เงินจำนวน 2,900,000,000 ดอลลาร์ ถูกโอนเข้าบัญชีของ เอเวอร์เร็ตต์ โรนัลเดล ทันทีที่มาเวอริคกลับเข้าห้องทำงานของบิดา มาเวอริคเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับหลับตาลง ตอนนี้ภาพจำทุกอย่างยังคงชัดเจนราวกับว่ามันเพิ่งเกิด ฉายอยู่ซ้ำ ๆ ในหัวราวกับตอกย้ำว่าอเล็กซานเดอร์ตายเพราะตัวเขา มาเวอริคถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นแล้วออกมามอบคำสั่งให้กับทุกคน“ฉันจะมอบอำนาจให้เอียนในการแบ่งทีมจำนวนห้าทีมเพื่อเก็บศพตามโรงแรมและสถานที่ต่าง ๆ ใครที่ต่อต้านเอียนหรือต่อต้านคนของฉัน ฉันจะจัดการขั้นเด็ดขาดทันที ส่วนพวกแม่บ้านและสาวใช้รวมถึงคนอื่น ๆ ที่พอขยับตัวได้ ก็ให้ทำความสะอาดคฤหาสน์และสนามด้านหน้าให้สะอาด ล้างด้วยน้ำสะอาดและแอลกอฮอลล์ไม่ต่ำกว่าสามรอบ อย่าให้คราบเลือดหลงเหลือแม้แต่หยดเดียว”“รับทราบค่ะ!/รับทราบครับ!”“ส่วนศพให้นำไปเผาที่เดิม รู้กันใช่ไหม?” มาเวอริคเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามขณะมองหน้าคนของเขาเพื่อรอคำตอบ“ครับ ทุกศพจะถูกนำไปเผาที่หลุมทางด้านหลังคฤหาสน์ที่ห่างออกไปราวหนึ่งกิโลเมตรครับ”“ดี จัดการให้เรียบร้อย” มอบหมายงานเรียบร้อยแล้วก็เดินมายังห้องนอนของบิดา ประตูที่ปิดสนิทมีคราบเลือดหยดลงตรงหน้าประตูและท
“เด็ก ๆ ไปอาบน้ำได้แล้ว” ฟินน์เอ่ยบอกน้อง ๆ ร่วมมารดาที่วิ่งเล่นกันอยู่หน้าบ้าน ตัวเขาเองก็ต้องรีบอาบน้ำเหมือนกัน เพราะตอนนี้ตามเนื้อตัวมีแต่เศษฝุ่นเศษฟางเต็มไปหมด ฟินน์วางเคียวลงในที่ที่เก็บอุปกรณ์ก่อนมองน้อง ๆ ที่ยังวิ่งเล่นกันอยู่ “เด็ก ๆ พี่บอกว่าให้ไปอาบน้ำไงครับ” พอน้องไม่ฟังก็มีอันต้องใช้เสียงดุกันบ้าง“พี่ไปอาบน้ำก่อนเลยครับ กว่าเจ้าพวกนี้จะยอมอาบก็คงอีกสักพักใหญ่ ๆ เลย” เอเธอร์ ลาเนียร์ ลูกชายคนโตของบ้านและอายุห่างกับฟินน์สิบสองปี เอเธอร์เดินเข้ามาบอกพี่ชายพร้อมมองไปยังน้อง ๆ อีกสองคนที่วิ่งเล่นกันอยู่“เอางั้นก็ได้แต่อย่าปล่อยน้องไปไหนล่ะ มันเริ่มจะเย็นแล้ว”“ครับพี่” เอเธอร์พยักหน้ารับคำ ฟินน์จึงถอดเสื้อที่สวมอยู่ออก ร่างกายกำยำที่แม้สายงานจะเปลี่ยนไปแต่รูปร่างเขาก็ยังคงดีอยู่ มัดกล้ามที่ปั้นมาจากสายงานบอดี้การ์ดตอนนี้มันดูดีมากกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย แผลเป็นที่ได้รับยามฝึกฝนหรือออกสนามจริงก็มีแต่งแต้มตามร่างกายบ้าง แต่มันก็ไม่ได้มากจนดูน่าเกลียด อีกทั้งตอนนี้สีผิวของฟินน์จากที่เคยขาวก็เริ่มออกสีน้ำผึ้งแทนจากการทำงานตากแดดฟินน์คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้ามาในห้องน้ำ พาดผ้าไว้ต
มาเวอริคเดินมาทิ้งกายลงบนม้านั่งพลางยกขาขึ้นไขว่ห้าง สองแขนยกขึ้นกอดอกพร้อมกับในหัวที่มีความคิดมากมาย ตอนนี้สีหน้าของมาเวอริคเรียบนิ่งไร้อารมณ์เป็นอย่างมาก มาเวอริคต้องยอมรับว่าเขาสลัดคำพูดของฟินน์ออกไปจากหัวไม่ได้เลย ไหนจะสีหน้าที่เขาไม่เคยเห็นเพราะฟินน์มักแสดงแต่ด้านที่เข้มแข็งให้เห็น‘ผมรักคุณครับ’‘ผมรักคุณมากและรักมาตลอด ผมเจ็บทุกครั้งที่ต้องหาคู่นอนให้กับคุณแต่ผมก็ทำเพราะมันคือหน้าที่ เลือกคู่นอนที่ดีที่สุดให้กับคุณแต่บางครั้งผู้หญิงที่ตรงตามความต้องการ มันก็ไม่ได้มีเยอะหรือหาได้ง่ายทุกครั้งที่คุณต้องการขนาดนั้น หากคุณยอมนอนกับคนเก่า ๆ บ้างบางทีเรื่องที่ผมต้องเป็นตุ๊กตายางคงไม่เกิดขึ้น’“ตุ๊กตายาง...” มาเวอริคพึมพำเสียงเบาแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าจามิล ไม่ใช่ว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้แต่มาเวอริคไม่ได้ใส่ใจมัน เขามองข้ามและคิดว่าในมันไม่ใช่เรื่องของเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับมันมากนัก และต้องยอมรับว่าในตอนนั้นด้วยหน้าที่ของฟินน์ที่เป็นทั้งคนสนิท มือขวาและคู่นอนที่ทำตามความต้องการของเขา ไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตายางมีชีวิตจริง ๆ ทว่า มาเวอริคไม่เคยถามฟินน์เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เล
ผ่านมาราวสามนาทีแล้วที่มาเวอริคยืนอยู่ที่เดิมพร้อมคำถามมากมายที่ผุดขึ้นในหัว มาเวอริคไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมอยู่ ๆ ถึงจูบฟินน์ แต่ในวินาทีนั้นเขาแค่ปล่อยให้ร่างกายทำตามความต้องการ แต่หลังจากที่ฟินน์จูบตอบกลับมา มันกลายเป็นความต้องการของมาเวอริคเอง เป็นความต้องการที่รู้ตัวร้อยเปอร์เซ็นต์ มาเวอริคถอนหายใจก่อนเดินกลับเข้ามาในห้องนอน ชุดคลุมอาบน้ำที่สวมถูกถอดทิ้งลงบนพื้นห้อง ก่อนกายแกร่งที่เปลือยเปล่าจะหายเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้งด้านฟินน์ที่พอล้างปากเรียบร้อยแล้วก็นำโทรศัพท์ออกมาติดต่อหามารดา ตอนมาถึงก็ลืมโทรบอกเลยว่าเขาเดินทางถึงเมืองหลวงปลอดภัย เพราะดันเจอกับมาเวอริคแบบไม่คาดคิดก็เลยทำให้ความคิดเขารวนไปหมด ฟินน์เดินออกมาที่ระเบียงแล้วเท้าแขนซ้ายลงบนขอบราวระเบียง ส่วนทางขวาก็ถือโทรศัพท์แนบหู เพียงไม่นานก็มีเสียงจากปลายสายดังขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าฟินน์(ทำไมลูกเพิ่งติดต่อมา! แม่เป็นห่วงมากแค่ไหนรู้ไหมฟินน์?!)“แล้วทำไมแม่ไม่ลองโทรมาหาผมล่ะครับ” ฟินน์เอ่ยถามกลับ(แม่กลัวว่าจะโทรไปตอนลูกขับรถและแม่ก็กลัวว่าจะรบกวนการนอนของลูกถ้าลูกถึงที่หมายแล้ว แต่ดูลูกสิ ข้ามวันขนาดนี้แล้วแต่เ
ชายหนุ่มอดีตทายาทตระกูลใหญ่วัย 38 ปี กำลังนั่งคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายนาทีก่อน มาเวอริคนึกถึงแผ่นหลังที่เดินออกห่างไปเรื่อย ๆ ด้วยความรู้สึกที่ยากเกินจะเข้าใจ เขาเดินมายังที่พักที่ค่อนข้างเว้นระยะจากที่พักของฟินน์พอสมควร แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ให้เขาต้องกังวล เพราะเรื่องที่ต้องกังวลคือฟินน์นอนคนเดียวหรือนอนกับผู้ชายที่มาด้วยกัน“ซากอร์น เลอเจีย...” พึมพำชื่อคนที่มากับฟินน์แล้วรินเบียร์ใส่แก้ว ตอนที่เจอกับฟินน์เขาไม่เห็นผู้ชายที่น่าจะเป็นซากอร์นอยู่ด้วย มีเพียงผู้หญิงที่ดูแล้วไม่น่ามีอะไรลึกซึ้งกับฟินน์ แต่ยังไงก็ไม่ชอบใจอยู่ดีเพราะตลอดสิบปีที่เห็นฟินน์มา ฟินน์ไม่เคยพูดคุยกับผู้หญิงคนไหนนอกจากคู่นอนที่ต้องหาให้เขา หรือสมาชิกคาร์ลอฟอย่างแวนด้าและบรรดาภรรยาของเอดิสัน“พวกแกจะไปเที่ยวก็ไป ไม่ต้องมาเฝ้าฉัน” บอกกับเหล่าลูกน้องที่คอยยืมคุ้มกันสี่ด้าน แต่สายตาของทั้งสี่คนที่มองมาแสดงออกชัดเจนว่าอยากไปเที่ยวบนหมู่เกาะนี้แค่ไหน ต่อให้ไม่ต้องหันไปมอง มาเวอริคก็รับรู้ได้และเขาก็ไม่ได้อ่อนแอ จึงเอ่ยปากให้ทั้งสี่ออกไปเที่ยวเล่น“ขอบคุณครับนายท่าน”“ไม่ต้องเรียกฉันว่านายท่าน แค่คุณชายก็พอ
“แกคิดบ้าอะไรอยู่ถึงไปท้าทายนายท่านแบบนั้น!?” เอียนถามเสียงเครียดขณะนั่งมองบาโน่ที่ลูบคออยู่ ตอนนี้คอของบาโน่มีรอยบีบชัดเจนมาก จากที่แดงและมันก็เริ่มช้ำขึ้นทีละนิด โกร์ส่งผ้าชุบน้ำเย็นให้กับบาโน่ ส่วนเกร์วางขวดน้ำเปล่ากับยาลงตรงกลางวง"ฉันไม่ได้คิดอะไร ก็แค่อยากให้นายท่านได้สติ" บาโน่ตอบกลับด้วยเสียงที่แหบเล็กน้อย รับผ้าเย็น ๆ มาจากโกร์แล้วซับบนลำคอก่อนเอนกายนอนลงบนพื้นห้อง ตอนนี้ผ่านมาราวสามถึงห้านาทีแล้วแต่พวกเขายังไม่ไปไหน ยังคงอยู่ในห้องของผู้เป็นนาย เอียนถอนหายใจแล้วเอนหลังพิงกับเตียงนอนก่อนเอ่ยถามอะไรบางอย่าง“แล้วแกชอบพี่ฟินน์จริงเหรอวะ”“เปล่า ไม่ได้ชอบแม้แต่นิดเดียว” คำตอบของบาโน่เรียกสายตางุนงงจากเพื่อนร่วมงาน และน้ำเสียงที่พูดออกมาก็ไร้ซึ่งความโกหก เป็นน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์สุด ๆ เลย บาโน่ถอนหายใจแล้วบอกความจริงไป “ผู้ชายอย่างนายท่านต้องมีอะไรมากระตุ้นถึงจะได้สติ นายท่านเป็นผู้ชายที่ถูกทำให้เกิดมาเพื่อผลประโยชน์ล้วน คุณอเล็กซานเดอร์ที่เปรียบเสมือนพ่อคนที่สองก็เลี้ยงด้วยลำแข้งที่หนักกว่าคุณชายคนอื่น ๆ”“...” ทุกคนต่างตั้งใจฟังและเห็นด้วยกับบาโน่ ขนาดนายท่านของพวกเขาอายุเลขสามแ
เพียงแค่ลืมตาตื่นแล้วประสานสายตากับนัยน์ตาสีน้ำเงินคราม ฟินน์ก็ถูกกอดอีกครั้งปละเป็นกอดยามเช้าที่แสนดุดัน ทุก ๆ การหยัดกระแทกความเป็นชายเข้าใส่ช่องทาง ช่วงท้องน้อยจะรู้สึกวูบโหวงจนสั่นระริกไปทั้งกาย ฟินน์ไม่อยากจะเชื่อว่ามาเวอริคจะเริ่มเซ็กซ์รับวันใหม่แบบนี้ และไม่ใช่แค่รอบเดียวแต่มากถึงสามรอบจนเสียดช่องทางไปหมด ถุงยางที่เอามาใช้มันหมดไปในรอบที่สี่(รอบแรกของตอนเช้า) สองรอบสุดท้ายเลยต้องสดและฟินน์ก็ต้องรับเอาน้ำกามของคนด้านบนเข้ามาทุกหยาดหยดเสียงหอบหายใจของฟินน์ดังก้องห้อง ใบหน้าอิดโรยทั้งที่เพิ่งตื่นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ส่วนมาเวอริคที่ได้เสพสุขกับร่างกายฟินน์ ตอนนี้กำลังกระปรี้กระเปร่าและยังคลอเคลียฟินน์ไม่หยุด ริมฝีปากพรมจูบให้ทั่วกาย ทิ้งรอยมากมายแถมยังโอบกอดอย่างหวงแหน ฟินน์รู้สึกดีนะแต่ในใจมันยังไม่เชื่อเต็มร้อย ยังไม่ไว้ใจว่าการกระทำของมาเวอริคตอนนี้คือการกระทำของคนที่มีใจให้กัน มันจะผิดไหมถ้าเขาจะระแวงและเคลือบแคลงอีกสักหน่อย“พ พอแล้วครับ ผมไม่ไหวแล้ว” ฟินน์ร้องห้ามแล้วยกมือดันใบหน้าหล่อเหลาให้ออกห่าง แต่มาเวอริคกลับเลียฝ่ามือที่ยกดันและยังกัดเบา ๆ ให้ฟินน์ได้ค้างนิ่งอยู่แบบ
ฟินน์ลืมตาขึ้นมากลางดึกหลังนอนหลับพักเอาแรงไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ค่อย ๆ ยันตัวขึ้นนั่งแล้วมองคนข้างกายที่หลับสนิท มาเวอริคเวลาหลับสนิทดูเป็นผู้ชายที่ไร้พิษภัยมาก แต่การที่มาเวอริคสามารถหลับสนิทได้ก็เพราะมาเวอริคไว้ใจฟินน์ รู้สึกปลอดภัยยามมีฟินน์อยู่ด้วย จึงกล้าที่จะหลับโดยไร้ความกังวลใด ๆ ฟินน์ถึงมีความสุขและรู้สึกขอบคุณที่ผู้ชายคนนี้ไว้ใจตน“ผมรักพี่นะครับ” พูดออกมาด้วยเสียงที่เบาที่สุด กดริมฝีปากลงบนขมับแผ่วเบา ไล่ลงมาที่แก้มและหยุดที่ริมฝีปาก ฟินน์ยิ้มบางก่อนจะลงจากเตียงให้เขาที่สุด ไม่ได้อาบน้ำเพราะกลัวว่าเสียงน้ำอาจทำให้มาเวอริครู้สึกตัว ฟินน์เขียนจดหมายสั้น ๆ ทิ้งไว้แล้วสะพายกระเป๋าออกจากห้อง ปิดประตูให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเปลี่ยนปลายเท้าหันไปยังที่พักแห่งหนึ่ง พวกเอียนคงจะอยู่ที่นั่นและฟินน์ก็ต้องจัดการเรื่องบางอย่างก่อนออกจากเกาะ แต่ก่อนจะเดินไปได้หันมองประตูห้องอีกครั้ง‘ออกมาแค่นี้ผมก็คิดถึงคุณแล้ว แต่ไว้เจอกันนะครับแล้วผมจะรอ’ ยิ้มให้กับคนที่นอนอยู่ในห้องแล้วตรงไปหาพวกเอียนทันทีและกว่าจะได้ออกจากเกาะจริง ๆ ก็ตอนตีห้ากับอีกสี่สิบนาที ฟินน์มองหมู่เกาะเจมินี่ที่เริ่
ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาอันร่มเย็นในเวลาช่วงบ่ายของวัน มีรถวีลแชร์ที่มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่พร้อมด้วยลูกเขยที่ยืนสูบบุหรี่อยู่เงียบ ๆ อังเดรได้เอ่ยขอเวลามาเวอริคเป็นการส่วนตัวเพื่อพูดคุย ซึ่งมาเวอริคเองก็ยินดีและเดินตามมาจนมาถึงใต้ต้นไม้นี้ เบื้องหน้าคือทุ่งข้าวสาลีสีเหลืองทองดูงดงาม ขยับพลิ้วตามแรงลมที่พัดผ่านและอีกไม่นานคงถึงเวลาเก็บเกี่ยวมันแล้ว“ที่มันง่ายขึ้นเพราะคุณใช่ไหม?” มาเวอริคเป็นคนเอ่ยทำลายความเงียบระหว่างพวกเขาสองคน แม้มาเวอริคจะยังมองตรงไปยังทุ่งข้างสาลีตรงหน้า แต่เขาก็ไม่ได้สนใจหรือใส่ใจมันมากนัก ตอนนี้มาเวอริคสนใจพ่อเลี้ยงของฟินน์มากกว่า ดูเป็นคนมีความสามารถพอสมควรแต่น่าเสียดายที่ดันกลายเป็นคนพิการ“คิดว่าคนแก่ ๆ อย่างผมจะทำอะไรได้กัน” อังเดรหัวเราะเบา ๆ ก่อนยิ้มแล้วมองทุ่งข้าวสาลี ยามมันพลิ้วไปตามแรงลมในทิศทางเดียวกัน “ผมขอถามอะไรคุณหน่อยสิ สักสองสามคำถาม”“ว่ามาสิ”“ก่อนอื่นผมขอบุหรี่สักมวนสิ” อังเดรเงยหน้าขึ้นมองคนข้างกาย มาเวอริหันมามองพ่อตาที่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนส่งซองบุหรี่ราคาแพงพร้อมไฟแช็คซิปโป้ให้ อังเดรรับมาแล้วเคาะบุหรี่มาคาบไว้หนึ่งมวน จุดไฟสูบที่ปลายพลางมองควันส
“นายยังไม่บอกฉันเรื่องแม่นาย” มาเวอริคเอ่ยบอกคนข้างกายที่ยังดูเพลียอยู่ ทางฟินน์ก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่ามาเวอริคจะออกเดินทางตอนตีสาม ไม่มีบอกอะไรกันเลยสักนิดแต่เล่นกอดเขาจนตีสองครึ่ง เวลาที่ฟินน์ได้นอนพักเอาแรงจึงมีเพียงแค่สามสิบนาทีเท่านั้น“พ่อกับแม่ผมหย่ากันตอนผมอายุราวสิบปีน่ะครับ แม่ย้ายมาจามิลก็หลังจากผมอายุสิบสอง แม่ทิ้งไว้เพียงเบอร์ติดต่อและผมเก็บติดตัวมาตลอด ก็แอบกังวลบ้างครับว่าแม่จะเปลี่ยนเบอร์แต่โชคดีที่เหมือนจะยัง ผมอยู่กับพ่อได้ประมาณห้าปี ถึงหนีออกจากบ้านแล้วเร่ร่อนอยู่ร่วมหนึ่งปี คาร์ลอฟถึงเก็บผมมาเลี้ยงและฝึกสอนอะไรต่าง ๆ ให้น่ะครับ” ฟินน์เล่าเรื่องราวของตนเองให้กับมาเวอริคฟัง แม้จะเพลียและอยากนอนพักสักหน่อยก็ตาม แต่ถ้าคนข้างกายอย่างรู้เรื่องของเขา ฟินน์ก็จะบอกให้หมดทุกเรื่อง“นายรู้ไหมว่าทำไมแม่นายถึงย้ายมาไกลถึงจามิล”“ถ้าผมเดาไม่ผิดก็คงหนีจากพ่อที่ช่วงแรกตามรังควานแม่ครับ ส่วนเหตุผลที่สองก็คงอยากเริ่มต้นใหม่ด้วยน่ะครับ” ฟินน์ยิ้มบางยามนึกถึงมารดา แต่พอนึกถึงหน้าแม่แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นกับมาเวอริคมันก็ฉายซ้ำอีกครั้ง “ผมขอถามคุณบ้าง คุณสะดวกใจจะพบแม่ผมหรือเปล่าครับ” ร
ยิมต่อยมวยคือสถานที่ที่ฟินน์เลือกมารอในระหว่างที่มาเวอริคหลับ แต่ฟินน์ไม่ได้มาคนเดียวเพราะพ่วงด้วยบาโน่ โกร์และเกร์มาด้วย ทั้งสามไม่เข้าใจว่าฟินน์พามาทำไมแต่เมื่อเห็นอดีตหัวหน้าขึ้นบนสังเวียนมวยพร้อมผ้าสีขาวที่พันฝ่ามือ สายตาที่มองมายังพวกเขาพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ บนริมฝีปากนั้น“ใครจะไปก่อน” บาโร่กัดฟันถามเสียงเบา สายตาไม่กล้าละจากอดีตหัวหน้าเพราะเกรงว่า ทันทีที่หลบสายตาจะกลายเป็นแรกที่ถูกเรียก“แกไปก่อนสิ เกลียดหัวหน้าไม่ใช่หรือไง” โกร์ใช้ศอกกระทุ้งข้างเอวน้องชาย“นี่ผมเป็นน้องพี่นะเว้ย!” เกร์ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยิน“มาสุภาพอะไรตอนนี้ ฉันไม่สงสารแกหรอกน้องชาย”“เป็นพี่ที่ดีจริง ๆ !” เกร์ใช้ศอกกระทุ้งกลับแล้วมองไปบนสังเวียน ตอนนี้ฟินน์พันผ้าที่ฝ่ามือสองข้าวเรียบร้อยแล้วและกำลังมองลงมาพร้อมกับฝ่ามือที่กวักเรียก ไม่เจาะจงว่าเป็นใครแต่อยู่ที่ใครจะยอมสละชีวิตขึ้นไปก่อน เกร์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ยามเห็นร่างกายของฟินน์ที่สวมเพียงเสื้อกล้ามสีดำ กางเกงวอร์มขนาดพอดีตัวสีเดียวกัน ทั้งที่ลาออกจากการเป็นบอดี้การ์ดไปหลายเดือนแต่ร่างกายยังคงดูกำยำอยู่เหมือนเดิม เกร์เกลียดนะแต่ตอนนี้ชักอิจฉา
มาเวอริคเดินกลับมาที่รถพร้อมปรับสีหน้าให้นิ่งลง นิ่งมากจนใครที่เห็นต่างพากันหลบสายตา บอกตามตรงว่าแม่ฟินน์คือตัวแปรที่มาเวอริคไม่คาดคิด ความจริงแล้วในวินาทีที่ฟินน์บอกจะไม่กลับมา มาเวอริคคิดจะใช้กำลังบังคับลากกลับรันเซียโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ถึงจะยอมรับเรื่องที่ตกใจมากก็ตามในจังหวะที่ฟินน์ไม่ยอมกลับ ทว่าในเมื่อยอมทำตามที่ต้องการขนาดนี้แล้วยังไม่ยอม ก็ได้เวลาที่เขาควรทำตามที่ตนเองต้องการบ้างสิถูกไหม? แต่แค่นึกถึงตอนที่ฟินน์เรียกเขาด้วยน้ำเสียงแบบนั้น มาเวอริคก็พลันไม่ชอบขึ้นมาเพราะดูเหมือนว่าฟินน์จะให้ความสำคัญกับแม่มาก“แม่งั้นเหรอ เหอะ!” ยกมือเสยผมลวก ๆ อย่างหงุดหงิดใจพลางเดาะลิ้นสบถคำหยาบมากมายออกมา ในตอนที่กำลังจะเปิดประตูรถเพื่อกลับขึ้นไปนั่งสงบสติอารมณ์ หางตามาเวอริคเห็นว่าลูกน้องของเขากำลังวิ่งกลับมาทางนี้ ถึงจะแปลกใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรนอกจากเปิดประตูแล้วขึ้นมานั่ง บาโน่ โกร์และเกร์รู้สึกผิดมากที่ละเลยหน้าที่ของตนเอง แต่ที่ตามไปก็เพราะอยากจะเห็นว่าข้างในนั้นเป็นแบบไหนภาพครอบครัวที่ดูอบอุ่นนั้นมันไม่เหมาะกับพวกเขาเลย ส่วนเอียนนั้นเหมาะสมแล้วเพราะหลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้น นี่เ
การตามหาฟินน์ยังคงดำเนินต่อไปแม้จะยากลำบากและดูริบหรี่ แต่มาเวอริคก็ไม่คิดจะยอมแพ้แต่อย่างใดแต่กลับสร้างเครือข่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อสัปดาห์ที่เอียนลาพักงานไป มาเวอริคก็ได้ออกตามหาฟินน์ด้วยการขับรถและใช้รูปถ่ายของฟินน์ทั่วเมืองคลานู ปรากฏว่าที่สนามของสกายไดร์ฟมีข้อมูลของฟินน์ มีพนักงานเคยเห็นหน้าฟินน์ว่าฟินน์มาร่วมเล่นสกายไดร์ฟเช่นกัน แต่หลังจากนั้นมาเวอริคก็หาข้อมูลของฟินน์จากเมืองนี้ไม่ได้อีกเลย ราวกับว่าอยู่ ๆ ก็หายตัวไปยังไงอย่างนั้น“นายนี่มัน... ไหวตัวได้เร็วจริง ๆ” มาเวอริคบ่นกับภาพถ่ายแล้วถอนหายใจออกมา ภาพถ่ายนี้ก็เป็นภาพที่ได้จากอิการาชิโดยให้อิการาชิ เข้าหาในเครือข่ายของคาร์ลอฟเผื่อจะมีข้อมูลของบอดี้การ์ดครบทุกคน ทั้งที่ตายและยังอยู่ ทั้งที่ลาออกและยังทำงาน ผลของมันคืออิการาชิเอารูปถ่ายของฟินน์มาให้ได้ ปกติแล้วมาเวอริคไม่ได้ขับรถออกมาตามหาเองแบบนี้ เขาจะใช้เส้นสายและเครือข่ายที่เขาสร้างขึ้นมาตามหาฟินน์แบบสบาย ๆ เพียงแค่ออกปากก็นั่งรอรับข้อมูลได้เลยทว่ามาเวอริคอยากออกมารับอากาศภายนอกบ้างและอยากให้การตามหาฟินน์เป็นการเที่ยวไปในตัว มาเวอริคจะเข้าใจฟินน์ว่าทำไมถึงดูชอบในการท่อ
เมืองคลานูเป็นเมืองใหญ่รองลงมาจากเมืองหลวงจามิล การท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อที่สุดของเมืองคลานูคือการปีนเขาเพื่อชมทิวทัศน์อันแสนงดงามของเมืองคลานู การเดินป่าตั้งแคมป์แบบหมู่คณะ และยังมีกิจกรรมแอดเวนเจอร์อื่น ๆ อีกมากให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัส ฟินน์เองก็เป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยวที่กระหายในกิจกรรมเหล่านี้เช่นกัน“น่าเล่นทั้งนั้นเลยแฮะ” ฟินน์ยืนอ่านรายละเอียดของกิจกรรมแอดแวนเจอร์อย่างสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการกระโดดร่ม การปีนผาจำลอง ขับรถ ATV ล่องแก่งและอีกมากมาย แต่ที่ฟินน์สนใจมากที่สุดคือการกระโดดร่มและขับรถ ATV หลังจากยืนตัดสินใจอยู่นาน ฟินน์เลือกที่จะไปกระโดดร่มก่อนและตามต่อด้วยขับรถ ATV แม้ใจจริงจะอยากทำทุกอย่างแต่เวลามันไม่มากขนาดนั้นวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ฟินน์จะเที่ยวในเมืองคลานู สถานที่ต่อไปคือเมืองรัมเปลที่ขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมต่าง ๆ เรียกว่าเป็นเมืองที่รวบรวมวัฒนธรรมจามิลนับแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบันเลยก็ว่าได้ ฟินน์สนใจและฟินน์อยากจะไปเชยชมเร็ว ๆ ดังนั้น การเที่ยวเมืองคลานูจึงจะจบลงในวันนี้ เมื่อตัดสินใจว่าจะเริ่มกระโดดร่มก่อน ฟินน์ก็เดินไปจองที่หน้างานในทันที ปกติแล้วต้องจองล่วงหน้าผ่านเ
เมืองคลานูเมืองใหญ่เป็นอันดับสองรองลงมาจากเมืองหลวง ฟินน์ที่มาถึงกำลังตกตะลึงกับความสวยงามของมัน นอกจากความสวยก็ยังมีบรรยากาศที่ดูปลอดโปร่งกว่าเมืองหลวงมาก ผู้คนหน้าตาสดใส ดูเป็นมิตรและน่าเข้าหากว่าในเมืองหลวงเยอะเลย ฟินน์สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนเรียกแท็กซี่เพื่อไปที่พัก พอได้ลองแพ็คกระเป๋าเที่ยวคนเดียวหลังซินดี้กลับไป ฟินน์ก็ได้ค้นพบเสน่ห์ของการแพ็คกระเป๋าเที่ยวคนเดียว มันไม่ได้เหงาอย่างที่คิดและไม่ได้แย่จนไม่อยากเที่ยว กลับกันกลับรู้สึกว่าได้รับอิสระและความเป็นส่วนตัวเยอะเลยล่ะนะ“ขอบคุณครับ” กล่าวขอบคุณเมื่อได้รับเงินทอนจากค่าแท็กซี่ พอก้าวลงจากรถมาก็เงยหน้าขึ้นมองโรงแรมที่จองไว้ มันไม่ได้หรูหราแต่ดูสะอาดสะอ้านและน่าพักมาก ๆ ของจริงดูดีกว่าในรูปหลายเท่าเลยล่ะ ฟินน์ยิ้มบางแล้วเดินเข้าไปด้านในเพื่อเช็คอินและเข้าพักผ่อน วันนี้จะยังไม่ออกเที่ยวแต่จะพักเอาแรงและศึกษาหาข้อมูลอื่น ๆ ก่อนออกไปผจญภัยRrrrrrrrเช็คอินและเปิดห้องได้ไม่ถึงสิบนาที เสียงเรียกข้าวของโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา ฟินน์จึงเปิดระเบียงแล้วออกมารับลมพร้อมกับนำโทรศัพท์ออกมากดรับสาย“ครับแม่” กรอกเสียงลงไปพร้อมรอยยิ้มที่ประดับบน
ฟินน์ลืมตาขึ้นมากลางดึกหลังนอนหลับพักเอาแรงไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ค่อย ๆ ยันตัวขึ้นนั่งแล้วมองคนข้างกายที่หลับสนิท มาเวอริคเวลาหลับสนิทดูเป็นผู้ชายที่ไร้พิษภัยมาก แต่การที่มาเวอริคสามารถหลับสนิทได้ก็เพราะมาเวอริคไว้ใจฟินน์ รู้สึกปลอดภัยยามมีฟินน์อยู่ด้วย จึงกล้าที่จะหลับโดยไร้ความกังวลใด ๆ ฟินน์ถึงมีความสุขและรู้สึกขอบคุณที่ผู้ชายคนนี้ไว้ใจตน“ผมรักพี่นะครับ” พูดออกมาด้วยเสียงที่เบาที่สุด กดริมฝีปากลงบนขมับแผ่วเบา ไล่ลงมาที่แก้มและหยุดที่ริมฝีปาก ฟินน์ยิ้มบางก่อนจะลงจากเตียงให้เขาที่สุด ไม่ได้อาบน้ำเพราะกลัวว่าเสียงน้ำอาจทำให้มาเวอริครู้สึกตัว ฟินน์เขียนจดหมายสั้น ๆ ทิ้งไว้แล้วสะพายกระเป๋าออกจากห้อง ปิดประตูให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเปลี่ยนปลายเท้าหันไปยังที่พักแห่งหนึ่ง พวกเอียนคงจะอยู่ที่นั่นและฟินน์ก็ต้องจัดการเรื่องบางอย่างก่อนออกจากเกาะ แต่ก่อนจะเดินไปได้หันมองประตูห้องอีกครั้ง‘ออกมาแค่นี้ผมก็คิดถึงคุณแล้ว แต่ไว้เจอกันนะครับแล้วผมจะรอ’ ยิ้มให้กับคนที่นอนอยู่ในห้องแล้วตรงไปหาพวกเอียนทันทีและกว่าจะได้ออกจากเกาะจริง ๆ ก็ตอนตีห้ากับอีกสี่สิบนาที ฟินน์มองหมู่เกาะเจมินี่ที่เริ่
เพียงแค่ลืมตาตื่นแล้วประสานสายตากับนัยน์ตาสีน้ำเงินคราม ฟินน์ก็ถูกกอดอีกครั้งปละเป็นกอดยามเช้าที่แสนดุดัน ทุก ๆ การหยัดกระแทกความเป็นชายเข้าใส่ช่องทาง ช่วงท้องน้อยจะรู้สึกวูบโหวงจนสั่นระริกไปทั้งกาย ฟินน์ไม่อยากจะเชื่อว่ามาเวอริคจะเริ่มเซ็กซ์รับวันใหม่แบบนี้ และไม่ใช่แค่รอบเดียวแต่มากถึงสามรอบจนเสียดช่องทางไปหมด ถุงยางที่เอามาใช้มันหมดไปในรอบที่สี่(รอบแรกของตอนเช้า) สองรอบสุดท้ายเลยต้องสดและฟินน์ก็ต้องรับเอาน้ำกามของคนด้านบนเข้ามาทุกหยาดหยดเสียงหอบหายใจของฟินน์ดังก้องห้อง ใบหน้าอิดโรยทั้งที่เพิ่งตื่นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ส่วนมาเวอริคที่ได้เสพสุขกับร่างกายฟินน์ ตอนนี้กำลังกระปรี้กระเปร่าและยังคลอเคลียฟินน์ไม่หยุด ริมฝีปากพรมจูบให้ทั่วกาย ทิ้งรอยมากมายแถมยังโอบกอดอย่างหวงแหน ฟินน์รู้สึกดีนะแต่ในใจมันยังไม่เชื่อเต็มร้อย ยังไม่ไว้ใจว่าการกระทำของมาเวอริคตอนนี้คือการกระทำของคนที่มีใจให้กัน มันจะผิดไหมถ้าเขาจะระแวงและเคลือบแคลงอีกสักหน่อย“พ พอแล้วครับ ผมไม่ไหวแล้ว” ฟินน์ร้องห้ามแล้วยกมือดันใบหน้าหล่อเหลาให้ออกห่าง แต่มาเวอริคกลับเลียฝ่ามือที่ยกดันและยังกัดเบา ๆ ให้ฟินน์ได้ค้างนิ่งอยู่แบบ