มาเวอริคเดินมาทิ้งกายลงบนม้านั่งพลางยกขาขึ้นไขว่ห้าง สองแขนยกขึ้นกอดอกพร้อมกับในหัวที่มีความคิดมากมาย ตอนนี้สีหน้าของมาเวอริคเรียบนิ่งไร้อารมณ์เป็นอย่างมาก มาเวอริคต้องยอมรับว่าเขาสลัดคำพูดของฟินน์ออกไปจากหัวไม่ได้เลย ไหนจะสีหน้าที่เขาไม่เคยเห็นเพราะฟินน์มักแสดงแต่ด้านที่เข้มแข็งให้เห็น‘ผมรักคุณครับ’‘ผมรักคุณมากและรักมาตลอด ผมเจ็บทุกครั้งที่ต้องหาคู่นอนให้กับคุณแต่ผมก็ทำเพราะมันคือหน้าที่ เลือกคู่นอนที่ดีที่สุดให้กับคุณแต่บางครั้งผู้หญิงที่ตรงตามความต้องการ มันก็ไม่ได้มีเยอะหรือหาได้ง่ายทุกครั้งที่คุณต้องการขนาดนั้น หากคุณยอมนอนกับคนเก่า ๆ บ้างบางทีเรื่องที่ผมต้องเป็นตุ๊กตายางคงไม่เกิดขึ้น’“ตุ๊กตายาง...” มาเวอริคพึมพำเสียงเบาแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าจามิล ไม่ใช่ว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้แต่มาเวอริคไม่ได้ใส่ใจมัน เขามองข้ามและคิดว่าในมันไม่ใช่เรื่องของเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับมันมากนัก และต้องยอมรับว่าในตอนนั้นด้วยหน้าที่ของฟินน์ที่เป็นทั้งคนสนิท มือขวาและคู่นอนที่ทำตามความต้องการของเขา ไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตายางมีชีวิตจริง ๆ ทว่า มาเวอริคไม่เคยถามฟินน์เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เล
ผ่านมาราวสามนาทีแล้วที่มาเวอริคยืนอยู่ที่เดิมพร้อมคำถามมากมายที่ผุดขึ้นในหัว มาเวอริคไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมอยู่ ๆ ถึงจูบฟินน์ แต่ในวินาทีนั้นเขาแค่ปล่อยให้ร่างกายทำตามความต้องการ แต่หลังจากที่ฟินน์จูบตอบกลับมา มันกลายเป็นความต้องการของมาเวอริคเอง เป็นความต้องการที่รู้ตัวร้อยเปอร์เซ็นต์ มาเวอริคถอนหายใจก่อนเดินกลับเข้ามาในห้องนอน ชุดคลุมอาบน้ำที่สวมถูกถอดทิ้งลงบนพื้นห้อง ก่อนกายแกร่งที่เปลือยเปล่าจะหายเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้งด้านฟินน์ที่พอล้างปากเรียบร้อยแล้วก็นำโทรศัพท์ออกมาติดต่อหามารดา ตอนมาถึงก็ลืมโทรบอกเลยว่าเขาเดินทางถึงเมืองหลวงปลอดภัย เพราะดันเจอกับมาเวอริคแบบไม่คาดคิดก็เลยทำให้ความคิดเขารวนไปหมด ฟินน์เดินออกมาที่ระเบียงแล้วเท้าแขนซ้ายลงบนขอบราวระเบียง ส่วนทางขวาก็ถือโทรศัพท์แนบหู เพียงไม่นานก็มีเสียงจากปลายสายดังขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าฟินน์(ทำไมลูกเพิ่งติดต่อมา! แม่เป็นห่วงมากแค่ไหนรู้ไหมฟินน์?!)“แล้วทำไมแม่ไม่ลองโทรมาหาผมล่ะครับ” ฟินน์เอ่ยถามกลับ(แม่กลัวว่าจะโทรไปตอนลูกขับรถและแม่ก็กลัวว่าจะรบกวนการนอนของลูกถ้าลูกถึงที่หมายแล้ว แต่ดูลูกสิ ข้ามวันขนาดนี้แล้วแต่เ
ชายหนุ่มอดีตทายาทตระกูลใหญ่วัย 38 ปี กำลังนั่งคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายนาทีก่อน มาเวอริคนึกถึงแผ่นหลังที่เดินออกห่างไปเรื่อย ๆ ด้วยความรู้สึกที่ยากเกินจะเข้าใจ เขาเดินมายังที่พักที่ค่อนข้างเว้นระยะจากที่พักของฟินน์พอสมควร แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ให้เขาต้องกังวล เพราะเรื่องที่ต้องกังวลคือฟินน์นอนคนเดียวหรือนอนกับผู้ชายที่มาด้วยกัน“ซากอร์น เลอเจีย...” พึมพำชื่อคนที่มากับฟินน์แล้วรินเบียร์ใส่แก้ว ตอนที่เจอกับฟินน์เขาไม่เห็นผู้ชายที่น่าจะเป็นซากอร์นอยู่ด้วย มีเพียงผู้หญิงที่ดูแล้วไม่น่ามีอะไรลึกซึ้งกับฟินน์ แต่ยังไงก็ไม่ชอบใจอยู่ดีเพราะตลอดสิบปีที่เห็นฟินน์มา ฟินน์ไม่เคยพูดคุยกับผู้หญิงคนไหนนอกจากคู่นอนที่ต้องหาให้เขา หรือสมาชิกคาร์ลอฟอย่างแวนด้าและบรรดาภรรยาของเอดิสัน“พวกแกจะไปเที่ยวก็ไป ไม่ต้องมาเฝ้าฉัน” บอกกับเหล่าลูกน้องที่คอยยืมคุ้มกันสี่ด้าน แต่สายตาของทั้งสี่คนที่มองมาแสดงออกชัดเจนว่าอยากไปเที่ยวบนหมู่เกาะนี้แค่ไหน ต่อให้ไม่ต้องหันไปมอง มาเวอริคก็รับรู้ได้และเขาก็ไม่ได้อ่อนแอ จึงเอ่ยปากให้ทั้งสี่ออกไปเที่ยวเล่น“ขอบคุณครับนายท่าน”“ไม่ต้องเรียกฉันว่านายท่าน แค่คุณชายก็พอ
“แกคิดบ้าอะไรอยู่ถึงไปท้าทายนายท่านแบบนั้น!?” เอียนถามเสียงเครียดขณะนั่งมองบาโน่ที่ลูบคออยู่ ตอนนี้คอของบาโน่มีรอยบีบชัดเจนมาก จากที่แดงและมันก็เริ่มช้ำขึ้นทีละนิด โกร์ส่งผ้าชุบน้ำเย็นให้กับบาโน่ ส่วนเกร์วางขวดน้ำเปล่ากับยาลงตรงกลางวง"ฉันไม่ได้คิดอะไร ก็แค่อยากให้นายท่านได้สติ" บาโน่ตอบกลับด้วยเสียงที่แหบเล็กน้อย รับผ้าเย็น ๆ มาจากโกร์แล้วซับบนลำคอก่อนเอนกายนอนลงบนพื้นห้อง ตอนนี้ผ่านมาราวสามถึงห้านาทีแล้วแต่พวกเขายังไม่ไปไหน ยังคงอยู่ในห้องของผู้เป็นนาย เอียนถอนหายใจแล้วเอนหลังพิงกับเตียงนอนก่อนเอ่ยถามอะไรบางอย่าง“แล้วแกชอบพี่ฟินน์จริงเหรอวะ”“เปล่า ไม่ได้ชอบแม้แต่นิดเดียว” คำตอบของบาโน่เรียกสายตางุนงงจากเพื่อนร่วมงาน และน้ำเสียงที่พูดออกมาก็ไร้ซึ่งความโกหก เป็นน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์สุด ๆ เลย บาโน่ถอนหายใจแล้วบอกความจริงไป “ผู้ชายอย่างนายท่านต้องมีอะไรมากระตุ้นถึงจะได้สติ นายท่านเป็นผู้ชายที่ถูกทำให้เกิดมาเพื่อผลประโยชน์ล้วน คุณอเล็กซานเดอร์ที่เปรียบเสมือนพ่อคนที่สองก็เลี้ยงด้วยลำแข้งที่หนักกว่าคุณชายคนอื่น ๆ”“...” ทุกคนต่างตั้งใจฟังและเห็นด้วยกับบาโน่ ขนาดนายท่านของพวกเขาอายุเลขสามแ
เพียงแค่ลืมตาตื่นแล้วประสานสายตากับนัยน์ตาสีน้ำเงินคราม ฟินน์ก็ถูกกอดอีกครั้งปละเป็นกอดยามเช้าที่แสนดุดัน ทุก ๆ การหยัดกระแทกความเป็นชายเข้าใส่ช่องทาง ช่วงท้องน้อยจะรู้สึกวูบโหวงจนสั่นระริกไปทั้งกาย ฟินน์ไม่อยากจะเชื่อว่ามาเวอริคจะเริ่มเซ็กซ์รับวันใหม่แบบนี้ และไม่ใช่แค่รอบเดียวแต่มากถึงสามรอบจนเสียดช่องทางไปหมด ถุงยางที่เอามาใช้มันหมดไปในรอบที่สี่(รอบแรกของตอนเช้า) สองรอบสุดท้ายเลยต้องสดและฟินน์ก็ต้องรับเอาน้ำกามของคนด้านบนเข้ามาทุกหยาดหยดเสียงหอบหายใจของฟินน์ดังก้องห้อง ใบหน้าอิดโรยทั้งที่เพิ่งตื่นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ส่วนมาเวอริคที่ได้เสพสุขกับร่างกายฟินน์ ตอนนี้กำลังกระปรี้กระเปร่าและยังคลอเคลียฟินน์ไม่หยุด ริมฝีปากพรมจูบให้ทั่วกาย ทิ้งรอยมากมายแถมยังโอบกอดอย่างหวงแหน ฟินน์รู้สึกดีนะแต่ในใจมันยังไม่เชื่อเต็มร้อย ยังไม่ไว้ใจว่าการกระทำของมาเวอริคตอนนี้คือการกระทำของคนที่มีใจให้กัน มันจะผิดไหมถ้าเขาจะระแวงและเคลือบแคลงอีกสักหน่อย“พ พอแล้วครับ ผมไม่ไหวแล้ว” ฟินน์ร้องห้ามแล้วยกมือดันใบหน้าหล่อเหลาให้ออกห่าง แต่มาเวอริคกลับเลียฝ่ามือที่ยกดันและยังกัดเบา ๆ ให้ฟินน์ได้ค้างนิ่งอยู่แบบ
ฟินน์ลืมตาขึ้นมากลางดึกหลังนอนหลับพักเอาแรงไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ค่อย ๆ ยันตัวขึ้นนั่งแล้วมองคนข้างกายที่หลับสนิท มาเวอริคเวลาหลับสนิทดูเป็นผู้ชายที่ไร้พิษภัยมาก แต่การที่มาเวอริคสามารถหลับสนิทได้ก็เพราะมาเวอริคไว้ใจฟินน์ รู้สึกปลอดภัยยามมีฟินน์อยู่ด้วย จึงกล้าที่จะหลับโดยไร้ความกังวลใด ๆ ฟินน์ถึงมีความสุขและรู้สึกขอบคุณที่ผู้ชายคนนี้ไว้ใจตน“ผมรักพี่นะครับ” พูดออกมาด้วยเสียงที่เบาที่สุด กดริมฝีปากลงบนขมับแผ่วเบา ไล่ลงมาที่แก้มและหยุดที่ริมฝีปาก ฟินน์ยิ้มบางก่อนจะลงจากเตียงให้เขาที่สุด ไม่ได้อาบน้ำเพราะกลัวว่าเสียงน้ำอาจทำให้มาเวอริครู้สึกตัว ฟินน์เขียนจดหมายสั้น ๆ ทิ้งไว้แล้วสะพายกระเป๋าออกจากห้อง ปิดประตูให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเปลี่ยนปลายเท้าหันไปยังที่พักแห่งหนึ่ง พวกเอียนคงจะอยู่ที่นั่นและฟินน์ก็ต้องจัดการเรื่องบางอย่างก่อนออกจากเกาะ แต่ก่อนจะเดินไปได้หันมองประตูห้องอีกครั้ง‘ออกมาแค่นี้ผมก็คิดถึงคุณแล้ว แต่ไว้เจอกันนะครับแล้วผมจะรอ’ ยิ้มให้กับคนที่นอนอยู่ในห้องแล้วตรงไปหาพวกเอียนทันทีและกว่าจะได้ออกจากเกาะจริง ๆ ก็ตอนตีห้ากับอีกสี่สิบนาที ฟินน์มองหมู่เกาะเจมินี่ที่เริ่
เมืองคลานูเมืองใหญ่เป็นอันดับสองรองลงมาจากเมืองหลวง ฟินน์ที่มาถึงกำลังตกตะลึงกับความสวยงามของมัน นอกจากความสวยก็ยังมีบรรยากาศที่ดูปลอดโปร่งกว่าเมืองหลวงมาก ผู้คนหน้าตาสดใส ดูเป็นมิตรและน่าเข้าหากว่าในเมืองหลวงเยอะเลย ฟินน์สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนเรียกแท็กซี่เพื่อไปที่พัก พอได้ลองแพ็คกระเป๋าเที่ยวคนเดียวหลังซินดี้กลับไป ฟินน์ก็ได้ค้นพบเสน่ห์ของการแพ็คกระเป๋าเที่ยวคนเดียว มันไม่ได้เหงาอย่างที่คิดและไม่ได้แย่จนไม่อยากเที่ยว กลับกันกลับรู้สึกว่าได้รับอิสระและความเป็นส่วนตัวเยอะเลยล่ะนะ“ขอบคุณครับ” กล่าวขอบคุณเมื่อได้รับเงินทอนจากค่าแท็กซี่ พอก้าวลงจากรถมาก็เงยหน้าขึ้นมองโรงแรมที่จองไว้ มันไม่ได้หรูหราแต่ดูสะอาดสะอ้านและน่าพักมาก ๆ ของจริงดูดีกว่าในรูปหลายเท่าเลยล่ะ ฟินน์ยิ้มบางแล้วเดินเข้าไปด้านในเพื่อเช็คอินและเข้าพักผ่อน วันนี้จะยังไม่ออกเที่ยวแต่จะพักเอาแรงและศึกษาหาข้อมูลอื่น ๆ ก่อนออกไปผจญภัยRrrrrrrrเช็คอินและเปิดห้องได้ไม่ถึงสิบนาที เสียงเรียกข้าวของโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา ฟินน์จึงเปิดระเบียงแล้วออกมารับลมพร้อมกับนำโทรศัพท์ออกมากดรับสาย“ครับแม่” กรอกเสียงลงไปพร้อมรอยยิ้มที่ประดับบน
เมืองคลานูเป็นเมืองใหญ่รองลงมาจากเมืองหลวงจามิล การท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อที่สุดของเมืองคลานูคือการปีนเขาเพื่อชมทิวทัศน์อันแสนงดงามของเมืองคลานู การเดินป่าตั้งแคมป์แบบหมู่คณะ และยังมีกิจกรรมแอดเวนเจอร์อื่น ๆ อีกมากให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัส ฟินน์เองก็เป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยวที่กระหายในกิจกรรมเหล่านี้เช่นกัน“น่าเล่นทั้งนั้นเลยแฮะ” ฟินน์ยืนอ่านรายละเอียดของกิจกรรมแอดแวนเจอร์อย่างสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการกระโดดร่ม การปีนผาจำลอง ขับรถ ATV ล่องแก่งและอีกมากมาย แต่ที่ฟินน์สนใจมากที่สุดคือการกระโดดร่มและขับรถ ATV หลังจากยืนตัดสินใจอยู่นาน ฟินน์เลือกที่จะไปกระโดดร่มก่อนและตามต่อด้วยขับรถ ATV แม้ใจจริงจะอยากทำทุกอย่างแต่เวลามันไม่มากขนาดนั้นวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ฟินน์จะเที่ยวในเมืองคลานู สถานที่ต่อไปคือเมืองรัมเปลที่ขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมต่าง ๆ เรียกว่าเป็นเมืองที่รวบรวมวัฒนธรรมจามิลนับแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบันเลยก็ว่าได้ ฟินน์สนใจและฟินน์อยากจะไปเชยชมเร็ว ๆ ดังนั้น การเที่ยวเมืองคลานูจึงจะจบลงในวันนี้ เมื่อตัดสินใจว่าจะเริ่มกระโดดร่มก่อน ฟินน์ก็เดินไปจองที่หน้างานในทันที ปกติแล้วต้องจองล่วงหน้าผ่านเ