การเดินทางอันยาวนานถึง 10 ชั่วโมงได้สิ้นสุดลงแล้ว เครื่องบินส่วนตัวของทายาทคาร์ลอฟกำลังลงจอดบนสนามบินส่วนตัวของตระกูลคาร์ลอฟที่อยู่ติดกับสนามบินใหญ่อิงเกรเซียน มาเวอริคลงจากเครื่องทันทีที่จอดสนิทและอิวานต้องทำหน้าที่แทนฟินน์ที่ลาออกไป ตั้งแต่นำเอกสารเดินทางไปที่สนามบินใหญ่เพื่อจัดการเรื่องเข้าออกประเทศของผู้เป็นนาย จนถึงดูแลเรื่องกระเป๋าเดินทาง
‘ลาออกเพื่อลำบากฉันแท้ ๆ เลย’ อิวานขมวดคิ้วขณะนึกถึงฟินน์และงานที่เขาต้องทำแทน แต่หากกลับถึงคฤหาสน์คาร์ลอฟเมื่อไหร่ หน้าที่ของเขาก็จะสิ้นสุดลง ดังนั้น ทนอีกหน่อยแล้วกันเพื่อเงิน เพื่ออิสระ
“ยินดีต้อนรับกลับครับท่านมาเวอริค!” ชายชุดดำที่หน้าอกของสูทปักสัญลักษณ์ตระกูลเอ่ยทักทายเสียงดังฟังชัดพร้อมค้อมศีรษะเก้าสิบองศา มาเวอริคพยักหน้ารับแล้วก้าวขึ้นไปบนรถทันทีที่ประตูถูกเปิด เขามาถึงอิงเกรเซียนในช่วง 2 A.M. แต่ประเทศแห่งนี้ก็ยังไม่หลับใหลเหมือนอย่างเคย มาเวอริคเท้าศอกลงกับขอบประตูขณะมือค้ำแก้มทอดสายตาออกไปนอกรถ
“นายรู้เรื่องที่คนสนิทฉันลาออกใช่ไหม?” มาเวอริคเอ่ยถามเสียงแข็งพร้อมใช้คำว่าคนสนิทแทนที่จะเอ่ยชื่อฟินน์ออกไป
“รู้ครับ” คนขับรถพยักหน้าพร้อมให้คำตอบ เนื่องจากคนขับรถเป็นคนเก่าคนแก่ของเอดิสัน ท่าทางที่มีต่อมาเวอริคเลยเป็นเพียงความเฉยชา ซึ่งแตกต่างจากอีกคนที่นั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับ
“แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน ทำอะไรอยู่”
“ไม่ทราบครับ” สีหน้ามาเวอริคมืดลงทันทีที่ได้ยินคำตอบ น้ำเสียงแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง? บรรยากาศภายในรถค่อย ๆ หนักอึ้งเพราะอารมณ์ของทายาทคาร์ลอฟตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับภูเขาไฟที่เตรียมปะทุ เขาควรจะได้รับรู้สิว่าคนของเขามันยังอยู่ที่ขอบกรงหรือบินออกไปแล้ว แต่ความรู้สึกลึก ๆ ในใจมันร้องบอกเขาว่าฟินน์ไปแล้ว
“ประเทศไหน” มาเวอริคเปลี่ยนคำถาม
“...”
“ฉันถามว่าประเทศไหน!” ตวาดเสียงกร้าวทันทีในเมื่อเมื่อถามดี ๆ แล้วไม่ได้รับคำตอบ
“ผมบอกไม่ได้ครับเพราะนายท่านสั่งห้ามเอาไว้” รู้จริง ๆ สินะแต่คำตอบแรกกลับบอกไม่ทราบ...
“เวรจริง ๆ !” ยกเท้าถีบเข้าที่เบาะคนขับเต็มแรงอย่างหัวเสีย มือหนากำเข้าหากันแน่นก่อนจะหลับตาแล้วคิดถึงหน้าน้องชายสุดที่รัก ความหัวเสียเมื่อครู่ค่อย ๆ ถูกบรรเทาลงจนกระทั่งเขากลับมาสุขุมอีกครั้ง มาเวอริคเคาะบุหรี่ออกมาสูบแล้วนั่งเงียบจนรถเบนซ์ราคาแพงเลี้ยวเข้าเขตคฤหาสน์คาร์ลอฟ นัยน์ตาสีน้ำเงินครามปรายมองตัวคฤหาสน์ที่ยังเปิดไฟทุกดวงไม่ต่างอะไรกับประเทศที่ไม่ยอมหลับไหลนี้
อิวานรีบลงจากรถอีกคันแล้วเปิดประตูให้กับผู้เป็นนายก่อนค้อมศีรษะรอจนมาเวอริคก้าวลงจากรถแล้วเดินผ่านตัวเขาเข้าไปด้านใน มาเวอริคไม่ได้จะไปทักทายใครเพราะเท้าของเขาก้าวตรงไปยังห้องนอนทันที ห้องนอนของมาเวอริคอยู่ที่ชั้นสามของคฤหาสน์ ชั้นสามแห่งความลับเพื่อกีดกันเขากับเมอร์ลิน บนชั้นสามนอกจากห้องนอนแล้วยังมีห้องสำหรับวอร์มร่างกายก่อนลงลิฟต์ไปยังห้องใต้ดินเพื่อฝึกซ้อมกับอเล็กซานเดอร์ นอกจากนั้นยังมีห้องเรียนสมัยที่ยังเยาว์วัยแยกตามประเภทไป
ปัง!
ประตูห้องนอนเปิดออกและปิดลงอย่างแรงก่อนตัวเขาจะก้าวเดินเข้ามาพร้อมกับเสื้อที่สวมใส่ถูกถอดทิ้งลงบนพื้นห้อง กายกำยำที่แน่นด้วยมัดกล้ามขยับไปซ้ายทีขวาทีก่อนยืนแขนยืดขาเพื่อคลายความเหนื่อยล้า จากนั้นมาเวอริคถึงเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย ภายใต้ฝักบัวที่กำลังรินรดสายน้ำเย็น ๆ ลงบนใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาสีน้ำเงินครามค่อย ๆ ลืมขึ้นแล้วมองผ่านหยดน้ำเหล่านั้นไปที่เพดานห้องน้ำ
“ออกจากกรงได้คงสนุกน่าดู” เอ่ยขึ้นมาเสียงแผ่วเบาแต่แม้เสียงจะเบา ทว่า ในน้ำเสียงกลับแข็งกร้าวกว่าครั้งไหน มาเวอริคก้มหน้าลงแล้วพลับตาพร้อมเอื้อมมือปิดฝักบัว เขาจะต้องรีบเตรียมตัวเดินทางไปยังประเทศที่ฟินน์ไป แต่ก่อนหน้านั้นเขาจะต้องเอาคำตอบที่ว่าฟินน์ไปประเทศไหนมาจากพ่อของเขาให้ได้ก่อน มาเวอริคสวมเสื้อคลุมอาบน้ำแล้วเดินออกมาพร้อมกับกดอินเตอร์คอมให้สาวใช้นำไวน์ขึ้นมาให้
เวลาในตอนนี้คือ 2:50 A.M. แต่สาวใช้ในครัวยังไม่หยุดพัก ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นสาวใช้ชุดใหม่ที่ต้องคอยปรนนิบัติเจ้านายในช่วงกลางคืน อย่างที่บอกว่าคฤหาสน์คาร์ลอฟไม่เคยหลับใหลเหมือนกับอิงเกรเซียน แม้นายเหนือหัวจะหลับไปแล้วแต่เหล่าคนรับใช้จำต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา รอไม่ถึงห้านาทีไวน์ชั้นดีก็มาเสิร์ฟเขาถึงห้อง มาเวอริคเปิดไวน์รินใส่แก้วทรงสูงแล้วเริ่มจิบมัน
สายตาคู่คมที่ทอดมองไปตรงหน้าเริ่มรู้สึกว่าทำไมวันนี้... ทั้งที่เขาเพิ่งกลับมาแต่คฤหาสน์หลังนี้กลับสงบยังไงชอบกล...
(ก่อนหน้านี้ช่วงที่ฟินน์เริ่มเดินทาง)
เครื่องบินจากอิงเกรเซียนลงจอดที่ประเทศรันเซียหลังเดินทางมาได้ 10 ชั่วโมง ฟินน์เหยียบแผ่นดินรันเซียด้วยหัวใจที่เต้นแรง เขากังวลว่าจะเจอกับคนของคาร์ลอฟและเรื่องมันจะไปถึงหูของคนคนนั้น แต่ฟินน์หลุดออกจากรันเซียได้โดยที่ไม่พบกับคนรู้จักแม้แต่คนเดียว ระหว่างที่นั่งเครื่องจากรันเซียไปประเทศเพียร์ม่า ฟินน์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่า ในใจมันดันแอบคาดหวังอีกแล้วน่ะนะ ฟินน์หงุดหงิดตัวเองเป็นที่สุดและอยากจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติของคนที่แอบรักหรือเปล่า?
เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไม? ทั้งที่เจ็บจนเกินทน ทั้งที่ความเจ็บปวดสลักลงบนวิญญาณแต่ทำไมเศษเสี้ยวของความรู้สึกมันถึงยังคาดหวังเล็ก ๆ จากสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ ทำไมล่ะ? ทำไมถึงได้ดูย้อนแย้งจนน่ารำคาญแบบนี้ ฟินน์หลับตาลงแล้วลบเรื่องน่ารำคาญที่อยู่ในหัวออกไปให้หมด อีกไม่ชั่วโมงเขาจะถึงประเทศเพียร์ม่าและหลังจากนั้นก็ต่อเครื่องจากเพียร์ม่าไปจามิล แต่คงหยุดพักสักวันเพื่อให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวบ้าง
อีกไม่นานแล้วสิที่เขาจะได้เข้าสู่อ้อมกอดของแม่ แม่ที่เขาคิดถึงมากกว่าใคร
ประเทศเพียร์ม่า
ประเทศขนาดกลางที่เจริญไม่แพ้กับประเทศใหญ่ ๆ ฟินน์ตัดสินใจเปิดโรงแรมสามดาวแล้วพักเป็นเวลาหนึ่งคืน หลังจากเปิดห้องและนำสัมภาระไปไว้แล้วเขาก็ออกมาเดินเที่ยวเล่นเพื่อพักผ่อน ภูมิอากาศของประเทศนี้จัดว่าดีในระดับหนึ่ง ไม่ร้อนและไม่หนาวเกินไปแต่รู้สึกว่ามันพอดีจนน่าทึ่ง ผุ้คนที่นี่มีสีผมเป็นสีน้ำตาลมะฮอกกานีเป็นส่วนใหญ่รวมถึงสีตาสีน้ำตาลประกายทอง ผิวขาวดุจน้ำนมและหน้าที่มีกระเล็กน้อย
“ไฮไฮท่านแขกต่างเมือง” เด็กชายที่ดูแล้วอายุน่าจะไม่เกิน 10 ขวบเข้ามาทักทายฟินน์อย่างเป็นกันเอง ที่แขนมีตะกร้าสานคล้องอยู่และในตะกร้านั้นมีขนมปังรวมถึงดอกไม้จัดเรียงกันอย่างสวยงาม ฟินน์ย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกันก่อนยิ้มกว้าง
“รู้ได้ยังไงว่าผมเป็นแขกต่างเมือง?”
“สีผมที่แตกต่างและสีตาที่เป็นเอกลักษณ์ ท่านแขกต่างเมืองมาจากที่ไหนเหรอ” หนูน้อยไถ่ถามอย่างตื่นเต้น
“ผมมาจากอิงเกรเซียนน่ะ กำลังจะเดินทางไปประเทศจามิลในวันพรุ่งนี้” ฟินน์ให้คำตอบพร้อมยิ้มอย่างเอ็นดู เด็กคนนี้มีหน้าตาที่น่ารักมาก ๆ แต่การแต่งตัวที่ดูเก่าโทรม คงเป็นเด็กกำพร้าที่หาเงินด้วยการขายขนมปังกับดอกไม้สินะ
“ว้าว ท่านมาไกลมาก ๆ เลยนะ หนีใครเหรอ” คำถามนี้ทำฟินน์ชะงัก
“...ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ”
“ถ้าคนมาเที่ยวมีสีหน้าเศร้าโศกแบบนี้ก็คงจะเป็นคนที่แปลกมาก”
“...”
“ท่านแขกต่างเมืองหนีคนรักมาเหรอ”
“นี่เราเป็นเด็กจริง ๆ ใช่ไหม?” ฟินน์อดไม่ได้ที่จะถามแบบนั้น เด็กน้อยหัวเราะก่อนพยักหน้าหงึก ๆ
“อือ ก็ผมเคยเร่ร่อนมาก่อน เลยได้เห็นว่าคนบนโลกเป็นยังไงแล้วคนอย่างท่านแขกต่างเมือง ในประเทศนี้ก็มีเยอะมากเลย”
“งั้นมาเล่นเกมกันไหม? ถ้าเดาถูกว่าทำไมผมถึงหนี ผมจะเหมาทั้งตะกร้าเลย” ฟินน์พูดบอกพร้อมรอยยิ้มแต่ต่อให้ตอบผิด เขาก็ตั้งใจจะเหมาทั้งตะกร้าอยู่ดี เด็กน้อยที่ได้ยินแบบนั้นก็ตาลุกวาวอย่างดีใจก่อนแววตานั้นจะค่อย ๆ ทอแสงลงทีละนิด ฟินน์ยิ้มเอ็นดูทันทีเพราะเหมือนเขาได้เห็นฟิลเตอร์หูสุนัขที่ค่อย ๆ ลู่ลง
“แต่ผมเดาไม่ถูกแน่เลย”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะซิสเตอร์บอกว่าแม้มนุษย์จะมีจุดเริ่มต้นของความเศร้าเป็นความรักเหมือนกัน แต่เหตุผลนั้นย่อมแตกต่างกันไป หนึ่งร้อยความรักแต่อาจจะหนึ่งพันเหตุผล เพราะเหตุผลเดียวไม่มากพอให้ความรักมีปัญหา” เด็กน้อยพูดเสียงเจื้อยแจ้วพร้อมขยับมือทำท่าทางประกอบให้ฟินน์ดู และจากที่ซิสเตอร์บอกมา เด็กน้อยเลยไม่รู้ว่าตนต้องเดาจากเหตุผลไหน
“แล้วถ้าหากเหตุผลเดียวแต่มันเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ล่ะ?”
“ถ้าเกิดขึ้นซ้ำ ๆ มันก็ต้องนับเป็นหนึ่ง สอง สาม อยู่ดีนี่นา?” เด็กน้อยเอียงคอมองหน้าฟินน์อย่างไม่เข้าใจ ฟินน์เงียบเพราะที่เด็กน้อยพูดมามันไม่มีตรงไหนผิดเลย
“เก่งมากเลยครับ ผมเหมาทั้งตะกร้าเลยนะ”
“เย้! ขอบคุณฮะท่านแขกต่างเมือง” เด็กน้อยดูดีใจมาก ๆ แววตากลับมาเป็นประกายอีกครั้ง ฟินน์จ่ายเงินในจำนวนที่มากเกินราคา เด็กน้อยยิ้มแล้วพูดออกมาด้วยความดีใจ “ขอบคุณจริง ๆ นะฮะท่านแขกต่างเมือง! เงินมากขนาดนี้น่าจะพอให้พวกผมกินได้ทั้งอาทิตย์เลย”
“ไม่ใช่ว่าอยู่โบสถ์หรอกเหรอ?” ฟินน์ขมวดคิ้วทันที
“โบสถ์ที่ผมอยู่เป็นโบสถ์เล็ก ๆ ที่ไม่ได้รับการสนับสนุนฮะ อืม... ถึงจะเรียกโบสถ์แต่ตอนนี้ไม่ต่างจากบ้านเด็กกำพร้าเลยฮะ ส่วนมากเป็นเด็กที่เร่ร่อนแบบผม”
“งั้นเหรอ.. ให้ผมไปส่งดีไหม? เงินมากขนาดนี้กลัวจะโดนปล้นเอาน่ะ”
“ท่านแขกต่างเมืองใจดีจังเลยฮะ แถมหล่อด้วย คนรักของท่านแขกต่างเมืองไม่มีความคิดแน่เลยถึงได้ทิ้งท่าน” ฝ่ามือเล็กเอื้อมจับมือเขาอย่างเป็นกันเอง ความอบอุ่นจากฝ่ามือน้อย ๆ ช่วยให้ฟินน์รู้สึกดีขึ้นอย่างน่าแปลก เขากระชับฝ่ามือนั้นแล้วเริ่มออกเดิน
“พูดเก่งจังเลยนะเรา”
“ถ้ามัวแต่เขินอาย ผมคงหาเงินไปให้ซิสเตอร์ไม่ได้หรอกฮะ”
“กินขนมปังสักชิ้นสิ เมื่อกี๊เหมือนได้ยินเสียงท้องร้อง” ฟินน์บอกแล้วส่งขนมปังที่เขาซื้อให้ไป เด็กน้อยกล่าวขอบคุณก่อนกินขนมปังอย่างรวดเร็วเพราะความหิว ฟินน์มองพื้นที่รอบ ๆ ที่ดูเจริญหูเจริญตาแล้วก้มมองเด็กที่เขาจับมืออยู่ เป็นกันทุกที่เลยสินะที่ไม่ว่าประเทศจะพัฒนาไปแค่ไหนแต่ก็มีผู้คนบางกลุ่มที่ไม่ได้รับส่วนนั้น
“บอกชื่อกับอายุได้ไหม?”
“ผมไม่มีชื่อฮะแต่ซิสเตอร์จะเรียบผมว่าเท็นเพราะผมเป็นเข้าโบสถ์เป็นคนที่สิบ ส่วนอายุซิสเตอร์บอกว่าผมอายุ 8 ขวบฮะ”
“ใกล้จะถึงหรือยัง”
“อือ เลี้ยวเข้าตรงตรอกนี้ก็ถึงแล้วฮะ” เท็นชี้ไปที่ตรอกเก่า ๆ ตรอกหนึ่ง ฟินน์จึงเลี้ยวเข้าไปก่อนพบว่าโบสถ์ที่เท็นพูดถึงไม่ต่างอะไรกับโบสถ์ล้าง เท็นกล่าวขอบคุณฟินน์ก่อนจะวิ่งเอาเงินไปให้ซิสเตอร์ ฟินน์อยากอยู่คุยแต่เวลานี้เขาควรต้องกลับไปที่โรงแรมได้แล้ว
เขามองเท็นที่ยืนโบกมือให้พร้อมรอยยิ้มกว้างด้วยความรู้สึกที่จุกในอก อยากจะช่วยแต่คนธรรมดาอย่างเขาจะช่วยอะไรได้? แล้วถ้าจะรับอุปการะก็คงต้องทำเรื่องวุ่นวายน่าดู ฟินน์ยิ้มบางแล้วโบกมือลาเท็นก่อนจะรีบเดินออกมา สักวันหากเขาพร้อมที่จะดูแลใครสักคน เขาจะกลับมาที่นี่แล้วกลับมารับเท็นไปเลี้ยง
อาจจะต้องใช้เวลาแต่หวังว่าวันนั้น เท็นจะยังอยู่ที่เดิม
พอเช้าวันถัดมาฟินน์ก็ต้องเดินทางเพื่อไปประเทศจามิลทันที ทั้งที่ตั้งใจจะไปบอกลาเท็นแต่ด้วยเวลาบินมันกระชั้นชิด ฟินน์จึงต้องตัดใจแล้วลากกระเป๋าไปสนามบินทันที ผิดที่เขาเองที่ไม่ยอมดูเวลาบินแต่แรก ผิดที่เขาคิดว่ามันยังพอมีเวลาให้บอกลาเท็น พอเครื่องบินค่อย ๆ เคลื่อนตัวสู่น่านฟ้า ฟินน์จึงหลับตาลงแล้วทำใจให้สบาย ปล่อยวางทุกอย่างรวมถึงความกังวลเกี่ยวกับเรื่องของเท็น
ประเทศจามิล
ในที่สุดการเดินทางอันสาวยาวนานก็ได้สิ้นสุดลงพร้อมกับสองเท้าของฟินน์เหยียบลงบนแผ่นดินจามิล นัยน์ตาคู่คมกวาดมองไปรอบ ๆ สนามบินอย่างสนใจ แม้จะไม่ใช่สนามบินที่ใหญ่มากหากเทียบกับประเทศอิงเกรเซียน แต่นับว่าเป็นสนามบินที่สวยงามและสะอาดตา ฟินน์เดินไปตามเส้นทางเพื่อรอกระเป๋าที่ต้องโหลด นอกจากนี้แล้วหัวใจของฟินน์ยังเต้นไม่เป็นจังหวะยามคิดว่าในสนามบินแห่งนี้ มีแม่ผู้เป็นที่รักที่ไม่ได้เจอกันนานหลายสิบปีรออยู่
“ตอนนี้แม่จะสวยขึ้นขนาดไหนนะ” พึมพำเบา ๆ กับตัวเองอย่างอารมณ์ดีแล้วพอได้รับกระเป๋ามา ฟินน์ก็เดินตามหลังผู้โดยสารคนอื่น ๆ จนกระทั่งสายตาของฟินน์ประสานเข้ากับนัยน์ตาสีอ่อนที่ยังคงทอความอ่อนโยนอยู่เสมอ ในมือที่เริ่มเกิดการเหี่ยวย่นตามวัยถือป้ายกระดาษธรรมดา ๆ ที่เขียนว่า ‘ยินดีต้อนรับ ฟินน์ ไอแซค ลูกรักของแม่’ ไว้ ฟินน์ไม่รอช้าที่จะก้าวยาว ๆ แล้วทิ้งกระเป๋าลง
หมับ!
ก่อนสวมกอดมารดาด้วยอ้อมกอดที่อัดแน่นไปด้วยความรัก ความคิดถึง โซเฟียเองก็สวมกอดลูกชายที่ไม่ได้พบหน้ามานานหลายสิบปี เธอไม่อายที่จะร้องไห้ออกมาแล้วหอมหัวลูกอย่างรักใคร่ ตอนที่ได้คุยกันทางโทรศัพท์ก็ว่าคิดถึงลูกแล้ว แต่พอได้พบตัวจริงกลับกลายเป็นความรู้สึกที่ของเธอที่กักเก็บไว้มานานับแต่หย่าขาดกับพ่อของฟินน์ มันทะลักออกมาจนพาลให้ฟินน์น้ำตาไหลไปด้วย
“แม่ ผมคิดถึงแม่เหลือเกินครับ คิดถึงแม่มาก คิดถึงที่สุด” น้ำเสียงของฟินน์ที่เอื้อนเอ่ยออกมานั้นสั่นเครือ พยายามควบคุมน้ำเสียงให้ดีแล้วแต่มันก็ยากเหลือเกิน ฟินน์ซุกหน้าเข้าหาไหล่มารดาที่สั่นเทาจากการร้องไห้ เขาสูดกลิ่นหอมของมารดาที่ยังคงเหมือนกับกลิ่นเมื่อครั้งยังอยู่อิงเกรเซียน กลิ่นของความอ่อนโยน กลิ่นของอาหารเพราะแม่ต้องเข้าครัวบ่อย ๆ แต่มาอยู่ที่จามิลแล้ว แม่ก็ยังคงเข้าครัวเหมือนเดิมสินะ
“แม่เองก็คิดถึงลูกเหมือนกันจ้ะ คิดถึงมาก ยิ่งเห็นลูกโตขนาดนี้แม่ก็ยิ่งคิดถึงและเสียดายที่แม่ไม่ได้เห็นลูกเติบโต” โซเฟียลูบหัวลูกชายที่ซบกับไหล่ก่อนหันมาหอมขมับลูกด้วยความรัก จากนั้นฟินน์จึงค่อย ๆ ผละออกแล้วมองหน้าเปื้อนน้ำตาของแม่ พอมาสังเกตดี ๆ ผิวที่เคยขาวสะอาดของแม่ตอนนี้ดูคล้ำขึ้นมาก คงเกิดจากการตากแดดทำงานเป็นแน่
“กลับบ้านกันเถอะจ้ะ แม่จะแนะนำทุกคนให้รู้จัก”
“ครับแม่” ฟินน์ยิ้มแล้วหอมแก้มแม่พลางเช็ดน้ำตาให้แม่อย่างเบามือ แล้วก้มหยิบกระเป๋าของตนเองขึ้นมาก่อนเดินโอบเอวแม่ คอยชวนแม่พูดคุยเพื่อไม่ให้แม่รู้สึกอึดอัดหรือแปลก ๆ กับลูกชายวัยสามสิบคนนี้ ทว่า ระยะห่างของแม่ลูกที่ฟินน์กังวลนั้นกลับไม่เกิดขึ้นเลย
“ฟินน์ คนนี้คือสามีของแม่ อังเดร ลาเนียร์ จ้ะ คุณคะ นี่ไงลูกชายที่ฉันเล่าให้ฟัง” โซเฟียจัดการแนะนำคนรักใหม่และลูกชายให้รู้จักกัน ฟินน์ทักทายและเคารพด้วยการค้อมศีรษะลงเล็กน้อย กล่าวขอบคุณที่คอยดูแลและให้ความรักแก่แม่ อีกทั้งยังบอกว่าขอรบกวรอาศัยที่บ้านแต่จะอยู่ไม่นานแน่นอน
“ไม่นาน? ไม่ได้สิ จะไปเสียเงินหาเช่าบ้านทำไมกัน นายเป็นลูกเมียฉันก็ถือว่านายเองก็เป็นลูกฉันเหมือนกัน อยู่ที่บ้านนั้นได้ตามสบาย ไม่ต้องกังวลอะไรแต่จะขอแรงให้ช่วยทำงานหน่อยแล้วกัน”
“ด้วยความยินดีครับ” ฟินน์รู้สึกขอบคุณที่สามีใหม่ของแม่เป็นคนดี ระหว่างที่นั่งรถกลับจากสนามบิน ฟินน์ก็ได้เห็นว่าแม่ของตนและพ่อใหม่คนนี้รักกันมากแค่ไหน จนลึก ๆ นึกอิจฉาที่คิดว่าตนเองคงไม่มีวันได้มีคนรักดี ๆ หรือความรักดี ๆ แบบนี้เป็นแน่ ฟินน์หันหน้าเข้าหาประตูรถแล้วทอดสายตามองวิวด้านนอก ‘ตอนนี้ผมมาถึงจามิลแล้วนะครับ ชีวิตใหม่ผมกำลังจะเริ่มและผมก็หวังว่าคุณเอง จะถอดนิสัยเสียของคุณออกเพื่อเริ่มต้นใหม่เหมือนกัน’ พูดขึ้นมาในใจแล้วหลับตาลง
ฟินน์ ไอแซค เดินทางถึงประเทศจามิลอย่างเป็นทางการแล้ว
ปัจจุบัน
ประเทศอิงเกรเซียน
คฤหาสน์คาร์ลอฟ
ห้องทำงานของเอดิสันยามนี้กำลังเงียบงันและมีเพียงเสียงพลิกกระดาษไปมาเท่านั้น ด้านหลังของเอดิสันมีอเล็กซานเดอร์ที่ยืนกอดอกมองหน้ามาเวอริคอยู่ มาเวอริคที่ถูกเรียกให้เข้าพบก็มาตามที่เรียกแล้ว แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากเขายืนมองบิดาทำงานมากว่าห้านาทีแล้ว เอดิสันที่ยิ้มมุมปากน้อย ๆ ได้วางปากการาคาแพงลงก่อนจะเอนกายเข้าหาพนักเก้าอี้ สองมือสอดประสานพลางมองหน้าลูกชายด้วยสายตาที่มาเวอริคคาดเดาไม่ออก
“ไม่มีอะไรจะบอกฉันหน่อยหรือไงลูกชาย?” เอดิสันเอ่ยถามยิ้ม ๆ พลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“บอก? บอกเรื่องอะไรครับ” มาเวอริคถามกลับซ้ำยังเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามกับเอดิสัน พ่อลูกจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร สายตาประสานกันอย่างแน่วแน่ไร้ซึ่งความกลัว “อยู่ ๆ เรียกมาแล้วให้ผมยืนรอมากกว่าห้านาทีเพื่อถามคำถามไร้สาระนี่หรือไง?”
“ระวังปากของแกด้วย” อเล็กซานเดอร์เอ่ยเสียงแข็งแล้วขยับตัวเล็กน้อย ซึ่งแสดงออกชัดเจนว่าตอนนี้อเล็กซานเดอร์ต้องการจะทำอะไร แต่เอดิสันกลับยกมือห้ามไว้ก่อน อเล็กซานเดอร์จึงถอยกลับไปยืนที่เดิม
“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่คิดว่าลูกชายที่ได้ออกจากบ้านจะมีเรื่องสนุก ๆ มาบอกกับคนเป็นพ่ออย่างฉันบ้าง” เอดิสันยิ้มแล้วโบกมือเบา ๆ เป็นการบอกนัย ๆ ว่าให้กลับไปได้ มาเวอริคค้อมศีรษะเล็กน้อยแล้วมองไปยังอเล็กซานเดอร์ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องทำงานของบิดา ทันทีที่ออกมา สีหน้าของมาเวอริคก็มืดลงพร้อมบรรยากาศรอบตัวที่เปลี่ยนไป
“...” มาเวอริคไม่พูดอะแต่ก้าวเดินไปตามทางเพื่อกลับมาที่ห้องของเขา จากนั้นนั่งคิดวิเคราะห์กับเรื่องที่เกิดขึ้นว่าที่ถามมาแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง ในใจมีคำตอบอยู่หนึ่งคำตอบแต่ก็เลือกที่จะทำเป็นไม่เห็น มาเวอริคผ่อนลมหายใจแล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ออกจากห้องพร้อมกับทำตัวปกติแล้วไปยังที่พักของบรรดาลูกน้องใต้ปกครอง
“อิวานอยู่ไหน?” ถามถึงคนสนิทอีกคนและยังเป็นคนที่ใกล้ชิดกับฟินน์มากที่สุด
“ตั้งแต่กลับมาจนตอนนี้ก็ยังไม่เห็นเลยครับ”
“ถ้าเจอมันเมื่อไหร่ให้มันมาหาฉัน แล้วพวกแกห้าคนก็เตรียมตัวเดินทาง ทันทีที่รู้ว่าฟินน์ไปประเทศไหน ฉันจะเดินทางทันที” มาเวอริคเอ่ยบอก
“ครับนาย!” มาเวอริคเดินออกมาทันทีแล้วตอนนั้นเองที่สายตาเขาสบกับบิดา ซึ่งมาเวอริคแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมคนอย่างพ่อเขาถึงมาเดินแถวนี้ แถวพื้นที่ที่คนของเขาพัก
“ไม่มีอะไรจะบอกฉันจริง ๆ หรือไง?” เอดิสันถามคำถามเดิมพร้อมกับสายตาที่คาดเดาไม่ได้เช่นเคย
“พ่อต้องการอะไรจากผมพ่อพูดมันออกมาเลย” มาเวอริคเสียงแข็งใส่ แต่คนเป็นพ่อยังคงยิ้มให้เขาอย่างไม่สะทกสะท้านใด ๆ
“ฉันจะรอจนกว่าแกจะนึกออกมาเวอริค” พูดจบก็เดินจากไปแต่อเล็กซานเดอร์ที่ยืนอยู่ ยังคงใช้สายตาแข็งกร้าวมองมาเวอริคด้วยความเกลียดชัง มาเวอริคเองก็ใช่ว่าจะกลัว หากมองมาด้วยสายตาแบบไหน เขาก็มองกลับไปด้วยสายตาแบบนั้น พออเล็กซานเดอร์เดินตามเอดิสันไปแล้ว มาเวอริคก็กลับเข้ามาในคฤหาสน์ก่อนตรงขึ้นไปยังชั้นสามทันที แม้ระหว่างทางจะเจอเอ็มมานูเอลมากวนประสาท แต่มาเวอริคก็เลือกที่จะเงียบ ทันทีที่เข้ามาในห้อง สิ่งแรกที่มาเวอริคหยิบคือโน๊ตบุ๊กที่รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มากมาย เป็นข้อมูลภายในคาร์ลอฟที่เขารวบรวมมาตั้งแต่อายุสิบห้า
เมื่อเครื่องเปิดพร้อมแล้ว มาเวอริคได้เปิดเอกสารลับขึ้นมาแล้วพิมพ์รายละเอียดต่าง ๆ ลงไป เป็นรายละเอียดสรุปในแต่ละข้อมูลสำคัญที่เขาเรียบเรียงมา มาเวอริคนั่งอยู่หน้าจอเป็นเวลากว่าหลายชั่วโมง จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาจะรีบเก็บไฟล์เอกสารลับชิ้นนี้พร้อมปิดเครื่องแล้วเก็บมันให้พ้นสายตา จากนั้นลุกเดินมาเปิดประตูห้องก่อนพบว่าเป็นอิวาน
“ท่านต้องการพบผมเหรอครับ”
“ใช่ เข้ามา” มาเวอริคเบี่ยงตัวเล็กน้อยแล้วพออิวานเข้ามาแล้ว เขาจึงปิดประตูพร้อมยิงคำถาม
“สืบมาได้หรือยังว่าฟินน์เดินทางไปประเทศไหน?” กอดอกมองหน้าอิวานอย่างกดดัน
“ขออภัยครับท่านมาเวอริค ผมพยายามสืบหาแล้วแต่ไม่มีข้อมูลรั่วไหลเลยครับ” อิวานก้มศีรษะลงอย่างรู้สึกผิดต่อผู้เป็นนาย
“แกมั่นใจว่านั่นคือคำตอบ? ไม่ใช่ว่าแกหาพบแล้วไม่ยอมบอกฉันหรือไง”
“ผมใช้ชีวิตเดิมพันเลยครับว่าผมเองก็ไม่รู้ ผมพยายามสืบหาจากหลาย ๆ คนที่เป็นคนของท่านเอดิสัน แต่ทุกคนปิดปากสนิทมากครับแม้แต่หัวหน้าที่ดูแลผมกับฟินน์มา” อิวานรายงานต่อไป สายตาของอิวานทำให้มาเวอริคเชื่อว่าอิวานเองก็ไม่รู้เหมือนกัน และพยายามสืบหาเท่าที่จะทำได้แล้ว
“เร่งมือซะ ฉันจะต้องออกจากอิงเกรเซียนภายในอาทิตย์นี้” ไม่เช่นนั้นเรื่องที่ไม่ควรเกิดอาจเกิดขึ้นก็เป็นได้ มาเวอริคมั่นใจว่าคำถามของบิดามันต้องซ่อนอะไรบางอย่างไว้อยู่ แต่เขาก็ภาวนาว่ามันจะไม่ตรงตามกับที่เขาคิดไว้นะ
“รับทราบครับ ผมจะเร่งมือและจะพยายามสุดความสามารถของผม” อิวานก้มหัวอย่างเคารพ มาเวอริคจึงให้อิวานออกไปได้ก่อนถอนหายใจออกมา เขาไม่อยากให้มันนานไปมากกว่านี้เพราะยิ่งนาน นกของเขาก็ยิ่งบินไปไกล และยิ่งนาน... นกของเขาอาจลืมเจ้าของที่เลี้ยงมาก็เป็นได้
2 วันต่อมา
“ไม่มีอะไรจะบอกฉันจริง ๆ เหรอเจ้าลูกชาย ฉันให้แกคิดดี ๆ อีกสักครั้ง” เอดิสันที่ตอนนี้ยืนเผชิญหน้ากับลูกชายเอ่ยถาม รอบกายมาเวอริคเต็มไปด้วยคนของบิดาที่รายล้อมไว้ทันทีที่เขาเข้ามาในห้องทำงานของบิดา อเล็กซานเดอร์สวมเพียงเสื้อกล้ามกับกางเกงวอร์มขายาว ชุดแบบนี้มันทำให้มาเวอริครู้ได้ในทันทีส่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาตอนนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
“พ่อถามผมทุกครั้งที่เจอหน้าเลยนะครับ” และตลอดเวลาสองวันที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เจอหน้ากันไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน เอดิสันจะถามมาเวอริคด้วยคำถามเดิม ๆ แบบนี้ทุกครั้ง แม้กระทั่งเวลาทานข้าวพร้อมหน้า ทันทีที่ถูกถาม ทุกสายตาของน้องร่วมบิดาจะมองมายังเขาทันที ทั้งที่ตั้งจะเดินทางเพื่อจับนกกลับกรงในอีกไม่กี่วัน เห็นทีเขาจะต้องเลื่อนกำหนดการนี้ออกไปอย่างนั้นเหรอ?
“ไม่มีอะไรจะบอกฉันหน่อยหรือไงลูกชาย?” คำถามถูกถามออกมาอีกครั้งแต่คราวนี้สายตาและน้ำเสียงเปลี่ยนไป มาเวอริคจึงเข้าใจได้ในทันทีว่าคนตรงหน้า รู้เรื่องที่เขา ‘หักหลัง’ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มาเวอริคจ้องระวังตัวโดยไร้ช่องว่างให้ใครเข้าประชิดตัวได้ แม้จะเสียเปรียบเพราะในที่แห่งนี้ไม่มีคนของเขา ทว่า มาเวอริคที่ถูกสอนโดยอเล็กซานเดอร์นั้น เขามีความสามารถมากพอ
ถ้าอเล็กซานเดอร์ไม่ลงสนามด้วยตนเองน่ะนะ
“พ่อรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” มาเวอริคถามกลับด้วยความสงบ ไม่มีอาการตื่นตระหนกหรือตื่นกลัวเลย เอดิสันเห็นแบบนั้นจึงยิ่งไม่ชอบใจใหญ่
“ฉันไม่น่าปล่อยแกออกจากคาร์ลอฟเลยมาเวอริค ทั้งที่ฉันเลี้ยงดูแกมาอย่างดีแต่แกกลับคิดทรยศฉัน!” เอดิสันดูโกรธเคืองเป็นอย่างมาก มือที่จับไม้เท้ากำลังกำแน่นและถ้าไม้เท้านั้นจะถูกยกขึ้นมฟาดเขา มาเวอริคก็ไม่แปลกใจเลย “อเล็กซานเดอร์ จับหมาที่ทรยศเจ้าของเดี๋ยวนี้” เพียงสิ้นเสียง อเล็กซานเดอร์ก็พุ่งผ่านเอดิสันเข้ามาพร้อมกับมือซ้ายที่ยกปัดแขนมาเวอริคที่ยกขึ้นมาหวังป้องกัน
หมับ!
ก่อนมือขวาของอเล็กซานเดอร์จะพุ่งเข้าที่ลำคอหนา ออกแรงบีบจนมาเวอริคต้องกัดฟัน ทว่า ท่อนขาที่ยืนอย่างมั่นคงกลับถูกอเล็กซานเดอร์เตะเข้าที่หน้าแข้งอย่างแรง มาเวอริคจึงเสียหลักทรงตัว
โครม!
แล้วล้มลงบนพื้นห้องพร้อมกับตัวอเล็กซานเดอร์ที่ใช้หัวเข่ากดหน้าอก และมือที่บีบลำคออีกทั้งยังออกแรงกดจนมาเวอริคหายใจไม่ออก มาเวอริคมองเข้าไปในแววตาของอเล็กซานเดอร์ นัยน์ตาคู่นี้กำลังเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก
“ฉันจะสอนวิธีการเป็นหมาที่ดีให้แกเดี๋ยวนี้มาเวอริค”
ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!
หมัดหนัก ๆ กระแทกเข้าที่แก้มมาเวอริคสามครั้งติด แต่ละครั้งมันหนักจนหน้าชาไปทั้งแถบ ทั้งยังไม่กลิ่นเลือดในจมูกและรสเลือดในปาก จากนั้นหมัดนั้นมันก็รัวเข้าที่แก้มอีกข้าง แม้จะพยายามขัดขืนเต็มที่แต่มาเวอริคก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะหลังจากที่ถูกรัวหมัดใส่ คนของเอดิสันอีกสามคนก็เข้ามากดช่วงขาและรวบแขนกดลงบนพื้นห้อง ตอนนี้มาเวอริคถูกพันธนาการอย่างสมบูรณ์
“แค่ก! อึก” เจ็บร้าวทั้งใบหน้าแต่มาเวอริคก็ยังพยายามคงสติไว้ให้ได้มากที่สุด
“พอได้แล้วอเล็ก เอาตัวมาเวอริคไปไว้ที่ห้องขังของชั้นแรก และกันไม่ให้คนของมาเวอริคเข้ามาขวางทาง” เอดิสันเอ่ยบอก อเล็กซานเดอร์จึงหยุดต่อยมาเวอริคแล้วลุกขึ้นยืน มาเวอริคนอนหอบพลางสำลักเลือดเล็กน้อย เอดิสันมองสภาพของลูกชายแล้วเดินเข้ามาใกล้ ยกเท้าเหยียบลงบนอกก่อนโน้มหน้าลงมาเล็กน้อย “ในฐานะที่แกเป็นลูกที่ฉันรักและชื่นชอบมากที่สุด ฉันจะให้โอกาสแกคิดทบทวนอีกครั้งที่ชั้นแรก และหากแกยังไม่กลับตัวกลับใจ สถานที่ต่อไปของแกคือห้องใต้ดิน... จำเอาไว้มาเวอริคว่าแกคือลูกชายที่ฉันชื่นชอบและเอ็นดูมากที่สุด” พูดจบก็ยกเท้าออกไปก่อนอเล็กซานเดอร์จะให้คนนำโซ่มาล่ามข้อเท้ามาเวอริค จากนั้นลากมาเวอริคไปยังห้องขังที่ชั้นแรก
เพียงไม่นานหลังจากมาเวอริคถูกพาเข้าห้องขัง เรื่องที่มาเวอริคคิดทรยศเอดิสันก็ถูกปล่อยออกมาให้คนในคฤหาสน์ได้รับรู้ แม้จะมีบางส่วนที่รู้แล้วแต่อีกส่วนที่ไม่รู้ก็มาก คนของมาเวอริคที่รู้อยู่ก่อนแล้วนั้น พยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยผู้เป็นนาย แต่ด้วยกำลังคนและขาดเสาหลักในการนำทีม พวกเขาจึงทำอะไรไม่ได้ ได้แต่คิดถึงใครคนหนี่งที่ชื่อ ฟินน์ ไอแซค บุคคลที่พวกตนเรียกว่า ตุ๊กตายางของท่านมาเวอริค หากฟินน์ยังอยู่ที่นี่ ฟินน์จะเป็นเสาหลักในการช่วยมาเวอริคเป็นแน่
หนึ่งคนได้เริ่มชีวิตใหม่กับอีกหนึ่งคนที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอด
หนึ่งคนกลับสู่เส้นทางสีขาวกับอีกหนึ่งคนที่ยังอยู่บนเส้นทางสีเลือด
สักวันหนึ่งโชคชะตาจะพาให้พวกเขากลับมาพบกันอีกครั้งไหม? นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของกรงนกอย่างมาเวอริคว่าจะเอาชีวิตรอดจากคาร์ลอฟได้หรือไม่ได้
เป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่มาเวอริคถูกขังในห้องเก่า ๆ ของชั้นแรก มันเหมือนกับห้องนอนปกติเพียงแต่ข้าวของที่มีดูเก่าและดูใช้ได้เพียงไม่กี่อย่าง แต่มาเวอริคไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่เพราะตอนนี้ความคิดของเขา มันกำลังจมอยู่กับการหาตัวคนทรยศ ซึ่งมีชื่ออยู่ในใจแล้วแต่จะยังไม่คอนเฟิร์มแม้เปอร์เซ็นต์จะสูงก็ตาม มาเวอริคถอนหายใจก่อนมองดูโซ่เส้นใหญ่ที่ล่ามข้อเท้าทั้งสองข้าง จากการลองยกข้อเท้าดูแล้วพบว่าน้ำหนักของโซ่ค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่ได้มากจนถ่วงการขยับหรือการเคลื่อนไหวของร่างกายได้มาเวอริคมองไปรอบ ๆ ห้องแล้วหยุดสายตาที่ถาดอาหาร ถึงจะถูกขังในฐานะคนทรยศแต่อาหารการกินยังดูดีอยู่ ก็สมกับที่เอดิสันให้ความชื่นชอบมาเวอริคมากกว่าใคร มาเวอริคถอนหายใจแล้วเอนกายลงนอน สายตาทอดมองเพดานห้องก่อนค่อย ๆ ปิดลงพร้อมความคิดมากมายที่แล่นอยู่ในหัวผัวะ!แต่การพักผ่อนกลับถูกทำลายด้วยประตูห้องที่ถูกเปิดออกอย่างแรง มาเวอริคยันกายขึ้นลุกนั่งแล้วมองตรงไปยังหน้าประตูห้อง“มารยาทหายไปไหนกันหมด?” เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์แล้วมองหน้าบิดาด้วยสายตาแข็งกร้าว“ปากดีเหมือนเดิมเลยนี่ลูกชาย แต่ที่ฉันมาหาแกในวันนี้เพราะฉันมีเรื่องต้องคุยกับ
3 วันต่อมามาเวอริคลืมตาขึ้นมาพร้อมกับความปวดร้าวทั้งร่างกาย และภาพเพดานที่คุ้นเคยมันก็ทำให้เขารู้ตัวว่า ตัวเขาเข้ามาอยู่ห้องขังใต้ดินเป็นเวลาสามวันแล้ว มันทั้งอับทั้งชื้นและมีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย มาเวอริคค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจแล้วพยุงตัวขึ้นลุกนั่ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันยามความเจ็บแปล๊บวิ่งไปทั่วร่างทันทีที่ขยับตัว แต่พอลุกนั่งได้แล้วก็ค่อย ๆ เอนหลังพิงผนังห้องเย็น ๆ“เจ็บชะมัด” บ่นกับตัวเองแล้วเงยหน้ามองเพดานห้อง ผ่อนลมหายใจออกทางปากอย่างช้า ๆ ตอนนี้มาเวอริคไม่รู้สึกถึงน้ำหนักที่ข้อเท้าแล้วนั่นหมายความว่า โซ่ตรวนที่ถูกตัดถูกนำออกไปแล้วเรียบร้อย ทว่า สภาพของเขาในตอนนี้มันก็น่าเวทนาเหลือเกิน มาเวอริคเริ่มคิดว่าเขาจะรับมือกับอเล็กซานเดอร์ที่ลงมาหายังไงดี เพราะสามวันที่ผ่านมามันเต็มไปด้วยการทรมานที่แสนสาหัส เพียงแค่ต้องการรู้คำตอบในสิ่งที่มาเวอริคบอกกับโรนัลเดล บวกกับความเกลียดชังที่อเล็กซานเดอร์มีต่อมาเวอริค ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเลยกลายเป็นบาดแผลที่ยังไม่หายดีบนร่างกายมาเวอริค และมาเวอริคก็มีเรื่องมากมายที่อยากเอ่ยถามกับอเล็กซานเดอร์หากอเล็กซานเดอร์ลงมาหาเขาอีกครั้ง เขาจะเอ่ยถามทุกสิ่งทุกอย่า
@Dark-night Hotel“ท่านมาเวอริค!” เอียนรีบวิ่งเข้ามารับร่างของผู้เป็นนายที่ดูอ่อนแรง โชคดีมากที่คนของ เจฟรีย์ โรนัลเดล ยังจำเจ้านายของตนได้ เอียนและบาโน่ช่วยกันพยุงมาเวอริคมายังลิฟต์ ใจจริงอยากพาเจ้านายนั่งพักก่อนแต่สถานการณ์ตอนนี้ ทางที่ดีรีบพาเจ้านายขึ้นห้องที่เจฟรีย์อยู่จะดีที่สุดในที่สุดมาเวอริคก็ได้พักหายใจหลังเดินเท้าเปล่ามาอย่างยาวนานหลายนาทีหรืออาจจะเกือบชั่วโมง ตอนนี้เท้าของเขาแทบไม่มีความรู้สึกอะไรแล้วและไหนจะร่างกายที่บอบช้ำ ที่ยังมีชีวิตรอดมาได้จนตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว มาเวอริคผ่อนลมหายใจก่อนปรายตามองลูกน้องของตน“พวกแกตัดสินใจเองหรือไง?” เอ่ยถามขึ้นมาและเอียนก็เข้าใจคำถามได้ทันที“ครับและผมก็คิดว่าท่านมาเวอริคเองก็ต้องการแบบนี้เหมือนกัน” เอียนเป็นคนตอบ“หึ ทำดีมาก” มาเวอริคยิ้มมุมปากก่อนลิฟต์จะมาถึงชั้นสูงสุดพอดี พอประตูลิฟต์เปิดออกก็พบกับคนของโรนัลเดลมากมาย รวมถึงศพคนคาร์ลอฟที่นอนจมกองเลือด“สภาพแย่ยิ่งกว่าหมาอีกไม่ใช่เหรอนั่น” เจฟรีย์ที่ยืนคุยกับลูกน้องหันมองลิฟต์ที่เปิดออกและเอ่ยทักทายมาเวอริคอย่างเป็นกันเอง“ขอบใจที่เปรียบกับหมาแทนที่จะเป็นขยะ” มาเวอริคตอบกลับก
ตึก ตึก ตึกเสียงฝีเท้าที่ย่ำลงบนพื้นคฤหาสน์หลังใหญ่ดังกึกก้องพร้อมกับเสียงร้องไห้แผ่วเบา แต่หนักแน่นในความรู้สึกที่ต้องสูญเสียคนรักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ใบหน้าที่เย่อหยิ่งและโอหังกลับชุ่มไปด้วยน้ำตาจนกลายเป็นคนละคน สองแขนที่โอบอุ้มร่างคนรักกำลังสั่นเทา หยาดน้ำตาหยดลงบนร่างอเล็กซานเดอร์ เช่นเดียวกับหยาดเลือดที่ไหลหยดตามเส้นทาง“ทำไมคนที่เก่งกาจอย่างนายถึงต้องยอมตายกัน ทำไม... ถึงทิ้งฉันไว้แบบนี้อเล็ก” เอ่ยถามทั้งที่รู้ว่าไร้ซึ่งคำตอบ ยามก้มหน้ามองใบหน้าที่ซีดเซียวของคนรัก ยามเห็นรอยยิ้มจาง ๆ บนริมฝีปากที่เคยบอกรัก เอดิสันก็ยิ่งเจ็บปวดหัวใจและเสียใจจนไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว หากเป็นไปได้ก็อยากให้มันเป็นเพียงความฝัน... ความฝันที่พอลืมตาตื่นขึ้นมาได้เห็นใบหน้าที่ตนรักอยู่ข้างกายนัยน์สีน้ำเงินครามที่ทอแสงอ่อนลงยามนี้กำลังไร้ซึ่งพลังในการมีชีวิตอยู่ เอดิสันอุ้มร่างอเล็กซานเดอร์กลับเข้ามาในห้องนอน ห้องที่ซึ่งฝากฝังความทรงจำของพวกเขาไว้มากมาย‘เอดดี้’“ฮึก ช่วยกลับมาเรียกฉันว่าเอดดี้อีกครั้งสิอเล็ก” เอดิสันร้องไห้หนักขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอันเลือนรางเรียกชื่อของตน เอดดี้ ชื่อเล่นที่มีเพียงอ
เงินจำนวน 2,900,000,000 ดอลลาร์ ถูกโอนเข้าบัญชีของ เอเวอร์เร็ตต์ โรนัลเดล ทันทีที่มาเวอริคกลับเข้าห้องทำงานของบิดา มาเวอริคเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับหลับตาลง ตอนนี้ภาพจำทุกอย่างยังคงชัดเจนราวกับว่ามันเพิ่งเกิด ฉายอยู่ซ้ำ ๆ ในหัวราวกับตอกย้ำว่าอเล็กซานเดอร์ตายเพราะตัวเขา มาเวอริคถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นแล้วออกมามอบคำสั่งให้กับทุกคน“ฉันจะมอบอำนาจให้เอียนในการแบ่งทีมจำนวนห้าทีมเพื่อเก็บศพตามโรงแรมและสถานที่ต่าง ๆ ใครที่ต่อต้านเอียนหรือต่อต้านคนของฉัน ฉันจะจัดการขั้นเด็ดขาดทันที ส่วนพวกแม่บ้านและสาวใช้รวมถึงคนอื่น ๆ ที่พอขยับตัวได้ ก็ให้ทำความสะอาดคฤหาสน์และสนามด้านหน้าให้สะอาด ล้างด้วยน้ำสะอาดและแอลกอฮอลล์ไม่ต่ำกว่าสามรอบ อย่าให้คราบเลือดหลงเหลือแม้แต่หยดเดียว”“รับทราบค่ะ!/รับทราบครับ!”“ส่วนศพให้นำไปเผาที่เดิม รู้กันใช่ไหม?” มาเวอริคเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามขณะมองหน้าคนของเขาเพื่อรอคำตอบ“ครับ ทุกศพจะถูกนำไปเผาที่หลุมทางด้านหลังคฤหาสน์ที่ห่างออกไปราวหนึ่งกิโลเมตรครับ”“ดี จัดการให้เรียบร้อย” มอบหมายงานเรียบร้อยแล้วก็เดินมายังห้องนอนของบิดา ประตูที่ปิดสนิทมีคราบเลือดหยดลงตรงหน้าประตูและท
“เด็ก ๆ ไปอาบน้ำได้แล้ว” ฟินน์เอ่ยบอกน้อง ๆ ร่วมมารดาที่วิ่งเล่นกันอยู่หน้าบ้าน ตัวเขาเองก็ต้องรีบอาบน้ำเหมือนกัน เพราะตอนนี้ตามเนื้อตัวมีแต่เศษฝุ่นเศษฟางเต็มไปหมด ฟินน์วางเคียวลงในที่ที่เก็บอุปกรณ์ก่อนมองน้อง ๆ ที่ยังวิ่งเล่นกันอยู่ “เด็ก ๆ พี่บอกว่าให้ไปอาบน้ำไงครับ” พอน้องไม่ฟังก็มีอันต้องใช้เสียงดุกันบ้าง“พี่ไปอาบน้ำก่อนเลยครับ กว่าเจ้าพวกนี้จะยอมอาบก็คงอีกสักพักใหญ่ ๆ เลย” เอเธอร์ ลาเนียร์ ลูกชายคนโตของบ้านและอายุห่างกับฟินน์สิบสองปี เอเธอร์เดินเข้ามาบอกพี่ชายพร้อมมองไปยังน้อง ๆ อีกสองคนที่วิ่งเล่นกันอยู่“เอางั้นก็ได้แต่อย่าปล่อยน้องไปไหนล่ะ มันเริ่มจะเย็นแล้ว”“ครับพี่” เอเธอร์พยักหน้ารับคำ ฟินน์จึงถอดเสื้อที่สวมอยู่ออก ร่างกายกำยำที่แม้สายงานจะเปลี่ยนไปแต่รูปร่างเขาก็ยังคงดีอยู่ มัดกล้ามที่ปั้นมาจากสายงานบอดี้การ์ดตอนนี้มันดูดีมากกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย แผลเป็นที่ได้รับยามฝึกฝนหรือออกสนามจริงก็มีแต่งแต้มตามร่างกายบ้าง แต่มันก็ไม่ได้มากจนดูน่าเกลียด อีกทั้งตอนนี้สีผิวของฟินน์จากที่เคยขาวก็เริ่มออกสีน้ำผึ้งแทนจากการทำงานตากแดดฟินน์คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้ามาในห้องน้ำ พาดผ้าไว้ต
มาเวอริคเดินมาทิ้งกายลงบนม้านั่งพลางยกขาขึ้นไขว่ห้าง สองแขนยกขึ้นกอดอกพร้อมกับในหัวที่มีความคิดมากมาย ตอนนี้สีหน้าของมาเวอริคเรียบนิ่งไร้อารมณ์เป็นอย่างมาก มาเวอริคต้องยอมรับว่าเขาสลัดคำพูดของฟินน์ออกไปจากหัวไม่ได้เลย ไหนจะสีหน้าที่เขาไม่เคยเห็นเพราะฟินน์มักแสดงแต่ด้านที่เข้มแข็งให้เห็น‘ผมรักคุณครับ’‘ผมรักคุณมากและรักมาตลอด ผมเจ็บทุกครั้งที่ต้องหาคู่นอนให้กับคุณแต่ผมก็ทำเพราะมันคือหน้าที่ เลือกคู่นอนที่ดีที่สุดให้กับคุณแต่บางครั้งผู้หญิงที่ตรงตามความต้องการ มันก็ไม่ได้มีเยอะหรือหาได้ง่ายทุกครั้งที่คุณต้องการขนาดนั้น หากคุณยอมนอนกับคนเก่า ๆ บ้างบางทีเรื่องที่ผมต้องเป็นตุ๊กตายางคงไม่เกิดขึ้น’“ตุ๊กตายาง...” มาเวอริคพึมพำเสียงเบาแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าจามิล ไม่ใช่ว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้แต่มาเวอริคไม่ได้ใส่ใจมัน เขามองข้ามและคิดว่าในมันไม่ใช่เรื่องของเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับมันมากนัก และต้องยอมรับว่าในตอนนั้นด้วยหน้าที่ของฟินน์ที่เป็นทั้งคนสนิท มือขวาและคู่นอนที่ทำตามความต้องการของเขา ไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตายางมีชีวิตจริง ๆ ทว่า มาเวอริคไม่เคยถามฟินน์เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เล
ผ่านมาราวสามนาทีแล้วที่มาเวอริคยืนอยู่ที่เดิมพร้อมคำถามมากมายที่ผุดขึ้นในหัว มาเวอริคไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมอยู่ ๆ ถึงจูบฟินน์ แต่ในวินาทีนั้นเขาแค่ปล่อยให้ร่างกายทำตามความต้องการ แต่หลังจากที่ฟินน์จูบตอบกลับมา มันกลายเป็นความต้องการของมาเวอริคเอง เป็นความต้องการที่รู้ตัวร้อยเปอร์เซ็นต์ มาเวอริคถอนหายใจก่อนเดินกลับเข้ามาในห้องนอน ชุดคลุมอาบน้ำที่สวมถูกถอดทิ้งลงบนพื้นห้อง ก่อนกายแกร่งที่เปลือยเปล่าจะหายเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้งด้านฟินน์ที่พอล้างปากเรียบร้อยแล้วก็นำโทรศัพท์ออกมาติดต่อหามารดา ตอนมาถึงก็ลืมโทรบอกเลยว่าเขาเดินทางถึงเมืองหลวงปลอดภัย เพราะดันเจอกับมาเวอริคแบบไม่คาดคิดก็เลยทำให้ความคิดเขารวนไปหมด ฟินน์เดินออกมาที่ระเบียงแล้วเท้าแขนซ้ายลงบนขอบราวระเบียง ส่วนทางขวาก็ถือโทรศัพท์แนบหู เพียงไม่นานก็มีเสียงจากปลายสายดังขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าฟินน์(ทำไมลูกเพิ่งติดต่อมา! แม่เป็นห่วงมากแค่ไหนรู้ไหมฟินน์?!)“แล้วทำไมแม่ไม่ลองโทรมาหาผมล่ะครับ” ฟินน์เอ่ยถามกลับ(แม่กลัวว่าจะโทรไปตอนลูกขับรถและแม่ก็กลัวว่าจะรบกวนการนอนของลูกถ้าลูกถึงที่หมายแล้ว แต่ดูลูกสิ ข้ามวันขนาดนี้แล้วแต่เ