เป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่มาเวอริคถูกขังในห้องเก่า ๆ ของชั้นแรก มันเหมือนกับห้องนอนปกติเพียงแต่ข้าวของที่มีดูเก่าและดูใช้ได้เพียงไม่กี่อย่าง แต่มาเวอริคไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่เพราะตอนนี้ความคิดของเขา มันกำลังจมอยู่กับการหาตัวคนทรยศ ซึ่งมีชื่ออยู่ในใจแล้วแต่จะยังไม่คอนเฟิร์มแม้เปอร์เซ็นต์จะสูงก็ตาม มาเวอริคถอนหายใจก่อนมองดูโซ่เส้นใหญ่ที่ล่ามข้อเท้าทั้งสองข้าง จากการลองยกข้อเท้าดูแล้วพบว่าน้ำหนักของโซ่ค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่ได้มากจนถ่วงการขยับหรือการเคลื่อนไหวของร่างกายได้
มาเวอริคมองไปรอบ ๆ ห้องแล้วหยุดสายตาที่ถาดอาหาร ถึงจะถูกขังในฐานะคนทรยศแต่อาหารการกินยังดูดีอยู่ ก็สมกับที่เอดิสันให้ความชื่นชอบมาเวอริคมากกว่าใคร มาเวอริคถอนหายใจแล้วเอนกายลงนอน สายตาทอดมองเพดานห้องก่อนค่อย ๆ ปิดลงพร้อมความคิดมากมายที่แล่นอยู่ในหัว
ผัวะ!
แต่การพักผ่อนกลับถูกทำลายด้วยประตูห้องที่ถูกเปิดออกอย่างแรง มาเวอริคยันกายขึ้นลุกนั่งแล้วมองตรงไปยังหน้าประตูห้อง
“มารยาทหายไปไหนกันหมด?” เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์แล้วมองหน้าบิดาด้วยสายตาแข็งกร้าว
“ปากดีเหมือนเดิมเลยนี่ลูกชาย แต่ที่ฉันมาหาแกในวันนี้เพราะฉันมีเรื่องต้องคุยกับแก... มาเวอริค” เอดิสันมองหน้าลูกชายด้วยสายตาที่แม้แต่มาเวอริคก็คาดเดาไม่ได้ แต่มาเวอริคยังคงนิ่งจนกระทั่งอเล็กซานเดอร์เดินผ่านเอดิสันแล้วตรงมาหาเขาที่อยู่บนเตียง
“ถึงจะพอรู้ว่าแผนของแกคืออะไร แต่เอดิสันก็อยากฟังจากปากของแกมากกว่า”
“แล้ว?”
“ถ้าแกไม่อยากเจ็บตัวก็พล่ามแผนของแกออกมาซะมาเวอริค” อเล็กซานเดอร์จ้องหน้ามาเวอริคเขม็ง มาเวอริคนิ่งเงียบก่อนเหยียดยิ้มออกมาและการยิ้มแบบนั้นต่อหน้าอเล็กซานเดอร์ ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาหันไปตามความแรงของหมัดที่กระแทกเข้ามา เอดิสันไม่คิดห้ามเพราะรู้ดีว่าลูกชายของตนมีแต่ต้องใช้ไม้แข็งเท่านั้น
“นึกถึงการฝึกแรกเลยแฮะ” เหยียดยิ้มแล้วบ้วนเลือดลงบนพื้นห้อง จากนั้นมาเวอริคก็ได้ลุกขึ้นต่อกรกับอเล็กซานเดอร์ ท่ามกลางสายตานับหลายสิบคู่ที่มองมา มาเวอริคไม่ได้อ่อนแอเลยสักนิดทั้งที่ข้อเท้าถูกล่ามด้วยโซ่เส้นใหญ่ ใบหน้าอเล็กซานเดอร์เริ่มมีรอยช้ำ ตามตัวเริ่มมีร่องรอยของบาดแผลเหมือนที่มาเวอริคมี
โครม!
“อึก!” แต่แล้วมาเวอริคก็ต้องมาเสียท่าเพราะเขาลืมเรื่องโซ่ที่ล่ามข้อเท้าอยู่ ทันทีที่ล้มลงบนพื้นห้อง อเล็กซานเดอร์เข้าชาร์จพร้อมกับมาเวอริคให้นอนคว่ำหน้าลง หัวเข่าแข็ง ๆ กดลงตรงช่วงท้ายทอย ทำให้มาเวอริครู้สึกอึดอัดพอสมควร
“แกนี่มันดื้อด้านจริง ๆ ต่อสายหาเมอร์ลินให้ฉัน” และประโยคต่อมาของเอดิสันเรียกสายตามาเวอริคให้ตวัดมอง
“พ่อคิดจะทำอะไร!”
“หุบปากของแกแล้วคอยดูอยู่ตรงนั้นก็พอ” เอดิสันเหยียดยิ้มแล้วโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อก็เป็นโทรศัพท์ของมาเวอริคเอง มาเวอริคได้แต่ภาวนาว่าน้องชายอย่าได้รับสายนี้เป็นอันขาดเลย แต่เหมือนพระเจ้าก็จะไม่ช่วยเขา
“รับแล้วครับ” มาเวอริคตัวชาวาบทันทีที่ได้ยินแบบนั้น โทรศัพท์ถูกส่งให้เอดิสันก่อนบมสนทนาทุกบทจะถูกถ่ายทอดให้มาเวอริคได้ยิน สปีกเกอร์โฟนทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี
(คุณ... เกิดอะไรขึ้นกับมาเวอริคหรือเขาหักหลังผม?) ยอมรับว่ามาเวอริคแอบเสียใจเหมือนกันที่น้องชายดูไม่ไว้ใจเขา แต่เขายอมรับมันได้ เว้นแต่เอดิสันที่ดูสะใจเหลือเกิน
“ฉันได้ยินมาว่าเจ้าลูกชายคนโตคุยกับน้องชายจนเข้าใจกันแล้ว แต่ดูแล้วแก... แกยังไม่ไว้ใจมันจริง ๆ สินะ” เอดิสันยิ้มแล้วมองมาเวอริคราวกับจะตอกย้ำ เอดิสันยังคงพล่ามให้เมอร์ลินฟังในเรื่องที่ไร้สาระ
“วางสายไปซะเมอร์!” มาเวอริครวบรวมแรงตะเบ็งเสียงลงไป ก่อนอเล็กซานเดอร์จะจับหัวเขากดลงบนพื้นห้องตามเดิม เอดิสันแค่นยิ้มแล้วปั่นประสาทเมอร์ลินไม่หยุด แม้เมอร์ลินจะไร้ซึ่งความเคารพแล้วก็ตาม จนกระทั่งน้ำเสียงปลายสายเปลี่ยนไป
(ฉันเอเวอร์เร็ตต์ ตั้งแต่ตกลงเรื่องแต่งงาน นี่คงเป็นครั้งแรกที่ได้คุยกันสินะ?) มาเวอริคโล่งใจในทันทีที่รู้ว่ารอบกายเมอร์ลินตอนนี้ มีผู้คนมากมายที่พร้อมจะปกป้องน้องชายของตน มาเวอริคกัดฟันแล้วออกแรงเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ อเล็กซานเดอร์เสียจังหวะเล็กน้อยก่อนการต่อสู้ย่อม ๆ จะเริ่มขึ้นโดยที่เอดิสันคอยมองอยู่ตลอดเวลา ยิ่งการสนทนาระหว่างเอดิสันและเอเวอร์เร็ตต์กินเวลา มาเวอริคก็ยิ่งสะบักสะบอมมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเหนื่อยล้าและอาการช้ำจากบาดแผลเริ่มส่งผล
(มาเวอริค!) แต่แล้วเสียงที่ตะเบ็งลงมาจากปลายสายทำให้มาเวอริคมีรอยยิ้มจาง ๆ กับแรงที่จะฮึดเพื่อตอบกลับน้องชาย (ผมไม่รู้ว่าคุณได้ยินผมไหม! แต่ผมมีเรื่องสำคัญจะบอกกับคุณ!) เมอร์ลินยังคงส่งเสียงมาเรื่อย ๆ และเอดิสันก็ไม่ได้มีความคิดจะตัดสายแต่อย่างใด
“ได้ยินแล้ว” มาเวอริคตอบกลับไปอย่างอ่อนแรงแต่ก็เสียงดังพอให้น้องชายได้ยิน
(ฟังดี ๆ นะครับ) มาเวอริคอยากตอบกลับว่าตั้งใจฟังอยู่ ไม่ว่าจะอยากพูดหรือด่าทออะไรก็พูดมันออกมาได้เลย ทว่า ประโยคต่อมาช่างช่วยต่อลมหายใจของมาเวอริคเหลือเกิน (เรเธเซีย! คุณได้หลานสาวนะครับ! ได้ยินผมชัดใช่ไหมว่าคุณได้หลานสาว!) เอดิสันตัดสายทันทีส่วนมาเวอริคกำลังนิ่งงันแล้วหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ท่ามกลางสีหน้าที่อยากจะฆ่ามาเวอริคให้ตายของอเล็กซานเดอร์ เอดิสันเพียงแค่มองด้วยสายตาเรียบนิ่งราวกับในใจของเขากำลังคิดอะไรอยู่
“อเล็กออกมา ฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้งมาเวอริค กลับตัวกลับใจในตอนที่ฉันยังมองแกเป็นลูกซะ” เอดิสันหมุนตัวเดินออกจากห้องไปก่อนตามด้วยอเล็กซานเดอร์ ที่ฝากความจุกด้วยการเตะเข้าสีข้างของมาเวอริค มาเวอริคหอบหายใจแล้วพลิกกายนอนหงายพร้อมกับรอยยิ้ม จากนั้นก็ค่อยกัดฟันพาร่างกายที่เจ็บหนักขึ้นมานอนบนเตียง
มาเวอริคยังคงนอนมองเพดานห้องที่อับแสงมาเป็นเวลากว่าหลายสิบนาทีนับแต่สายถูกตัด ที่ข้อเท้าทั้งสองข้างของเขาถูกล่ามด้วยโซ่เส้นใหญ่เหมือนเคย ตามร่างกายมีรอยฟกช้ำจากการถูกอเล็กซานเดอร์ซ้อมมา แต่ใช่ว่าเขาจะยอมอยู่ฝ่ายเดียว มาเวอริคสู้กลับและยังสร้างบาดแผลให้อเล็กซานเดอร์ได้พอสมควร แต่รายนั้นมันอึดเกินไป ผลสุดท้ายตัวเขาเลยเจ็บหนักกว่าที่คิด
‘เรเธเซีย! คุณได้หลานสาวนะครับ! ได้ยินผมชัดใช่ไหมว่าคุณได้หลานสาว!’
รอยยิ้มผุดขึ้นมายามนึกถึงประโยคสุดท้ายก่อนพ่อเขาจะตัดสาย งั้นเหรอ... เขาได้หลานสาวสินะ เรเธเซีย... ไม่คิดเหมือนกันว่าเมอร์ลินจะยอมใช้ชื่อที่เขาตั้งให้ แต่ที่น่าเหลือเชื่อคือน้องเขยมันยอมได้ยังไงน่ะสิ?
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะประตูห้องดังก่อนประตูจะถูกคนเปิดเข้ามา มาเวอริคหลุบตาลงมองไปที่ประตูห้อง เขาเห็นมีคนยืนอยู่แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร “แกเป็นใคร” เอ่ยถามแล้วเลื่อนสายตากลับมองเพดานห้องตามเดิม ที่ไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าคงเป็นคนของพ่อตน ในเมื่อคนของเขาถูกกีดกันขนาดนี้
“ผมเอียนครับ เอียน วิคตัน ผมจะมารายงานเรื่องของหัวหน้าฟินน์ครับ” แต่ชื่อที่ออกมาพร้อมกับจุดประสงค์บ่งบอกว่าเป็นคนของเขา มาได้ยังไง? เอดิสันยอมให้มาแล้วงั้นเหรอ?และถึงจะแปลกใจที่คนรายงานไม่ใช่อิวาน แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากในเมื่อมาเวอริค มีเหตุผลรองรับที่หนักแน่นพอสมควรว่าทำไมอิวานถึงไม่มา
“ว่ามา”
“หัวหน้าฟินน์เดินทางไปยังประเทศจามิลครับ ประเทศทางใต้ที่ห่างออกไปไกลพอสมควร การเดินทางอย่างต่ำสามวัน โดยรอบแรกเครื่องจะหยุดที่รันเซีย ต่อเครื่องจากรันเซียไปลงที่ประเทศเพียร์ม่า แล้วต่อเครื่องจากเพียร์ม่าไปยังจามิลครับ อาจจะมีพักตามสนามบินระหว่างประเทศที่ผ่านบ้างแต่โดยรวมแล้วนับว่ายิงยาวจากเพียร์ม่าไปเลยครับ” เอียนรายงานตามที่ได้รับมา เขามองผู้เป็นนายที่นอนอยู่บนเตียง ไฟในห้องก็ไม่ได้เปิดเขาเลยไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้านายแสดงสีหน้ายังไงอยู่ แต่ในความเป็นจริงนั้นต่อให้เห็นก็คงคาดเดาไม่ออกอยู่ดี และเอียนยังรู้สึกผิดที่เขาไม่สามารถช่วยเหลือผู้เป็นนายได้ และกว่าจะได้รับการอนุญาตให้เข้าเยี่ยมผู้เป็นนาย ก็ต้องยอมก้มหัวให้เอดิสันและอเล็กซานเดอร์อยู่หลายวัน
“ตอนนี้คงถึงแล้วใช่ไหม”
“ครับ คาดว่าน่าจะถึงหลายวันครับ”
“คงถึงจามิลก่อนที่ฉันจะกลับมาที่นี่สินะ” มาเวอริคต้องใช้เวลาอยู่รันเซียเพื่อปูทางให้ตนเองรวมถึงเรื่องน้องชายที่สำคัญกว่าเรื่องไหน ๆ ไหนจะเรื่องมาร์การ์เล็ตอีก ทว่า ทันทีที่จบเรื่องของเมอร์ลิน เขาก็รีบกลับอิงเกรเซียนทันทีแต่มันก็ไม่ทัน แถมเขายัง... “พอรู้หรือยังว่าใครทรยศฉัน?” กดเสียงต่ำเอ่ยถามเอียนที่ยืนอยู่หน้าประตู
“ยังครับ ไม่มีใครยอมรับแต่ทุกคนคิดว่าเป็น...”
“ไม่ต้องพูด ฉันพอเดาได้แต่ก็หวังว่าจะไม่ใช่มัน” เพราะมาเวอริคไม่อยากฆ่าคนที่ครั้งหนึ่งเขามองมันเป็นลูกน้อง แต่หากคำตอบมันตรงกับที่เขาคิดไว้ เขาก็จะฆ่ามันอย่างไม่ลังเล “ไปซะ”
“...ครับท่าน” เอียนค้อมศีรษะก่อนก้าวถอยหลังเล็กน้อยแล้วปิดประตูห้อง เมื่อประตูห้องปิดลง ความมืดก็กลับมาเยือนภายในห้องอีกครั้ง
มาเวอริคขยับตัวพลางกัดฟันแน่นยามความเจ็บปวดถาโถมเข้าหาเมื่อเขาลุกขึ้นนั่ง แผ่นหลังฟกช้ำพร้อมบาดแผลในบางจุดค่อย ๆ เอนพิงหัวเตียงแผ่วเบา ริมฝีปากซีดเผือดอ้าออกเล็กน้อยพลางผ่อนลมหายใจทางปากแทน มือหนาเอื้อมเปิดโคมไฟที่หัวเตียงก่อนก้มมองสภาพตัวเอง แสงสีส้มอ่อนจากโคมไฟกระทบผิวกายเขา ทำให้เขาเห็นว่าสภาพของตนเองในตอนนี้มันเป็นยังไง
‘ตั้งใจฆ่ากันเลยนี่’ บริเวณหน้าอกด้านซ้ายช้ำกว่าที่คิด ราวกับกระทืบมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ตอนนั้นมาเวอริคไม่ได้รู้สึกว่าโดนกระทืบตรงนี้เลย แถมหน้าท้องก็ยังช้ำไม่ต่างกัน มีแผลขีดข่วนที่พอให้เลือดออกบ้าง มาเวอริคคิดว่าอย่างน้อยเขาต้องช้ำในบ้างล่ะนะ แต่ที่ไม่พาไปโรงพยาบาลเพราะที่นี่มีหมอประจำตระกูลคอยดูแล และมาเวอริคก็เชื่อว่าบิดาไม่มีทางปล่อยให้เขาตายแม้จะสั่งอเล็กซานเดอร์ให้จัดการเขาก็ตาม
‘ไม่มีอะไรจะบอกฉันหน่อยหรือไงลูกชาย?’
อยู่ ๆ ก็นึกถึงประโยคที่ถูกถามทันทีที่กลับมาประเทศแล้วเข้าพบบิดา มาเวอริคไม่ได้เอะใจจึงถามกลับว่าเขาควรบอกอะไร แต่เอดิสันแค่ยิ้มแล้วปล่อยให้เขากลับห้อง เขาถูกถามทุกวัน ทุกเวลาที่เจอหน้า สุดท้ายมาเวอริคก็ได้เข้าใจว่าคำถามนั้น มันถามถึงอะไรถ้าไม่ใช่การที่เขาทรยศบิดาตนเอง
ก๊อก ๆ
ประตูถูกเคาะอีกครั้งก่อนเปิดออก แสงที่ส่องเข้าห้องทำมาเวอริคแสบตา มือหนายกขึ้นป้องใบหน้า ประตูห้องปิดลง แต่แค่ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกระทืบพื้นยามก้าวเดิน มาเวอริคก็รู้ทันทีว่าคนที่เข้ามาเป็นใคร เขาค่อย ๆ ลดมือลงพลางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยยามคนคนนั้นเดินมาหยุดข้างเตียง แสงจากโคมไฟทำให้มาเวอริคเห็นใบหน้าชัดเจน
มือเรียวเอื้อมประคองใบหน้าลูกชายพลางหันซ้าย หันขวา สายตาคู่สวยกวาดมองบาดแผลบนใบหน้าหล่อเหลาที่เธอฟูมฟักไม่ต่างจากเอดิสัน แม้จะคนละความรู้สึกก็ตามแต่มารีแอนน์รักมาเวอริคมากกว่าลูกชายอีกคนของเธอมาก
“เจ็บมากไหม?” เธอเอ่ยถามก่อนนำผ้าเช็ดหน้ามาซับบาดแผลให้แผ่วเบา
“แม่มีอะไรครับ?” มาเวอริคไม่ได้ปัดมือเธอออก แต่เอ่ยถามพร้อมหันหน้าหนีจากผ้าเช็ดหน้านั้น มารีแอนน์ชะงักมือพลางถอนหายใจ
“ทำไมลูกถึงคิดจะหักหลังพ่อตัวเองล่ะ? เมอร์ลินมันยุใช่ไหม?”
“น้องไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมคิดจะทำด้วยตัวเอง”
“ทำไมถึงคิดอะไรตื้น ๆ แบบนี้มาเวอริค! ลูกเอาชนะเขาไม่ได้หรอกนะ!” มารีแอนน์โวย ตอนเธอรู้เรื่องที่ลูกชายถูกอเล็กซานเดอร์จัดการเพราะคิดหักหลังเอดิสัน ใจเธอไม่อยู่กับตัวทันทีเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องร้าย ๆ ขึ้นกับลูกชาย แล้วมันก็เป็นจริง เพราะสภาพของมาเวอริคตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับนักโทษเลย ทั้งบาดแผล โซ่ที่ล่ามเท้า ไหนจะคำสั่งงดอาหารที่ตามมานั่นอีก และหากมาเวอริคยังไม่พูดอะไรล่ะก็ ทุก ๆ อย่างมันจะเลวร้ายมากยิ่งขึ้น
“ผมไม่ได้ตัวคนเดียวเพราะฉะนั้นแม่ไม่ต้องห่วง อีกอย่างคือผมเบื่อที่ต้องใช้ชีวิตในฐานะคาร์ลอฟ แม่เองก็ถูกคนคนนั้นแย่งชิงอะไรมามากมาย ทำไมถึงยังภักดีกับเขาครับ?” มาเวอริคเอ่ยถามมารดากลับ
“แม่รักเขา... ถึงเขาจะไม่รักแม่ก็ตาม แต่ริค...”
“ผมเองก็รักน้องและผมต้องการลบความทรงจำแย่ ๆ ของเมอร์ออกไป แล้วแม่รู้ไหมครับว่ามันคืออะไร? มันก็คือตระกูลเฮงซวยนี่ไง” มาเวอริคบอกไปตามตรง น้ำเสียงของเขาไม่มีสั่นคลอนแม้แต่นิด
“คนที่ลูกควรรักคือพ่อกับแม่นะมาเวอริค! เมอร์ลินน่ะไม่ใช่...” มารีแอนน์พยายามเกลี้ยกล่อมลูกชาย
“จะบอกว่าน้องเป็นตัวประหลาดเพียงเพราะน้องสามารถท้องได้เนี่ยนะครับ? ไร้สาระ นั่นมันเป็นคำตัดสินของแม่ที่ยัดเยียดให้น้องไม่ใช่หรือไง?”
“มาเวอริค!”
“ผมได้หลานสาว หลานสาวคนแรกจากน้องชาย เมอร์ใช้ชื่อที่ผมตั้งให้เป็นชื่อลูกคนแรกของน้อง เรเธเซีย... เมื่อรู้แบบนี้แล้วแม่คิดว่าผมควรยอมก้มหัวให้พ่อต่อไปหรือไง?” สิ้นคำมาเวอริคมองหน้ามารดาด้วยสายตาจริงจัง แสงไฟสีส้มอ่อนจากโคมไฟหัวเตียงที่กระทบเสี้ยวหน้าของมาเวอริค ทำให้เธอได้เห็นสีหน้าจริงจังไร้ซึ่งความลังเลของลูกชาย มารีแอนน์เลยไม่กล้าแย้ง แต่เมอร์ลินท้องแล้วงั้นเหรอ ท้องจริง ๆ สินะแถมยังเป็นลูกสาว นี่มัน...
“เพราะฉะนั้น... แม่อย่ามาห้ามผมเลยครับ”
“แต่มาเวอริค แม่...”
“ถือว่าเป็นเรื่องที่สองที่ผมขอแล้วกัน” มารีแอนน์เงียบแล้วมองมาเวอริคที่นอนลง ยามลูกชายขยับขาก็จะได้ยินเสียงของโซ่ตรวนที่ขยับตาม ถูกล่ามไม่ต่างกับทาสหรือนักโทษ เพียงเพราะคนคนเดียวน่ะเหรอ?
“พ่อกับแม่ไม่ใช่ครอบครัวลูกหรอกหรือมาเวอริค เด็กนั่นน่ะ... เด็กคนนั้น...”
“คนที่ทำให้ผมรู้สึกถึงคำว่าครอบครัวมีแค่เมอร์ลิน ...ออกไปได้แล้วครับแม่ ผมต้องการพักผ่อน” มาเวอริคตัดบท มารีแอนน์เม้มริมฝีปากก่อนจะเดินออกจากห้องไป เธอไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรักเมอร์ลินมากขนาดนั้น รักมากกว่ามารดาอย่างเธอ ทั้งที่สามีของเธอกีดกันไม่ให้เจอเมอร์ลินมาตั้งแต่เด็ก ขัดขวางทุกอย่าง ขัดขวางทุกทาง เธอเองก็ให้ความร่วมมือโดยหวังว่าสามีจะหันมองบ้าง แต่สิ่งที่เธอได้คือความเกลียดชังจากลูกชายคนโตงั้นเหรอ? มารีแอนน์เจ็บปวดอย่างมากที่ลูกชายคนโตไม่ได้รักเธออย่างที่คิด ทว่า ความเจ็บปวดพลันเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังที่พุ่งไปยังลูกชายอีกคน
มาเวอริคถอนหายใจทันทีที่มารดาออกจากห้อง เขาคิดว่านั่นคือคำพูดที่ถนอมน้ำใจมากที่สุดแล้ว และหวังว่ามารดาจะไม่เข้ามายุ่งเรื่องของเขาอีกต่อไป
3 วันต่อมา
หลังจากพักร่างกายให้บาดแผลดีขึ้นและมีแรงมากพอแล้ว มาเวอริคได้บอกกับเอียนที่เข้ามารายงานเขาทุกวัน ๆ จนตอนนี้เอียนได้รับความไว้วางใจจากมาเวอริค และคำสั่งล่าสุดที่มาเวอริคมอบให้กับเอียนคือ นำตัวอิวานมาให้ฉันก่อนที่การเจรจาจะเริ่มขึ้น และวันนี้ก็เป็นวันที่มาเวอริคได้เจอหน้าอิวานอีกครั้ง
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะอิวาน” มาเวอริคเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งขณะจ้องมองอิวานที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียง ส่วนอิวานกำลังสั่นเทาด้วยความกลัวและไม่คาดคิดว่าตนจะถูกเอียนจับได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือแค่ได้เห็นสายตาผู้เป็นนาย อิวานก็รู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าคงจับทางได้แล้ว
“ท ท่านมาเวอริค ผม...”
“แกหักหลังฉันทำไม?” ยิงคำถามออกไปทันทีที่อิวานเอ่ยปาก มาเวอริคไม่มีความคิดที่จะเก็บอิวานไว้อีกแล้ว และนี่ไม่ใช่คำถามที่ให้โอกาสมีชีวิตรอด แต่เป็นคำถามที่ตัดสินที่ตัดสินว่าจะฆ่าอิวานด้วยวิธีไหน “ในวันที่นัดพบโรนัลเดล คนเดียวที่อยู่กับฉันในห้องนั้นมีแค่แก ตอบฉันมาตามตรงอิวานว่าแกหักหลังฉันทำไม”
“...” อิวานก้มหน้ามองตักตนเองด้วยแววตาที่สั่นไหว ความหวาดกลัวมันทวีคูณมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ถ้ามันตอบยากมากนักแกก็ฟังสิ่งที่ฉันจะพูดต่อจากนี้แล้วกัน ถ้าใช่ให้พยักหน้า” มาเวอริคพยายามอย่างมากกับการอดทนไม่ให้ลงมือฆ่าอิวานตอนนี้ “แกเป็นคนของพ่อฉันมาตั้งแต่แรกแล้ว?” คำถามแรกถูกถามออกไป
“...” อิวานพยักหน้า มาเวอริคกัดฟันและพยายามข่มอารมณ์ให้เย็นลง
“แกรายงานเรื่องฉันนับแต่เข้ามาทำงานหรือตั้งแต่ฉันก้าวเท้าออกจากคาร์ลอฟ?”
“ย อย่างหลังครับ” เสียงของอิวานสั่นมากแต่มาเวอริคก็พอจับใจความได้อยู่
“สุดท้ายที่ฉันอยากถามแก”
“...”
“แกหักหลังฉันทำไม”
“ผมขอโทษครับท่านมาเวอริค ผมจำเป็นต้องทำเพราะผมเป็นคนของท่านเอดิสัน ผมขอโทษครับ...” อิวานได้แต่ก้มหน้าแม้จะพูดขอโทษนับสิบนับร้อยครั้งก็ตาม มาเวอริคเดาะลิ้นแล้วเงยหน้ามองเพดานด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา อิวานที่เห็นว่าผู้เป็นนายเงียบไปจึงค่อย ๆ รวมความกล้าเงยหน้าขึ้นมอง
ผัวะ!
ก่อนใบหน้าจะหันไปตามแรงต่อย หมัดแรกว่าหนักแล้วแต่หมัดที่สอง สาม สี่ และห้าที่กระแทกลงบนใบหน้ามันแรงขึ้นทุกครั้ง ราวกับว่าทุกหมัดที่ปล่อยออกมามันอัดไปด้วยความรู้สึกของมาเวอริค
ตุบ
“แค่ก ๆ !” จนกระทั่งอิวานนั่งไม่ไหวต้องทรุดลงไปนอนบนพื้นห้อง สำลักเลือดออกมาเล็กน้อยพร้อมความเจ็บร้าวทั่วใบหน้า อิหวานพยายามที่จะยันตัวให้ลุกขึ้นนั่ง แต่ว่า...
พลั่ก!
“อึก!” แรงกระทืบที่ท้ายศีรษะทำให้ใบหน้าอิวานกระแทกลงบนพื้นห้องอีกครั้ง ความมึนเข้ามาแทนที่จนสติมันเลือนรางลงเรื่อย ๆ มาเวอริคกัดฟันทุกการกระทำที่เขาทำกับอิวาน มันเจ็บปวดเหมือนกันกับคนที่คิดว่าเป็นลูกน้องที่แสนซื่อสัตย์ แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากบิดา
“ฉันเสียใจที่ต้องฆ่าแกอิวาน แต่ฉันจะเสียใจกว่านี้ถ้าหากฉันปล่อยคนทรยศแบบแกให้มีชีวิตอยู่” เพียงสิ้นเสียง ลำคอของอิวานก็ถูกรัดด้วยโซ่ตรวนที่ล่ามข้อเท้ามาเวอริค โซ่ตรวนที่ล่ามข้อเท้ามาเวอริคนั้นมันมีความยาวของเส้นโซ่ระหว่างขาซ้ายกับขาขวาพอสมควร เพื่อให้มาเวอริคเดินเหินสะดวกเวลาเข้าห้องน้ำหรือต่อสู้ยามอเล็กซานเดอร์มา ทว่า ตอนนี้โซ่ตรวนนั้นถูกใช้ประโยชน์อีกขั้นโดยการลัดลำคออิวาน
“ด ได้โปรดท่านมาเวอริค อึก ได้โปรดไว้ชีวิตผม” อิวานขอร้องเพื่อมีชีวิตรอด สองมือพยายามแกะเอาโซ่ที่ลัดคอออก แต่มันยากเหลือเกินเพราะตอนนี้ความแน่นของโซ่มันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่มาเวอริคค่อย ๆ ขยับสองเท้าออกไปด้านข้าง
“ความผิดของแกมันไม่ใช่แค่การทรยศอิวาน” มาเวอริคก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อมองเข้าไปในดวงตาอิวาน สองมือหนาจับเข้าที่เส้นโซ่แล้วออกแรงดึงจนหน้าอิวานแดงก่ำ “แต่มันเป็นเพราะแก ฉันถึงเสียเวลาในการตามนกของฉัน” ยิ่งคิดก็ยิ่งเกลียดชังและคับแค้นใจมากยิ่งขึ้น
“ ท ท่าน อึก!”
“ก่อนตายแกจงฟังคำของฉันไว้ให้ดี หากนกของฉันมีเจ้าของใหม่ก่อนฉันจะไปถึง ฉันจะกลับมาขุดศพแกแล้วกระทืบซ้ำจนกว่าฉันจะพอใจ” เพียงเท่านั้นสองมือก็กำโซ่ให้แน่นขึ้นแล้วออกแรงดึงรั้งจนมีเพียงเสียงอึกอักและสองเท้าของอิวานที่กระทืบไปมาเพื่อดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่เมื่อเวลาผ่านไป สองมือที่คอยดึงโซ่ก็ผ่อนลงพร้อมกับยกเท้าขึ้นเพื่อนำโซ่ที่พันลำคออิวานออก
“เข้ามา” น้ำเสียงเรียบนิ่งที่เอ่ยขึ้นหลังลมหายใจอิวานดับลง เอียน คนสนิทคนใหม่ได้เข้ามาพร้อมกับคนอีกสามคน สายตาของพวกเขามองไปยังร่างไร้วิญญาณของอดีตเพื่อนร่วมงาน ในตอนที่รู้ว่าอิวานคือคนที่หักหลัง พวกเขาก็พร้อมที่จะทำลายอิวานเพื่อแก้แค้นแทนเจ้านาย
“ผมจะรีบจัดการให้ครับ”
“เอาศพมันไปทิ้งไว้หน้าคฤหาสน์ ฉันอยากส่งของขวัญให้พ่อฉันหน่อย”
“รับทราบครับ” เอียนค้อมศีรษะก่อนจะให้เพื่อนร่วมงานอีกสามคนแบกศพออกไป แต่เอียนยังอยู่เพราะมีเรื่องจะรายงาน
“มีอะไร”
“อีกสี่วันต่อจากนี้จะมีการเจรจาระหว่างโรนัลเดลและคาร์ลอฟเกิดขึ้นครับ และคนส่วนมากจะระดมไปยังที่เจรจาเพื่อแสดงอำนาจของท่านเอดิสัน ในระหว่างนั้นผมคิดว่าการเฝ้าระวังที่ห้องนายท่านคงหละหลวมพอสมควร เมื่อถึงเวลานั้นผมกับคนอื่น ๆ จะเข้ามาตัดโซ่ตรวนเส้นนี้ออกครับ” เอียนรายงานหลังได้ยินมาจากคนอื่น ๆ ที่เป็นคนใต้ปกครองของเอดิสัน
“....อีกสี่วันเหรอ” มาเวอริคทำท่าคิดก่อนตัดสินใจอะไรบางอย่าง “ทันทีที่การเจรจาเริ่มต้นให้แกลอบขึ้นไปห้องนอนฉัน กดรหัส xxxx ในช่องลับโต๊ะทำงาน นำโน๊ตบุ๊กออกมาให้ฉันและวันนั้นเราจะเริ่มโต้กลับ ใครที่กลัวตายก็ให้มันถอนตัวไปตั้งแต่ตอนนี้”
“รับทราบครับ”
“ไปได้แล้ว” เอียนค้อมศีรษะแล้วรีบเดินออกไปพร้อมกับประตูห้องที่ปิดลง ห้องจึงกลับมาอับแสงและมีเพียงแสงไหสีส้มอ่อนจากโคมไฟเก่า ๆ ที่หัวเตียงเท่านั้น มาเวอริคเอนกายลงนอนแล้วผ่อนลมหายใจช้า ๆ พร้อมเปลือกตาที่ปิดลง ตอนนี้บาดแผลเขายังไม่หายสนิท รอยฟกช้ำจางลงแต่ก็ยังมีให้เจ็บจี๊ดอยู่บ้าง แต่ไม่เป็นไรเพราะเวลายังเหลืออีกสี่วัน ทันทีที่เขาส่งข้อมูลบางอย่างให้กับเมอร์ลิน เขาจะเริ่มตอบโต้กลับและเผชิญหน้ากับบิดารวมถึงอเล็กซานเดอร์
ไม่ว่าผลมันจะออกมายังไง เขาก็จะต้องรอดและพานกกลับสู่กรงอย่างที่ควรจะเป็นให้ได้
วันเจรจา
คฤหาสน์คาร์ลอฟดูวุ่นวายตั้งแต่ขึ้นเช้าวันใหม่ ในห้องนั่งเล่นกำลังถูกจัดและตกแต่งสถานที่เพื่อใช้เป็นพื้นที่เจรจากับโรนัลเดล เอดิสันเตรียมพร้อมทุกเวลารวมถึงอเล็กซานเดอร์ที่ยืนอยู่ข้างกาย
“เอ็ดดี้” เพราะอยู่ในห้องที่ไร้ซึ่งสายตาใคร อเล็กซานเดอร์จึงเปลี่ยนเป็นใครอีกคนที่ไม่มีใครรู้จักนอกจากเอดิสัน
“ว่าไงอเล็ก” หันมองคนเรียกพร้อมรอยยิ้มบางที่ริมฝีปาก เป็นรอยยิ้มหายากและเป็นรอยยิ้มที่มีให้อเล็กซานเดอร์เพียงผู้เดียว
“วันนี้ก็เหนื่อยอีกแล้วนะครับ” พูดจบก็ทอรอยยิ้มบาง ๆ พร้อมกับประทับริมฝีปากลงบนขมับแผ่วเบา
“คนที่เหนื่อยกว่าฉันคือนายนะอเล็ก วันนี้ฉันเองก็คงต้องฝากนายอีกครั้ง” เอดิสันยกมือลูบแก้มสากแผ่วเบา สายตาที่มองเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย อเล็กซานเดอร์เอียงแก้มแนบซบกับฝ่ามือข้างนั้น ยกมือขึ้นจับแผ่วเบาแล้วหันจูบฝ่ามือเอดิสัน ความสัมพันธ์ที่ต้องคอยหลบซ่อนมาอย่างยาวนานหลายสิบปี มีเพียงความสัมพันธ์เจ้านายและลูกน้องที่แสดงให้ใครอื่นเห็น มันมีเพียงช่วงเวลานี้เท่านั้น ช่วงเวลาที่อยู่ภายใน ห้องนอน ที่ต่างฝ่ายต่างแสดงความรักที่มีให้กันในฐานะ คนรัก ได้อย่างเต็มที่
“ผมรักเอ็ดดี้นะครับ”
“ฉันก็ด้วย ฉันรักนายมากกว่าใครบนโลกนี้” เอดิสันตอบกลับก่อนสวมกอดผู้เป็นดั่งหัวใจแล้วหลับตาลง อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นที่ความรักของพวกเขาไม่ต้องคอยหลบซ่อน อีกเพียงนิด ขอแค่อเล็กซานเดอร์อดทนอีกเพียงนิดเดียว... กลับกันกับอเล็กซานเดอร์ที่อยากบอกให้เอดิสันพอ อยากให้เอดิสันหยุดแล้วไปใช้ชีวิตบั้นปลายด้วยกัน ทว่า เพียงแค่มองหน้าคนรัก อเล็กซานเดอร์ก็ไม่กล้าเอ่ยปากให้หยุดในเมื่อสายตาที่มองมา ยังเต็มไปด้วยความทะเยอะทะยานอันมากล้น
“ไปกันเถอะครับเอ็ดดี้”
“อืม ไปสิ” แล้วสีหน้าของทั้งสองก็ปรับเปลี่ยนในทันที ออกจากห้องในฐานะเจ้านายและลูกน้อง เดินลงมาและตรงไปยังห้องนั่งเล่น ซึ่งในเวลานี้มีลูก ๆ มารอกันอยู่แล้ว อีกทั้งคนจำนวนมากเพื่อแสดงถึงอำนาจของ เอดิสัน คาร์ลอฟ ส่วนอเล็กซานเดอร์ได้รับสิทธิ์นั่งข้างกายเอดิสันเป็นปกติอยู่แล้ว
และเมื่อถึงเวลาที่รอคอย สายตรงจากโรนัลเดลก็เข้ามาทันที ช่างตรงเวลาอะไรแบบนี้
ขณะเดียวกันก่อนการเจรจาจะเริ่ม
มาเวอริคกำลังนั่งมองเหล่าลูกน้องที่ช่วยกันใช้เลื่อยและอุปกรณ์ตัดเหล็กต่าง ๆ ในการตัดโซ่ตรวนให้เขา เพราะมันไม่มีกุญแจให้เนื่องจากมันถูกเชื่อมติดกัน ทางเดียวที่จะช่วยผู้เป็นนายได้มีแค่การตัดโซ่เท่านั้น มาเวอริคนั่งมองไปก็พลางคิดถึงเอียนไปพลางว่าตอนนี้จะเป็นยังไง จะขึ้นถึงห้องเขาแล้วหรือยัง
เคร้ง...
โซ่ตรวนที่ล่ามข้อเท้าขาดแล้วแต่เหลือโซ่ที่ล่ามกับขาเตียง ตอนนี้ขาซ้ายมาเวอริคได้รับอิสระแม้จะยังมีโซ่ตรวนติดที่ข้อเท้า ส่วนขาขวานั้นกำลังได้รับอิสระในเร็ว ๆ นี้
ปึง!
แต่อยู่ ๆ ประตูห้องกลับถูกเปิดออกมาอย่างแรงพร้อมเอียนที่หอบเหนื่อย ในอ้อมแขนมีโน๊ตบุ๊กมาเวอริคอยู่แต่สีหน้าเอียนดูไม่ค่อยดีนัก
“ร เร่งมือ! แฮ่ก แฮ่ก รีบเร่งมือเร็วเข้า!” เอียนปิดประตูแล้วเข้ามาหาผู้เป็นนายพร้อมส่งโน๊ตบุ๊กให้ ก่อนหันบอกเพื่อนร่วมงานให้เร่งมือในการตัดโซ่
“ขอบใจแกมาก” มาเวอริครับโน๊ตบุ๊กมาก็รีบเปิดเครื่องในทันที หัวใจเขากำลังสูบฉีดอย่างหนักขณะฟังรายงานจากเอียน เอียนกล่าวว่าตอนนี้การเจรจาได้เริ่มขึ้นแล้วและมีคนสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของตน แม้เอียนจะหลบหนีมาได้แต่อีกไม่นานอาจพากันตรงมายังห้องนี้ มาเวอริครีบเข้าไฟล์เอกสารลับที่เขาเก็บรวบรวมข้อมูลมาอย่างยาวนาน เขาทำการใส่รหัสการเข้าถึงไฟล์เอกสารนี้ว่า M A M E R ตอนใส่รหัสก็มียิ้มบางยามคิดถึงน้องชาย
ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ !
แต่แล้วเสียงทุบประตูหน้าห้องก็ดังขึ้นรัว ๆ ติดกันพร้อมเสียงเอะเอะโวยวาย ตอนนั้นเองที่ทุกสายตามองไปยังประตูห้องที่ใกล้จะพังเต็มที เพราะจากการทุบได้เปลี่ยนเป็นการใช้ตัวกระแทกเพื่อเปิด ที่รู้เพราะแค่เสียงที่เปลี่ยนไปก็พอเดาทางได้แล้ว
“ท่านมาเวอริค! ได้โปรดเปิดประตูด้วยครับ!” คนของเอดิสันต้องการเข้ามาค้นหาเอียน และแม้จะเป็นคนของเอดิสัน แต่มาเวอริคที่สืบสายเลือดก็ยังได้รับความเคารพและความเกรงใจอยู่ ดังนั้น จึงไม่มีใครกล้าพังประตูห้องเข้ามาง่าย ๆ มาเวอริคไม่สนใจแต่รีบมองเปอร์เซ็นการโหลดเอกสารให้เป็นไฟล์ p*f หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทันทีที่ขึ้นครบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์และเป็นไฟล์ p*f เสร็จสมบูรณ์ มาเวอริคก็รีบจัดการส่งไฟล์นั้นให้กับเมอร์ลินทันที
ผัวะ!
ประตูถูกเปิดออกตามด้วยคนของเอดิสันรีบเข้ามา แต่เอียนเข้าชาร์จพร้อมกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคนที่เข้าสกัดไว้
“เร่งมือเข้าบาโน่!” เอียนหันบอกกับเพื่อนร่วมงานอีกคนที่เร่งมือเลื่อยโซ่ที่เหลือเพียงนิด ขณะเดียวกันมาเวอริคก็รีบพิมพ์โดยลืมแนบรหัสไปด้วยเพราะสถานการณ์มันไม่รู้ดีนัก
[ From : maverickymerlinie@xmail.com
To : merlinronaldel@xmail.com
จุดอ่อนของอเล้กและอดิสันอยู่ในนี้ รวมถึงข้อมุลของคาลอฟ พี่ต้องไปแล้ว ร้กนาย
<ไฟล์เอกสาร> ]
แม้อยากจะแก้คำผิดแต่มันก็ไม่ทันแล้ว ทันทีที่ขึ้นว่า ส่งสำเร็จ
โครม!
โน๊ตบุ๊กเครื่องนี้ก็ถูกทุ่มลงบนพื้นห้องในจังหวะเดียวกับโซ่ถูกเลื่อนขาดพอดี มาเวอริก้าวลงจากเตียงแล้วกระทืบโน๊ตบุ๊กด้วยเท้าเปล่า ๆ ของตนเอง เขาต้องการทำลายหลักฐานเพื่อไม่ให้เอดิสันสืบสาวได้ และตอนนี้คนของเอดิสันได้พากันนิ่งเงียบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกมันกำลังแสดงอาการหวาดกลัวต่อมาเวอริค
“เข้ามา” เพียงสิ้นเสียงการปะทะกันในจุดเล็ก ๆ ก็เริ่มขึ้นและเพียงไม่นาน มันก็ได้ลุกลามกลายเป็นกลุ่มของมาเวอริคลุกขึ้นต่อต้าน โดยระหว่างทางไปยังห้องนั่งเล่น มาเวอริคต้องต่อกรกับคนของเอดิสันเป็นจำนวนมาก มีเอียนกับคนอื่น ๆ ที่เข้ามาสมทบคอยช่วยเปิดทาง ทว่า คนของเอดิสันนั้นมีมากและมีแต่คนเก่ง ๆ จึงเสียเปรียบในหลาย ๆ อย่าง ในขณะที่คนของมาเวอริคเริ่มเหนื่อยหอบ คนของเอดิสันที่เหนื่อยก็จะหลบไปและมีคนใหม่เข้ามาแทนที่ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่เอามาใส่ใจเท่าไหร่นักเพราะทั้งหมดทั้งมวล แทบไม่ส่งผลกับมาเวอริคเลย
ผัวะ!
“หลีกไป” หมัดหนัก ๆ ที่เริ่มชุ่มด้วยเลือดกระแทกเข้าใส่ใบหน้าคนของเอดิสันอย่างจัง ความเจ็บร้าวราวกับถูกค้อนทุบทำให้ต้องยกมือกุมแก้ม แต่มาเวอริคก็ไม่ปล่อยให้พักหายใจ เขายกเท้าขึ้นเตะเข้าสีข้างแล้วเข้าชาร์จพร้อมจับทุ่มลงทันที “ฉันบอกให้หลีก”
กร็อบ!
“อ๊ากกก!” เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดยามถูกหักแขนดังสั่นคฤหาสน์ แต่มาเวอริคไม่สนใจ เขาผ่านไปคนต่อไปในทันที บาดแผลตามตัวมาเวอริคเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เลือดที่ไหลจากแผลเดิมที่ฉีกและแผลใหม่ที่ได้มา มันกำลังไหลมาปนกัน แต่มาเวอริคไม่สนสิ่งใดนอกจากเขาต้องไปยังห้องเจรจาให้ได้เพื่อบอกรหัสกับโจไซอาห์
หมับ!
“นายท่านไปเลยครับ ทางนี้พวกผมจะจัดการเอง” เอียนที่เข้ามาชาร์จกันคนร่างใหญ่จากผู้เป็นนายเอ่ยบอก มาเวอริคมองหน้าเอียนแล้วขอบคุณก่อนรีบก้าวเท้าตรงไปยังห้องนั่งเล่นทันที แม้จะวิ่งแต่ก็ไม่ได้เร็วมากเพราะที่ข้อเท้ายังมีโซ่ตรวนอยู่ เขาเพียงแค่ตัดมันออกแต่ไม่ได้ถอดออกแต่อย่างใด
“โปรดหยุดแต่เพียงเท่านี้เถอะครับท่านมาเวอริค”
“หุบปาก” สิ้นเสียงก็เกิดการปะทะกันอีกครั้ง มาเวอริคกัดฟันกำหมัดแล้วง้างใส่เต็มแรง อีกทั้งยังต้องคอยหลบหลีกคนที่เข้ามาหวังใช้ช่องโหว่นั้น “พวแกที่ไม่ได้ครึ่งของอเล็กซานเดอร์ อย่าริอ่านมาเสนอหน้าขวางฉัน” นัยน์ตาสีน้ำเงินครามจ้องตรงไปยังใบหน้าของทุกคนที่ขัดขวางเขา ร่างกายของทุกคนเย็นวาบและหนักอึ้งราวกับดิ่งลงสู่ใต้มหาสมุทร เพราะสีตางั้นเหรอหรือเพราะความกดดันที่แผ่ออกมาจากคนตรงหน้ากัน
“เข้ามาเพราะถ้าพวกแกไม่เข้ามา ฉันจะเข้าไปเอง”
“หยุดท่านมาเวอริคให้ได้ ต่อให้เก่งกาจแค่ไหนแต่ท่านมาเวอริคก็ยังเป็นมนุษย์!”
“ใช่ ฉันเป็นมนุษย์แต่ฉันถูกฝึกมาราวกระสอบทราย คิดว่าของแค่นี้จะทำให้ฉันล้มได้หรือไง? ตลกน่า” มาเวอริคฉีกยิ้มแล้วพุ่งเข้าใส่ในทันที ตอนนี้เขาต้องรีบจัดการและผ่านไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นมันเสียเวลาและการเจรจาอาจจะจบลงก่อนเขาไปถึง
“แค่ก!” มาเวอริคสำลักหลังถูกเตะเข้าที่สีข้าง แต่เขาตั้งตัวได้ทันใช้แขนกอดรัดขาข้างนั้นแล้วออกแรงเหวี่ยงทันที ชายคนนั้นถูกเหวี่ยงเข้ากระแทกกับตู้โชว์หลังใหญ่จนจุกอัก หลังร้าวราวกับกระดูกหักจนขยับตัวไม่ได้มาก มาเวอริคจึงเพ่งไปอีกคนที่ตั้งท่าแล้วกระโจนเข้าหมา
หมับ!
ก่อนฝ่ามือใหญ่จะคว้าหมับเข้าที่ใบหน้าแล้วออกแรงจิก พลันขามาเวอริคตวัดเตะขาข้างที่ก้าวมาด้านหน้าของมัน ร่างกายใหญ่โตจึงได้ล้มลงพร้อมกับหลังศีรษะกระแทกลงบนพื้น
“แฮ่ก แฮ่ก อึก...” มาเวอริคยืนหอบพลางยกมือขึ้นกุมปากแผล มืออีกข้างยกเช็ดเลือดที่มุมปากแล้วกัดฟันก้าวเข้าไปด้านหน้า คนของเอดิสันที่เหลือหลบทางให้ทันทีเพราะรู้ว่าต่อให้ต้องตาย มาเวอริค คาร์ลอฟ ก็จะไม่ยอมตายไปคนเดียวเป็นแน่
ปึง!
ประตูห้องนอนถูกเปิดออกเรียกสายตาของใครหลายคนมองมา ทุกคนต่างดูตกตะลึงกับภาพของมาเวอริคที่มีบาดแผลตามตัว เสียงโวยวายดังขึ้นแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะมาเวอริคผลักพวกมันไปให้พ้นทาง
“อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้เลยครับท่านพี่” แต่แล้วอิการาชิกลับชักดาบขึ้นมาจ่อคอมาเวอริค ยอมรับว่าอิการาชิตกใจที่พี่ชายคนโตผ่านเข้ามาด้วยสภาพร่างกายแบบนั้น แต่ไม่แปลกใจเพราะคนที่ฝึกให้เป็นสัตว์ประหลาดแบบนี้คืออเล็กซานเดอร์ แต่แล้วอิการาชิที่มักมีดวงตาเป็นจันทร์เสี้ยวยามยิ้มกลับต้องเบิกกว้างเล็กน้อย
หมับ...
เพราะพี่ชายคนโตไม่กลัวคมดาบแต่กลับยกมือขึ้นจับแล้วบีบแน่นจนเลือดอาบดาบตน มาเวอริคมองไปยังบิดาที่ตอนนี้กำลังมองเขาด้วยสายตาพึงพอใจด้วยความรู้สึกที่สะอิดสะเอียน ทำไมพระเจ้าถึงต้องเขาและน้องชายเกิดเป็นลูกของคนคนนี้ แต่มาเวอริคก็ไม่สนใจแล้วเหลือบสายตาไปยังเหล่าโรนัลเดลที่ปรากฏบนจอ
“ไปหาเมอร์ลิน แล้วจะรู้ทุกอย่าง” เพียงเท่านั้นสีหน้าของเอดิสันและอเล็กซานเดอร์พลันดำมืดพร้อมกับยืนขึ้น ตอนนี้เอดิสันกำลังคิดอะไรหลาย ๆ อย่างทันทีที่ได้ยินแบบนั้นและก่อนที่จะตัดสินใจให้ตัดสัญญาณ มาเวอริคได้ทิ้งท้ายไว้อีกหนึ่งอย่างว่า “M A M E R”
หมับ โครม!
สัญญาณตัดขาดพร้อมกับอเล็กซานเดอร์ที่พุ่งเข้าชาร์จแล้วจับมาเวอริคทุ่มกดลงบนพื้น ช่วงเข่าที่กดลงตรงแผ่นหลังใต้ท้ายทอยลงมาหน่อย มันค่อนข้างเจ็บและทำมาเวอริคอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
“แกทำอะไรลงไปมาเวอริค!!!” อเล็กซานเดอร์ตวาดกร้าว แต่เอดิสันเดินมาจับไล่อเล็กซานเดอร์ไว้ มาเวอริคกัดฟันแล้ววตะแคงใบหน้าแนบแก้มฝั่งหนึ่งลงบนพื้น ตอนนั้นเองที่เขาเหลือบสายตาขึ้นมองและสบกับนัยน์ตาของบิดา
“นี่คือทางเลือกของแกสินะมาเวอริค” เอดิสันเสียดายมาเวอริคเหมือนกันแต่เขาก็ไม่ต้องการคนทรยศเช่นกัน “พามันไปไว้ห้องใต้ดินและจัดการตามที่นายคิดว่าเหมาะสม อเล็กซานเดอร์”
“รับทราบครับท่านเอดิสัน” แม้จะรับปากกับเอดิสันแต่สายตาที่จ้องมาเวอริค แทบจะฆ่าให้ตายเสียตรงนี้เลย
“คาร์ลอฟ อึก จะสิ้นสุดลงในไม่ช้า”
“มาเวอริค!” อเล็กซานเดอร์ตวาดใส่คนข้างใต้เสียงแข็งกร้าว มาเวอริคแค่นยิ้มแล้วไอออกมาเล็กน้อยก่อนพูดต่อ
“ถึงเวลาที่พ่อต้องพักแล้วครับ” อเล็กซานเดอร์สับสั้นมือลงบนท้ายทอยทันที มาเวอริคจึงสลบไปเพราะเดิมทีก็เหนื่อยล้าอยู่แล้ว และความต้องการเพียงหนึ่งเดียวคือการบอกรหัสและให้โรนัลเดลรับรู้สถานการณ์ทางนี้ ท้ายที่สุดแล้วมาเวอริคก็ถูกย้ายไปขังที่ห้องใต้ดิน ส่วนคนของมาเวอริคถูกซ้อมจนแทบขยับตัวไม่ได้ และถูกสั่งให้อยู่ใต้การปกครองเอดิสันแทน
แต่ถึงจะมีคำสั่งนั้นออกมา ทว่า พวกเขาทั้งหมดล้วนภักดีแก่นายเพียงคนเดียว นายที่ชื่อ มาเวอริค คาร์ลอฟ อีกทั้งพวกเขายังเชื่อว่ามันยังมีโอกาส โอกาสที่จะพลิกกลับมาชนะแม้มันจะริบหรี่เพราะไร้เสาหลักอย่างมาเวอริคหรือฟินน์
3 วันต่อมามาเวอริคลืมตาขึ้นมาพร้อมกับความปวดร้าวทั้งร่างกาย และภาพเพดานที่คุ้นเคยมันก็ทำให้เขารู้ตัวว่า ตัวเขาเข้ามาอยู่ห้องขังใต้ดินเป็นเวลาสามวันแล้ว มันทั้งอับทั้งชื้นและมีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย มาเวอริคค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจแล้วพยุงตัวขึ้นลุกนั่ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันยามความเจ็บแปล๊บวิ่งไปทั่วร่างทันทีที่ขยับตัว แต่พอลุกนั่งได้แล้วก็ค่อย ๆ เอนหลังพิงผนังห้องเย็น ๆ“เจ็บชะมัด” บ่นกับตัวเองแล้วเงยหน้ามองเพดานห้อง ผ่อนลมหายใจออกทางปากอย่างช้า ๆ ตอนนี้มาเวอริคไม่รู้สึกถึงน้ำหนักที่ข้อเท้าแล้วนั่นหมายความว่า โซ่ตรวนที่ถูกตัดถูกนำออกไปแล้วเรียบร้อย ทว่า สภาพของเขาในตอนนี้มันก็น่าเวทนาเหลือเกิน มาเวอริคเริ่มคิดว่าเขาจะรับมือกับอเล็กซานเดอร์ที่ลงมาหายังไงดี เพราะสามวันที่ผ่านมามันเต็มไปด้วยการทรมานที่แสนสาหัส เพียงแค่ต้องการรู้คำตอบในสิ่งที่มาเวอริคบอกกับโรนัลเดล บวกกับความเกลียดชังที่อเล็กซานเดอร์มีต่อมาเวอริค ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเลยกลายเป็นบาดแผลที่ยังไม่หายดีบนร่างกายมาเวอริค และมาเวอริคก็มีเรื่องมากมายที่อยากเอ่ยถามกับอเล็กซานเดอร์หากอเล็กซานเดอร์ลงมาหาเขาอีกครั้ง เขาจะเอ่ยถามทุกสิ่งทุกอย่า
@Dark-night Hotel“ท่านมาเวอริค!” เอียนรีบวิ่งเข้ามารับร่างของผู้เป็นนายที่ดูอ่อนแรง โชคดีมากที่คนของ เจฟรีย์ โรนัลเดล ยังจำเจ้านายของตนได้ เอียนและบาโน่ช่วยกันพยุงมาเวอริคมายังลิฟต์ ใจจริงอยากพาเจ้านายนั่งพักก่อนแต่สถานการณ์ตอนนี้ ทางที่ดีรีบพาเจ้านายขึ้นห้องที่เจฟรีย์อยู่จะดีที่สุดในที่สุดมาเวอริคก็ได้พักหายใจหลังเดินเท้าเปล่ามาอย่างยาวนานหลายนาทีหรืออาจจะเกือบชั่วโมง ตอนนี้เท้าของเขาแทบไม่มีความรู้สึกอะไรแล้วและไหนจะร่างกายที่บอบช้ำ ที่ยังมีชีวิตรอดมาได้จนตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว มาเวอริคผ่อนลมหายใจก่อนปรายตามองลูกน้องของตน“พวกแกตัดสินใจเองหรือไง?” เอ่ยถามขึ้นมาและเอียนก็เข้าใจคำถามได้ทันที“ครับและผมก็คิดว่าท่านมาเวอริคเองก็ต้องการแบบนี้เหมือนกัน” เอียนเป็นคนตอบ“หึ ทำดีมาก” มาเวอริคยิ้มมุมปากก่อนลิฟต์จะมาถึงชั้นสูงสุดพอดี พอประตูลิฟต์เปิดออกก็พบกับคนของโรนัลเดลมากมาย รวมถึงศพคนคาร์ลอฟที่นอนจมกองเลือด“สภาพแย่ยิ่งกว่าหมาอีกไม่ใช่เหรอนั่น” เจฟรีย์ที่ยืนคุยกับลูกน้องหันมองลิฟต์ที่เปิดออกและเอ่ยทักทายมาเวอริคอย่างเป็นกันเอง“ขอบใจที่เปรียบกับหมาแทนที่จะเป็นขยะ” มาเวอริคตอบกลับก
ตึก ตึก ตึกเสียงฝีเท้าที่ย่ำลงบนพื้นคฤหาสน์หลังใหญ่ดังกึกก้องพร้อมกับเสียงร้องไห้แผ่วเบา แต่หนักแน่นในความรู้สึกที่ต้องสูญเสียคนรักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ใบหน้าที่เย่อหยิ่งและโอหังกลับชุ่มไปด้วยน้ำตาจนกลายเป็นคนละคน สองแขนที่โอบอุ้มร่างคนรักกำลังสั่นเทา หยาดน้ำตาหยดลงบนร่างอเล็กซานเดอร์ เช่นเดียวกับหยาดเลือดที่ไหลหยดตามเส้นทาง“ทำไมคนที่เก่งกาจอย่างนายถึงต้องยอมตายกัน ทำไม... ถึงทิ้งฉันไว้แบบนี้อเล็ก” เอ่ยถามทั้งที่รู้ว่าไร้ซึ่งคำตอบ ยามก้มหน้ามองใบหน้าที่ซีดเซียวของคนรัก ยามเห็นรอยยิ้มจาง ๆ บนริมฝีปากที่เคยบอกรัก เอดิสันก็ยิ่งเจ็บปวดหัวใจและเสียใจจนไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว หากเป็นไปได้ก็อยากให้มันเป็นเพียงความฝัน... ความฝันที่พอลืมตาตื่นขึ้นมาได้เห็นใบหน้าที่ตนรักอยู่ข้างกายนัยน์สีน้ำเงินครามที่ทอแสงอ่อนลงยามนี้กำลังไร้ซึ่งพลังในการมีชีวิตอยู่ เอดิสันอุ้มร่างอเล็กซานเดอร์กลับเข้ามาในห้องนอน ห้องที่ซึ่งฝากฝังความทรงจำของพวกเขาไว้มากมาย‘เอดดี้’“ฮึก ช่วยกลับมาเรียกฉันว่าเอดดี้อีกครั้งสิอเล็ก” เอดิสันร้องไห้หนักขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอันเลือนรางเรียกชื่อของตน เอดดี้ ชื่อเล่นที่มีเพียงอ
เงินจำนวน 2,900,000,000 ดอลลาร์ ถูกโอนเข้าบัญชีของ เอเวอร์เร็ตต์ โรนัลเดล ทันทีที่มาเวอริคกลับเข้าห้องทำงานของบิดา มาเวอริคเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับหลับตาลง ตอนนี้ภาพจำทุกอย่างยังคงชัดเจนราวกับว่ามันเพิ่งเกิด ฉายอยู่ซ้ำ ๆ ในหัวราวกับตอกย้ำว่าอเล็กซานเดอร์ตายเพราะตัวเขา มาเวอริคถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นแล้วออกมามอบคำสั่งให้กับทุกคน“ฉันจะมอบอำนาจให้เอียนในการแบ่งทีมจำนวนห้าทีมเพื่อเก็บศพตามโรงแรมและสถานที่ต่าง ๆ ใครที่ต่อต้านเอียนหรือต่อต้านคนของฉัน ฉันจะจัดการขั้นเด็ดขาดทันที ส่วนพวกแม่บ้านและสาวใช้รวมถึงคนอื่น ๆ ที่พอขยับตัวได้ ก็ให้ทำความสะอาดคฤหาสน์และสนามด้านหน้าให้สะอาด ล้างด้วยน้ำสะอาดและแอลกอฮอลล์ไม่ต่ำกว่าสามรอบ อย่าให้คราบเลือดหลงเหลือแม้แต่หยดเดียว”“รับทราบค่ะ!/รับทราบครับ!”“ส่วนศพให้นำไปเผาที่เดิม รู้กันใช่ไหม?” มาเวอริคเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามขณะมองหน้าคนของเขาเพื่อรอคำตอบ“ครับ ทุกศพจะถูกนำไปเผาที่หลุมทางด้านหลังคฤหาสน์ที่ห่างออกไปราวหนึ่งกิโลเมตรครับ”“ดี จัดการให้เรียบร้อย” มอบหมายงานเรียบร้อยแล้วก็เดินมายังห้องนอนของบิดา ประตูที่ปิดสนิทมีคราบเลือดหยดลงตรงหน้าประตูและท
“เด็ก ๆ ไปอาบน้ำได้แล้ว” ฟินน์เอ่ยบอกน้อง ๆ ร่วมมารดาที่วิ่งเล่นกันอยู่หน้าบ้าน ตัวเขาเองก็ต้องรีบอาบน้ำเหมือนกัน เพราะตอนนี้ตามเนื้อตัวมีแต่เศษฝุ่นเศษฟางเต็มไปหมด ฟินน์วางเคียวลงในที่ที่เก็บอุปกรณ์ก่อนมองน้อง ๆ ที่ยังวิ่งเล่นกันอยู่ “เด็ก ๆ พี่บอกว่าให้ไปอาบน้ำไงครับ” พอน้องไม่ฟังก็มีอันต้องใช้เสียงดุกันบ้าง“พี่ไปอาบน้ำก่อนเลยครับ กว่าเจ้าพวกนี้จะยอมอาบก็คงอีกสักพักใหญ่ ๆ เลย” เอเธอร์ ลาเนียร์ ลูกชายคนโตของบ้านและอายุห่างกับฟินน์สิบสองปี เอเธอร์เดินเข้ามาบอกพี่ชายพร้อมมองไปยังน้อง ๆ อีกสองคนที่วิ่งเล่นกันอยู่“เอางั้นก็ได้แต่อย่าปล่อยน้องไปไหนล่ะ มันเริ่มจะเย็นแล้ว”“ครับพี่” เอเธอร์พยักหน้ารับคำ ฟินน์จึงถอดเสื้อที่สวมอยู่ออก ร่างกายกำยำที่แม้สายงานจะเปลี่ยนไปแต่รูปร่างเขาก็ยังคงดีอยู่ มัดกล้ามที่ปั้นมาจากสายงานบอดี้การ์ดตอนนี้มันดูดีมากกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย แผลเป็นที่ได้รับยามฝึกฝนหรือออกสนามจริงก็มีแต่งแต้มตามร่างกายบ้าง แต่มันก็ไม่ได้มากจนดูน่าเกลียด อีกทั้งตอนนี้สีผิวของฟินน์จากที่เคยขาวก็เริ่มออกสีน้ำผึ้งแทนจากการทำงานตากแดดฟินน์คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้ามาในห้องน้ำ พาดผ้าไว้ต
มาเวอริคเดินมาทิ้งกายลงบนม้านั่งพลางยกขาขึ้นไขว่ห้าง สองแขนยกขึ้นกอดอกพร้อมกับในหัวที่มีความคิดมากมาย ตอนนี้สีหน้าของมาเวอริคเรียบนิ่งไร้อารมณ์เป็นอย่างมาก มาเวอริคต้องยอมรับว่าเขาสลัดคำพูดของฟินน์ออกไปจากหัวไม่ได้เลย ไหนจะสีหน้าที่เขาไม่เคยเห็นเพราะฟินน์มักแสดงแต่ด้านที่เข้มแข็งให้เห็น‘ผมรักคุณครับ’‘ผมรักคุณมากและรักมาตลอด ผมเจ็บทุกครั้งที่ต้องหาคู่นอนให้กับคุณแต่ผมก็ทำเพราะมันคือหน้าที่ เลือกคู่นอนที่ดีที่สุดให้กับคุณแต่บางครั้งผู้หญิงที่ตรงตามความต้องการ มันก็ไม่ได้มีเยอะหรือหาได้ง่ายทุกครั้งที่คุณต้องการขนาดนั้น หากคุณยอมนอนกับคนเก่า ๆ บ้างบางทีเรื่องที่ผมต้องเป็นตุ๊กตายางคงไม่เกิดขึ้น’“ตุ๊กตายาง...” มาเวอริคพึมพำเสียงเบาแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าจามิล ไม่ใช่ว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้แต่มาเวอริคไม่ได้ใส่ใจมัน เขามองข้ามและคิดว่าในมันไม่ใช่เรื่องของเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับมันมากนัก และต้องยอมรับว่าในตอนนั้นด้วยหน้าที่ของฟินน์ที่เป็นทั้งคนสนิท มือขวาและคู่นอนที่ทำตามความต้องการของเขา ไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตายางมีชีวิตจริง ๆ ทว่า มาเวอริคไม่เคยถามฟินน์เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เล
ผ่านมาราวสามนาทีแล้วที่มาเวอริคยืนอยู่ที่เดิมพร้อมคำถามมากมายที่ผุดขึ้นในหัว มาเวอริคไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมอยู่ ๆ ถึงจูบฟินน์ แต่ในวินาทีนั้นเขาแค่ปล่อยให้ร่างกายทำตามความต้องการ แต่หลังจากที่ฟินน์จูบตอบกลับมา มันกลายเป็นความต้องการของมาเวอริคเอง เป็นความต้องการที่รู้ตัวร้อยเปอร์เซ็นต์ มาเวอริคถอนหายใจก่อนเดินกลับเข้ามาในห้องนอน ชุดคลุมอาบน้ำที่สวมถูกถอดทิ้งลงบนพื้นห้อง ก่อนกายแกร่งที่เปลือยเปล่าจะหายเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้งด้านฟินน์ที่พอล้างปากเรียบร้อยแล้วก็นำโทรศัพท์ออกมาติดต่อหามารดา ตอนมาถึงก็ลืมโทรบอกเลยว่าเขาเดินทางถึงเมืองหลวงปลอดภัย เพราะดันเจอกับมาเวอริคแบบไม่คาดคิดก็เลยทำให้ความคิดเขารวนไปหมด ฟินน์เดินออกมาที่ระเบียงแล้วเท้าแขนซ้ายลงบนขอบราวระเบียง ส่วนทางขวาก็ถือโทรศัพท์แนบหู เพียงไม่นานก็มีเสียงจากปลายสายดังขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าฟินน์(ทำไมลูกเพิ่งติดต่อมา! แม่เป็นห่วงมากแค่ไหนรู้ไหมฟินน์?!)“แล้วทำไมแม่ไม่ลองโทรมาหาผมล่ะครับ” ฟินน์เอ่ยถามกลับ(แม่กลัวว่าจะโทรไปตอนลูกขับรถและแม่ก็กลัวว่าจะรบกวนการนอนของลูกถ้าลูกถึงที่หมายแล้ว แต่ดูลูกสิ ข้ามวันขนาดนี้แล้วแต่เ
ชายหนุ่มอดีตทายาทตระกูลใหญ่วัย 38 ปี กำลังนั่งคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายนาทีก่อน มาเวอริคนึกถึงแผ่นหลังที่เดินออกห่างไปเรื่อย ๆ ด้วยความรู้สึกที่ยากเกินจะเข้าใจ เขาเดินมายังที่พักที่ค่อนข้างเว้นระยะจากที่พักของฟินน์พอสมควร แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ให้เขาต้องกังวล เพราะเรื่องที่ต้องกังวลคือฟินน์นอนคนเดียวหรือนอนกับผู้ชายที่มาด้วยกัน“ซากอร์น เลอเจีย...” พึมพำชื่อคนที่มากับฟินน์แล้วรินเบียร์ใส่แก้ว ตอนที่เจอกับฟินน์เขาไม่เห็นผู้ชายที่น่าจะเป็นซากอร์นอยู่ด้วย มีเพียงผู้หญิงที่ดูแล้วไม่น่ามีอะไรลึกซึ้งกับฟินน์ แต่ยังไงก็ไม่ชอบใจอยู่ดีเพราะตลอดสิบปีที่เห็นฟินน์มา ฟินน์ไม่เคยพูดคุยกับผู้หญิงคนไหนนอกจากคู่นอนที่ต้องหาให้เขา หรือสมาชิกคาร์ลอฟอย่างแวนด้าและบรรดาภรรยาของเอดิสัน“พวกแกจะไปเที่ยวก็ไป ไม่ต้องมาเฝ้าฉัน” บอกกับเหล่าลูกน้องที่คอยยืมคุ้มกันสี่ด้าน แต่สายตาของทั้งสี่คนที่มองมาแสดงออกชัดเจนว่าอยากไปเที่ยวบนหมู่เกาะนี้แค่ไหน ต่อให้ไม่ต้องหันไปมอง มาเวอริคก็รับรู้ได้และเขาก็ไม่ได้อ่อนแอ จึงเอ่ยปากให้ทั้งสี่ออกไปเที่ยวเล่น“ขอบคุณครับนายท่าน”“ไม่ต้องเรียกฉันว่านายท่าน แค่คุณชายก็พอ