“นายยังไม่บอกฉันเรื่องแม่นาย” มาเวอริคเอ่ยบอกคนข้างกายที่ยังดูเพลียอยู่ ทางฟินน์ก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่ามาเวอริคจะออกเดินทางตอนตีสาม ไม่มีบอกอะไรกันเลยสักนิดแต่เล่นกอดเขาจนตีสองครึ่ง เวลาที่ฟินน์ได้นอนพักเอาแรงจึงมีเพียงแค่สามสิบนาทีเท่านั้น“พ่อกับแม่ผมหย่ากันตอนผมอายุราวสิบปีน่ะครับ แม่ย้ายมาจามิลก็หลังจากผมอายุสิบสอง แม่ทิ้งไว้เพียงเบอร์ติดต่อและผมเก็บติดตัวมาตลอด ก็แอบกังวลบ้างครับว่าแม่จะเปลี่ยนเบอร์แต่โชคดีที่เหมือนจะยัง ผมอยู่กับพ่อได้ประมาณห้าปี ถึงหนีออกจากบ้านแล้วเร่ร่อนอยู่ร่วมหนึ่งปี คาร์ลอฟถึงเก็บผมมาเลี้ยงและฝึกสอนอะไรต่าง ๆ ให้น่ะครับ” ฟินน์เล่าเรื่องราวของตนเองให้กับมาเวอริคฟัง แม้จะเพลียและอยากนอนพักสักหน่อยก็ตาม แต่ถ้าคนข้างกายอย่างรู้เรื่องของเขา ฟินน์ก็จะบอกให้หมดทุกเรื่อง“นายรู้ไหมว่าทำไมแม่นายถึงย้ายมาไกลถึงจามิล”“ถ้าผมเดาไม่ผิดก็คงหนีจากพ่อที่ช่วงแรกตามรังควานแม่ครับ ส่วนเหตุผลที่สองก็คงอยากเริ่มต้นใหม่ด้วยน่ะครับ” ฟินน์ยิ้มบางยามนึกถึงมารดา แต่พอนึกถึงหน้าแม่แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นกับมาเวอริคมันก็ฉายซ้ำอีกครั้ง “ผมขอถามคุณบ้าง คุณสะดวกใจจะพบแม่ผมหรือเปล่าครับ” ร
ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาอันร่มเย็นในเวลาช่วงบ่ายของวัน มีรถวีลแชร์ที่มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่พร้อมด้วยลูกเขยที่ยืนสูบบุหรี่อยู่เงียบ ๆ อังเดรได้เอ่ยขอเวลามาเวอริคเป็นการส่วนตัวเพื่อพูดคุย ซึ่งมาเวอริคเองก็ยินดีและเดินตามมาจนมาถึงใต้ต้นไม้นี้ เบื้องหน้าคือทุ่งข้าวสาลีสีเหลืองทองดูงดงาม ขยับพลิ้วตามแรงลมที่พัดผ่านและอีกไม่นานคงถึงเวลาเก็บเกี่ยวมันแล้ว“ที่มันง่ายขึ้นเพราะคุณใช่ไหม?” มาเวอริคเป็นคนเอ่ยทำลายความเงียบระหว่างพวกเขาสองคน แม้มาเวอริคจะยังมองตรงไปยังทุ่งข้างสาลีตรงหน้า แต่เขาก็ไม่ได้สนใจหรือใส่ใจมันมากนัก ตอนนี้มาเวอริคสนใจพ่อเลี้ยงของฟินน์มากกว่า ดูเป็นคนมีความสามารถพอสมควรแต่น่าเสียดายที่ดันกลายเป็นคนพิการ“คิดว่าคนแก่ ๆ อย่างผมจะทำอะไรได้กัน” อังเดรหัวเราะเบา ๆ ก่อนยิ้มแล้วมองทุ่งข้าวสาลี ยามมันพลิ้วไปตามแรงลมในทิศทางเดียวกัน “ผมขอถามอะไรคุณหน่อยสิ สักสองสามคำถาม”“ว่ามาสิ”“ก่อนอื่นผมขอบุหรี่สักมวนสิ” อังเดรเงยหน้าขึ้นมองคนข้างกาย มาเวอริหันมามองพ่อตาที่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนส่งซองบุหรี่ราคาแพงพร้อมไฟแช็คซิปโป้ให้ อังเดรรับมาแล้วเคาะบุหรี่มาคาบไว้หนึ่งมวน จุดไฟสูบที่ปลายพลางมองควันส
“นายจะนอนไปถึงเมื่อไหร่ฟินน์? รีบลุกไปจัดการตัวเองได้แล้ว” น้ำเสียงของผู้เป็นนายนาม มาเวอริค คาร์ลอฟ ค่อนข้างหงุดหงิดและไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะเดิมทีหากทำหน้าที่เสร็จเรียบร้อย ฟินน์จะต้องออกจากห้องไปก่อนแล้ว แต่เมื่อคืนฟินน์ถูกมาเวอริคทำหนักเกินไป ตรงนี้จึงพอเข้าใจแต่การตื่นทีหลังเขา มันดูไร้ความรับผิดชอบต่อหน้าที่สิ้นดี“อึก... ข ขออภัยครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้” ฟินน์กัดฟันยันตัวขึ้นลุกนั่ง ร่างกายเขาแทบไม่ไหวแต่ต้องทนฝืนเพื่อลงจากเตียง ตามตัวฟินน์มีแต่รอยกัด รวมถึงร่องรอยของนิ้วมือเต็มไปหมด มาเวอริคไม่สนใจท่าทีทรมานของฟินน์ ผู้เป็นนายหันหลังแล้วจัดการไดร์ผมให้แห้ง จัดทรงผม ทาครีมแล้วแต่งตัวด้วยเสื้อสเวทเตอร์แขนยาวสีดำ กางเกงสแลคสีน้ำตาลพับขาเล็กน้อย รองเท้าโลฟเฟอร์สีเดียวกับกางเกง มาเวอริคตรวจความเรียบร้อยแล้วคว้าเสื้อโค้ทตัวยาวที่มีขนาดพอดีกับขากางเกงมาคลุมไหล่“ชิ...!” พอหันกลับมาเห็นว่าฟินน์เพิ่งลงจากเตียงไปอยู่หน้าประตูห้อง การเคลื่อนไหวชักช้าจนน่ารำคาญใจ แต่หากผู้เป็นนายลองสังเกตสักนิด เขาจะเห็นว่าสีหน้าของฟินน์ดูไม่ดีเลย “นายจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วกลับคาร์ลอฟไปซะ ฉันไม่ต้
คฤหาสน์มาร์การ์เล็ตมาเวอริครู้สึกตัวตื่นในช่วงเช้าของวัน ทั้งที่เพิ่งนอนเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วแต่เขากลับตื่นขึ้นมาเวลาเจ็ดโมงเช้าของวัน มาเวอริคยันตัวลุกนั่งก่อนยกมือกุมขมับแล้วปรายตามองคนข้างกายริชาร์ด มาร์การ์เล็ต ผู้นำมาเฟียตระกูลมาร์การ์เล็ตในประเทศรันเซีย แม้จะไม่ใช่องค์กรใหญ่มากมายอะไร แต่ก็ถือว่ามีอำนาจและอิทธิพลพอสมควร ทว่าเหตุผลแรกที่ไม่ใช่เหตุผลหลัก มาเวอริคสนับสนุนมาร์การ์เล็ตเพราะ ‘จูงจมูกง่าย’ รู้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นหน้า มาเวอริคถึงได้ปล่อยให้มาร์การ์เล็ตเข้าหา แต่คนสนิทของเขากลับขัดขวาง มันเลยทำให้แผนของเขารวนหมดแม้สุดท้ายจะได้เข้าแทรกมาร์การ์เล็ตในฐานะผู้สนับสนุนตามที่วางแผนไว้ก็เถอะ แต่จะว่าไป ป่านนี้ไปอยู่ไหน? ทำไมถึงไม่มาตาม ปกติเดิมทีแล้ว ‘ฟินน์ ไอแซค’ คนสนิทที่เปรียบดั่งมือขวาและมือซ้ายในเวลาเดียวกันจะต้องมาเรียกเขา เข้ามาปลุกเขาโดยไม่สนว่าจะนอนที่ไหนพร้อมรายงานเรื่องที่ต้องทำในวันนี้‘อา จริงสินะ...’ มาเวอริคคิดในใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาลงโทษฟินน์หนักมือไปหน่อย ร่างกายของฟินน์เลยไม่พร้อม แถมเขายังหงุดหงิดไล่ฟินน์กลับประเทศ ทว่ามาเวอริคก็เชื่อว่าฟินน์นั้นไม
การเดินทางอันยาวนานถึง 10 ชั่วโมงได้สิ้นสุดลงแล้ว เครื่องบินส่วนตัวของทายาทคาร์ลอฟกำลังลงจอดบนสนามบินส่วนตัวของตระกูลคาร์ลอฟที่อยู่ติดกับสนามบินใหญ่อิงเกรเซียน มาเวอริคลงจากเครื่องทันทีที่จอดสนิทและอิวานต้องทำหน้าที่แทนฟินน์ที่ลาออกไป ตั้งแต่นำเอกสารเดินทางไปที่สนามบินใหญ่เพื่อจัดการเรื่องเข้าออกประเทศของผู้เป็นนาย จนถึงดูแลเรื่องกระเป๋าเดินทาง‘ลาออกเพื่อลำบากฉันแท้ ๆ เลย’ อิวานขมวดคิ้วขณะนึกถึงฟินน์และงานที่เขาต้องทำแทน แต่หากกลับถึงคฤหาสน์คาร์ลอฟเมื่อไหร่ หน้าที่ของเขาก็จะสิ้นสุดลง ดังนั้น ทนอีกหน่อยแล้วกันเพื่อเงิน เพื่ออิสระ“ยินดีต้อนรับกลับครับท่านมาเวอริค!” ชายชุดดำที่หน้าอกของสูทปักสัญลักษณ์ตระกูลเอ่ยทักทายเสียงดังฟังชัดพร้อมค้อมศีรษะเก้าสิบองศา มาเวอริคพยักหน้ารับแล้วก้าวขึ้นไปบนรถทันทีที่ประตูถูกเปิด เขามาถึงอิงเกรเซียนในช่วง 2 A.M. แต่ประเทศแห่งนี้ก็ยังไม่หลับใหลเหมือนอย่างเคย มาเวอริคเท้าศอกลงกับขอบประตูขณะมือค้ำแก้มทอดสายตาออกไปนอกรถ“นายรู้เรื่องที่คนสนิทฉันลาออกใช่ไหม?” มาเวอริคเอ่ยถามเสียงแข็งพร้อมใช้คำว่าคนสนิทแทนที่จะเอ่ยชื่อฟินน์ออกไป“รู้ครับ” คนขับรถพยักหน้าพร้อม
เป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่มาเวอริคถูกขังในห้องเก่า ๆ ของชั้นแรก มันเหมือนกับห้องนอนปกติเพียงแต่ข้าวของที่มีดูเก่าและดูใช้ได้เพียงไม่กี่อย่าง แต่มาเวอริคไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่เพราะตอนนี้ความคิดของเขา มันกำลังจมอยู่กับการหาตัวคนทรยศ ซึ่งมีชื่ออยู่ในใจแล้วแต่จะยังไม่คอนเฟิร์มแม้เปอร์เซ็นต์จะสูงก็ตาม มาเวอริคถอนหายใจก่อนมองดูโซ่เส้นใหญ่ที่ล่ามข้อเท้าทั้งสองข้าง จากการลองยกข้อเท้าดูแล้วพบว่าน้ำหนักของโซ่ค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่ได้มากจนถ่วงการขยับหรือการเคลื่อนไหวของร่างกายได้มาเวอริคมองไปรอบ ๆ ห้องแล้วหยุดสายตาที่ถาดอาหาร ถึงจะถูกขังในฐานะคนทรยศแต่อาหารการกินยังดูดีอยู่ ก็สมกับที่เอดิสันให้ความชื่นชอบมาเวอริคมากกว่าใคร มาเวอริคถอนหายใจแล้วเอนกายลงนอน สายตาทอดมองเพดานห้องก่อนค่อย ๆ ปิดลงพร้อมความคิดมากมายที่แล่นอยู่ในหัวผัวะ!แต่การพักผ่อนกลับถูกทำลายด้วยประตูห้องที่ถูกเปิดออกอย่างแรง มาเวอริคยันกายขึ้นลุกนั่งแล้วมองตรงไปยังหน้าประตูห้อง“มารยาทหายไปไหนกันหมด?” เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์แล้วมองหน้าบิดาด้วยสายตาแข็งกร้าว“ปากดีเหมือนเดิมเลยนี่ลูกชาย แต่ที่ฉันมาหาแกในวันนี้เพราะฉันมีเรื่องต้องคุยกับ
3 วันต่อมามาเวอริคลืมตาขึ้นมาพร้อมกับความปวดร้าวทั้งร่างกาย และภาพเพดานที่คุ้นเคยมันก็ทำให้เขารู้ตัวว่า ตัวเขาเข้ามาอยู่ห้องขังใต้ดินเป็นเวลาสามวันแล้ว มันทั้งอับทั้งชื้นและมีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย มาเวอริคค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจแล้วพยุงตัวขึ้นลุกนั่ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันยามความเจ็บแปล๊บวิ่งไปทั่วร่างทันทีที่ขยับตัว แต่พอลุกนั่งได้แล้วก็ค่อย ๆ เอนหลังพิงผนังห้องเย็น ๆ“เจ็บชะมัด” บ่นกับตัวเองแล้วเงยหน้ามองเพดานห้อง ผ่อนลมหายใจออกทางปากอย่างช้า ๆ ตอนนี้มาเวอริคไม่รู้สึกถึงน้ำหนักที่ข้อเท้าแล้วนั่นหมายความว่า โซ่ตรวนที่ถูกตัดถูกนำออกไปแล้วเรียบร้อย ทว่า สภาพของเขาในตอนนี้มันก็น่าเวทนาเหลือเกิน มาเวอริคเริ่มคิดว่าเขาจะรับมือกับอเล็กซานเดอร์ที่ลงมาหายังไงดี เพราะสามวันที่ผ่านมามันเต็มไปด้วยการทรมานที่แสนสาหัส เพียงแค่ต้องการรู้คำตอบในสิ่งที่มาเวอริคบอกกับโรนัลเดล บวกกับความเกลียดชังที่อเล็กซานเดอร์มีต่อมาเวอริค ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเลยกลายเป็นบาดแผลที่ยังไม่หายดีบนร่างกายมาเวอริค และมาเวอริคก็มีเรื่องมากมายที่อยากเอ่ยถามกับอเล็กซานเดอร์หากอเล็กซานเดอร์ลงมาหาเขาอีกครั้ง เขาจะเอ่ยถามทุกสิ่งทุกอย่า
@Dark-night Hotel“ท่านมาเวอริค!” เอียนรีบวิ่งเข้ามารับร่างของผู้เป็นนายที่ดูอ่อนแรง โชคดีมากที่คนของ เจฟรีย์ โรนัลเดล ยังจำเจ้านายของตนได้ เอียนและบาโน่ช่วยกันพยุงมาเวอริคมายังลิฟต์ ใจจริงอยากพาเจ้านายนั่งพักก่อนแต่สถานการณ์ตอนนี้ ทางที่ดีรีบพาเจ้านายขึ้นห้องที่เจฟรีย์อยู่จะดีที่สุดในที่สุดมาเวอริคก็ได้พักหายใจหลังเดินเท้าเปล่ามาอย่างยาวนานหลายนาทีหรืออาจจะเกือบชั่วโมง ตอนนี้เท้าของเขาแทบไม่มีความรู้สึกอะไรแล้วและไหนจะร่างกายที่บอบช้ำ ที่ยังมีชีวิตรอดมาได้จนตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว มาเวอริคผ่อนลมหายใจก่อนปรายตามองลูกน้องของตน“พวกแกตัดสินใจเองหรือไง?” เอ่ยถามขึ้นมาและเอียนก็เข้าใจคำถามได้ทันที“ครับและผมก็คิดว่าท่านมาเวอริคเองก็ต้องการแบบนี้เหมือนกัน” เอียนเป็นคนตอบ“หึ ทำดีมาก” มาเวอริคยิ้มมุมปากก่อนลิฟต์จะมาถึงชั้นสูงสุดพอดี พอประตูลิฟต์เปิดออกก็พบกับคนของโรนัลเดลมากมาย รวมถึงศพคนคาร์ลอฟที่นอนจมกองเลือด“สภาพแย่ยิ่งกว่าหมาอีกไม่ใช่เหรอนั่น” เจฟรีย์ที่ยืนคุยกับลูกน้องหันมองลิฟต์ที่เปิดออกและเอ่ยทักทายมาเวอริคอย่างเป็นกันเอง“ขอบใจที่เปรียบกับหมาแทนที่จะเป็นขยะ” มาเวอริคตอบกลับก
ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาอันร่มเย็นในเวลาช่วงบ่ายของวัน มีรถวีลแชร์ที่มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่พร้อมด้วยลูกเขยที่ยืนสูบบุหรี่อยู่เงียบ ๆ อังเดรได้เอ่ยขอเวลามาเวอริคเป็นการส่วนตัวเพื่อพูดคุย ซึ่งมาเวอริคเองก็ยินดีและเดินตามมาจนมาถึงใต้ต้นไม้นี้ เบื้องหน้าคือทุ่งข้าวสาลีสีเหลืองทองดูงดงาม ขยับพลิ้วตามแรงลมที่พัดผ่านและอีกไม่นานคงถึงเวลาเก็บเกี่ยวมันแล้ว“ที่มันง่ายขึ้นเพราะคุณใช่ไหม?” มาเวอริคเป็นคนเอ่ยทำลายความเงียบระหว่างพวกเขาสองคน แม้มาเวอริคจะยังมองตรงไปยังทุ่งข้างสาลีตรงหน้า แต่เขาก็ไม่ได้สนใจหรือใส่ใจมันมากนัก ตอนนี้มาเวอริคสนใจพ่อเลี้ยงของฟินน์มากกว่า ดูเป็นคนมีความสามารถพอสมควรแต่น่าเสียดายที่ดันกลายเป็นคนพิการ“คิดว่าคนแก่ ๆ อย่างผมจะทำอะไรได้กัน” อังเดรหัวเราะเบา ๆ ก่อนยิ้มแล้วมองทุ่งข้าวสาลี ยามมันพลิ้วไปตามแรงลมในทิศทางเดียวกัน “ผมขอถามอะไรคุณหน่อยสิ สักสองสามคำถาม”“ว่ามาสิ”“ก่อนอื่นผมขอบุหรี่สักมวนสิ” อังเดรเงยหน้าขึ้นมองคนข้างกาย มาเวอริหันมามองพ่อตาที่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนส่งซองบุหรี่ราคาแพงพร้อมไฟแช็คซิปโป้ให้ อังเดรรับมาแล้วเคาะบุหรี่มาคาบไว้หนึ่งมวน จุดไฟสูบที่ปลายพลางมองควันส
“นายยังไม่บอกฉันเรื่องแม่นาย” มาเวอริคเอ่ยบอกคนข้างกายที่ยังดูเพลียอยู่ ทางฟินน์ก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่ามาเวอริคจะออกเดินทางตอนตีสาม ไม่มีบอกอะไรกันเลยสักนิดแต่เล่นกอดเขาจนตีสองครึ่ง เวลาที่ฟินน์ได้นอนพักเอาแรงจึงมีเพียงแค่สามสิบนาทีเท่านั้น“พ่อกับแม่ผมหย่ากันตอนผมอายุราวสิบปีน่ะครับ แม่ย้ายมาจามิลก็หลังจากผมอายุสิบสอง แม่ทิ้งไว้เพียงเบอร์ติดต่อและผมเก็บติดตัวมาตลอด ก็แอบกังวลบ้างครับว่าแม่จะเปลี่ยนเบอร์แต่โชคดีที่เหมือนจะยัง ผมอยู่กับพ่อได้ประมาณห้าปี ถึงหนีออกจากบ้านแล้วเร่ร่อนอยู่ร่วมหนึ่งปี คาร์ลอฟถึงเก็บผมมาเลี้ยงและฝึกสอนอะไรต่าง ๆ ให้น่ะครับ” ฟินน์เล่าเรื่องราวของตนเองให้กับมาเวอริคฟัง แม้จะเพลียและอยากนอนพักสักหน่อยก็ตาม แต่ถ้าคนข้างกายอย่างรู้เรื่องของเขา ฟินน์ก็จะบอกให้หมดทุกเรื่อง“นายรู้ไหมว่าทำไมแม่นายถึงย้ายมาไกลถึงจามิล”“ถ้าผมเดาไม่ผิดก็คงหนีจากพ่อที่ช่วงแรกตามรังควานแม่ครับ ส่วนเหตุผลที่สองก็คงอยากเริ่มต้นใหม่ด้วยน่ะครับ” ฟินน์ยิ้มบางยามนึกถึงมารดา แต่พอนึกถึงหน้าแม่แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นกับมาเวอริคมันก็ฉายซ้ำอีกครั้ง “ผมขอถามคุณบ้าง คุณสะดวกใจจะพบแม่ผมหรือเปล่าครับ” ร
ยิมต่อยมวยคือสถานที่ที่ฟินน์เลือกมารอในระหว่างที่มาเวอริคหลับ แต่ฟินน์ไม่ได้มาคนเดียวเพราะพ่วงด้วยบาโน่ โกร์และเกร์มาด้วย ทั้งสามไม่เข้าใจว่าฟินน์พามาทำไมแต่เมื่อเห็นอดีตหัวหน้าขึ้นบนสังเวียนมวยพร้อมผ้าสีขาวที่พันฝ่ามือ สายตาที่มองมายังพวกเขาพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ บนริมฝีปากนั้น“ใครจะไปก่อน” บาโร่กัดฟันถามเสียงเบา สายตาไม่กล้าละจากอดีตหัวหน้าเพราะเกรงว่า ทันทีที่หลบสายตาจะกลายเป็นแรกที่ถูกเรียก“แกไปก่อนสิ เกลียดหัวหน้าไม่ใช่หรือไง” โกร์ใช้ศอกกระทุ้งข้างเอวน้องชาย“นี่ผมเป็นน้องพี่นะเว้ย!” เกร์ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยิน“มาสุภาพอะไรตอนนี้ ฉันไม่สงสารแกหรอกน้องชาย”“เป็นพี่ที่ดีจริง ๆ !” เกร์ใช้ศอกกระทุ้งกลับแล้วมองไปบนสังเวียน ตอนนี้ฟินน์พันผ้าที่ฝ่ามือสองข้าวเรียบร้อยแล้วและกำลังมองลงมาพร้อมกับฝ่ามือที่กวักเรียก ไม่เจาะจงว่าเป็นใครแต่อยู่ที่ใครจะยอมสละชีวิตขึ้นไปก่อน เกร์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ยามเห็นร่างกายของฟินน์ที่สวมเพียงเสื้อกล้ามสีดำ กางเกงวอร์มขนาดพอดีตัวสีเดียวกัน ทั้งที่ลาออกจากการเป็นบอดี้การ์ดไปหลายเดือนแต่ร่างกายยังคงดูกำยำอยู่เหมือนเดิม เกร์เกลียดนะแต่ตอนนี้ชักอิจฉา
มาเวอริคเดินกลับมาที่รถพร้อมปรับสีหน้าให้นิ่งลง นิ่งมากจนใครที่เห็นต่างพากันหลบสายตา บอกตามตรงว่าแม่ฟินน์คือตัวแปรที่มาเวอริคไม่คาดคิด ความจริงแล้วในวินาทีที่ฟินน์บอกจะไม่กลับมา มาเวอริคคิดจะใช้กำลังบังคับลากกลับรันเซียโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ถึงจะยอมรับเรื่องที่ตกใจมากก็ตามในจังหวะที่ฟินน์ไม่ยอมกลับ ทว่าในเมื่อยอมทำตามที่ต้องการขนาดนี้แล้วยังไม่ยอม ก็ได้เวลาที่เขาควรทำตามที่ตนเองต้องการบ้างสิถูกไหม? แต่แค่นึกถึงตอนที่ฟินน์เรียกเขาด้วยน้ำเสียงแบบนั้น มาเวอริคก็พลันไม่ชอบขึ้นมาเพราะดูเหมือนว่าฟินน์จะให้ความสำคัญกับแม่มาก“แม่งั้นเหรอ เหอะ!” ยกมือเสยผมลวก ๆ อย่างหงุดหงิดใจพลางเดาะลิ้นสบถคำหยาบมากมายออกมา ในตอนที่กำลังจะเปิดประตูรถเพื่อกลับขึ้นไปนั่งสงบสติอารมณ์ หางตามาเวอริคเห็นว่าลูกน้องของเขากำลังวิ่งกลับมาทางนี้ ถึงจะแปลกใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรนอกจากเปิดประตูแล้วขึ้นมานั่ง บาโน่ โกร์และเกร์รู้สึกผิดมากที่ละเลยหน้าที่ของตนเอง แต่ที่ตามไปก็เพราะอยากจะเห็นว่าข้างในนั้นเป็นแบบไหนภาพครอบครัวที่ดูอบอุ่นนั้นมันไม่เหมาะกับพวกเขาเลย ส่วนเอียนนั้นเหมาะสมแล้วเพราะหลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้น นี่เ
การตามหาฟินน์ยังคงดำเนินต่อไปแม้จะยากลำบากและดูริบหรี่ แต่มาเวอริคก็ไม่คิดจะยอมแพ้แต่อย่างใดแต่กลับสร้างเครือข่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อสัปดาห์ที่เอียนลาพักงานไป มาเวอริคก็ได้ออกตามหาฟินน์ด้วยการขับรถและใช้รูปถ่ายของฟินน์ทั่วเมืองคลานู ปรากฏว่าที่สนามของสกายไดร์ฟมีข้อมูลของฟินน์ มีพนักงานเคยเห็นหน้าฟินน์ว่าฟินน์มาร่วมเล่นสกายไดร์ฟเช่นกัน แต่หลังจากนั้นมาเวอริคก็หาข้อมูลของฟินน์จากเมืองนี้ไม่ได้อีกเลย ราวกับว่าอยู่ ๆ ก็หายตัวไปยังไงอย่างนั้น“นายนี่มัน... ไหวตัวได้เร็วจริง ๆ” มาเวอริคบ่นกับภาพถ่ายแล้วถอนหายใจออกมา ภาพถ่ายนี้ก็เป็นภาพที่ได้จากอิการาชิโดยให้อิการาชิ เข้าหาในเครือข่ายของคาร์ลอฟเผื่อจะมีข้อมูลของบอดี้การ์ดครบทุกคน ทั้งที่ตายและยังอยู่ ทั้งที่ลาออกและยังทำงาน ผลของมันคืออิการาชิเอารูปถ่ายของฟินน์มาให้ได้ ปกติแล้วมาเวอริคไม่ได้ขับรถออกมาตามหาเองแบบนี้ เขาจะใช้เส้นสายและเครือข่ายที่เขาสร้างขึ้นมาตามหาฟินน์แบบสบาย ๆ เพียงแค่ออกปากก็นั่งรอรับข้อมูลได้เลยทว่ามาเวอริคอยากออกมารับอากาศภายนอกบ้างและอยากให้การตามหาฟินน์เป็นการเที่ยวไปในตัว มาเวอริคจะเข้าใจฟินน์ว่าทำไมถึงดูชอบในการท่อ
เมืองคลานูเป็นเมืองใหญ่รองลงมาจากเมืองหลวงจามิล การท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อที่สุดของเมืองคลานูคือการปีนเขาเพื่อชมทิวทัศน์อันแสนงดงามของเมืองคลานู การเดินป่าตั้งแคมป์แบบหมู่คณะ และยังมีกิจกรรมแอดเวนเจอร์อื่น ๆ อีกมากให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัส ฟินน์เองก็เป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยวที่กระหายในกิจกรรมเหล่านี้เช่นกัน“น่าเล่นทั้งนั้นเลยแฮะ” ฟินน์ยืนอ่านรายละเอียดของกิจกรรมแอดแวนเจอร์อย่างสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการกระโดดร่ม การปีนผาจำลอง ขับรถ ATV ล่องแก่งและอีกมากมาย แต่ที่ฟินน์สนใจมากที่สุดคือการกระโดดร่มและขับรถ ATV หลังจากยืนตัดสินใจอยู่นาน ฟินน์เลือกที่จะไปกระโดดร่มก่อนและตามต่อด้วยขับรถ ATV แม้ใจจริงจะอยากทำทุกอย่างแต่เวลามันไม่มากขนาดนั้นวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ฟินน์จะเที่ยวในเมืองคลานู สถานที่ต่อไปคือเมืองรัมเปลที่ขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมต่าง ๆ เรียกว่าเป็นเมืองที่รวบรวมวัฒนธรรมจามิลนับแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบันเลยก็ว่าได้ ฟินน์สนใจและฟินน์อยากจะไปเชยชมเร็ว ๆ ดังนั้น การเที่ยวเมืองคลานูจึงจะจบลงในวันนี้ เมื่อตัดสินใจว่าจะเริ่มกระโดดร่มก่อน ฟินน์ก็เดินไปจองที่หน้างานในทันที ปกติแล้วต้องจองล่วงหน้าผ่านเ
เมืองคลานูเมืองใหญ่เป็นอันดับสองรองลงมาจากเมืองหลวง ฟินน์ที่มาถึงกำลังตกตะลึงกับความสวยงามของมัน นอกจากความสวยก็ยังมีบรรยากาศที่ดูปลอดโปร่งกว่าเมืองหลวงมาก ผู้คนหน้าตาสดใส ดูเป็นมิตรและน่าเข้าหากว่าในเมืองหลวงเยอะเลย ฟินน์สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนเรียกแท็กซี่เพื่อไปที่พัก พอได้ลองแพ็คกระเป๋าเที่ยวคนเดียวหลังซินดี้กลับไป ฟินน์ก็ได้ค้นพบเสน่ห์ของการแพ็คกระเป๋าเที่ยวคนเดียว มันไม่ได้เหงาอย่างที่คิดและไม่ได้แย่จนไม่อยากเที่ยว กลับกันกลับรู้สึกว่าได้รับอิสระและความเป็นส่วนตัวเยอะเลยล่ะนะ“ขอบคุณครับ” กล่าวขอบคุณเมื่อได้รับเงินทอนจากค่าแท็กซี่ พอก้าวลงจากรถมาก็เงยหน้าขึ้นมองโรงแรมที่จองไว้ มันไม่ได้หรูหราแต่ดูสะอาดสะอ้านและน่าพักมาก ๆ ของจริงดูดีกว่าในรูปหลายเท่าเลยล่ะ ฟินน์ยิ้มบางแล้วเดินเข้าไปด้านในเพื่อเช็คอินและเข้าพักผ่อน วันนี้จะยังไม่ออกเที่ยวแต่จะพักเอาแรงและศึกษาหาข้อมูลอื่น ๆ ก่อนออกไปผจญภัยRrrrrrrrเช็คอินและเปิดห้องได้ไม่ถึงสิบนาที เสียงเรียกข้าวของโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา ฟินน์จึงเปิดระเบียงแล้วออกมารับลมพร้อมกับนำโทรศัพท์ออกมากดรับสาย“ครับแม่” กรอกเสียงลงไปพร้อมรอยยิ้มที่ประดับบน
ฟินน์ลืมตาขึ้นมากลางดึกหลังนอนหลับพักเอาแรงไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ค่อย ๆ ยันตัวขึ้นนั่งแล้วมองคนข้างกายที่หลับสนิท มาเวอริคเวลาหลับสนิทดูเป็นผู้ชายที่ไร้พิษภัยมาก แต่การที่มาเวอริคสามารถหลับสนิทได้ก็เพราะมาเวอริคไว้ใจฟินน์ รู้สึกปลอดภัยยามมีฟินน์อยู่ด้วย จึงกล้าที่จะหลับโดยไร้ความกังวลใด ๆ ฟินน์ถึงมีความสุขและรู้สึกขอบคุณที่ผู้ชายคนนี้ไว้ใจตน“ผมรักพี่นะครับ” พูดออกมาด้วยเสียงที่เบาที่สุด กดริมฝีปากลงบนขมับแผ่วเบา ไล่ลงมาที่แก้มและหยุดที่ริมฝีปาก ฟินน์ยิ้มบางก่อนจะลงจากเตียงให้เขาที่สุด ไม่ได้อาบน้ำเพราะกลัวว่าเสียงน้ำอาจทำให้มาเวอริครู้สึกตัว ฟินน์เขียนจดหมายสั้น ๆ ทิ้งไว้แล้วสะพายกระเป๋าออกจากห้อง ปิดประตูให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเปลี่ยนปลายเท้าหันไปยังที่พักแห่งหนึ่ง พวกเอียนคงจะอยู่ที่นั่นและฟินน์ก็ต้องจัดการเรื่องบางอย่างก่อนออกจากเกาะ แต่ก่อนจะเดินไปได้หันมองประตูห้องอีกครั้ง‘ออกมาแค่นี้ผมก็คิดถึงคุณแล้ว แต่ไว้เจอกันนะครับแล้วผมจะรอ’ ยิ้มให้กับคนที่นอนอยู่ในห้องแล้วตรงไปหาพวกเอียนทันทีและกว่าจะได้ออกจากเกาะจริง ๆ ก็ตอนตีห้ากับอีกสี่สิบนาที ฟินน์มองหมู่เกาะเจมินี่ที่เริ่
เพียงแค่ลืมตาตื่นแล้วประสานสายตากับนัยน์ตาสีน้ำเงินคราม ฟินน์ก็ถูกกอดอีกครั้งปละเป็นกอดยามเช้าที่แสนดุดัน ทุก ๆ การหยัดกระแทกความเป็นชายเข้าใส่ช่องทาง ช่วงท้องน้อยจะรู้สึกวูบโหวงจนสั่นระริกไปทั้งกาย ฟินน์ไม่อยากจะเชื่อว่ามาเวอริคจะเริ่มเซ็กซ์รับวันใหม่แบบนี้ และไม่ใช่แค่รอบเดียวแต่มากถึงสามรอบจนเสียดช่องทางไปหมด ถุงยางที่เอามาใช้มันหมดไปในรอบที่สี่(รอบแรกของตอนเช้า) สองรอบสุดท้ายเลยต้องสดและฟินน์ก็ต้องรับเอาน้ำกามของคนด้านบนเข้ามาทุกหยาดหยดเสียงหอบหายใจของฟินน์ดังก้องห้อง ใบหน้าอิดโรยทั้งที่เพิ่งตื่นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ส่วนมาเวอริคที่ได้เสพสุขกับร่างกายฟินน์ ตอนนี้กำลังกระปรี้กระเปร่าและยังคลอเคลียฟินน์ไม่หยุด ริมฝีปากพรมจูบให้ทั่วกาย ทิ้งรอยมากมายแถมยังโอบกอดอย่างหวงแหน ฟินน์รู้สึกดีนะแต่ในใจมันยังไม่เชื่อเต็มร้อย ยังไม่ไว้ใจว่าการกระทำของมาเวอริคตอนนี้คือการกระทำของคนที่มีใจให้กัน มันจะผิดไหมถ้าเขาจะระแวงและเคลือบแคลงอีกสักหน่อย“พ พอแล้วครับ ผมไม่ไหวแล้ว” ฟินน์ร้องห้ามแล้วยกมือดันใบหน้าหล่อเหลาให้ออกห่าง แต่มาเวอริคกลับเลียฝ่ามือที่ยกดันและยังกัดเบา ๆ ให้ฟินน์ได้ค้างนิ่งอยู่แบบ