แชร์

Episode - 2

การเดินทางอันยาวนานถึง 10 ชั่วโมงได้สิ้นสุดลงแล้ว เครื่องบินส่วนตัวของทายาทคาร์ลอฟกำลังลงจอดบนสนามบินส่วนตัวของตระกูลคาร์ลอฟที่อยู่ติดกับสนามบินใหญ่อิงเกรเซียน มาเวอริคลงจากเครื่องทันทีที่จอดสนิทและอิวานต้องทำหน้าที่แทนฟินน์ที่ลาออกไป ตั้งแต่นำเอกสารเดินทางไปที่สนามบินใหญ่เพื่อจัดการเรื่องเข้าออกประเทศของผู้เป็นนาย จนถึงดูแลเรื่องกระเป๋าเดินทาง

‘ลาออกเพื่อลำบากฉันแท้ ๆ เลย’ อิวานขมวดคิ้วขณะนึกถึงฟินน์และงานที่เขาต้องทำแทน แต่หากกลับถึงคฤหาสน์คาร์ลอฟเมื่อไหร่ หน้าที่ของเขาก็จะสิ้นสุดลง ดังนั้น ทนอีกหน่อยแล้วกันเพื่อเงิน เพื่ออิสระ

“ยินดีต้อนรับกลับครับท่านมาเวอริค!” ชายชุดดำที่หน้าอกของสูทปักสัญลักษณ์ตระกูลเอ่ยทักทายเสียงดังฟังชัดพร้อมค้อมศีรษะเก้าสิบองศา มาเวอริคพยักหน้ารับแล้วก้าวขึ้นไปบนรถทันทีที่ประตูถูกเปิด เขามาถึงอิงเกรเซียนในช่วง 2 A.M. แต่ประเทศแห่งนี้ก็ยังไม่หลับใหลเหมือนอย่างเคย มาเวอริคเท้าศอกลงกับขอบประตูขณะมือค้ำแก้มทอดสายตาออกไปนอกรถ

“นายรู้เรื่องที่คนสนิทฉันลาออกใช่ไหม?” มาเวอริคเอ่ยถามเสียงแข็งพร้อมใช้คำว่าคนสนิทแทนที่จะเอ่ยชื่อฟินน์ออกไป

“รู้ครับ” คนขับรถพยักหน้าพร้อมให้คำตอบ เนื่องจากคนขับรถเป็นคนเก่าคนแก่ของเอดิสัน ท่าทางที่มีต่อมาเวอริคเลยเป็นเพียงความเฉยชา ซึ่งแตกต่างจากอีกคนที่นั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับ

“แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน ทำอะไรอยู่”

“ไม่ทราบครับ” สีหน้ามาเวอริคมืดลงทันทีที่ได้ยินคำตอบ น้ำเสียงแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง? บรรยากาศภายในรถค่อย ๆ หนักอึ้งเพราะอารมณ์ของทายาทคาร์ลอฟตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับภูเขาไฟที่เตรียมปะทุ เขาควรจะได้รับรู้สิว่าคนของเขามันยังอยู่ที่ขอบกรงหรือบินออกไปแล้ว แต่ความรู้สึกลึก ๆ ในใจมันร้องบอกเขาว่าฟินน์ไปแล้ว

“ประเทศไหน” มาเวอริคเปลี่ยนคำถาม

“...”

“ฉันถามว่าประเทศไหน!” ตวาดเสียงกร้าวทันทีในเมื่อเมื่อถามดี ๆ แล้วไม่ได้รับคำตอบ

“ผมบอกไม่ได้ครับเพราะนายท่านสั่งห้ามเอาไว้” รู้จริง ๆ สินะแต่คำตอบแรกกลับบอกไม่ทราบ...

“เวรจริง ๆ !” ยกเท้าถีบเข้าที่เบาะคนขับเต็มแรงอย่างหัวเสีย มือหนากำเข้าหากันแน่นก่อนจะหลับตาแล้วคิดถึงหน้าน้องชายสุดที่รัก ความหัวเสียเมื่อครู่ค่อย ๆ ถูกบรรเทาลงจนกระทั่งเขากลับมาสุขุมอีกครั้ง มาเวอริคเคาะบุหรี่ออกมาสูบแล้วนั่งเงียบจนรถเบนซ์ราคาแพงเลี้ยวเข้าเขตคฤหาสน์คาร์ลอฟ นัยน์ตาสีน้ำเงินครามปรายมองตัวคฤหาสน์ที่ยังเปิดไฟทุกดวงไม่ต่างอะไรกับประเทศที่ไม่ยอมหลับไหลนี้

อิวานรีบลงจากรถอีกคันแล้วเปิดประตูให้กับผู้เป็นนายก่อนค้อมศีรษะรอจนมาเวอริคก้าวลงจากรถแล้วเดินผ่านตัวเขาเข้าไปด้านใน มาเวอริคไม่ได้จะไปทักทายใครเพราะเท้าของเขาก้าวตรงไปยังห้องนอนทันที ห้องนอนของมาเวอริคอยู่ที่ชั้นสามของคฤหาสน์ ชั้นสามแห่งความลับเพื่อกีดกันเขากับเมอร์ลิน บนชั้นสามนอกจากห้องนอนแล้วยังมีห้องสำหรับวอร์มร่างกายก่อนลงลิฟต์ไปยังห้องใต้ดินเพื่อฝึกซ้อมกับอเล็กซานเดอร์ นอกจากนั้นยังมีห้องเรียนสมัยที่ยังเยาว์วัยแยกตามประเภทไป

ปัง!

ประตูห้องนอนเปิดออกและปิดลงอย่างแรงก่อนตัวเขาจะก้าวเดินเข้ามาพร้อมกับเสื้อที่สวมใส่ถูกถอดทิ้งลงบนพื้นห้อง กายกำยำที่แน่นด้วยมัดกล้ามขยับไปซ้ายทีขวาทีก่อนยืนแขนยืดขาเพื่อคลายความเหนื่อยล้า จากนั้นมาเวอริคถึงเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย ภายใต้ฝักบัวที่กำลังรินรดสายน้ำเย็น ๆ ลงบนใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาสีน้ำเงินครามค่อย ๆ ลืมขึ้นแล้วมองผ่านหยดน้ำเหล่านั้นไปที่เพดานห้องน้ำ

“ออกจากกรงได้คงสนุกน่าดู” เอ่ยขึ้นมาเสียงแผ่วเบาแต่แม้เสียงจะเบา ทว่า ในน้ำเสียงกลับแข็งกร้าวกว่าครั้งไหน มาเวอริคก้มหน้าลงแล้วพลับตาพร้อมเอื้อมมือปิดฝักบัว เขาจะต้องรีบเตรียมตัวเดินทางไปยังประเทศที่ฟินน์ไป แต่ก่อนหน้านั้นเขาจะต้องเอาคำตอบที่ว่าฟินน์ไปประเทศไหนมาจากพ่อของเขาให้ได้ก่อน มาเวอริคสวมเสื้อคลุมอาบน้ำแล้วเดินออกมาพร้อมกับกดอินเตอร์คอมให้สาวใช้นำไวน์ขึ้นมาให้

เวลาในตอนนี้คือ 2:50 A.M. แต่สาวใช้ในครัวยังไม่หยุดพัก ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นสาวใช้ชุดใหม่ที่ต้องคอยปรนนิบัติเจ้านายในช่วงกลางคืน อย่างที่บอกว่าคฤหาสน์คาร์ลอฟไม่เคยหลับใหลเหมือนกับอิงเกรเซียน แม้นายเหนือหัวจะหลับไปแล้วแต่เหล่าคนรับใช้จำต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา รอไม่ถึงห้านาทีไวน์ชั้นดีก็มาเสิร์ฟเขาถึงห้อง มาเวอริคเปิดไวน์รินใส่แก้วทรงสูงแล้วเริ่มจิบมัน

สายตาคู่คมที่ทอดมองไปตรงหน้าเริ่มรู้สึกว่าทำไมวันนี้... ทั้งที่เขาเพิ่งกลับมาแต่คฤหาสน์หลังนี้กลับสงบยังไงชอบกล...

(ก่อนหน้านี้ช่วงที่ฟินน์เริ่มเดินทาง)

เครื่องบินจากอิงเกรเซียนลงจอดที่ประเทศรันเซียหลังเดินทางมาได้ 10 ชั่วโมง ฟินน์เหยียบแผ่นดินรันเซียด้วยหัวใจที่เต้นแรง เขากังวลว่าจะเจอกับคนของคาร์ลอฟและเรื่องมันจะไปถึงหูของคนคนนั้น แต่ฟินน์หลุดออกจากรันเซียได้โดยที่ไม่พบกับคนรู้จักแม้แต่คนเดียว ระหว่างที่นั่งเครื่องจากรันเซียไปประเทศเพียร์ม่า ฟินน์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่า ในใจมันดันแอบคาดหวังอีกแล้วน่ะนะ ฟินน์หงุดหงิดตัวเองเป็นที่สุดและอยากจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติของคนที่แอบรักหรือเปล่า?

เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไม? ทั้งที่เจ็บจนเกินทน ทั้งที่ความเจ็บปวดสลักลงบนวิญญาณแต่ทำไมเศษเสี้ยวของความรู้สึกมันถึงยังคาดหวังเล็ก ๆ จากสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ ทำไมล่ะ? ทำไมถึงได้ดูย้อนแย้งจนน่ารำคาญแบบนี้ ฟินน์หลับตาลงแล้วลบเรื่องน่ารำคาญที่อยู่ในหัวออกไปให้หมด อีกไม่ชั่วโมงเขาจะถึงประเทศเพียร์ม่าและหลังจากนั้นก็ต่อเครื่องจากเพียร์ม่าไปจามิล แต่คงหยุดพักสักวันเพื่อให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวบ้าง

อีกไม่นานแล้วสิที่เขาจะได้เข้าสู่อ้อมกอดของแม่ แม่ที่เขาคิดถึงมากกว่าใคร

ประเทศเพียร์ม่า

ประเทศขนาดกลางที่เจริญไม่แพ้กับประเทศใหญ่ ๆ ฟินน์ตัดสินใจเปิดโรงแรมสามดาวแล้วพักเป็นเวลาหนึ่งคืน หลังจากเปิดห้องและนำสัมภาระไปไว้แล้วเขาก็ออกมาเดินเที่ยวเล่นเพื่อพักผ่อน ภูมิอากาศของประเทศนี้จัดว่าดีในระดับหนึ่ง ไม่ร้อนและไม่หนาวเกินไปแต่รู้สึกว่ามันพอดีจนน่าทึ่ง ผุ้คนที่นี่มีสีผมเป็นสีน้ำตาลมะฮอกกานีเป็นส่วนใหญ่รวมถึงสีตาสีน้ำตาลประกายทอง ผิวขาวดุจน้ำนมและหน้าที่มีกระเล็กน้อย

“ไฮไฮท่านแขกต่างเมือง” เด็กชายที่ดูแล้วอายุน่าจะไม่เกิน 10 ขวบเข้ามาทักทายฟินน์อย่างเป็นกันเอง ที่แขนมีตะกร้าสานคล้องอยู่และในตะกร้านั้นมีขนมปังรวมถึงดอกไม้จัดเรียงกันอย่างสวยงาม ฟินน์ย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกันก่อนยิ้มกว้าง

“รู้ได้ยังไงว่าผมเป็นแขกต่างเมือง?”

“สีผมที่แตกต่างและสีตาที่เป็นเอกลักษณ์ ท่านแขกต่างเมืองมาจากที่ไหนเหรอ” หนูน้อยไถ่ถามอย่างตื่นเต้น

“ผมมาจากอิงเกรเซียนน่ะ กำลังจะเดินทางไปประเทศจามิลในวันพรุ่งนี้” ฟินน์ให้คำตอบพร้อมยิ้มอย่างเอ็นดู เด็กคนนี้มีหน้าตาที่น่ารักมาก ๆ แต่การแต่งตัวที่ดูเก่าโทรม คงเป็นเด็กกำพร้าที่หาเงินด้วยการขายขนมปังกับดอกไม้สินะ

“ว้าว ท่านมาไกลมาก ๆ เลยนะ หนีใครเหรอ” คำถามนี้ทำฟินน์ชะงัก

“...ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ”

“ถ้าคนมาเที่ยวมีสีหน้าเศร้าโศกแบบนี้ก็คงจะเป็นคนที่แปลกมาก”

“...”

“ท่านแขกต่างเมืองหนีคนรักมาเหรอ”

“นี่เราเป็นเด็กจริง ๆ ใช่ไหม?” ฟินน์อดไม่ได้ที่จะถามแบบนั้น เด็กน้อยหัวเราะก่อนพยักหน้าหงึก ๆ

“อือ ก็ผมเคยเร่ร่อนมาก่อน เลยได้เห็นว่าคนบนโลกเป็นยังไงแล้วคนอย่างท่านแขกต่างเมือง ในประเทศนี้ก็มีเยอะมากเลย”

“งั้นมาเล่นเกมกันไหม? ถ้าเดาถูกว่าทำไมผมถึงหนี ผมจะเหมาทั้งตะกร้าเลย” ฟินน์พูดบอกพร้อมรอยยิ้มแต่ต่อให้ตอบผิด เขาก็ตั้งใจจะเหมาทั้งตะกร้าอยู่ดี เด็กน้อยที่ได้ยินแบบนั้นก็ตาลุกวาวอย่างดีใจก่อนแววตานั้นจะค่อย ๆ ทอแสงลงทีละนิด ฟินน์ยิ้มเอ็นดูทันทีเพราะเหมือนเขาได้เห็นฟิลเตอร์หูสุนัขที่ค่อย ๆ ลู่ลง

“แต่ผมเดาไม่ถูกแน่เลย”

“ทำไมล่ะ?”

“เพราะซิสเตอร์บอกว่าแม้มนุษย์จะมีจุดเริ่มต้นของความเศร้าเป็นความรักเหมือนกัน แต่เหตุผลนั้นย่อมแตกต่างกันไป หนึ่งร้อยความรักแต่อาจจะหนึ่งพันเหตุผล เพราะเหตุผลเดียวไม่มากพอให้ความรักมีปัญหา” เด็กน้อยพูดเสียงเจื้อยแจ้วพร้อมขยับมือทำท่าทางประกอบให้ฟินน์ดู และจากที่ซิสเตอร์บอกมา เด็กน้อยเลยไม่รู้ว่าตนต้องเดาจากเหตุผลไหน

“แล้วถ้าหากเหตุผลเดียวแต่มันเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ล่ะ?”

“ถ้าเกิดขึ้นซ้ำ ๆ มันก็ต้องนับเป็นหนึ่ง สอง สาม อยู่ดีนี่นา?” เด็กน้อยเอียงคอมองหน้าฟินน์อย่างไม่เข้าใจ ฟินน์เงียบเพราะที่เด็กน้อยพูดมามันไม่มีตรงไหนผิดเลย

“เก่งมากเลยครับ ผมเหมาทั้งตะกร้าเลยนะ”

“เย้! ขอบคุณฮะท่านแขกต่างเมือง” เด็กน้อยดูดีใจมาก ๆ แววตากลับมาเป็นประกายอีกครั้ง ฟินน์จ่ายเงินในจำนวนที่มากเกินราคา เด็กน้อยยิ้มแล้วพูดออกมาด้วยความดีใจ “ขอบคุณจริง ๆ นะฮะท่านแขกต่างเมือง! เงินมากขนาดนี้น่าจะพอให้พวกผมกินได้ทั้งอาทิตย์เลย”

“ไม่ใช่ว่าอยู่โบสถ์หรอกเหรอ?” ฟินน์ขมวดคิ้วทันที

“โบสถ์ที่ผมอยู่เป็นโบสถ์เล็ก ๆ ที่ไม่ได้รับการสนับสนุนฮะ อืม... ถึงจะเรียกโบสถ์แต่ตอนนี้ไม่ต่างจากบ้านเด็กกำพร้าเลยฮะ ส่วนมากเป็นเด็กที่เร่ร่อนแบบผม”

“งั้นเหรอ.. ให้ผมไปส่งดีไหม? เงินมากขนาดนี้กลัวจะโดนปล้นเอาน่ะ”

“ท่านแขกต่างเมืองใจดีจังเลยฮะ แถมหล่อด้วย คนรักของท่านแขกต่างเมืองไม่มีความคิดแน่เลยถึงได้ทิ้งท่าน” ฝ่ามือเล็กเอื้อมจับมือเขาอย่างเป็นกันเอง ความอบอุ่นจากฝ่ามือน้อย ๆ ช่วยให้ฟินน์รู้สึกดีขึ้นอย่างน่าแปลก เขากระชับฝ่ามือนั้นแล้วเริ่มออกเดิน

“พูดเก่งจังเลยนะเรา”

“ถ้ามัวแต่เขินอาย ผมคงหาเงินไปให้ซิสเตอร์ไม่ได้หรอกฮะ”

“กินขนมปังสักชิ้นสิ เมื่อกี๊เหมือนได้ยินเสียงท้องร้อง” ฟินน์บอกแล้วส่งขนมปังที่เขาซื้อให้ไป เด็กน้อยกล่าวขอบคุณก่อนกินขนมปังอย่างรวดเร็วเพราะความหิว ฟินน์มองพื้นที่รอบ ๆ ที่ดูเจริญหูเจริญตาแล้วก้มมองเด็กที่เขาจับมืออยู่ เป็นกันทุกที่เลยสินะที่ไม่ว่าประเทศจะพัฒนาไปแค่ไหนแต่ก็มีผู้คนบางกลุ่มที่ไม่ได้รับส่วนนั้น

“บอกชื่อกับอายุได้ไหม?”

“ผมไม่มีชื่อฮะแต่ซิสเตอร์จะเรียบผมว่าเท็นเพราะผมเป็นเข้าโบสถ์เป็นคนที่สิบ ส่วนอายุซิสเตอร์บอกว่าผมอายุ 8 ขวบฮะ”

“ใกล้จะถึงหรือยัง”

“อือ เลี้ยวเข้าตรงตรอกนี้ก็ถึงแล้วฮะ” เท็นชี้ไปที่ตรอกเก่า ๆ ตรอกหนึ่ง ฟินน์จึงเลี้ยวเข้าไปก่อนพบว่าโบสถ์ที่เท็นพูดถึงไม่ต่างอะไรกับโบสถ์ล้าง เท็นกล่าวขอบคุณฟินน์ก่อนจะวิ่งเอาเงินไปให้ซิสเตอร์ ฟินน์อยากอยู่คุยแต่เวลานี้เขาควรต้องกลับไปที่โรงแรมได้แล้ว

เขามองเท็นที่ยืนโบกมือให้พร้อมรอยยิ้มกว้างด้วยความรู้สึกที่จุกในอก อยากจะช่วยแต่คนธรรมดาอย่างเขาจะช่วยอะไรได้? แล้วถ้าจะรับอุปการะก็คงต้องทำเรื่องวุ่นวายน่าดู ฟินน์ยิ้มบางแล้วโบกมือลาเท็นก่อนจะรีบเดินออกมา สักวันหากเขาพร้อมที่จะดูแลใครสักคน เขาจะกลับมาที่นี่แล้วกลับมารับเท็นไปเลี้ยง

อาจจะต้องใช้เวลาแต่หวังว่าวันนั้น เท็นจะยังอยู่ที่เดิม

พอเช้าวันถัดมาฟินน์ก็ต้องเดินทางเพื่อไปประเทศจามิลทันที ทั้งที่ตั้งใจจะไปบอกลาเท็นแต่ด้วยเวลาบินมันกระชั้นชิด ฟินน์จึงต้องตัดใจแล้วลากกระเป๋าไปสนามบินทันที ผิดที่เขาเองที่ไม่ยอมดูเวลาบินแต่แรก ผิดที่เขาคิดว่ามันยังพอมีเวลาให้บอกลาเท็น พอเครื่องบินค่อย ๆ เคลื่อนตัวสู่น่านฟ้า ฟินน์จึงหลับตาลงแล้วทำใจให้สบาย ปล่อยวางทุกอย่างรวมถึงความกังวลเกี่ยวกับเรื่องของเท็น

ประเทศจามิล

ในที่สุดการเดินทางอันสาวยาวนานก็ได้สิ้นสุดลงพร้อมกับสองเท้าของฟินน์เหยียบลงบนแผ่นดินจามิล นัยน์ตาคู่คมกวาดมองไปรอบ ๆ สนามบินอย่างสนใจ แม้จะไม่ใช่สนามบินที่ใหญ่มากหากเทียบกับประเทศอิงเกรเซียน แต่นับว่าเป็นสนามบินที่สวยงามและสะอาดตา ฟินน์เดินไปตามเส้นทางเพื่อรอกระเป๋าที่ต้องโหลด นอกจากนี้แล้วหัวใจของฟินน์ยังเต้นไม่เป็นจังหวะยามคิดว่าในสนามบินแห่งนี้ มีแม่ผู้เป็นที่รักที่ไม่ได้เจอกันนานหลายสิบปีรออยู่

“ตอนนี้แม่จะสวยขึ้นขนาดไหนนะ” พึมพำเบา ๆ กับตัวเองอย่างอารมณ์ดีแล้วพอได้รับกระเป๋ามา ฟินน์ก็เดินตามหลังผู้โดยสารคนอื่น ๆ จนกระทั่งสายตาของฟินน์ประสานเข้ากับนัยน์ตาสีอ่อนที่ยังคงทอความอ่อนโยนอยู่เสมอ ในมือที่เริ่มเกิดการเหี่ยวย่นตามวัยถือป้ายกระดาษธรรมดา ๆ ที่เขียนว่า ‘ยินดีต้อนรับ ฟินน์ ไอแซค ลูกรักของแม่’ ไว้ ฟินน์ไม่รอช้าที่จะก้าวยาว ๆ แล้วทิ้งกระเป๋าลง

หมับ!

ก่อนสวมกอดมารดาด้วยอ้อมกอดที่อัดแน่นไปด้วยความรัก ความคิดถึง โซเฟียเองก็สวมกอดลูกชายที่ไม่ได้พบหน้ามานานหลายสิบปี เธอไม่อายที่จะร้องไห้ออกมาแล้วหอมหัวลูกอย่างรักใคร่ ตอนที่ได้คุยกันทางโทรศัพท์ก็ว่าคิดถึงลูกแล้ว แต่พอได้พบตัวจริงกลับกลายเป็นความรู้สึกที่ของเธอที่กักเก็บไว้มานานับแต่หย่าขาดกับพ่อของฟินน์ มันทะลักออกมาจนพาลให้ฟินน์น้ำตาไหลไปด้วย

“แม่ ผมคิดถึงแม่เหลือเกินครับ คิดถึงแม่มาก คิดถึงที่สุด” น้ำเสียงของฟินน์ที่เอื้อนเอ่ยออกมานั้นสั่นเครือ พยายามควบคุมน้ำเสียงให้ดีแล้วแต่มันก็ยากเหลือเกิน ฟินน์ซุกหน้าเข้าหาไหล่มารดาที่สั่นเทาจากการร้องไห้ เขาสูดกลิ่นหอมของมารดาที่ยังคงเหมือนกับกลิ่นเมื่อครั้งยังอยู่อิงเกรเซียน กลิ่นของความอ่อนโยน กลิ่นของอาหารเพราะแม่ต้องเข้าครัวบ่อย ๆ แต่มาอยู่ที่จามิลแล้ว แม่ก็ยังคงเข้าครัวเหมือนเดิมสินะ

“แม่เองก็คิดถึงลูกเหมือนกันจ้ะ คิดถึงมาก ยิ่งเห็นลูกโตขนาดนี้แม่ก็ยิ่งคิดถึงและเสียดายที่แม่ไม่ได้เห็นลูกเติบโต” โซเฟียลูบหัวลูกชายที่ซบกับไหล่ก่อนหันมาหอมขมับลูกด้วยความรัก จากนั้นฟินน์จึงค่อย ๆ ผละออกแล้วมองหน้าเปื้อนน้ำตาของแม่ พอมาสังเกตดี ๆ ผิวที่เคยขาวสะอาดของแม่ตอนนี้ดูคล้ำขึ้นมาก คงเกิดจากการตากแดดทำงานเป็นแน่

“กลับบ้านกันเถอะจ้ะ แม่จะแนะนำทุกคนให้รู้จัก”

“ครับแม่” ฟินน์ยิ้มแล้วหอมแก้มแม่พลางเช็ดน้ำตาให้แม่อย่างเบามือ แล้วก้มหยิบกระเป๋าของตนเองขึ้นมาก่อนเดินโอบเอวแม่ คอยชวนแม่พูดคุยเพื่อไม่ให้แม่รู้สึกอึดอัดหรือแปลก ๆ กับลูกชายวัยสามสิบคนนี้ ทว่า ระยะห่างของแม่ลูกที่ฟินน์กังวลนั้นกลับไม่เกิดขึ้นเลย

“ฟินน์ คนนี้คือสามีของแม่ อังเดร ลาเนียร์ จ้ะ คุณคะ นี่ไงลูกชายที่ฉันเล่าให้ฟัง” โซเฟียจัดการแนะนำคนรักใหม่และลูกชายให้รู้จักกัน ฟินน์ทักทายและเคารพด้วยการค้อมศีรษะลงเล็กน้อย กล่าวขอบคุณที่คอยดูแลและให้ความรักแก่แม่ อีกทั้งยังบอกว่าขอรบกวรอาศัยที่บ้านแต่จะอยู่ไม่นานแน่นอน

“ไม่นาน? ไม่ได้สิ จะไปเสียเงินหาเช่าบ้านทำไมกัน นายเป็นลูกเมียฉันก็ถือว่านายเองก็เป็นลูกฉันเหมือนกัน อยู่ที่บ้านนั้นได้ตามสบาย ไม่ต้องกังวลอะไรแต่จะขอแรงให้ช่วยทำงานหน่อยแล้วกัน”

“ด้วยความยินดีครับ” ฟินน์รู้สึกขอบคุณที่สามีใหม่ของแม่เป็นคนดี ระหว่างที่นั่งรถกลับจากสนามบิน ฟินน์ก็ได้เห็นว่าแม่ของตนและพ่อใหม่คนนี้รักกันมากแค่ไหน จนลึก ๆ นึกอิจฉาที่คิดว่าตนเองคงไม่มีวันได้มีคนรักดี ๆ หรือความรักดี ๆ แบบนี้เป็นแน่ ฟินน์หันหน้าเข้าหาประตูรถแล้วทอดสายตามองวิวด้านนอก ‘ตอนนี้ผมมาถึงจามิลแล้วนะครับ ชีวิตใหม่ผมกำลังจะเริ่มและผมก็หวังว่าคุณเอง จะถอดนิสัยเสียของคุณออกเพื่อเริ่มต้นใหม่เหมือนกัน’ พูดขึ้นมาในใจแล้วหลับตาลง

ฟินน์ ไอแซค เดินทางถึงประเทศจามิลอย่างเป็นทางการแล้ว

ปัจจุบัน

ประเทศอิงเกรเซียน

คฤหาสน์คาร์ลอฟ

ห้องทำงานของเอดิสันยามนี้กำลังเงียบงันและมีเพียงเสียงพลิกกระดาษไปมาเท่านั้น ด้านหลังของเอดิสันมีอเล็กซานเดอร์ที่ยืนกอดอกมองหน้ามาเวอริคอยู่ มาเวอริคที่ถูกเรียกให้เข้าพบก็มาตามที่เรียกแล้ว แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากเขายืนมองบิดาทำงานมากว่าห้านาทีแล้ว เอดิสันที่ยิ้มมุมปากน้อย ๆ ได้วางปากการาคาแพงลงก่อนจะเอนกายเข้าหาพนักเก้าอี้ สองมือสอดประสานพลางมองหน้าลูกชายด้วยสายตาที่มาเวอริคคาดเดาไม่ออก

“ไม่มีอะไรจะบอกฉันหน่อยหรือไงลูกชาย?” เอดิสันเอ่ยถามยิ้ม ๆ พลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“บอก? บอกเรื่องอะไรครับ” มาเวอริคถามกลับซ้ำยังเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามกับเอดิสัน พ่อลูกจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร สายตาประสานกันอย่างแน่วแน่ไร้ซึ่งความกลัว “อยู่ ๆ เรียกมาแล้วให้ผมยืนรอมากกว่าห้านาทีเพื่อถามคำถามไร้สาระนี่หรือไง?”

“ระวังปากของแกด้วย” อเล็กซานเดอร์เอ่ยเสียงแข็งแล้วขยับตัวเล็กน้อย ซึ่งแสดงออกชัดเจนว่าตอนนี้อเล็กซานเดอร์ต้องการจะทำอะไร แต่เอดิสันกลับยกมือห้ามไว้ก่อน อเล็กซานเดอร์จึงถอยกลับไปยืนที่เดิม

“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่คิดว่าลูกชายที่ได้ออกจากบ้านจะมีเรื่องสนุก ๆ มาบอกกับคนเป็นพ่ออย่างฉันบ้าง” เอดิสันยิ้มแล้วโบกมือเบา ๆ เป็นการบอกนัย ๆ ว่าให้กลับไปได้ มาเวอริคค้อมศีรษะเล็กน้อยแล้วมองไปยังอเล็กซานเดอร์ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องทำงานของบิดา ทันทีที่ออกมา สีหน้าของมาเวอริคก็มืดลงพร้อมบรรยากาศรอบตัวที่เปลี่ยนไป

“...” มาเวอริคไม่พูดอะแต่ก้าวเดินไปตามทางเพื่อกลับมาที่ห้องของเขา จากนั้นนั่งคิดวิเคราะห์กับเรื่องที่เกิดขึ้นว่าที่ถามมาแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง ในใจมีคำตอบอยู่หนึ่งคำตอบแต่ก็เลือกที่จะทำเป็นไม่เห็น มาเวอริคผ่อนลมหายใจแล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ออกจากห้องพร้อมกับทำตัวปกติแล้วไปยังที่พักของบรรดาลูกน้องใต้ปกครอง

“อิวานอยู่ไหน?” ถามถึงคนสนิทอีกคนและยังเป็นคนที่ใกล้ชิดกับฟินน์มากที่สุด

“ตั้งแต่กลับมาจนตอนนี้ก็ยังไม่เห็นเลยครับ”

“ถ้าเจอมันเมื่อไหร่ให้มันมาหาฉัน แล้วพวกแกห้าคนก็เตรียมตัวเดินทาง ทันทีที่รู้ว่าฟินน์ไปประเทศไหน ฉันจะเดินทางทันที” มาเวอริคเอ่ยบอก

“ครับนาย!” มาเวอริคเดินออกมาทันทีแล้วตอนนั้นเองที่สายตาเขาสบกับบิดา ซึ่งมาเวอริคแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมคนอย่างพ่อเขาถึงมาเดินแถวนี้ แถวพื้นที่ที่คนของเขาพัก

“ไม่มีอะไรจะบอกฉันจริง ๆ หรือไง?” เอดิสันถามคำถามเดิมพร้อมกับสายตาที่คาดเดาไม่ได้เช่นเคย

“พ่อต้องการอะไรจากผมพ่อพูดมันออกมาเลย” มาเวอริคเสียงแข็งใส่ แต่คนเป็นพ่อยังคงยิ้มให้เขาอย่างไม่สะทกสะท้านใด ๆ

“ฉันจะรอจนกว่าแกจะนึกออกมาเวอริค” พูดจบก็เดินจากไปแต่อเล็กซานเดอร์ที่ยืนอยู่ ยังคงใช้สายตาแข็งกร้าวมองมาเวอริคด้วยความเกลียดชัง มาเวอริคเองก็ใช่ว่าจะกลัว หากมองมาด้วยสายตาแบบไหน เขาก็มองกลับไปด้วยสายตาแบบนั้น พออเล็กซานเดอร์เดินตามเอดิสันไปแล้ว มาเวอริคก็กลับเข้ามาในคฤหาสน์ก่อนตรงขึ้นไปยังชั้นสามทันที แม้ระหว่างทางจะเจอเอ็มมานูเอลมากวนประสาท แต่มาเวอริคก็เลือกที่จะเงียบ ทันทีที่เข้ามาในห้อง สิ่งแรกที่มาเวอริคหยิบคือโน๊ตบุ๊กที่รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มากมาย เป็นข้อมูลภายในคาร์ลอฟที่เขารวบรวมมาตั้งแต่อายุสิบห้า

เมื่อเครื่องเปิดพร้อมแล้ว มาเวอริคได้เปิดเอกสารลับขึ้นมาแล้วพิมพ์รายละเอียดต่าง ๆ ลงไป เป็นรายละเอียดสรุปในแต่ละข้อมูลสำคัญที่เขาเรียบเรียงมา มาเวอริคนั่งอยู่หน้าจอเป็นเวลากว่าหลายชั่วโมง จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาจะรีบเก็บไฟล์เอกสารลับชิ้นนี้พร้อมปิดเครื่องแล้วเก็บมันให้พ้นสายตา จากนั้นลุกเดินมาเปิดประตูห้องก่อนพบว่าเป็นอิวาน

“ท่านต้องการพบผมเหรอครับ”

“ใช่ เข้ามา” มาเวอริคเบี่ยงตัวเล็กน้อยแล้วพออิวานเข้ามาแล้ว เขาจึงปิดประตูพร้อมยิงคำถาม

“สืบมาได้หรือยังว่าฟินน์เดินทางไปประเทศไหน?” กอดอกมองหน้าอิวานอย่างกดดัน

“ขออภัยครับท่านมาเวอริค ผมพยายามสืบหาแล้วแต่ไม่มีข้อมูลรั่วไหลเลยครับ” อิวานก้มศีรษะลงอย่างรู้สึกผิดต่อผู้เป็นนาย

“แกมั่นใจว่านั่นคือคำตอบ? ไม่ใช่ว่าแกหาพบแล้วไม่ยอมบอกฉันหรือไง”

“ผมใช้ชีวิตเดิมพันเลยครับว่าผมเองก็ไม่รู้ ผมพยายามสืบหาจากหลาย ๆ คนที่เป็นคนของท่านเอดิสัน แต่ทุกคนปิดปากสนิทมากครับแม้แต่หัวหน้าที่ดูแลผมกับฟินน์มา” อิวานรายงานต่อไป สายตาของอิวานทำให้มาเวอริคเชื่อว่าอิวานเองก็ไม่รู้เหมือนกัน และพยายามสืบหาเท่าที่จะทำได้แล้ว

“เร่งมือซะ ฉันจะต้องออกจากอิงเกรเซียนภายในอาทิตย์นี้” ไม่เช่นนั้นเรื่องที่ไม่ควรเกิดอาจเกิดขึ้นก็เป็นได้ มาเวอริคมั่นใจว่าคำถามของบิดามันต้องซ่อนอะไรบางอย่างไว้อยู่ แต่เขาก็ภาวนาว่ามันจะไม่ตรงตามกับที่เขาคิดไว้นะ

“รับทราบครับ ผมจะเร่งมือและจะพยายามสุดความสามารถของผม” อิวานก้มหัวอย่างเคารพ มาเวอริคจึงให้อิวานออกไปได้ก่อนถอนหายใจออกมา เขาไม่อยากให้มันนานไปมากกว่านี้เพราะยิ่งนาน นกของเขาก็ยิ่งบินไปไกล และยิ่งนาน... นกของเขาอาจลืมเจ้าของที่เลี้ยงมาก็เป็นได้

2 วันต่อมา

“ไม่มีอะไรจะบอกฉันจริง ๆ เหรอเจ้าลูกชาย ฉันให้แกคิดดี ๆ อีกสักครั้ง” เอดิสันที่ตอนนี้ยืนเผชิญหน้ากับลูกชายเอ่ยถาม รอบกายมาเวอริคเต็มไปด้วยคนของบิดาที่รายล้อมไว้ทันทีที่เขาเข้ามาในห้องทำงานของบิดา อเล็กซานเดอร์สวมเพียงเสื้อกล้ามกับกางเกงวอร์มขายาว ชุดแบบนี้มันทำให้มาเวอริครู้ได้ในทันทีส่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาตอนนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

“พ่อถามผมทุกครั้งที่เจอหน้าเลยนะครับ” และตลอดเวลาสองวันที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เจอหน้ากันไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน เอดิสันจะถามมาเวอริคด้วยคำถามเดิม ๆ แบบนี้ทุกครั้ง แม้กระทั่งเวลาทานข้าวพร้อมหน้า ทันทีที่ถูกถาม ทุกสายตาของน้องร่วมบิดาจะมองมายังเขาทันที ทั้งที่ตั้งจะเดินทางเพื่อจับนกกลับกรงในอีกไม่กี่วัน เห็นทีเขาจะต้องเลื่อนกำหนดการนี้ออกไปอย่างนั้นเหรอ?

“ไม่มีอะไรจะบอกฉันหน่อยหรือไงลูกชาย?” คำถามถูกถามออกมาอีกครั้งแต่คราวนี้สายตาและน้ำเสียงเปลี่ยนไป มาเวอริคจึงเข้าใจได้ในทันทีว่าคนตรงหน้า รู้เรื่องที่เขา ‘หักหลัง’ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มาเวอริคจ้องระวังตัวโดยไร้ช่องว่างให้ใครเข้าประชิดตัวได้ แม้จะเสียเปรียบเพราะในที่แห่งนี้ไม่มีคนของเขา ทว่า มาเวอริคที่ถูกสอนโดยอเล็กซานเดอร์นั้น เขามีความสามารถมากพอ

ถ้าอเล็กซานเดอร์ไม่ลงสนามด้วยตนเองน่ะนะ

“พ่อรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” มาเวอริคถามกลับด้วยความสงบ ไม่มีอาการตื่นตระหนกหรือตื่นกลัวเลย เอดิสันเห็นแบบนั้นจึงยิ่งไม่ชอบใจใหญ่

“ฉันไม่น่าปล่อยแกออกจากคาร์ลอฟเลยมาเวอริค ทั้งที่ฉันเลี้ยงดูแกมาอย่างดีแต่แกกลับคิดทรยศฉัน!” เอดิสันดูโกรธเคืองเป็นอย่างมาก มือที่จับไม้เท้ากำลังกำแน่นและถ้าไม้เท้านั้นจะถูกยกขึ้นมฟาดเขา มาเวอริคก็ไม่แปลกใจเลย “อเล็กซานเดอร์ จับหมาที่ทรยศเจ้าของเดี๋ยวนี้” เพียงสิ้นเสียง อเล็กซานเดอร์ก็พุ่งผ่านเอดิสันเข้ามาพร้อมกับมือซ้ายที่ยกปัดแขนมาเวอริคที่ยกขึ้นมาหวังป้องกัน

หมับ!

ก่อนมือขวาของอเล็กซานเดอร์จะพุ่งเข้าที่ลำคอหนา ออกแรงบีบจนมาเวอริคต้องกัดฟัน ทว่า ท่อนขาที่ยืนอย่างมั่นคงกลับถูกอเล็กซานเดอร์เตะเข้าที่หน้าแข้งอย่างแรง มาเวอริคจึงเสียหลักทรงตัว

โครม!

แล้วล้มลงบนพื้นห้องพร้อมกับตัวอเล็กซานเดอร์ที่ใช้หัวเข่ากดหน้าอก และมือที่บีบลำคออีกทั้งยังออกแรงกดจนมาเวอริคหายใจไม่ออก มาเวอริคมองเข้าไปในแววตาของอเล็กซานเดอร์ นัยน์ตาคู่นี้กำลังเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก

“ฉันจะสอนวิธีการเป็นหมาที่ดีให้แกเดี๋ยวนี้มาเวอริค”

ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!

หมัดหนัก ๆ กระแทกเข้าที่แก้มมาเวอริคสามครั้งติด แต่ละครั้งมันหนักจนหน้าชาไปทั้งแถบ ทั้งยังไม่กลิ่นเลือดในจมูกและรสเลือดในปาก จากนั้นหมัดนั้นมันก็รัวเข้าที่แก้มอีกข้าง แม้จะพยายามขัดขืนเต็มที่แต่มาเวอริคก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะหลังจากที่ถูกรัวหมัดใส่ คนของเอดิสันอีกสามคนก็เข้ามากดช่วงขาและรวบแขนกดลงบนพื้นห้อง ตอนนี้มาเวอริคถูกพันธนาการอย่างสมบูรณ์

“แค่ก! อึก” เจ็บร้าวทั้งใบหน้าแต่มาเวอริคก็ยังพยายามคงสติไว้ให้ได้มากที่สุด

“พอได้แล้วอเล็ก เอาตัวมาเวอริคไปไว้ที่ห้องขังของชั้นแรก และกันไม่ให้คนของมาเวอริคเข้ามาขวางทาง” เอดิสันเอ่ยบอก อเล็กซานเดอร์จึงหยุดต่อยมาเวอริคแล้วลุกขึ้นยืน มาเวอริคนอนหอบพลางสำลักเลือดเล็กน้อย เอดิสันมองสภาพของลูกชายแล้วเดินเข้ามาใกล้ ยกเท้าเหยียบลงบนอกก่อนโน้มหน้าลงมาเล็กน้อย “ในฐานะที่แกเป็นลูกที่ฉันรักและชื่นชอบมากที่สุด ฉันจะให้โอกาสแกคิดทบทวนอีกครั้งที่ชั้นแรก และหากแกยังไม่กลับตัวกลับใจ สถานที่ต่อไปของแกคือห้องใต้ดิน... จำเอาไว้มาเวอริคว่าแกคือลูกชายที่ฉันชื่นชอบและเอ็นดูมากที่สุด” พูดจบก็ยกเท้าออกไปก่อนอเล็กซานเดอร์จะให้คนนำโซ่มาล่ามข้อเท้ามาเวอริค จากนั้นลากมาเวอริคไปยังห้องขังที่ชั้นแรก

เพียงไม่นานหลังจากมาเวอริคถูกพาเข้าห้องขัง เรื่องที่มาเวอริคคิดทรยศเอดิสันก็ถูกปล่อยออกมาให้คนในคฤหาสน์ได้รับรู้ แม้จะมีบางส่วนที่รู้แล้วแต่อีกส่วนที่ไม่รู้ก็มาก คนของมาเวอริคที่รู้อยู่ก่อนแล้วนั้น พยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยผู้เป็นนาย แต่ด้วยกำลังคนและขาดเสาหลักในการนำทีม พวกเขาจึงทำอะไรไม่ได้ ได้แต่คิดถึงใครคนหนี่งที่ชื่อ ฟินน์ ไอแซค บุคคลที่พวกตนเรียกว่า ตุ๊กตายางของท่านมาเวอริค หากฟินน์ยังอยู่ที่นี่ ฟินน์จะเป็นเสาหลักในการช่วยมาเวอริคเป็นแน่

หนึ่งคนได้เริ่มชีวิตใหม่กับอีกหนึ่งคนที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอด

หนึ่งคนกลับสู่เส้นทางสีขาวกับอีกหนึ่งคนที่ยังอยู่บนเส้นทางสีเลือด

สักวันหนึ่งโชคชะตาจะพาให้พวกเขากลับมาพบกันอีกครั้งไหม? นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของกรงนกอย่างมาเวอริคว่าจะเอาชีวิตรอดจากคาร์ลอฟได้หรือไม่ได้

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status