมาเรียบนิ่งไร้ความรู้สึกเหมือนเดิม จนกระทั่งทั้งห้องเหลือเพียงพวกเขาสองคน
“พักหน่อยนะครับ วันนี้คุณใช้ความคิดหนักเกินไปแล้ว” อเล็กซานเดอร์เอ่ยบอกพลางแตะไหล่แผ่วเบา
“ฉันยังพักไม่ได้ตราบใดที่ยังไม่ได้รับรายงานใหม่” เอดิสันเอ่ยตอบก่อนชะงักแล้วหมุนเก้าอี้หันมาหาคนด้านหลัง อเล็กซานเดอร์ยิ้มบางแล้วคุกเข่าลงทันที “นายจะอยู่กับฉันใช่ไหมอเล็ก?” เอ่ยถามเสียงเรียบแต่สายตากลับบ่งบอกทุกอย่างออกไป
“ครับ ผมจะอยู่ข้างกายเอดดี้เสมอ” จับมือคนรักขึ้นมาแล้วกดจูบลงบนหลังมือแผ่วเบา เอดิสันโน้มกายลงกอดก่อนผละมองใบหน้าคนรักแล้วแนบริมฝีปากเข้าหากัน ไม่ว่าจะกี่สิบปีที่อยู่ด้วยกันมาอย่างยาวนาน อเล็กซานเดอร์ก็ยังคงเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้ตนรู้สึกปลอดภัย และเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้คนอย่างเอดิสันมอบความรักทั้งหมดที่มีให้ ริมฝีปากที่แนบแน่นสลับบดเบียดและเคล้าคลึงกันไปมาแผ่วเบา ยามนี้ค่อย ๆ ผละออกอย่างอ้อยอิ่ง
“เอดดี้ยังคงหวานเหมือนเดิมเลยนะครับ”
“นี่ อายุขนาดนี้แล้วเลิกปากหวานใส่ฉันได้แล้ว” เอดิสันเอ่ยบอกก่อนถอนหายใจออกมาเบา ๆ ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ลึก ๆ ในใจก็ชอบที่อเล็กซานเดอร์พูดแบบนี้อยู่ดี
ก๊อก ๆ
จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพักเสียงเคาะประตูดังขึ้น เอดิสันกับอเล็กซานเดอร์จึงกลับมาเป็นเจ้านายและลูกน้องดังเดิม เมื่อได้รับอนุญาตจากผู้เป็นนาย ประตูห้องจึงเปิดออกและตามด้วยคนของเอดิสันที่เดินเข้ามา
“มีรายงานจากคนของท่านเอ็มมานูเอลที่รอดมาได้ครับ” เอดิสันมองคนที่เข้ามารายงานก่อนพยักหน้าให้พูดได้ “ท่านเอ็มมานูเอลส่งคนไปโรงแรมที่เอเวอร์เร็ตต์กับลูกสาวเข้าพัก คนของเราถูกจัดการเรียบครับ” และความเป็นจริงที่ได้รับรายงานนี้ มันก็พลันทำให้อารมณ์ของเอดิสันเปลี่ยนในพริบตา
“อ่อนแอ อ่อนแอเกินไปแล้ว! ไอ้พวกขยะ!” เอดิสันตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว อยู่ในถิ่นของตัวเองแท้ ๆ แต่กลับแพ้ยิ่งกว่าหมา! คาร์ลอฟเสียศักดิ์ศรีจนได้! แต่เอดิสันก็ลืมไปว่าตนเองบอกให้ส่งคนระดับล่างไปป่วนพวกโรนัลเดล นั่นหมายความว่าคนที่ตายไปเป็นเพียงคนไร้ฝีมือเท่านั้น ขณะนั้นเองที่มีอีกคนเข้ามาเพื่อรายงาน
“คนของท่านอิการาชิที่ส่งไปโรงแรมที่ พอร์ช โรนัลเดล ลูกชายคนที่สามเข้าพักได้รายงานว่าเราจัดการคนของโรนัลเดลได้สองคนครับ ส่วนทางเราเสียยี่สิบคน รอดกลับมาได้สามคนครับ”
“เจ้าพวกบ้านั่น...! พวกแกควรจะฆ่ามันได้มากกว่าสองไม่ใช่หรือไง!” เอดิสันกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ อเล็กซานเดอร์อยากบอกให้ใจเย็นเพราะกลุ่มคนที่ส่งไปล้วนเป็นพวกระดับล่างที่มีฝีมือแค่พอใช้ได้ แต่จะให้พูดหักหน้าคนรักมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ
“ทางคุณหนูแวนด้ามีรายงานมาว่าคนที่ส่งไปทาง โจไซอาห์ โรนัลเดล บุตรชายคนที่สี่ถูกจัดการเช่นกันครับ ไม่เหลือรอดกลับมาแม้แต่คนเดียว”
“คนของแวนด้าไม่เหมาะกับงานแบบนี้ ทำไมถึงยังส่งไป?” อเล็กซานเดอร์เป็นคนเอ่ยถาม
“คุณหนูอยากโละชุดนี้ทิ้งครับ”
“อีกแล้ว?” คำตอบที่ออกมาทำอเล็กซานเดอร์หงุดหงิดเล็กน้อย เพราะแวนด้าเป็นคนที่เบื่อง่าย ลูกน้องของเธอจึงมักถูกโละทิ้งเพื่อเปลี่ยนใหม่บ่อยครั้ง
“ขออภัยครับ มีรายงานจากคนของท่านอูรีเอล ท่านอูรีเอลได้ส่งคนในสังกัดไปทาง รามิเอล โรนัลเดล ลูกชายคนแรกเข้าพัก มีรอดกลับมาเพียงคนเดียวครับและตอนนี้อยู่ในอาการหวาดผวา”
“ฆ่าทิ้งซะ มันหมดประโยชน์แล้ว” เอดิสันออกคำสั่ง
“ครับท่าน”
“นายท่านเอดิสันครับ คนของท่านมาเวอริคที่ถูกส่งไปยังที่พักของ เจฟรีย์ โรนัลเดล ทำการหักหลังคาร์ลอฟและเข้าร่วมกับโรนัลเดลครับ”
“มาเวอริค!” เอดิสันรู้ได้ทันทีว่านั่นต้องเป็นคำสั่งของมาเวอริคเป็นแน่ แต่ลืมอะไรไปหรือเปล่าว่าที่จริงแล้วมาเวอริคอยู่ห้องใต้ดินคงไม่มีทางออกคำสั่งได้ง่าย ๆ แต่อเล็กซานเดอร์กลับรีบก้าวเท้าออกไปยังห้องใต้ดินทันที หากลองคิดอย่างใจเย็น ในวันที่เจรจาแล้วโผล่พรวดเข้ามาพูดกับโรนัลเดลแบบนั้น ไม่ใช่ว่ามันเป็นแผนหรอกหรือ? หรือไม่มาเวอริคก็คิดหักหลังคาร์ลอฟมาแต่แรก? นั่นสินะ คำตอบมันก็ชัดเจนตั้งแต่ที่ได้รับรายงานแล้วนี่
สัตว์ที่เลี้ยงไม่เชื่อง เห็นทีคงต้องกำจัดแล้วสิ
พออเล็กซานเดอร์ออกไปแล้ว เอดิสันก็ทำใจให้เย็นลงก่อนนั่งลงบนเก้าอี้แล้วออกคำสั่ง “ฝั่ง พอร์ช โรนัลเดล เสียคนมากสุดงั้นเหรอ... ส่งคนฝีมือดีไปที่นั่น จัดการคนของมันให้เท่ากับที่คนของคาร์ลอฟตายไป”
“รับทราบครับนายท่าน!” เมื่อได้รับคำสั่งจากผู้นำ ทุกคนต่างเร่งรีบกระจายคำสั่งและเลือกคนมีฝีมือระดับกลางค่อนไปทางสูงเล็กน้อยส่งไปยังสถานที่ที่ พอร์ช โรนัลเดล พักอยู่ทันที
ห้องใต้ดิน
ห้องใต้ดินที่อับชื้นตอนนี้มีเสียงของมาเวอริคและอเล็กซานเดอร์ที่ปะทะกันอย่างดุเดือด มาเวอริคได้พักจนพอมีแรงแล้วและทันทีที่เห็นอเล็กซานเดอร์เดินลงมาหาเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ มาเวอริคก็รู้ได้ทันทีว่าคนของเขาเข้าร่วมกับโรนัลเดลสำเร็จ ส่วนตอนนี้มาเวอริคกำลังสกัดอเล็กซานเดอร์ได้บางส่วน จริงอยู่ที่อเล็กซานเดอร์เก่งแต่มาเวอริคที่โดนอเล็กจัดการมาตลอด เขาได้เรียนรู้และจดจำแพทเทิร์นการต่อสู้ของอเล็กซานเดอร์ไว้หมดแล้ว
ผัวะ!
ท่อนขาแข็งแรงเกินวัยเตะเข้าที่ท้องของมาเวอริคเต็มแรง มาเวอริคกระเด็นลงบนเตียงนอนเก่า ๆ พร้อมกับความจุกที่โถมเข้าหา ใช่ เขาจำได้หมดก็จริง แต่มันก็ยากที่จะสวนกลับไปตรง ๆ หรือหลบให้พ้นโดยไม่โดนแม้แต่รอยขีดข่วน ถ้าหากเขาอยู่ในสภาพที่พร้อมกว่าที่เป็นก็อาจจะรับมือไหว
หมับ!
อเล็กซานเดอร์คว้าคอของมาเวอริคแล้วออกแรงบีบก่อนตวาดถามอย่างโกรธเกรี้ยว
“มันเป็นแผนของแกใช่ไหม! ทั้งหมดนี่มันมาจากแกใช่ไหมมาเวอริค!” อเล็กซานเดอร์หอบหายใจหลังจากตวาดจบ เขาปล่อยมือออกจากคอของมาเวอริคแล้วยกมือขึ้นเสยผมลวก ๆ ก่อนยกเท้าเหยียบหน้าอกกว้างแล้วกดขยี้ลงไป “ตอบฉันมา!” เมื่อเห็นมาเวอริคเงียบ อเล็กก็ยิ่งหงุดหงิดเพิ่ม
“คุณไม่รู้สึกเบื่อหรือไงกับการหลบซ่อนความสัมพันธ์ของคุณกับพ่อน่ะ?” มาเวอริคทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของอเล็กซานเดอร์ เขาแค่พูดไปตามที่คิดและแม้จะเจ็บหน้าอก แต่เขาจะไม่แสดงออกมาเด็ดขาด ตอนนี้มาเวอริคคิดว่าเขายังมีโอกาส โอกาสที่จะพูดให้อลเกซานเดอร์เปลี่ยนใจหรือใจอ่อนลงบ้าง ยังไงความปรารถนาเดียวกับคนตรงหน้าก็คงมีแค่ ได้รักกับพ่อของเขาอย่างมีความสุข โดยไม่ต้องหลบซ่อนใด ๆ อีกต่อไป
“พล่ามอะไรของแก”
“ก็แค่คิดว่าคุณไม่เบื่อหรือไงที่ต้องหลบซ่อนทั้งที่คุณอยากกอดอยากหอมเขาข้างนอกบ้างน่ะ ทำแต่ในห้องในที่แคบ ๆ แบบนั้นมันดีแล้วเหรอ? คนรักกันจริงหรือเปล่า?” ตั้งใจยั่วยุโดยแท้และหวังว่าการยั่วยุของเขาจะส่งผล
“หุบปาก” อเล็กซานเดอร์กัดฟัน เขาลงแรงที่เท้าจนมาเวอริคต้องกัดฟันแต่อย่าคิดว่ามาเวอริคจะยอมแพ้เด็ดขาด
“ผมช่วยคุณได้ แค่บอกความจริงมา อึก ผมจะช่วยให้คุณกับพ่อไม่ต้องปิดบังอีกต่อไป”
“...” ยอมรับว่าอเล็กซานเดอร์หวั่นไหว มาเวอริคเห็นทีจึงพูดต่อ
“ผมแค่ต้องการความจริงของทุก ๆ เรื่อง ผมสัญญาว่าจะทำให้คุณกับพ่อได้รักกันอย่างเปิดเผยเพราะผมเองก็ต้องการแบบนั้น ...ผมไม่ต้องการฆ่าคุณ”
“ฆ่าฉัน? คนอย่างนายฆ่าฉันไม่ได้หรอก” ได้ยินว่าเด็กน้อยอย่างมาเวอริคไม่ต้องการฆ่าตน อเล็กซานเดอร์ก็นึกสมเพชขึ้นมาในทันที
“ใช่ครับ ผมฆ่าไม่ได้และคนฆ่าก็ไม่ใช่ผม” มาเวอริคยิ้ม อเล็กซานเดอร์จึงรู้ทันทีว่าโรนัลเดลที่มาที่นี่คงเป็นคนฆ่าเขา “ผมอยากรู้ว่าพ่อท้องได้จริงไหม ผมอยากรู้ว่าถ้าท้องได้แล้วลูกของคุณกับเขาไปไหน? แล้วมีอะไรที่พ่อปิดบังพวกผมอีก ผมอยากรู้แค่นี้คุณบอกผมได้หรือเปล่าครับ”
“...”
“คุณควรได้แสดงความรักกับเขามากกว่านี้ ขอร้องล่ะครับ อย่ายืนข้างเขาแล้วทำเป็นไม่เป็นอะไรทั้งที่ใจคุณมันต้องการมากกว่ารักกันแค่ในห้อง” มาเวอริคอาจจะไม่รู้ว่าความรักที่อเล็กซานเดอร์มีให้บิดาของตนมันมากมายและยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่เขาก็อยากให้ทั้งสองได้รักกันโดยที่ไม่ต้องหลบซ่อนแบบนี้อีก อเล็กซานเดอร์ที่สบกับสายตาจริงจังไร้ซึ่งความโกหกของมาเวอริค มันทำให้เขาใจเย็นลงและรู้สึกเชื่อใจมาเวอริคขึ้นมาเล็กน้อย
“เพราะแกหน้าเหมือนเอดดี้สินะ ฉันถึงหวั่นไหวกับคำพูดของแก” พอได้ลองมองหน้ามาเวอริคเต็มตา มองโดยไร้ซึ่งความเกลียดชังและอคติที่มี มันก็ทำให้เขาเห็นว่ามาเวอริคเหมือนเอดิสันขนาดไหน เหมือนเสียจนใจเขาเริ่มอ่อนลงอย่างน่าสมเพช อเล็กซานเดอร์ถอนหายใจแล้วผละออกจากมาเวอริค เขาถอดเสื้อของตัวเองแล้วโยนให้คนที่นอนอยู่ก่อนปลดโซ่อะไรออกให้หมด
“หนีไปซะ ทางนั้นมีประตูที่เชื่อมกับด้านนอก ถ้าแกออกไปได้แกจะโผล่ที่ข้างกำแพงทางทิศตะวันตกที่ติดกับถนนใหญ่” การตัดสินใจนี้อาจเป็นความผิดพลาดที่นำมาสู่การล่มสลายของคาร์ลอฟ แต่อเล็กซานเดอร์ก็จะลองดูและเขาก็อยากจะเห็นว่าเด็กที่เขาเลี้ยงมาด้วยลำแข้ง มันจะเติบโตขึ้นมากขนาดไหนกัน
“...” มาเวอริคไม่เข้าใจการกระทำของอเล็กซานเดอร์แต่เขาก็ไม่คิดจะเอ่ยถามใด ๆ
“และถ้าแกอยากรู้ฉันจะบอกให้แล้วกัน” อเล็กซานเดอร์มองหน้ามาเวอริคแล้วบอกความจริงที่เขากับเอดิสันเก็บมาอย่างยาวนาน “เอดิสันพ่อของนายน่ะท้องได้จริงและท้องกับฉันเมื่อสมัยที่ยังเป็นเพียงสมาชิก” อเล็กซานเดอร์หยุดพูดก่อนถอนหายใจ เพราะความจริงต่อไปนี้มันเป็นความจริงที่เขาไม่อยากนึกถึงเท่าไหร่
“แต่ลูกฉันกับพ่อแกตายแล้ว เอดิสันครรภ์เป็นพิษตอนเจ็ดเดือนและเด็กอ่อนแอเกินจะอยู่ไหว หมอยื้อสุดชีวิตแต่ฉันต้องตัดสินใจยอมปล่อยไป เพราะการเห็นลูกทรมานน่ะมันไม่มีพ่อแม่คนไหนรับได้ทั้งนั้น” การขุดอดีตขึ้นมาเล่าให้กับลูกชายของคนรักฟัง มันเจ็บปวดพอสมควร
“แล้วเรื่องที่คุณเป็นหมัน...”
“ฉันทำหมันก็เพราะเอดิสันตัดสินใจจะผ่ามดลูกออกทั้งที่เสี่ยงต่อชีวิต ฉันสูญเสียคนที่ฉันรักไปไม่ได้อีกแล้ว ฉันถึงตัดสินใจทำหมันแทนและฝากบอกน้องชายแกด้วย ถ้ามีลูกชายเมื่อไหร่ก็ให้ระวังว่าจะท้องได้เช่นกัน เพราะเรื่องที่แกเดาว่ามันเป็นกรรมพันธุ์น่ะ แกเดาถูกจนฉันขนลุกเลยล่ะ” เหยียดยิ้มเล็กน้อยแล้วมองออกไปนอกห้องขัง
“...ทำไมคุณถึงยอมพ่อขนาดนี้ครับ”
“ถ้าแกได้รักใครสักคนแกจะเข้าใจ รีบไปได้แล้ว” มาเวอริคหยิบเสื้อที่อเล็กซานเดอร์โยนให้มาสวมแล้วเดินออกจากห้องขังก่อนเท้าเขาจะชะงักเพราะประโยคถัดมาของอเล็กซานเดอร์ “เรื่องฆ่าฉันน่ะอย่าลังเลเด็ดขาดเพราะต่อจากนี้ไปฉันคือศัตรูของแกและน้องชายแก มีโอกาสเมื่อไหร่รีบฆ่าฉันซะ” พูดจบอเล็กซานเดอร์ก็เดินกลับขึ้นไป มาเวอริคมองตามหลังด้วยความรู้สึกหลากหลายก่อนจะหลบหนีไปตามเส้นทางที่อเล็กซานเดอร์บอก
คฤหาสน์คาร์ลอฟในช่วงเวลา 2 A.M. มีคนเดินตรวจตราราว 20 คนขึ้นไป พวกเขาได้รับหน้าที่ให้ดูแลความปลอดภัยของคฤหาสน์ แต่พวกเขากลับไม่รู้ตัวถึงมาเวอริคที่ออกจากเขตคฤหาสน์ไป แน่นอนว่ามาเวอริคลำบากพอสมควรหลังจากโผล่ออกจากห้องใต้ดิน สถานที่ที่เขามาถึงคือข้างกำแพงที่รายล้อมคฤหาสน์ ระยะทางจากจุดที่เขาอยู่จนถึงถนนใหญ่ค่อนข้างไกลพอสมควรแต่มาเวอริคเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนออกมาถึงถนนใหญ่
ตอนนี้ในใจของเขากำลังเกิดความสับสนอย่างหนักว่าควรจะจัดการกับเรื่องของอเล็กซานเดอร์ยังไงดี มาเวอริคเดินไปตามทางข้างกำแพง เขาเดินมาเรื่อย ๆ อย่างไม่คิดหยุดพักแต่เพราะสภาพร่างกายเลยทำให้เขาเดินช้ากว่าที่คิด และมาเวอริคไม่รู้ว่าโรนัลเดลพักอยู่ที่ไหน มีแต่ต้องใช้สมองลองคิดดู เป้าหมายคือต่อกรกับคาร์ลอฟและหากมองภาพรวม จุดที่โจมตีคาร์ลอฟได้ดีที่สุดคือโรงแรมที่ตั้งรายล้อมคฤหาสน์คาร์ลอฟ แน่นอนว่ามันคือธุรกิจที่บิดาเขาเทคมาได้และคิดว่าโรนัลเดลคงไม่ได้เข้าพักอย่างสงบแน่นอน ทว่า ในธุรกิจของบิดามันไม่ได้มีแค่โรงแรมเดียวน่ะสิ
“คิดสิว่าที่ไหน” มาเวอริคพูดขึ้นแล้วหันกลับไปมองคฤหาสน์คาร์ลอฟโดยหวังมองภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น
‘เห้ย! เราถูกลอบโจมตี!’
‘แจ้งท่านเอดิสันกับท่านอเล็กเดี๋ยวนี้!’
‘ทิศกระสุนมาจากทางตะวันออกและตะวันตก!’
‘อ๊ากกกก แขน อึก แขนฉัน!’
ยังไม่ทันที่มาเวอริคจะออกห่างจากคฤหาสน์ได้ไกล เสียงเอะอะโวยวายของคนด้านในมันก็ดังออกมาและดังพอให้คนที่อยู่ข้างนอกแบบเขาได้ยิน
‘ตะวันตก...’ มาเวอริคอยู่ทางทิศตะวันตกพอดี เขาจึงไม่รีรอรีบก้าวยาว ๆ ไปทางโรงแรมที่อยู่ทิศตะวันตกหรือก็คือมาเวอริคกำลังไปหาเจฟรีย์และคนของเขาก็รออยู่ที่นั่น
@Dark-night Hotel“ท่านมาเวอริค!” เอียนรีบวิ่งเข้ามารับร่างของผู้เป็นนายที่ดูอ่อนแรง โชคดีมากที่คนของ เจฟรีย์ โรนัลเดล ยังจำเจ้านายของตนได้ เอียนและบาโน่ช่วยกันพยุงมาเวอริคมายังลิฟต์ ใจจริงอยากพาเจ้านายนั่งพักก่อนแต่สถานการณ์ตอนนี้ ทางที่ดีรีบพาเจ้านายขึ้นห้องที่เจฟรีย์อยู่จะดีที่สุดในที่สุดมาเวอริคก็ได้พักหายใจหลังเดินเท้าเปล่ามาอย่างยาวนานหลายนาทีหรืออาจจะเกือบชั่วโมง ตอนนี้เท้าของเขาแทบไม่มีความรู้สึกอะไรแล้วและไหนจะร่างกายที่บอบช้ำ ที่ยังมีชีวิตรอดมาได้จนตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว มาเวอริคผ่อนลมหายใจก่อนปรายตามองลูกน้องของตน“พวกแกตัดสินใจเองหรือไง?” เอ่ยถามขึ้นมาและเอียนก็เข้าใจคำถามได้ทันที“ครับและผมก็คิดว่าท่านมาเวอริคเองก็ต้องการแบบนี้เหมือนกัน” เอียนเป็นคนตอบ“หึ ทำดีมาก” มาเวอริคยิ้มมุมปากก่อนลิฟต์จะมาถึงชั้นสูงสุดพอดี พอประตูลิฟต์เปิดออกก็พบกับคนของโรนัลเดลมากมาย รวมถึงศพคนคาร์ลอฟที่นอนจมกองเลือด“สภาพแย่ยิ่งกว่าหมาอีกไม่ใช่เหรอนั่น” เจฟรีย์ที่ยืนคุยกับลูกน้องหันมองลิฟต์ที่เปิดออกและเอ่ยทักทายมาเวอริคอย่างเป็นกันเอง“ขอบใจที่เปรียบกับหมาแทนที่จะเป็นขยะ” มาเวอริคตอบกลับก
ตึก ตึก ตึกเสียงฝีเท้าที่ย่ำลงบนพื้นคฤหาสน์หลังใหญ่ดังกึกก้องพร้อมกับเสียงร้องไห้แผ่วเบา แต่หนักแน่นในความรู้สึกที่ต้องสูญเสียคนรักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ใบหน้าที่เย่อหยิ่งและโอหังกลับชุ่มไปด้วยน้ำตาจนกลายเป็นคนละคน สองแขนที่โอบอุ้มร่างคนรักกำลังสั่นเทา หยาดน้ำตาหยดลงบนร่างอเล็กซานเดอร์ เช่นเดียวกับหยาดเลือดที่ไหลหยดตามเส้นทาง“ทำไมคนที่เก่งกาจอย่างนายถึงต้องยอมตายกัน ทำไม... ถึงทิ้งฉันไว้แบบนี้อเล็ก” เอ่ยถามทั้งที่รู้ว่าไร้ซึ่งคำตอบ ยามก้มหน้ามองใบหน้าที่ซีดเซียวของคนรัก ยามเห็นรอยยิ้มจาง ๆ บนริมฝีปากที่เคยบอกรัก เอดิสันก็ยิ่งเจ็บปวดหัวใจและเสียใจจนไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว หากเป็นไปได้ก็อยากให้มันเป็นเพียงความฝัน... ความฝันที่พอลืมตาตื่นขึ้นมาได้เห็นใบหน้าที่ตนรักอยู่ข้างกายนัยน์สีน้ำเงินครามที่ทอแสงอ่อนลงยามนี้กำลังไร้ซึ่งพลังในการมีชีวิตอยู่ เอดิสันอุ้มร่างอเล็กซานเดอร์กลับเข้ามาในห้องนอน ห้องที่ซึ่งฝากฝังความทรงจำของพวกเขาไว้มากมาย‘เอดดี้’“ฮึก ช่วยกลับมาเรียกฉันว่าเอดดี้อีกครั้งสิอเล็ก” เอดิสันร้องไห้หนักขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอันเลือนรางเรียกชื่อของตน เอดดี้ ชื่อเล่นที่มีเพียงอ
เงินจำนวน 2,900,000,000 ดอลลาร์ ถูกโอนเข้าบัญชีของ เอเวอร์เร็ตต์ โรนัลเดล ทันทีที่มาเวอริคกลับเข้าห้องทำงานของบิดา มาเวอริคเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับหลับตาลง ตอนนี้ภาพจำทุกอย่างยังคงชัดเจนราวกับว่ามันเพิ่งเกิด ฉายอยู่ซ้ำ ๆ ในหัวราวกับตอกย้ำว่าอเล็กซานเดอร์ตายเพราะตัวเขา มาเวอริคถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นแล้วออกมามอบคำสั่งให้กับทุกคน“ฉันจะมอบอำนาจให้เอียนในการแบ่งทีมจำนวนห้าทีมเพื่อเก็บศพตามโรงแรมและสถานที่ต่าง ๆ ใครที่ต่อต้านเอียนหรือต่อต้านคนของฉัน ฉันจะจัดการขั้นเด็ดขาดทันที ส่วนพวกแม่บ้านและสาวใช้รวมถึงคนอื่น ๆ ที่พอขยับตัวได้ ก็ให้ทำความสะอาดคฤหาสน์และสนามด้านหน้าให้สะอาด ล้างด้วยน้ำสะอาดและแอลกอฮอลล์ไม่ต่ำกว่าสามรอบ อย่าให้คราบเลือดหลงเหลือแม้แต่หยดเดียว”“รับทราบค่ะ!/รับทราบครับ!”“ส่วนศพให้นำไปเผาที่เดิม รู้กันใช่ไหม?” มาเวอริคเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามขณะมองหน้าคนของเขาเพื่อรอคำตอบ“ครับ ทุกศพจะถูกนำไปเผาที่หลุมทางด้านหลังคฤหาสน์ที่ห่างออกไปราวหนึ่งกิโลเมตรครับ”“ดี จัดการให้เรียบร้อย” มอบหมายงานเรียบร้อยแล้วก็เดินมายังห้องนอนของบิดา ประตูที่ปิดสนิทมีคราบเลือดหยดลงตรงหน้าประตูและท
“เด็ก ๆ ไปอาบน้ำได้แล้ว” ฟินน์เอ่ยบอกน้อง ๆ ร่วมมารดาที่วิ่งเล่นกันอยู่หน้าบ้าน ตัวเขาเองก็ต้องรีบอาบน้ำเหมือนกัน เพราะตอนนี้ตามเนื้อตัวมีแต่เศษฝุ่นเศษฟางเต็มไปหมด ฟินน์วางเคียวลงในที่ที่เก็บอุปกรณ์ก่อนมองน้อง ๆ ที่ยังวิ่งเล่นกันอยู่ “เด็ก ๆ พี่บอกว่าให้ไปอาบน้ำไงครับ” พอน้องไม่ฟังก็มีอันต้องใช้เสียงดุกันบ้าง“พี่ไปอาบน้ำก่อนเลยครับ กว่าเจ้าพวกนี้จะยอมอาบก็คงอีกสักพักใหญ่ ๆ เลย” เอเธอร์ ลาเนียร์ ลูกชายคนโตของบ้านและอายุห่างกับฟินน์สิบสองปี เอเธอร์เดินเข้ามาบอกพี่ชายพร้อมมองไปยังน้อง ๆ อีกสองคนที่วิ่งเล่นกันอยู่“เอางั้นก็ได้แต่อย่าปล่อยน้องไปไหนล่ะ มันเริ่มจะเย็นแล้ว”“ครับพี่” เอเธอร์พยักหน้ารับคำ ฟินน์จึงถอดเสื้อที่สวมอยู่ออก ร่างกายกำยำที่แม้สายงานจะเปลี่ยนไปแต่รูปร่างเขาก็ยังคงดีอยู่ มัดกล้ามที่ปั้นมาจากสายงานบอดี้การ์ดตอนนี้มันดูดีมากกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย แผลเป็นที่ได้รับยามฝึกฝนหรือออกสนามจริงก็มีแต่งแต้มตามร่างกายบ้าง แต่มันก็ไม่ได้มากจนดูน่าเกลียด อีกทั้งตอนนี้สีผิวของฟินน์จากที่เคยขาวก็เริ่มออกสีน้ำผึ้งแทนจากการทำงานตากแดดฟินน์คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้ามาในห้องน้ำ พาดผ้าไว้ต
มาเวอริคเดินมาทิ้งกายลงบนม้านั่งพลางยกขาขึ้นไขว่ห้าง สองแขนยกขึ้นกอดอกพร้อมกับในหัวที่มีความคิดมากมาย ตอนนี้สีหน้าของมาเวอริคเรียบนิ่งไร้อารมณ์เป็นอย่างมาก มาเวอริคต้องยอมรับว่าเขาสลัดคำพูดของฟินน์ออกไปจากหัวไม่ได้เลย ไหนจะสีหน้าที่เขาไม่เคยเห็นเพราะฟินน์มักแสดงแต่ด้านที่เข้มแข็งให้เห็น‘ผมรักคุณครับ’‘ผมรักคุณมากและรักมาตลอด ผมเจ็บทุกครั้งที่ต้องหาคู่นอนให้กับคุณแต่ผมก็ทำเพราะมันคือหน้าที่ เลือกคู่นอนที่ดีที่สุดให้กับคุณแต่บางครั้งผู้หญิงที่ตรงตามความต้องการ มันก็ไม่ได้มีเยอะหรือหาได้ง่ายทุกครั้งที่คุณต้องการขนาดนั้น หากคุณยอมนอนกับคนเก่า ๆ บ้างบางทีเรื่องที่ผมต้องเป็นตุ๊กตายางคงไม่เกิดขึ้น’“ตุ๊กตายาง...” มาเวอริคพึมพำเสียงเบาแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าจามิล ไม่ใช่ว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้แต่มาเวอริคไม่ได้ใส่ใจมัน เขามองข้ามและคิดว่าในมันไม่ใช่เรื่องของเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับมันมากนัก และต้องยอมรับว่าในตอนนั้นด้วยหน้าที่ของฟินน์ที่เป็นทั้งคนสนิท มือขวาและคู่นอนที่ทำตามความต้องการของเขา ไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตายางมีชีวิตจริง ๆ ทว่า มาเวอริคไม่เคยถามฟินน์เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เล
ผ่านมาราวสามนาทีแล้วที่มาเวอริคยืนอยู่ที่เดิมพร้อมคำถามมากมายที่ผุดขึ้นในหัว มาเวอริคไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมอยู่ ๆ ถึงจูบฟินน์ แต่ในวินาทีนั้นเขาแค่ปล่อยให้ร่างกายทำตามความต้องการ แต่หลังจากที่ฟินน์จูบตอบกลับมา มันกลายเป็นความต้องการของมาเวอริคเอง เป็นความต้องการที่รู้ตัวร้อยเปอร์เซ็นต์ มาเวอริคถอนหายใจก่อนเดินกลับเข้ามาในห้องนอน ชุดคลุมอาบน้ำที่สวมถูกถอดทิ้งลงบนพื้นห้อง ก่อนกายแกร่งที่เปลือยเปล่าจะหายเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้งด้านฟินน์ที่พอล้างปากเรียบร้อยแล้วก็นำโทรศัพท์ออกมาติดต่อหามารดา ตอนมาถึงก็ลืมโทรบอกเลยว่าเขาเดินทางถึงเมืองหลวงปลอดภัย เพราะดันเจอกับมาเวอริคแบบไม่คาดคิดก็เลยทำให้ความคิดเขารวนไปหมด ฟินน์เดินออกมาที่ระเบียงแล้วเท้าแขนซ้ายลงบนขอบราวระเบียง ส่วนทางขวาก็ถือโทรศัพท์แนบหู เพียงไม่นานก็มีเสียงจากปลายสายดังขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าฟินน์(ทำไมลูกเพิ่งติดต่อมา! แม่เป็นห่วงมากแค่ไหนรู้ไหมฟินน์?!)“แล้วทำไมแม่ไม่ลองโทรมาหาผมล่ะครับ” ฟินน์เอ่ยถามกลับ(แม่กลัวว่าจะโทรไปตอนลูกขับรถและแม่ก็กลัวว่าจะรบกวนการนอนของลูกถ้าลูกถึงที่หมายแล้ว แต่ดูลูกสิ ข้ามวันขนาดนี้แล้วแต่เ
ชายหนุ่มอดีตทายาทตระกูลใหญ่วัย 38 ปี กำลังนั่งคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายนาทีก่อน มาเวอริคนึกถึงแผ่นหลังที่เดินออกห่างไปเรื่อย ๆ ด้วยความรู้สึกที่ยากเกินจะเข้าใจ เขาเดินมายังที่พักที่ค่อนข้างเว้นระยะจากที่พักของฟินน์พอสมควร แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ให้เขาต้องกังวล เพราะเรื่องที่ต้องกังวลคือฟินน์นอนคนเดียวหรือนอนกับผู้ชายที่มาด้วยกัน“ซากอร์น เลอเจีย...” พึมพำชื่อคนที่มากับฟินน์แล้วรินเบียร์ใส่แก้ว ตอนที่เจอกับฟินน์เขาไม่เห็นผู้ชายที่น่าจะเป็นซากอร์นอยู่ด้วย มีเพียงผู้หญิงที่ดูแล้วไม่น่ามีอะไรลึกซึ้งกับฟินน์ แต่ยังไงก็ไม่ชอบใจอยู่ดีเพราะตลอดสิบปีที่เห็นฟินน์มา ฟินน์ไม่เคยพูดคุยกับผู้หญิงคนไหนนอกจากคู่นอนที่ต้องหาให้เขา หรือสมาชิกคาร์ลอฟอย่างแวนด้าและบรรดาภรรยาของเอดิสัน“พวกแกจะไปเที่ยวก็ไป ไม่ต้องมาเฝ้าฉัน” บอกกับเหล่าลูกน้องที่คอยยืมคุ้มกันสี่ด้าน แต่สายตาของทั้งสี่คนที่มองมาแสดงออกชัดเจนว่าอยากไปเที่ยวบนหมู่เกาะนี้แค่ไหน ต่อให้ไม่ต้องหันไปมอง มาเวอริคก็รับรู้ได้และเขาก็ไม่ได้อ่อนแอ จึงเอ่ยปากให้ทั้งสี่ออกไปเที่ยวเล่น“ขอบคุณครับนายท่าน”“ไม่ต้องเรียกฉันว่านายท่าน แค่คุณชายก็พอ
“แกคิดบ้าอะไรอยู่ถึงไปท้าทายนายท่านแบบนั้น!?” เอียนถามเสียงเครียดขณะนั่งมองบาโน่ที่ลูบคออยู่ ตอนนี้คอของบาโน่มีรอยบีบชัดเจนมาก จากที่แดงและมันก็เริ่มช้ำขึ้นทีละนิด โกร์ส่งผ้าชุบน้ำเย็นให้กับบาโน่ ส่วนเกร์วางขวดน้ำเปล่ากับยาลงตรงกลางวง"ฉันไม่ได้คิดอะไร ก็แค่อยากให้นายท่านได้สติ" บาโน่ตอบกลับด้วยเสียงที่แหบเล็กน้อย รับผ้าเย็น ๆ มาจากโกร์แล้วซับบนลำคอก่อนเอนกายนอนลงบนพื้นห้อง ตอนนี้ผ่านมาราวสามถึงห้านาทีแล้วแต่พวกเขายังไม่ไปไหน ยังคงอยู่ในห้องของผู้เป็นนาย เอียนถอนหายใจแล้วเอนหลังพิงกับเตียงนอนก่อนเอ่ยถามอะไรบางอย่าง“แล้วแกชอบพี่ฟินน์จริงเหรอวะ”“เปล่า ไม่ได้ชอบแม้แต่นิดเดียว” คำตอบของบาโน่เรียกสายตางุนงงจากเพื่อนร่วมงาน และน้ำเสียงที่พูดออกมาก็ไร้ซึ่งความโกหก เป็นน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์สุด ๆ เลย บาโน่ถอนหายใจแล้วบอกความจริงไป “ผู้ชายอย่างนายท่านต้องมีอะไรมากระตุ้นถึงจะได้สติ นายท่านเป็นผู้ชายที่ถูกทำให้เกิดมาเพื่อผลประโยชน์ล้วน คุณอเล็กซานเดอร์ที่เปรียบเสมือนพ่อคนที่สองก็เลี้ยงด้วยลำแข้งที่หนักกว่าคุณชายคนอื่น ๆ”“...” ทุกคนต่างตั้งใจฟังและเห็นด้วยกับบาโน่ ขนาดนายท่านของพวกเขาอายุเลขสามแ