การตามหาฟินน์ยังคงดำเนินต่อไปแม้จะยากลำบากและดูริบหรี่ แต่มาเวอริคก็ไม่คิดจะยอมแพ้แต่อย่างใดแต่กลับสร้างเครือข่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อสัปดาห์ที่เอียนลาพักงานไป มาเวอริคก็ได้ออกตามหาฟินน์ด้วยการขับรถและใช้รูปถ่ายของฟินน์ทั่วเมืองคลานู ปรากฏว่าที่สนามของสกายไดร์ฟมีข้อมูลของฟินน์ มีพนักงานเคยเห็นหน้าฟินน์ว่าฟินน์มาร่วมเล่นสกายไดร์ฟเช่นกัน แต่หลังจากนั้นมาเวอริคก็หาข้อมูลของฟินน์จากเมืองนี้ไม่ได้อีกเลย ราวกับว่าอยู่ ๆ ก็หายตัวไปยังไงอย่างนั้น“นายนี่มัน... ไหวตัวได้เร็วจริง ๆ” มาเวอริคบ่นกับภาพถ่ายแล้วถอนหายใจออกมา ภาพถ่ายนี้ก็เป็นภาพที่ได้จากอิการาชิโดยให้อิการาชิ เข้าหาในเครือข่ายของคาร์ลอฟเผื่อจะมีข้อมูลของบอดี้การ์ดครบทุกคน ทั้งที่ตายและยังอยู่ ทั้งที่ลาออกและยังทำงาน ผลของมันคืออิการาชิเอารูปถ่ายของฟินน์มาให้ได้ ปกติแล้วมาเวอริคไม่ได้ขับรถออกมาตามหาเองแบบนี้ เขาจะใช้เส้นสายและเครือข่ายที่เขาสร้างขึ้นมาตามหาฟินน์แบบสบาย ๆ เพียงแค่ออกปากก็นั่งรอรับข้อมูลได้เลยทว่ามาเวอริคอยากออกมารับอากาศภายนอกบ้างและอยากให้การตามหาฟินน์เป็นการเที่ยวไปในตัว มาเวอริคจะเข้าใจฟินน์ว่าทำไมถึงดูชอบในการท่อ
มาเวอริคเดินกลับมาที่รถพร้อมปรับสีหน้าให้นิ่งลง นิ่งมากจนใครที่เห็นต่างพากันหลบสายตา บอกตามตรงว่าแม่ฟินน์คือตัวแปรที่มาเวอริคไม่คาดคิด ความจริงแล้วในวินาทีที่ฟินน์บอกจะไม่กลับมา มาเวอริคคิดจะใช้กำลังบังคับลากกลับรันเซียโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ถึงจะยอมรับเรื่องที่ตกใจมากก็ตามในจังหวะที่ฟินน์ไม่ยอมกลับ ทว่าในเมื่อยอมทำตามที่ต้องการขนาดนี้แล้วยังไม่ยอม ก็ได้เวลาที่เขาควรทำตามที่ตนเองต้องการบ้างสิถูกไหม? แต่แค่นึกถึงตอนที่ฟินน์เรียกเขาด้วยน้ำเสียงแบบนั้น มาเวอริคก็พลันไม่ชอบขึ้นมาเพราะดูเหมือนว่าฟินน์จะให้ความสำคัญกับแม่มาก“แม่งั้นเหรอ เหอะ!” ยกมือเสยผมลวก ๆ อย่างหงุดหงิดใจพลางเดาะลิ้นสบถคำหยาบมากมายออกมา ในตอนที่กำลังจะเปิดประตูรถเพื่อกลับขึ้นไปนั่งสงบสติอารมณ์ หางตามาเวอริคเห็นว่าลูกน้องของเขากำลังวิ่งกลับมาทางนี้ ถึงจะแปลกใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรนอกจากเปิดประตูแล้วขึ้นมานั่ง บาโน่ โกร์และเกร์รู้สึกผิดมากที่ละเลยหน้าที่ของตนเอง แต่ที่ตามไปก็เพราะอยากจะเห็นว่าข้างในนั้นเป็นแบบไหนภาพครอบครัวที่ดูอบอุ่นนั้นมันไม่เหมาะกับพวกเขาเลย ส่วนเอียนนั้นเหมาะสมแล้วเพราะหลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้น นี่เ
ยิมต่อยมวยคือสถานที่ที่ฟินน์เลือกมารอในระหว่างที่มาเวอริคหลับ แต่ฟินน์ไม่ได้มาคนเดียวเพราะพ่วงด้วยบาโน่ โกร์และเกร์มาด้วย ทั้งสามไม่เข้าใจว่าฟินน์พามาทำไมแต่เมื่อเห็นอดีตหัวหน้าขึ้นบนสังเวียนมวยพร้อมผ้าสีขาวที่พันฝ่ามือ สายตาที่มองมายังพวกเขาพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ บนริมฝีปากนั้น“ใครจะไปก่อน” บาโร่กัดฟันถามเสียงเบา สายตาไม่กล้าละจากอดีตหัวหน้าเพราะเกรงว่า ทันทีที่หลบสายตาจะกลายเป็นแรกที่ถูกเรียก“แกไปก่อนสิ เกลียดหัวหน้าไม่ใช่หรือไง” โกร์ใช้ศอกกระทุ้งข้างเอวน้องชาย“นี่ผมเป็นน้องพี่นะเว้ย!” เกร์ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยิน“มาสุภาพอะไรตอนนี้ ฉันไม่สงสารแกหรอกน้องชาย”“เป็นพี่ที่ดีจริง ๆ !” เกร์ใช้ศอกกระทุ้งกลับแล้วมองไปบนสังเวียน ตอนนี้ฟินน์พันผ้าที่ฝ่ามือสองข้าวเรียบร้อยแล้วและกำลังมองลงมาพร้อมกับฝ่ามือที่กวักเรียก ไม่เจาะจงว่าเป็นใครแต่อยู่ที่ใครจะยอมสละชีวิตขึ้นไปก่อน เกร์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ยามเห็นร่างกายของฟินน์ที่สวมเพียงเสื้อกล้ามสีดำ กางเกงวอร์มขนาดพอดีตัวสีเดียวกัน ทั้งที่ลาออกจากการเป็นบอดี้การ์ดไปหลายเดือนแต่ร่างกายยังคงดูกำยำอยู่เหมือนเดิม เกร์เกลียดนะแต่ตอนนี้ชักอิจฉา
“นายยังไม่บอกฉันเรื่องแม่นาย” มาเวอริคเอ่ยบอกคนข้างกายที่ยังดูเพลียอยู่ ทางฟินน์ก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่ามาเวอริคจะออกเดินทางตอนตีสาม ไม่มีบอกอะไรกันเลยสักนิดแต่เล่นกอดเขาจนตีสองครึ่ง เวลาที่ฟินน์ได้นอนพักเอาแรงจึงมีเพียงแค่สามสิบนาทีเท่านั้น“พ่อกับแม่ผมหย่ากันตอนผมอายุราวสิบปีน่ะครับ แม่ย้ายมาจามิลก็หลังจากผมอายุสิบสอง แม่ทิ้งไว้เพียงเบอร์ติดต่อและผมเก็บติดตัวมาตลอด ก็แอบกังวลบ้างครับว่าแม่จะเปลี่ยนเบอร์แต่โชคดีที่เหมือนจะยัง ผมอยู่กับพ่อได้ประมาณห้าปี ถึงหนีออกจากบ้านแล้วเร่ร่อนอยู่ร่วมหนึ่งปี คาร์ลอฟถึงเก็บผมมาเลี้ยงและฝึกสอนอะไรต่าง ๆ ให้น่ะครับ” ฟินน์เล่าเรื่องราวของตนเองให้กับมาเวอริคฟัง แม้จะเพลียและอยากนอนพักสักหน่อยก็ตาม แต่ถ้าคนข้างกายอย่างรู้เรื่องของเขา ฟินน์ก็จะบอกให้หมดทุกเรื่อง“นายรู้ไหมว่าทำไมแม่นายถึงย้ายมาไกลถึงจามิล”“ถ้าผมเดาไม่ผิดก็คงหนีจากพ่อที่ช่วงแรกตามรังควานแม่ครับ ส่วนเหตุผลที่สองก็คงอยากเริ่มต้นใหม่ด้วยน่ะครับ” ฟินน์ยิ้มบางยามนึกถึงมารดา แต่พอนึกถึงหน้าแม่แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นกับมาเวอริคมันก็ฉายซ้ำอีกครั้ง “ผมขอถามคุณบ้าง คุณสะดวกใจจะพบแม่ผมหรือเปล่าครับ” ร
ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาอันร่มเย็นในเวลาช่วงบ่ายของวัน มีรถวีลแชร์ที่มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่พร้อมด้วยลูกเขยที่ยืนสูบบุหรี่อยู่เงียบ ๆ อังเดรได้เอ่ยขอเวลามาเวอริคเป็นการส่วนตัวเพื่อพูดคุย ซึ่งมาเวอริคเองก็ยินดีและเดินตามมาจนมาถึงใต้ต้นไม้นี้ เบื้องหน้าคือทุ่งข้าวสาลีสีเหลืองทองดูงดงาม ขยับพลิ้วตามแรงลมที่พัดผ่านและอีกไม่นานคงถึงเวลาเก็บเกี่ยวมันแล้ว“ที่มันง่ายขึ้นเพราะคุณใช่ไหม?” มาเวอริคเป็นคนเอ่ยทำลายความเงียบระหว่างพวกเขาสองคน แม้มาเวอริคจะยังมองตรงไปยังทุ่งข้างสาลีตรงหน้า แต่เขาก็ไม่ได้สนใจหรือใส่ใจมันมากนัก ตอนนี้มาเวอริคสนใจพ่อเลี้ยงของฟินน์มากกว่า ดูเป็นคนมีความสามารถพอสมควรแต่น่าเสียดายที่ดันกลายเป็นคนพิการ“คิดว่าคนแก่ ๆ อย่างผมจะทำอะไรได้กัน” อังเดรหัวเราะเบา ๆ ก่อนยิ้มแล้วมองทุ่งข้าวสาลี ยามมันพลิ้วไปตามแรงลมในทิศทางเดียวกัน “ผมขอถามอะไรคุณหน่อยสิ สักสองสามคำถาม”“ว่ามาสิ”“ก่อนอื่นผมขอบุหรี่สักมวนสิ” อังเดรเงยหน้าขึ้นมองคนข้างกาย มาเวอริหันมามองพ่อตาที่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนส่งซองบุหรี่ราคาแพงพร้อมไฟแช็คซิปโป้ให้ อังเดรรับมาแล้วเคาะบุหรี่มาคาบไว้หนึ่งมวน จุดไฟสูบที่ปลายพลางมองควันส
“นายจะนอนไปถึงเมื่อไหร่ฟินน์? รีบลุกไปจัดการตัวเองได้แล้ว” น้ำเสียงของผู้เป็นนายนาม มาเวอริค คาร์ลอฟ ค่อนข้างหงุดหงิดและไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะเดิมทีหากทำหน้าที่เสร็จเรียบร้อย ฟินน์จะต้องออกจากห้องไปก่อนแล้ว แต่เมื่อคืนฟินน์ถูกมาเวอริคทำหนักเกินไป ตรงนี้จึงพอเข้าใจแต่การตื่นทีหลังเขา มันดูไร้ความรับผิดชอบต่อหน้าที่สิ้นดี“อึก... ข ขออภัยครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้” ฟินน์กัดฟันยันตัวขึ้นลุกนั่ง ร่างกายเขาแทบไม่ไหวแต่ต้องทนฝืนเพื่อลงจากเตียง ตามตัวฟินน์มีแต่รอยกัด รวมถึงร่องรอยของนิ้วมือเต็มไปหมด มาเวอริคไม่สนใจท่าทีทรมานของฟินน์ ผู้เป็นนายหันหลังแล้วจัดการไดร์ผมให้แห้ง จัดทรงผม ทาครีมแล้วแต่งตัวด้วยเสื้อสเวทเตอร์แขนยาวสีดำ กางเกงสแลคสีน้ำตาลพับขาเล็กน้อย รองเท้าโลฟเฟอร์สีเดียวกับกางเกง มาเวอริคตรวจความเรียบร้อยแล้วคว้าเสื้อโค้ทตัวยาวที่มีขนาดพอดีกับขากางเกงมาคลุมไหล่“ชิ...!” พอหันกลับมาเห็นว่าฟินน์เพิ่งลงจากเตียงไปอยู่หน้าประตูห้อง การเคลื่อนไหวชักช้าจนน่ารำคาญใจ แต่หากผู้เป็นนายลองสังเกตสักนิด เขาจะเห็นว่าสีหน้าของฟินน์ดูไม่ดีเลย “นายจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วกลับคาร์ลอฟไปซะ ฉันไม่ต้
คฤหาสน์มาร์การ์เล็ตมาเวอริครู้สึกตัวตื่นในช่วงเช้าของวัน ทั้งที่เพิ่งนอนเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วแต่เขากลับตื่นขึ้นมาเวลาเจ็ดโมงเช้าของวัน มาเวอริคยันตัวลุกนั่งก่อนยกมือกุมขมับแล้วปรายตามองคนข้างกายริชาร์ด มาร์การ์เล็ต ผู้นำมาเฟียตระกูลมาร์การ์เล็ตในประเทศรันเซีย แม้จะไม่ใช่องค์กรใหญ่มากมายอะไร แต่ก็ถือว่ามีอำนาจและอิทธิพลพอสมควร ทว่าเหตุผลแรกที่ไม่ใช่เหตุผลหลัก มาเวอริคสนับสนุนมาร์การ์เล็ตเพราะ ‘จูงจมูกง่าย’ รู้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นหน้า มาเวอริคถึงได้ปล่อยให้มาร์การ์เล็ตเข้าหา แต่คนสนิทของเขากลับขัดขวาง มันเลยทำให้แผนของเขารวนหมดแม้สุดท้ายจะได้เข้าแทรกมาร์การ์เล็ตในฐานะผู้สนับสนุนตามที่วางแผนไว้ก็เถอะ แต่จะว่าไป ป่านนี้ไปอยู่ไหน? ทำไมถึงไม่มาตาม ปกติเดิมทีแล้ว ‘ฟินน์ ไอแซค’ คนสนิทที่เปรียบดั่งมือขวาและมือซ้ายในเวลาเดียวกันจะต้องมาเรียกเขา เข้ามาปลุกเขาโดยไม่สนว่าจะนอนที่ไหนพร้อมรายงานเรื่องที่ต้องทำในวันนี้‘อา จริงสินะ...’ มาเวอริคคิดในใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาลงโทษฟินน์หนักมือไปหน่อย ร่างกายของฟินน์เลยไม่พร้อม แถมเขายังหงุดหงิดไล่ฟินน์กลับประเทศ ทว่ามาเวอริคก็เชื่อว่าฟินน์นั้นไม
การเดินทางอันยาวนานถึง 10 ชั่วโมงได้สิ้นสุดลงแล้ว เครื่องบินส่วนตัวของทายาทคาร์ลอฟกำลังลงจอดบนสนามบินส่วนตัวของตระกูลคาร์ลอฟที่อยู่ติดกับสนามบินใหญ่อิงเกรเซียน มาเวอริคลงจากเครื่องทันทีที่จอดสนิทและอิวานต้องทำหน้าที่แทนฟินน์ที่ลาออกไป ตั้งแต่นำเอกสารเดินทางไปที่สนามบินใหญ่เพื่อจัดการเรื่องเข้าออกประเทศของผู้เป็นนาย จนถึงดูแลเรื่องกระเป๋าเดินทาง‘ลาออกเพื่อลำบากฉันแท้ ๆ เลย’ อิวานขมวดคิ้วขณะนึกถึงฟินน์และงานที่เขาต้องทำแทน แต่หากกลับถึงคฤหาสน์คาร์ลอฟเมื่อไหร่ หน้าที่ของเขาก็จะสิ้นสุดลง ดังนั้น ทนอีกหน่อยแล้วกันเพื่อเงิน เพื่ออิสระ“ยินดีต้อนรับกลับครับท่านมาเวอริค!” ชายชุดดำที่หน้าอกของสูทปักสัญลักษณ์ตระกูลเอ่ยทักทายเสียงดังฟังชัดพร้อมค้อมศีรษะเก้าสิบองศา มาเวอริคพยักหน้ารับแล้วก้าวขึ้นไปบนรถทันทีที่ประตูถูกเปิด เขามาถึงอิงเกรเซียนในช่วง 2 A.M. แต่ประเทศแห่งนี้ก็ยังไม่หลับใหลเหมือนอย่างเคย มาเวอริคเท้าศอกลงกับขอบประตูขณะมือค้ำแก้มทอดสายตาออกไปนอกรถ“นายรู้เรื่องที่คนสนิทฉันลาออกใช่ไหม?” มาเวอริคเอ่ยถามเสียงแข็งพร้อมใช้คำว่าคนสนิทแทนที่จะเอ่ยชื่อฟินน์ออกไป“รู้ครับ” คนขับรถพยักหน้าพร้อม