คฤหาสน์มาร์การ์เล็ต
มาเวอริครู้สึกตัวตื่นในช่วงเช้าของวัน ทั้งที่เพิ่งนอนเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วแต่เขากลับตื่นขึ้นมาเวลาเจ็ดโมงเช้าของวัน มาเวอริคยันตัวลุกนั่งก่อนยกมือกุมขมับแล้วปรายตามองคนข้างกาย
ริชาร์ด มาร์การ์เล็ต
ผู้นำมาเฟียตระกูลมาร์การ์เล็ตในประเทศรันเซีย แม้จะไม่ใช่องค์กรใหญ่มากมายอะไร แต่ก็ถือว่ามีอำนาจและอิทธิพลพอสมควร ทว่าเหตุผลแรกที่ไม่ใช่เหตุผลหลัก มาเวอริคสนับสนุนมาร์การ์เล็ตเพราะ ‘จูงจมูกง่าย’ รู้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นหน้า มาเวอริคถึงได้ปล่อยให้มาร์การ์เล็ตเข้าหา แต่คนสนิทของเขากลับขัดขวาง มันเลยทำให้แผนของเขารวนหมดแม้สุดท้ายจะได้เข้าแทรกมาร์การ์เล็ตในฐานะผู้สนับสนุนตามที่วางแผนไว้ก็เถอะ
แต่จะว่าไป ป่านนี้ไปอยู่ไหน? ทำไมถึงไม่มาตาม ปกติเดิมทีแล้ว ‘ฟินน์ ไอแซค’ คนสนิทที่เปรียบดั่งมือขวาและมือซ้ายในเวลาเดียวกันจะต้องมาเรียกเขา เข้ามาปลุกเขาโดยไม่สนว่าจะนอนที่ไหนพร้อมรายงานเรื่องที่ต้องทำในวันนี้‘อา จริงสินะ...’ มาเวอริคคิดในใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาลงโทษฟินน์หนักมือไปหน่อย ร่างกายของฟินน์เลยไม่พร้อม แถมเขายังหงุดหงิดไล่ฟินน์กลับประเทศ ทว่ามาเวอริคก็เชื่อว่าฟินน์นั้นไม่ได้กลับจริง ๆ ตอนนี้ก็คงนอนพักเพื่อคืนสภาพร่างกายอยู่ก็เป็นได้
มาเวอริคยกมือขยี้ศีรษะก่อนก้าวลงจากเตียง
“จะไปแล้วเหรอครับ?” ทว่าบุคคลที่ร่วมเตียงกับเขาเหมือนจะรู้สึกตัวแล้วเหมือนกัน
ริชาร์ดจึงเอ่ยถามคนข้างกายที่กำลังจะลงจากเตียง"อา..." พูดแค่นั้นก็ลงจากเตียงก้าวตรงไปยังห้องน้ำ ริชาร์ดมองแผ่นหลังกว้างที่มีรอยสักอักษรเป็นชื่อของเจ้าตัว ลากจากท้ายทอยเรียงลงมาถึงกลางหลัง และรอยสักงูพันมังกรตรงช่วงสะโพกด้วยสายตาที่ฉายความต้องการ พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วนั้น...
"อยากได้อีกชะมัด" แม้ตอนนี้จะยังเจ็บช่องทางไม่หายก็ตาม แต่รสชาติของเมื่อคืนมันฝังใจเขาจริง ๆ ริชาร์ดเลื่อนฝ่ามือมาที่ช่องทาง เขาแตะปากทางแผ่วเบาก่อนสอดเรียวนิ้วเข้ามาพลางเม้มริมฝีปากแน่น "อึก..." หลุดเสียงเล็กน้อยยามขยับนิ้วเข้าออก ทั้งที่เจ็บช่องทางราวกับว่ามันฉีกขาด แต่ริชาร์ดก็ซ้ำเติมมันอย่างพึงพอใจ
ถึงจะน่าเสียดายที่ไม่ได้รับน้ำของมาเวอริคเข้ามาเลยแต่... ริชาร์ดชะงักก่อนยันตัวขึ้นแล้วมองหาถุงยาง พอเห็นว่าถุงยางเมื่อคืนอยู่ตรงไหน ริชาร์ดก้าวลงจากเตียงมาแล้วก้มเตรียมหยิบ 'ไม่ได้... จะทำแบบนี้ไม่ได้' แม้ใจจะบอกว่าไม่ได้ ทว่ามือกลับหยิบถุงยางที่เต็มไปด้วยน้ำกามข้น ๆ ของมาเวอริคขึ้นมา
เมื่อกลับขึ้นเตียงแล้วก็ดึงผ้าห่มปิดช่วงล่าง ริชาร์ดจัดการเทน้ำกามลงบนฝ่ามือจากนั้นจึงพามือที่สั่นเทาป้ายน้ำกามลงช่องทาง เรียวนิ้วที่เต็มไปด้วยน้ำของมาเวอริคสอดเข้าข้างในพร้อมกันทีเดียวสามนิ้ว ความเจ็บแสบที่ค้างคาจากเมื่อคืนแล่นริ้วขึ้นมา แต่ริชาร์ดก็ไม่อาจหยุดขยับมือได้
'เวรเอ้ย... เป็นแบบนี้อีกแล้ว' ริชาร์ดกัดปากเงยหน้าอย่างเสียวซ่าน ร่างกายสั่นระริกยามรู้สึกถึงน้ำกามที่เข้ามาในกาย เขาน่ะอยากเลิกเป็นแบบนี้ ไม่อยากทำตัวให้ดูตกต่ำไปมากกว่าที่เป็นเลย เพราะแค่ทุกวันนี้ ในสายตาของกลุ่มมาเฟียด้วยกันก็เห็นว่าเขากับน้องชายมีดีแค่ใช้ร่างกายเข้าแลก แล้วเคยถามหรือเปล่าว่าอยากเป็นแบบนี้ไหม? ไม่มีใครอยากทำทั้งนั้น แต่สิ่งเดียวที่ได้มาจากอดีตและครอบครัวมาร์การ์เล็ต มันมีแค่การใช้ร่างกายและใช้มาตั้งแต่เด็กจนกลายเป็นความคุ้นชินไปแล้ว...
มาเวอริคไม่ชอบการตกแต่งห้องน้ำของมาร์การ์เล็ตเท่าไหร่ มันดูหรูหราและระยิบระยับเกินไปมาก ซึ่งเขาไม่ชอบเลยสักนิด การอาบน้ำในห้องน้ำแบบนี้จึงทำให้มาเวอริคเสียเวลา เพราะบางครั้งสายตาก็ชอบไปจดจ้องอะไรที่ไม่สำคัญ ไม่จำเป็น แต่ดันสะดุดตาจนเกินพอดีน่ะสิ พออาบน้ำเสร็จก็สวมเสื้อคลุมเดินออกมา ริชาร์ดมองมาที่เขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความต้องการ สายตาคู่คมปรายมองช่วงล่างของริชาร์ดที่ปกคลุมด้วยผ่าห่ม แต่เห็นขยับนิดหน่อยก็พอคาดเดาได้
"ฉันพอแล้ว" บอกไปตามความรู้สึกที่ว่ากอดแค่ครั้งเดียวก็เกินพอ มาเวอริคแต่งตัวโดยใส่ชุดเดิมจากเมื่อวาน ถ้าหากฟินน์อยู่ก็คงนำชุดใหม่มาให้เขาแล้ว เห็นทีคงต้องจัดการให้หายไว ๆ แล้วสิ แต่งตัวเสร็จก็หันกลับมาก่อนสายตาคู่คมจะมองลงบนพื้นห้อง บนจุดที่เคยมีถุงยาง ตอนนี้มันหายไปแล้ว
"นายเก็บมันไปทิ้งแล้วหรือไง?" เอ่ยถามทั้งที่ในใจพอรู้ข่าวลือของพี่น้องมาร์การ์เล็ตมาบ้าง ริชาร์ดพยักหน้าแทนคำตอบ มาเวอริคไม่ได้พูดอะไร เขาแค่หยิบโทรศัพท์แล้วออกจากห้องของริชาร์ด พอออกมาแล้วก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ คฤหาสน์นี้ตกแต่งอลังการราวกับราชวังแถมยังเงียบกว่าที่คิด ดูไม่ค่อยมีคนใช้เท่าไหร่นัก พอก้าวเดินมาไม่กี่ก้าวก็พบกับริเชลล์ที่ยืนกอดอกรออยู่
ร่างเพรียวสวมเพียงเสื้อเชิ้ตตัวบางที่ความยาวคลุมต้นขา ทว่าเนื้อผ้าบางจนเห็นด้านใน แต่ยังดีที่ช่างล่างสวมชั้นในสีขาวไว้ กลับกันกับยอดอกที่มันสะดุดตาเขาชัดเจน จะไม่สะดุดตาได้ยังไงในเมื่อยอดอกทั้งสองข้างฝังด้วยเพชรราคาแพงแบบนั้น ริเชลล์เดินมาหยุดตรงหน้ามาเวอริค ดวงหน้าสวยเงยขึ้นสบตาคู่คมก่อนริมฝีปากอิ่มจะเอื้อนเอ่ยคำถามออกมา
“คุณคิดอะไรอยู่ถึงยอมสนับสนุนตระกูลของผม? ผมคือคนที่ว่าน้องชายของคุณในงานเลี้ยงเมื่อวาน[1]นะครับ ไม่ว่าจะคิดหาเหตุผลเท่าไหร่ ผมก็ไม่เข้าใจว่าคุณมาสนับสนุนตระกูลผมทำไม”
“แล้วยังไง?” ตอบเหมือนไม่ใส่ใจแต่จริง ๆ มาเวอริคก็ไม่ชอบที่ริเชลล์ว่าน้องชายเขา แต่เขาต้องแยกแยะ เพราะนี่คือการลงทุนเพื่ออนาคตที่เขาอาจจะปักหลักอยู่ในรันเซียแห่งนี้
“ตอบผมมาว่าคุณคิดจะใช้มาร์การ์เล็ตทำอะไรกันแน่” ริเชลล์จ้องเข้าไปในแววตา
สีน้ำเงินครามอย่างไม่เกรงกลัว มาเวอริคชอบจริง ๆ ที่คนสวย ๆ มักกล้าหาญ ถ้าหากริเชลล์ไม่มีเรื่องราวกับน้องชายเขาล่ะก็ เขาคงมีความคิดที่อยากเก็บตุ๊กตาสวย ๆ นี้ไว้ข้างกาย และอาจจะเป็นผู้ชายคนที่สามที่มาเวอริคนอนด้วย“แล้วนายคิดว่ายังไง?” มาเวอริคถามกลับพร้อมเอื้อมมือออกไปจับเส้นผมสีน้ำเงิน มันนุ่มนวลกว่าที่เห็นทั้งที่ทำสีขนาดนี้ เรียวนิ้วชี้หมุนผมของคนตรงหน้าเล่นขณะสบตากันอย่างไม่มีใครยอมถอย
เพียะ
“อย่าย้อนผม” มือเรียวยกปัดฝ่ามือใหญ่ที่เล่นผมของตนเองออก มาเวอริคมองมือของตนเองที่ถูกปัดแล้วหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
หมับ!
มือใหญ่บีบเข้าที่แก้มนวลแล้วออกแรงเล็กน้อย แต่ริเชลล์ไม่หวั่น นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ ได้จ้องมองกลับมาที่มาเวอริค
“ไม่ต้องห่วง ฉันบริสุทธิ์ใจที่จะช่วย”
“...”
“แต่อย่าเชื่อใจฉันมากแล้วกัน” มาเวอริคยิ้มก่อนปล่อยมือออกจากแก้มขาว แก้มทั้งสองข้างของริเชลล์ปรากฏรอยนิ้วมือแดงเป็นปื้น แต่น่าแปลกใจที่ไม่ได้ทำให้ความสวยของ
ริเชลล์ดูลดลง“ผมไม่เคยเชื่อใจคนต่างชาติอย่างคุณอยู่แล้ว” ริเชลล์เดินผ่านมาเวอริคมาที่ห้องพี่ชาย มือเรียวเปิดประตูเข้ามาก็ได้ยินเสียงเครือคราง ก่อนเท้าจะก้าวตรงไปที่เตียง “พี่ริชาร์ด” เอ่ยเรียกพี่ชายแล้วหลุบสายตาลงต่ำมองพื้นห้อง เขาเห็นจุดที่ถุงยางควรจะอยู่เพราะมีคราบตามพื้นแต่ถุงยางกลับหายไปแล้ว
“ร ริเชลล์เหรอ”
“พี่เอาอีกแล้วเหรอ? ผมบอกแล้วไงว่าให้หักห้ามใจ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป พี่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้นะ” ริเชลล์กล่าว ริชาร์ดหยุดกิจกรรมที่ทำก่อนลุกขึ้นนั่งแล้วค่อย ๆ ดึงเรียวนิ้วที่แฉะน้ำกามของมาเวอริคออกจากช่องทาง ริเชลล์เองก็เป็นเหมือนพี่ชายแต่เขายับยั้งความกระหายนั้นได้ทุกครั้งแม้มันจะทรมานก็ตาม
“เหมือนเดิมที่ว่ายังไง? พี่กับนายเคยมีจุดนั้นเหรอริเชลล์”
“ต่อให้ไม่มี พี่ก็ไม่...”
“พวกเราสกปรกเกินกว่าจะล้างให้ใสสะอาดแล้วริเชลล์ ด้วยอายุของพวกเราตอนนี้มันสายเกินแก้แล้ว”
“...”
“แต่บางทีคนที่กลับไปเป็นปกติได้อาจจะมีแค่นาย พยายามเข้าล่ะ” ริชาร์ดกลับไปทำกิจกรรมเดิมที่ถูกหยุดกลางคัน ริเชลล์ทำได้แค่มองพี่ชายฝาแฝดของตนแล้วหันหลังเดินกลับออกมา
ปกติเหรอ ปกติที่ว่ามันเป็นยังไงกันล่ะ
รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังพูดมันออกมาได้นะพี่ชาย
Runsia Lula Hotel
มาเวอริคกลับมาถึงโรงแรมที่พักพร้อมกับอิวานที่รอรับ อิวานรออยู่ที่คฤหาสน์
มาร์การ์เล็ตตลอดเวลา ทั้งไม่มีคำตอบให้มาเวอริคว่าฟินน์หายไปไหน ถึงจะคิดว่าฟินน์พักอยู่ แต่มันนานขนาดนี้เลยหรือไง? มาเวอริคค่อนข้างหัวเสียแต่ใบหน้าเขายังเรียบนิ่งไร้อารมณ์ ทว่าทุกย่างก้าวที่เขาเดินล้วนดึงดูดสายตาให้มองมา แม้เขาจะเข้าลิฟต์แล้วก็ตาม“แวะชั้นที่สิบเอ็ด ฉันจะไปดูว่ามันตายหรือยัง”
“รับทราบครับ” อิวานชะงักนิ้วที่กำลังกดเลข 12 แล้วเลื่อนลงมากดเลข 11 แทน มาเวอริคกอดอกพิงผนังลิฟต์ขณะสายตามองเลขสีแดงที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อิวานรับรู้ถึงบรรยากาศหนัก ๆ ที่กดดันจนเขาอึดอัดและกลัวนิด ๆ ราวกับว่าผู้เป็นนายกำลังสะกดอารมณ์เอาไว้ อิวานนึกถึงเพื่อนร่วมงานแล้วได้แต่ตัดพ้อว่าทำไมวันนี้ถึงไม่มาทำงาน คนที่รับอารมณ์และจัดการอารมณ์ของเจ้านายได้ก็มีแต่ฟินน์ที่ทำงานข้างกายมาสิบปี
ติ๊ง!
ลิฟต์หยุดที่ชั้น 11 พร้อมประตูที่เลื่อนออก มาเวอริคก้าวผ่านแล้วกวาดมองเลขห้องของฟินน์โดยลืมไปว่าตอนที่เขาเหมาทั้งชั้นให้ลูกน้อง เขาไม่ได้เป็นคนแจกจ่ายห้องแต่ให้ฟินน์เป็นคนจัดการแทน “ฟินน์มันนอนห้องไหน?” เอ่ยถามอิวานที่เดินตามมา
“ทางนี้ครับ” อิวานผายมือแล้วเดินนำมาเวอริคมายังห้อง Room VVIP9 เป็นห้องที่เกือบสุดปลายทางเดิน พอมาถึงหน้าห้อง อิวานก็เคาะประตูพร้อมเรียกชื่อแต่ไม่มีการตอบรับ จึงเปลี่ยนมากดออดแทน กดอยู่ประมาณห้าครั้งแต่ไร้การตอบกลับ คนด้านหลังอิวานเริ่มแผ่รังสีของความไม่พอใจออกมาทิ่มแทงหลังเขา อิวานร้องไห้ในใจแล้วเรียกฟินน์อีกครั้ง
“เอ่อ ท่านมาเวอริคครับ” แต่ก่อนอิวานจะตายแทน ลูกน้องอีกคนของมาเวอริคก็เดินเข้ามาพร้อมเอ่ยเรียกอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะรับรู้ถึงอารมณ์ที่มาคุนี้ มาเวอริคปรายตามองโดยไม่ได้พูดอะไรนั่นหมายถึงเขารอฟังอยู่ อิวานพยักหน้าให้เพื่อนร่วมงานรัว ๆ สายตาส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือชัดเจน
“เมื่อวานช่วงเช้าที่นายท่านไปพบคุณชายเมอร์ลิน เอ่อ หัวหน้าฟินน์เก็บกระเป๋าออกไปแล้วครับ เขาไม่บอกอะไรพวกเราเลยแต่สีหน้าดูไม่โอเคเท่าไหร่”
“...แกว่ายังไงนะ?” มาเวอริคกัดฟันแล้วทวนถามอย่างไม่เชื่อหู
“หัวหน้าฟินน์น่าจะกลับอิงเกรเซียนไปแล้วครับ”
ปัง!
มาเวอริคยกเท้าถีบประตูห้องทันทีที่ได้ยิน อิวานกับเพื่อนร่วมงานพากันหัวหดเพราะตอนนี้อารมณ์ของเจ้านายมันเริ่มปะทุแล้ว เสียงประตูที่ดังทำให้ลูกน้องที่อยู่ใกล้พากันออกมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นเจ้านายก็พากันค้อมศีรษะแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พวกเขาพอจะรู้ว่ามาจากสาเหตุอะไร เพราะตอนเห็นฟินน์เดินออกจากห้องพร้อมกระเป๋า ก็เข้าใจได้ทันทีว่าฟินน์ต้องกลับอิงเกรเซียนแน่นอน
ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกคนล้วนเชื่อว่าผู้เป็นนายได้ไล่ให้กลับไป แต่ทุกทีที่โดนไล่ ฟินน์ก็ไม่เคยทำตามเลยสักครั้งแล้วครั้งนี้ทำไมถึงได้ยอมกลับไปง่าย ๆ ?
“กลับไปตั้งแต่วันที่ฉันไปหาเมอร์ลินใช่ไหม?” พอสงบสติอารมณ์จึงเอ่ยถามเพื่อยืนยัน
“ครับท่าน คาดว่าคงถึงอิงเกรเซียนแล้วครับ” มาเวอริคไม่พูดอะไรแต่ก้าวเดินกลับมาที่ลิฟต์แล้วกดชั้น 12 เพื่อกลับไปที่ห้อง ถ้าหากฟินน์กลับไปในช่วงเช้าของวันนั้นจริง ๆ ก็คงจะถึงอิงเกรเซียนในช่วงกลางคืน โซนเวลาระหว่างรันเซียและอิงเกรเซียนห่างกันเพียงสี่ชั่วโมงแม้ระยะเดินทางจะยาวนานถึงสิบชั่วโมงก็ตาม
พอกลับเข้ามาที่ห้องแล้ว เสื้อสูทถูกถอดทิ้งลงบนพื้นทันที ตามด้วยเนกไทและเสื้อเชิ้ต มาเวอริคต้องการยืนใต้สายน้ำเย็น ๆ เพื่อดับไฟที่ลุกในอก
น่าโมโห... ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง...
ก๊อก ๆ
แต่ไม่ทันจะได้ก้าวเข้าเขตห้องนอน ประตูห้องกลับถูกเคาะ หากเป็นฟินน์ก็คงเปิดเข้ามาทันทีที่เคาะครบสามครั้ง มาเวอริคเดินมาเปิดประตูแล้วมองคนที่เคาะ ซึ่งก็คืออิวาน
“มีอะไร?” เอ่ยถามเสียงแข็งและพยายามอย่างมากที่จะไม่ให้พาลใส่
“เอ่อ คือ...” อิวานไม่กล้าพูดหลังจากได้รับรู้เรื่องใหญ่จากหัวหน้าที่ต่อสายตรงจากอิงเกรเซียน หัวหน้าที่คอยเลี้ยงดูและฝึกสอนพวกเขาก่อนคัดเลือกแล้วส่งให้เหล่าทายาท ซึ่งจะเรียกกันอีกทีว่าหัวหน้าใหญ่
“ถ้าแกไม่อยากตายก็พูดมันออกมา”
“ฟินน์ลาออกแล้วครับและท่านเอดิสันก็อนุมัติจดหมายลาออกเรียบร้อย” อิวานหลับตาแน่นเตรียมรับแรงปะทะ แต่ทุกอย่างกลับแน่นิ่งไร้ซึ่งเสียงใดหรือแม้แต่การเคลื่อนไหว อิวานจึงค่อย ๆ ลืมตาแล้วมองหน้าเจ้านาย “อึก” กลืนน้ำลายอึกใหญ่ทันทีที่เห็นสีหน้าดำมืดของมาเวอริค
ใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่งไร้อารมณ์ยิ่งกว่าที่เคย แววตาไม่ไหวติงใด ๆ ซ้ำดูลุ่มลึกจนน่ากลัวเหมือนถูกดึงลงสู่ก้นมหาสมุทรยามสบตา มาเวอริคหันหลังให้อิวาน เพียงเสี้ยววินาทีที่อิวานคิดว่ารอดแล้ว
เพล้ง!
แจกันใบใหญ่ถูกฝ่าเท้าตวัดขึ้นเตะแตกทันที ก่อนมาเวอริคจะเหยียบเศษแจกันแล้วขยี้มันจนแทบละเอียด ไม่สนใจเลือดที่ไหลจากการถูกเศษแจกันที่เขาเหยียบทิ่มแทง “นกที่คิดจะแหกกรง ฉันจะเด็ดปีกให้เละ” กัดฟันพูดก่อนไล่อิวานออกไป เมื่ออยู่ตัวคนเดียว มาเวอริคพยามยามควบคุมความโกรธแต่มันยากสำหรับเขา มาเวอริคเริ่มทำลายข้าวของหวังระบายความโกรธในใจ
10 ปี
นานถึงสิบปีที่เขาเลี้ยงมา คิดว่าจะยอมปล่อยให้ไปง่าย ๆ หรือไง? ไม่มีทางเด็ดขาด เพียงแต่เขาต้องจัดการกับเรื่องของน้องชายเสียก่อน ถึงจะออกเดินทางเพื่อตามนกที่แหกกรงกลับมา
ฟินน์สิบปีแต่น้องชายมากถึงยี่สิบหกปีที่เขาไม่ได้เลี้ยงมากับมือ ได้แต่คิดถึง โหยหาอยู่ในใจ เมื่อไหร่ที่เคลียร์บาดแผลในใจกับน้องชายเสร็จสิ้น เขาจะตามล่านกที่แหกกรงสุดขอบโลกรวมถึง...
“กล้าดียังไงถึงได้มาปล่อยนกของฉัน เอดิสัน คาร์ลอฟ”
คนที่มีสิทธิ์เปิดกรง มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น
Ingresian Country (ประเทศอิงเกรเซียน)
At Ingresian Hospital
Room 014
บนเตียงพยาบาลสีขาว ฟินน์นอนมองเพดานห้องพร้อมกับความคิดมากมายในหัว หลังจากกลับจากรันเซียแล้วเข้าพบหัวหน้าเพื่อแจ้งเรื่องลาออก เข้าพบผู้นำสูงสุดเพื่อรับการอนุมัติและมันทำให้ฟินน์นึกถึงบทสนทนาระหว่างตนเองกับเอดิสัน
‘ฉันพอรู้เรื่องของพวกแกมาบ้าง เบื่อที่จะเป็นตุ๊กตายางให้ลูกชายฉันแล้วหรือไง?’
‘...ครับท่าน’
‘ไม่ใช่ว่าแกมีใจให้ลูกฉันหรอกหรือ? แต่เอาเถอะ ดีแล้วที่แกถอนตัวตอนนี้ ขืนกลายเป็นผัวเมียขึ้นมาจริง ๆ ฉันคงลำบากใจที่ต้องกำจัดคนเก่งแบบแก’
‘...’
‘ไปซะ’
ลำบากใจงั้นเหรอ... ไร้สาระ พูดออกมาทั้งที่ยิ้มแบบนั้น ใครเขาจะเชื่อกัน ฟินน์ยันตัวขึ้นลุกนั่งอย่างลำบาก ร่างกายยังปวดร้าวกับเจ็บซี่โครงอยู่บ้างและตามที่พยาบาลบอกกับเขา เขาต้องรักษาตัวร่วมสัปดาห์ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทางคาร์ลอฟได้จ่ายให้หมดแล้ว ฟินน์จึงไม่ต้องกังวล นอกจากนั้นยังได้เงินเข้าบัญชีมาสิบล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นเงินตอบแทนตลอดระยะเวลาสิบปีที่ทำงาน
โดนซ้อมสิบชั่วโมงแลกอิสระ
รับสิบล้านดอลลาร์ตอบแทน
เหมือนตบหัวแล้วลูบหลังแต่มันก็เป็นไปตามสัญญาที่ระบุไว้ก่อนจะเซ็นสัญญาแล้วเข้ารับการฝึกเพื่อเป็นคนของคาร์ลอฟ ฟินน์รู้สึกเสียดายระยะเวลาสิบปีของตนพอสมควร เสียดายที่เวลาเหล่านั้นเขาเอาไปทุ่มให้กับคนคนนึงเหมือนคนบ้า
“จริงสิ ยังไม่ได้ติดต่อหาแม่เลยแฮะ” นึกขึ้นได้จึงมองหาโทรศัพท์และหวังว่ามันจะอยู่ ฟินน์ลองเปิดลิ้นชักที่โต๊ะหัวเตียงถึงพบกับโทรศัพท์และจดหมาย หัวคิ้วขมวดเข้าหากันก่อนหยิบจดหมายมาอ่าน
‘กระเป๋าเสื้อผ้าของนายอยู่ใต้เตียง ของทุกอย่างของนายฉันเก็บมาหมดแล้ว อยู่ใต้เตียงเหมือนกัน โชคดี
หัวหน้า’
“ขอบคุณครับ” ฟินน์พับจดหมายกลับรูปเดิมแล้วหยิบโทรศัพท์มาก่อนกดเข้ารายชื่อติดต่อ ‘แม่’ แต่ก็ไม่ได้คุยกันมานานมากแล้ว ฟินน์ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าความรู้สึกจะยังต่อกันติดไหม ฟินน์สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกดเบอร์มารดาเพื่อโทรออก
โซเฟีย ลาเนียร์ คือมารดาของฟินน์ที่ย้ายไปอยู่ประเทศจามิลหลังจากหย่าขาดกับบิดาของฟินน์ ประเทศจามิลเป็นประเทศเล็ก ๆ ทางใต้ที่ขึ้นชื่อเรื่องธัญพืชและยังเป็นประเทศที่สงบสุขไร้ซึ่งการใช้อำนาจในทางไม่ชอบอย่างอิงเกรเซียนหรือรันเซีย ถึงจะไม่ใช่ประเทศที่เจริญอย่างทั้งสองประเทศแต่หากวัดค่าความสุขของประชาชน ประเทศจามิลชนะขาด
(ฮัลโหล? ฟินน์? นั่นลูกเหรอ?) เสียงปลายสายที่ดังเข้ามาทำฟินน์ชะงักเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าเสียงของแม่จะยังเหมือนเดิมแต่ที่แตกต่างออกไปก็ตรงที่เสียงของแม่ดูมีความสุขกว่าตอนอยู่ที่ประเทศนี้ ได้ยินเสียงแม่ที่เป็นแบบนี้แล้ว เขาคิดดีแล้วเหรอที่จะไปอยู่กับแม่น่ะ?
“...” ฟินน์ไม่รู้จะพูดคำไหนออกไปดี เขาจึงได้แต่เงียบ ทว่าน้ำตากลับเอ่อคลอเล็กน้อย
(ฟินน์? ทำไมลูกไม่พูดอะไรหน่อยล่ะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?)
“...แม่ครับ ผมขอไปอยู่ด้วยได้ไหม?” แต่ฟินน์ก็ไม่มีที่ไปหากออกจากโรงพยาบาลและคงหนีจากมาเวอริคไม่ได้
(...)
“ผม... ผมไม่ได้อยู่กับพ่อแล้ว แล้วตอนนี้มันก็เกิดเรื่องมากมายถึงผมจะเล่าให้แม่ฟังตอนนี้ไม่ได้ แต่หากได้เจอกันผมจะเล่าให้แม่ฟังทุกอย่าง” ฟินน์รู้สึกเกรงใจมารดาเหมือนกันที่ต้องร้องขออะไรแบบนี้ ตั้งแต่มารดาหย่ากับบิดาไป ฟินน์ก็ไม่ได้เจอแม่อีกเลย ในช่วงแรกได้ติดต่อบ้างแต่หลังจากเข้าทำงานที่คาร์ลอฟ การติดต่อกับแม่ก็ขาดหายจนเขาหลงลืมและตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อคนคนนั้นอย่างกับคนบ้า
(แม่โอเคนะที่ฟินน์จะมาหา แต่แม่... แม่แต่งงานใหม่แล้วและมีครอบครัวที่นี่...)
“อา ผมลืมคิดไปเลย ขอโทษนะครับ” แม่จากเขาไปตั้งแต่อายุได้เพียงสิบปีแล้วตอนนี้เขาสามสิบแล้ว ยี่สิบปีที่ไม่ได้เจอกัน ไม่แปลกหากแม่จะแต่งงานมีครอบครัวใหม่
(ลูกไม่รู้นี่จ้ะ แต่มาหาแม่ได้นะ แม่ยินดีต้อนรับฟินน์เสมอ)
“หากผมไปอยู่กับแม่สักอาทิตย์หรือหนึ่งเดือนก่อนหาที่อยู่ใหม่จะได้หรือเปล่าครับ? ผมสัญญาว่าจะไม่สร้างเรื่องเดือดร้อนให้กับครอบครัวแม่เด็ดขาด”
(ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ ฟินน์เองก็เป็นครอบครัวแม่นะ มาเถอะ จะอยู่นานแค่ไหนก็ได้หรือหากลูกหาที่อยู่ใหม่ไม่ได้จริง ๆ ก็อยู่กับแม่ แค่นั้นเอง)
“...ขอบคุณนะครับแม่ อา แต่มันน่าอายแฮะที่ลูกอายุสามสิบอย่างผมมาขอแม่อยู่ด้วยแบบนี้” พูดติดตลกแต่ในใจไม่ได้ตลกตาม ฟินน์เกรงใจมารดาจริง ๆ และหนักใจที่ต้องเข้าไปแทรกครอบครัวใหม่ของมารดา
(จะอายุเท่าไหร่ไม่สำคัญ มันสำคัญตรงที่ลูกก็คือลูกอยู่ดี แล้วเราจะมาช่วงไหนล่ะ?)
“ไว้ผมจะติดต่อไปอีกทีนะครับ”
(ได้สิ แม่จะรอนะ)
“รักแม่นะครับ”
(รักเหมือนกันจ้ะ) ฟินน์ถือสายไว้จนกระทั่งสายของแม่ตัดไป ตอนนี้ก็หมดห่วงเรื่องที่อยู่ใหม่ไปสักพัก ส่วนเรื่องเอกสารฟินน์มีพร้อม ครั้งหนึ่ง ฟินน์เคยคิดจะไปหาแม่อยู่ตลอดเขาจึงได้ยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยวของประเทศจามิล แต่พอได้มากลับไม่ได้ไปสักที จนหมดอายุแล้วหมดอายุอีก ต่อแล้วต่ออีกแต่ในที่สุด ในที่สุดเขาก็จะได้ใช้มันสักที
ก๊อก ๆ
“...” ฟินน์เก็บโทรศัพท์ไว้ใต้หมอนแล้วมองประตูห้องที่ถูกเปิดออกหลังเสียงเคาะจบลง เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นยามก้าวเดินอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ฟินน์รู้ทันทีว่าเป็นใคร
“ท่านอิการาชิ...” บุคคลที่โผล่มาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มจนดวงตาโค้งเป็นจันทร์เสี้ยวแบบนั้น มีเพียงคนเดียวในคาร์ลอฟ เป็นคนที่ฟินน์ไม่ค่อยอยากยุ่งเกี่ยวเท่าไหร่
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะฟินน์จัง” อิการาชิเอ่ยทักทายก่อนเดินมาหยุดข้างเตียง ชุดยูกาตะสีดำลายดอกเบญจมาศสีขาวบวกกับรอยยิ้มของอิการาชิ มันสร้างความรู้สึกแปลก ๆ ให้กับฟินน์จนไม่อยากเชื่อว่าอิการาชิที่มาเยี่ยมเขา มาด้วยความหวังดี
“สวัสดีครับ ขออภัยที่ทักทายช้า” ฟินน์ทาบฝ่ามือทั้งสองข้างบนหน้าท้องแล้วค้อมศีรษะพลางกัดฟันยามความเจ็บแปล๊บวิ่งไปทั้งร่าง
“ไม่ต้องพิธีรีตองหรอกครับ ผมรู้ว่าตอนนี้ร่างกายฟินน์จังไม่สมบูรณ์ดี”
“ขอบคุณครับ” ฟินน์เงยหน้าขึ้นแล้วผงะถอยหลังไปนิดเมื่อใบหน้าของอิการาชิอยู่ห่างแค่คืบ อิการาชิยิ้มแล้วนั่งลงบนเตียงพลางเอื้อมมือออกมาจับคางแล้วจับใบหน้าฟินน์หันซ้ายที หันขวาที
“อเล็กซานเดอร์ดูใจร้ายไปหน่อยนะครับ ดูสิ ใบหน้าหล่อ ๆ ของฟินน์จังเสียหมด”
“...”
“แต่ก็งดงามจนน่าแปลกใจ” อิการาชิค่อย ๆ ลืมตาขึ้น นัยน์ตาสีน้ำตาลอันลุ่มลึกมองเข้ามาที่แววตาของฟินน์ ฟินน์รู้สึกอึดอัดแต่ไม่ได้แสดงสีหน้าออกไป “ไหน ๆ ฟินน์จังก็ออกจากกรงของท่านพี่มาเวอริคแล้ว สนใจเข้ามาอยู่ใต้ผมหรือเปล่า? ผมน่ะอยากได้ฟินน์จังมาตั้งแต่แรกเห็นแล้วนะครับ”
“...ผมไม่คิดจะทำงานกับคาร์ลอฟแล้วครับ”
“ถ้างั้นมาอยู่ตระกูลอิราชิสิครับ”
“ขอโทษครับ” ฟินน์หลบสายตา อิการาชิแค่ยิ้มแล้วบอกไม่เป็นอะไรแต่ก่อนที่อิการาชิจะออกไป เขาได้พูดทิ้งท้ายให้ฟินน์ไว้ว่า
“เอ็มมานูเอลรู้เรื่องที่ฟินน์จังลาออกแล้วนะครับ ผมเชื่อว่าเขาจะมาหาฟินน์จังแน่นอน” รอยยิ้มหายจากใบหน้าทันทีที่หันหลังให้ฟินน์ ฟินน์ไม่ได้สนใจอิการาชิอีกต่อไป ‘เอ็มมานูเอล คาร์ลอฟ’ บุตรชายคนรองของเอดิสัน ที่มีนิสัยบ้าระห่ำกว่าใครและฟินน์ไม่ถูกชะตากับคนคนนี้เป็นที่สุด
อิการาชิที่ออกจากห้องพักของฟินน์ เขาเดินตรงมาเรื่อย ๆ เพื่อกลับไปยังรถของตน ทว่าบุคคลที่กำลังเดินมาตรงนี้ทำให้อิการาชิหยุดเท้า
“มาแล้วเหรอครับ คิดจะเข้าไปรบกวนฟินน์จังหรือไงท่านพี่” อิการาชิเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
“ฉันจะไปหาใครมันก็เรื่องของฉันน่าน้องชาย” เอ็มมานูเอล คาร์ลอฟ เอ่ยบอกน้องชายร่วมบิดาแล้วเดินผ่านอิการาชิไป อิการาชิถอนหายใจพลันคิดถึงฟินน์ ช่างน่าเห็นใจและน่าสงสารในวลาเดียวกันเสียจริงที่กลายเป็นของเล่นให้กับพี่น้องคาร์ลอฟ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ตัวเขา อิการาชิแค่ต้องการคนเก่ง คนมีความสามารถ คนที่รับมือได้กับทุกสถานการณ์ แต่เอ็มมานูเอลกลับต่างออกไป คนคนนั้นมักอยากได้ของที่พี่ชายคนโตครอบครอง ทว่าของชิ้นนั้นต้องเป็นของที่มาเวอริคหวงมากที่สุด คำตอบมันก็อยู่ในห้องที่เขาเพิ่งออกมา
‘ของชิ้นนั้น’ ไม่ใช่ ‘คนคนนั้น’ ย้ำให้ชัดกันอีกที
อิการาชิเดินออกกมาที่รถแล้วกลับไปยังคฤหาสน์ ต่อจากนี้ฟินน์จะเป็นยังไงต่อไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องสนใจ เพราะฟินน์ได้ลาออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในเมื่อไม่ใช่คนของ ‘คาร์ลอฟ’ อิการาชิก็ไม่จำเป็นต้องเสียสละสายตามองอีกต่อไป
เอ็มมานูเอล คาร์ลอฟ บุตรชายคนรองของเอดิสัน มารดาคือโรสแมรี่ ปัจจุบันอายุ 36 ปี เอ็มมานูเอลเองก็มีรอยสักเหมือนกับพี่น้องคนอื่น แต่ของเอ็มมานูเอลจะอยู่ที่ขาซ้ายขึ้นมาถึงช่วงเอว มังกรถูกพันด้วยเถาวัลย์หนาม มันเลื้อยจากข้อเท้าซ้ายขึ้นมาตามขาและหยุดที่ช่วงเอวพอดี ใบหน้าของมังกรดูทรมานจากคมหนาม ตามเถาวัลย์หนามนี้จะมีดอกกุหลาบประดับโดยอ้างอิงจากชื่อของมารดา
เขาอยากแก้แค้นเอดิสันที่ทำให้แม่ของเขาต้องทุกข์ทรมาน แต่ด้วยลำพังตัวเขาคนเดียวไม่สามารถทำได้ แต่หากทำลายมาเวอริคที่เอดิสันรักนักหนา เพียงแค่นี้เอ็มมานูเอลก็พึงพอใจแล้ว
ก๊อก ๆ
หลังมือเคาะประตูพอเป็นมารยาทก่อนจะเปิดเข้าไปโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ส่งเสียง เอ็มมานูเอลเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มแล้วมองไปที่ฟินน์
“สวัสดีตุ๊กตายาง” เอ่ยทักทายราวกับสนิทสนม แต่คำทักทายช่างน่ารังเกียจสมที่เป็นเอ็มมานูเอล ฟินน์ไม่อยากทักทายเท่าไหร่แต่เขาก็ต้องทำ
“สวัสดีครับ” แต่ฟินน์ไม่ได้ค้อมศีรษะเหมือนตอนอิการาชิ ฟินน์รู้ดีว่าเป้าหมายของคนตรงหน้าคืออะไร “แล้วก็หยุดเรียกผมว่าตุ๊กตายางด้วยนะครับ ผมไม่ใช่คนของมาเวอริค คาร์ลอฟ อีกต่อไปแล้ว” สำหรับฟินน์ เอ็มมานูเอลนิสัยแย่กว่ามาเวอริคมาก ๆ เป็นพี่น้องร่วมบิดาคนเดียวที่จ้องจะทำลายมาเวอริคในทุก ๆ ทาง แต่ในเมื่อไม่สามารถแตะต้องเอดิสันได้ เอ็มมานูเอลจึงเลือกมาเวอริคเป็นเป้าหมาย แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยทำได้สักครั้ง
“ฉันก็พอรู้น่าว่านายไม่ใช่คนของมาเวอริคแล้ว แต่แล้วมันทำไมล่ะ? ถ้าฉันอยากได้ฉันก็แค่เอามา” พูดทั้งที่ยิ้มอยู่ สายตาที่มองฟินน์ราวกับมองของเล่นที่ต้องจับจองให้ได้ ฟินน์ถอนหายใจก่อนจะมองหน้าอดีตคนที่เขาเคยก้มหัวให้
“โตได้แล้วครับ ต่อให้คุณมายุ่งกับผม นายท่าน... คุณมาเวอริคเขาก็ไม่มีทางสนใจ มันไม่ได้ผลครับ”
“เหอะ ออกจากคาร์ลอฟได้ไม่นาน... แต่ดูตุ๊กตายางจะปากดีขึ้นเยอะ” เอ็มมานูเอลอยากแย่งตุ๊กตาชิ้นนี้มาจากมาเวอริค เขามั่นใจว่าต่อให้ฟินน์ลาออกด้วยตัวเองแต่ในเมื่อมาเวอริคไม่ได้รับรู้ เขาจะถือว่าฟินน์ยังไม่ได้ลาออกโดยสมบูรณ์
“ผมไม่ใช่ตุ๊กตายาง” มันเป็นคำที่ฟินน์ได้ยินมาตลอด เขาไม่รู้ว่าเรื่องที่เขานอนกับมาเวอริคหลุดไปตั้งแต่ตอนไหน แต่หลังจากเรื่องนี้หลุดไป ทุกคนต่างเรียกเขาว่าตุ๊กตายาง ซ้ำยังใช้สายตาน่ารังเกียจมองมา มันน่าเจ็บใจที่ไม่สามารถควักลูกตาของคนพวกนั้นได้ สิ่งเดียวที่ฟินน์ทำมีเพียงแต่ต้องอดทน อดทนและอดทนเท่านั้น มันมีแค่นี้จริง ๆ
“เหรอ? แต่เสียดายที่ภาพลักษณ์นายมันไปทางตุ๊กตายางมากกว่าว่ะ” เอ็มมานูเอลยิ้มแล้วนั่งลงบนโซฟาพลางมองไปรอบ ๆ “ทำไมถึงลาออก?” ก่อนเอ่ยถามด้วยความสนใจ
“ไม่มีเหตุผลครับ” ฟินน์ไม่จำเป็นต้องบอกเหตุผลกับคนคนนี้ ไม่สิ ไม่จำเป็นต้องบอกเหตุผลกับใครทั้งนั้น เอ็มมานูเอลดูไม่พอใจที่ฟินน์ไม่ยอมบอกเหตุผล อยากจะลุกไปบีบปากนั่นให้หายอวดดีแต่เอ็มมานูเอลต้องอดทนไว้ก่อน
“หึ ก็ดี... แต่อย่าให้ฉันเห็นนายอยู่ในประเทศนี้แล้วกันเพราะหลังออกจากโรงพยาบาลแล้วฉันยังเห็นนาย ฉันจะลากนายกลับมาทำหน้าที่ตุ๊กตายาง” เอ็มมานูเอลฉีกยิ้มกว้างแล้วลุกเดินออกจากห้องไป ฟินน์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน บางทีก็แอบคิดหากเขาไม่ได้อยู่กับมาเวอริค จะมีคนมาสนใจเขาแบบนี้เหรอ? คำตอบคือไม่เลย ไม่มีสักคนที่จะสนใจตัวเขา ฟินน์ค่อย ๆ เอนตัวลงนอนตามเดิมแล้วหลับตาลง
หวังว่าหลังจากนี้เขาจะได้พักสมกับที่เป็นคนป่วยเสียที
หลังจากพักฟื้นเพียง 3 วัน ฟินน์ทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลพร้อมกับทำเรื่องเดินทางสู่ประเทศจามิลภายในวันนี้ โชคดีที่มีที่ว่างและจะเดินทางออกจากอิงเกรเซียนในอีก 1 ชั่วโมง ระหว่างนั้นฟินน์นั่งคิดอะไรหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นตลอด 10 ปีที่ผ่านมา อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขารักคนคนนั้นกันนะ? ทั้งที่ความใกล้ชิดมีเพียงแค่ตอนทำหน้าที่เป็นตุ๊กตายาง แถมคนคนนั้นไม่เคยอ่อนโยนหรือใจดีกับเขาเลย แล้วทำไมถึงยังยกหัวใจให้ไปกัน?
“ต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะลืม...” พึมพำกับตัวเองก่อนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดานของสนามบินที่สูงลิ่ว อีกไม่นานเขาจะได้อิสระที่แท้จริงกลับคืนมา เขาจะได้ออกจากสถานที่ที่เหมือนกับกรงขังแห่งนี้ ได้ใช้ชีวิตที่เหลือของตัวเองในประเทศเล็ก ๆ ทางใต้และฟินน์ก็มีความหวังที่แสนริบหรี่ ความหวังที่ว่าใครสักคนในที่แห่งนั้นจะช่วยดึงเขาขึ้นมาจากหุบเหว
หุบเหวที่เรียกว่ามาเวอริค
“...” ฟินน์เริ่มก้าวเท้าออกจากจุดเดิม ระหว่างนั้นในใจลึก ๆ ของเขามันแอบคาดหวังอะไรบางอย่าง ถึงจะรู้สึกผิดกับตัวเองก็ตาม ทว่า ฟินน์คาดหวังว่าคนคนนั้นจะกลับจากรันเซียเพื่อลากเขากลับไป แต่เปล่าเลยเพราะตลอดสามวันที่เขาแอดมิทอยู่ ไม่มีวี่แววของมาเวอริคให้เห็นแม้แต่ปลายผม ถึงจะรู้ว่าคุณชายเมอร์ลินสำคัญกับมาเวอริคมากแต่มันก็อดไม่ได้ที่จะคาดหวังว่ามาเวอริคจะมอบเศษเสี้ยวหนึ่งของความสำคัญให้กับตนบ้าง
แปะ ๆ
ฟินน์ยกมือขึ้นตบแก้มตัวเองเรียกสติ สายตาที่เคลือบด้วยความอ่อนแอเมื่อครู่จางหายไปก่อนทดแทนด้วยความมุ่งมั่นที่จะออกไปจากที่นี่
‘พอได้แล้วฟินน์ สิบปีที่โง่เง่ามันมากพอแล้ว อย่าไปคาดหวังอะไรจากคนคนนั้นเลย’ เมื่อดึงสติกลับมา ฟินน์ก็ก้าวเดินไปด้วยความรู้สึกที่มั่นคงกว่าเก่า รอยยิ้มจาง ๆ ที่ประดับบนใบหน้าช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น
ในเวลาเดียวกันนั้น เอ็มมานูเอลและอิการาชิที่เห็นฟินน์ทุกฝีก้าวได้ขยับกายลุกจากที่นั่งเช่นเดียวกันก่อนพากันเดินออกจากสนามบิน
“ไม่คิดเลยนะครับว่าท่านพี่มาเวอริคจะปล่อยฟินน์จังไปจริง ๆ” อิการาชิเอ่ยขณะเดินเคียงข้างพี่ชายต่างมารดามายังรถเบนซ์ที่จอดเรียงรายอยู่ด้านหน้า
“ไม่ใช่ว่าปล่อยแต่นกมันแหกกรงเองต่างหาก” เอ็มมานูเอลให้คำตอบก่อนขึ้นมานั่งบนรถส่วนอิการาชิแยกไปอีกคัน แม้เอ็มมานูเอลจะรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ลิ้มรสตุ๊กตายางของพี่ชายแต่เขาก็ไม่มีเวลามากมายให้คิดเรื่องนั้นเพราะอีกไม่นาน ตระกูลคาร์ลอฟที่สูงส่งอาจเกิดสงครามภายใน คิด ๆ แล้วก็ตลกดีเหมือนกันที่คนเป็นลูกอย่างพี่ชายต่างมารดากลับคิดที่จะทรยศ
“รีบ ๆ กลับมาให้ฉันได้เห็นความย่อยยับของแกได้แล้วพี่ชาย” เอ็มมานูเอลแค่นยิ้มก่อนเคาะบุหรี่ออกมาสูบแล้วกระดอกเท้าฮัมเพลงไปพลางอย่างอารมณ์ดี แต่ลูกน้องใต้ปกครองที่ขับรถให้เอ็มมานูเอลกับคนอีกคนที่คอยรายงานกลับรู้สึกเสียวสันหลังชอบกล เพราะแม้ผู้เป็นนายจะดูอารมณ์ดีแต่จะอารมณ์ดีจริง ๆ หรือเปล่า? พวกเขาดูไม่ออกแม้แต่นิดเดียว
ขบวนรถเบนซ์ของคุณชายทั้งสองกลับเข้าคฤหาสน์คาร์ลอฟตามกันมา รถของอิการาชิแยกไปทางบ้านสไตบ์ญี่ปุ่นส่วนของเอ็มมานูเอลจอดลงที่ตรงหน้าคฤหาสน์ ประตูรถถูกเปิดด้วยมือของลูกน้องใต้ปกครองก่อนขาเรียวยาวจะก้าวลงจากรถ
“เธอจะออกไปไหน?” ลงรถมาก็พบกับน้องสาวต่างมารดาที่แต่งตัวด้วยชุดรัดรูปโชว์สัดส่วน สายตาคู่คมตวัดมองหน้าลูกน้องของเขาที่แอบมองน้องสาวก่อนจะออกปากไล่ให้ไปไกล ๆ
“ฉันจำเป็นต้องบอกนายด้วยหรือไง?” แวนด้า คาร์ลอฟ น้องสาวต่างมารดาที่เกลียดขี้หน้าเอ็มมานูเอลมากกว่าใคร เธอให้คำตอบพี่ชายที่ไม่เคารพแล้วเตรียมเดินไปยังรถของเธอ
“เธอนี่มันน่ารำคาญเหมือนวิคตอเรียไม่มีผิด”
“นายเองก็น่าขนะแขยงเหมือนโรสแมรี่ไม่มีผิด” สองพี่น้องฟาดฟันกันทางสายตาอย่างไม่มีใครยอมใคร จนกระทั่ง
“พี่ครับ! เมื่อครู่พ่อเรียกผมไปหาแล้วบอกว่าพี่มาเวอริคใกล้จะเดินทางกลับมาแล้ว” อูรีเอล คาร์ลอฟ น้องเล็กสุดของตระกูลและเป็นเด็กที่น่ารำคาญผสมกับน่าเอ็นดู ตั้งแต่เมอร์ลินแต่งงานออกไป อูรีเอลก็ขยันขันแข็งหนักกว่าเดิมเพราะกลัวบิดาส่งไปแต่งงานแบบเมอร์ลิน ดูเหมือนคำพูดนั้นจะทำเด็กนี่กลัวอยู่เหมือนกัน แต่ที่บอกว่าน่ารำคาญก็ตรงที่พยายามเกินจนขัดหูขัดตา ส่วนที่น่าเอ็นดูก็ตรงที่พยายามเดินตามรอยเท้าของพวกเขา
“แล้วยังไง? จะแหกปากไปให้ได้อะไร” แวนด้าขมวดคิ้วมองน้องเล็กอย่างรำคาญ
“ก็พ่อบอกให้ผมมาบอกพวกพี่ไง แล้วพ่อก็ฝากมาบอกอีกว่าให้ทำตัวตามปกติและอย่าให้พี่มาเวอริคเอะใจเด็ดขาดว่าพวกเรารู้เรื่องที่เขาหักหลังแล้วน่ะครับ” อูรีเอลอธิบาย
“จะมาถึงเมื่อไหร่?” คำถามนี้เอ็มมานูเอลเป็นคนถาม
“ไม่รู้เหมือนกันครับแต่น่าจะในเร็ว ๆ นี้ น่าจะสักอีก 3 วันได้มั้ง” อูรีเอลตอบพี่ชาย
“น่าสนุกชะมัด ส่วนเธอจะไปไหนก็ไปแต่ดูสารรูปตัวเองด้วยว่าน่าเกลียดขนาดไหน คิดว่าหุ่นดีมากหรือไงถึงใส่รัดรูป? ไม่สงสารชุดก็สงสารสายตาชาวบ้านเขาบ้าง แล้วก็แกอูรีเอล แกควรบอกตัวเองก่อนว่าอย่าทำพิรุธเพราะนอกจากพวกฉันก็มีแค่แกนี่แหละที่ทำอะไรไม่เคยเนียน” เอ็มมานูเอลชี้หน้าน้องสาวทีน้องชายทีแล้วเดินไปยังบ้านสไตล์ญี่ปุ่นเพื่อบอกกับอิการาชิเรื่องของมาเวอริค แวนด้าสบด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายยาวเป็นกิโลก่อนเดินไปยังรถ อูรีเอลเพียงแค่บ่นอุบอิบแล้วกลับมาร่าเริงเหมือนเดิม เพราะตอนนี้ได้เวลาฝึกของตนแล้ว
ประเทศรันเซีย
(หลังจากฟินน์เดินทางไปจามิลแล้ว 3 วัน)
มาเวอริคกำลังเตรียมเดินทางกลับอิงเกรเซียน ตอนนี้มาเวอริคยังไม่รู้เรื่องที่ฟินน์ออกจากอิงเกรเซียนแล้วเพราะตัวเขายุ่งวุ่นวายหลายเรื่อง หลังจากเคลียร์ปัญหาและฟื้นคืนสายสัมพันธ์พี่น้องกับเมอร์ลินได้ มาเวอริคก็ต้องกลับมาเคลียร์เรื่องมาร์การ์เล็ตในระหว่างที่เขาไม่อยู่ กว่าจะเรียบร้อบดีก็เสียเวลาไปหนึ่งสัปดาห์เต็ม ๆ
“อิวาน” มาเวอริคเอ่ยเรียกขณะที่สายตายังคงไล่อ่านโครงสร้างอำนาจของมาร์การ์เล็ต
“ครับท่านมาเวอริค” อิวานรีบเข้ามาผู้เป็นนายทันที
“แกยังติดต่อกับฟินน์มันอยู่หรือเปล่า?”
“ผมติดต่อหัวหน้าฟินน์อยู่ตลอดครับ แต่หัวหน้าฟินน์ไม่ติดต่อกลับผมสักครั้งและเหมือนจะตัดการติดต่อผมไปเมื่อวานเองครับ” อิวานรายงานตามตรง มาเวอริคได้ยินแบบนั้นก็กัดฟันจนกรามขึ้นเป็นสัน มือกำไอแพดจนอิวานกลัวว่ามันจะหักคามือเจ้านาย มาเวอริคหลับตาลงแล้วผ่อนลมหายใจ ควบคุมอารมณ์ให้กลับมาเยือกเย็นเหมือนเดิม
“ปกติแกติดต่อกับมันทางไหน?”
“ทางเบอร์โทรและพวกแอปสื่อสารครับ อย่าง...”
“ฉันถามแค่ไหนก็ตอบแค่นั้น” มาเวอริคตวัดสายตามองหน้าอิวาน อิวานสะดุ้งแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนเอ่ยขอโทษมาเวอริค มาเวอริคถอนหายใจแล้วไล่อิวานไปก่อนตัวเขาจะสนใจแค่งานตรงหน้า เมื่อถึงเวลาที่กำหนด เครื่องบินส่วนตัวของมาเวอริคก็ค่อย ๆ ทะยานสู่น่านฟ้าเพื่อเดินทางกลับสู่ประเทศอิงเกรเซียนบ้านเกิด ระหว่างนั้นมาเวอริคกดปิดไอแพดแล้วหันมองกระจกที่ด้านนอกเป็นทิวทัศน์ท้องฟ้าสีครามดูสดใสจนน่าหงุดหงิด
ป่านนี้นกของเขาจะบินออกจากขอบกรงหรือยังหรือยังยืนอยู่ที่ขอบกรงเพื่อรอเขาให้กลับไปปิดประตูกรง ไม่สิ บางทีนกของเขาคงกระพือปีกบินออกไปแล้วเพราะคนที่ไล่นกให้ออกจากขอบกรงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือพ่อของเขาที่เป็นทั้งคนเปิดประตูกรงและเป็นทั้งคนไล่ มาเวอริคยังคงเชื่อสุดใจว่านกเลี้ยงก็เป็นแค่นกเลี้ยงที่ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตัวเอง ก็นะ เลี้ยงมาเป็นสิบปียังไงความภักดีก็ต้องฝังอยู่ในสมองบ้าง
“หึ...” คิดแล้วก็หลุดขำก่อนยกยิ้มนิด ๆ แล้วหลับตาเอนหลังเสียหน่อย กว่าจะเดินทางถึงอิงเกรเซียนก็อีกหลายชั่วโมง
[1] จากตอนที่ 14 เรื่อง What is a divorce? [Mpreg]
การเดินทางอันยาวนานถึง 10 ชั่วโมงได้สิ้นสุดลงแล้ว เครื่องบินส่วนตัวของทายาทคาร์ลอฟกำลังลงจอดบนสนามบินส่วนตัวของตระกูลคาร์ลอฟที่อยู่ติดกับสนามบินใหญ่อิงเกรเซียน มาเวอริคลงจากเครื่องทันทีที่จอดสนิทและอิวานต้องทำหน้าที่แทนฟินน์ที่ลาออกไป ตั้งแต่นำเอกสารเดินทางไปที่สนามบินใหญ่เพื่อจัดการเรื่องเข้าออกประเทศของผู้เป็นนาย จนถึงดูแลเรื่องกระเป๋าเดินทาง‘ลาออกเพื่อลำบากฉันแท้ ๆ เลย’ อิวานขมวดคิ้วขณะนึกถึงฟินน์และงานที่เขาต้องทำแทน แต่หากกลับถึงคฤหาสน์คาร์ลอฟเมื่อไหร่ หน้าที่ของเขาก็จะสิ้นสุดลง ดังนั้น ทนอีกหน่อยแล้วกันเพื่อเงิน เพื่ออิสระ“ยินดีต้อนรับกลับครับท่านมาเวอริค!” ชายชุดดำที่หน้าอกของสูทปักสัญลักษณ์ตระกูลเอ่ยทักทายเสียงดังฟังชัดพร้อมค้อมศีรษะเก้าสิบองศา มาเวอริคพยักหน้ารับแล้วก้าวขึ้นไปบนรถทันทีที่ประตูถูกเปิด เขามาถึงอิงเกรเซียนในช่วง 2 A.M. แต่ประเทศแห่งนี้ก็ยังไม่หลับใหลเหมือนอย่างเคย มาเวอริคเท้าศอกลงกับขอบประตูขณะมือค้ำแก้มทอดสายตาออกไปนอกรถ“นายรู้เรื่องที่คนสนิทฉันลาออกใช่ไหม?” มาเวอริคเอ่ยถามเสียงแข็งพร้อมใช้คำว่าคนสนิทแทนที่จะเอ่ยชื่อฟินน์ออกไป“รู้ครับ” คนขับรถพยักหน้าพร้อม
เป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่มาเวอริคถูกขังในห้องเก่า ๆ ของชั้นแรก มันเหมือนกับห้องนอนปกติเพียงแต่ข้าวของที่มีดูเก่าและดูใช้ได้เพียงไม่กี่อย่าง แต่มาเวอริคไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่เพราะตอนนี้ความคิดของเขา มันกำลังจมอยู่กับการหาตัวคนทรยศ ซึ่งมีชื่ออยู่ในใจแล้วแต่จะยังไม่คอนเฟิร์มแม้เปอร์เซ็นต์จะสูงก็ตาม มาเวอริคถอนหายใจก่อนมองดูโซ่เส้นใหญ่ที่ล่ามข้อเท้าทั้งสองข้าง จากการลองยกข้อเท้าดูแล้วพบว่าน้ำหนักของโซ่ค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่ได้มากจนถ่วงการขยับหรือการเคลื่อนไหวของร่างกายได้มาเวอริคมองไปรอบ ๆ ห้องแล้วหยุดสายตาที่ถาดอาหาร ถึงจะถูกขังในฐานะคนทรยศแต่อาหารการกินยังดูดีอยู่ ก็สมกับที่เอดิสันให้ความชื่นชอบมาเวอริคมากกว่าใคร มาเวอริคถอนหายใจแล้วเอนกายลงนอน สายตาทอดมองเพดานห้องก่อนค่อย ๆ ปิดลงพร้อมความคิดมากมายที่แล่นอยู่ในหัวผัวะ!แต่การพักผ่อนกลับถูกทำลายด้วยประตูห้องที่ถูกเปิดออกอย่างแรง มาเวอริคยันกายขึ้นลุกนั่งแล้วมองตรงไปยังหน้าประตูห้อง“มารยาทหายไปไหนกันหมด?” เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์แล้วมองหน้าบิดาด้วยสายตาแข็งกร้าว“ปากดีเหมือนเดิมเลยนี่ลูกชาย แต่ที่ฉันมาหาแกในวันนี้เพราะฉันมีเรื่องต้องคุยกับ
3 วันต่อมามาเวอริคลืมตาขึ้นมาพร้อมกับความปวดร้าวทั้งร่างกาย และภาพเพดานที่คุ้นเคยมันก็ทำให้เขารู้ตัวว่า ตัวเขาเข้ามาอยู่ห้องขังใต้ดินเป็นเวลาสามวันแล้ว มันทั้งอับทั้งชื้นและมีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย มาเวอริคค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจแล้วพยุงตัวขึ้นลุกนั่ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันยามความเจ็บแปล๊บวิ่งไปทั่วร่างทันทีที่ขยับตัว แต่พอลุกนั่งได้แล้วก็ค่อย ๆ เอนหลังพิงผนังห้องเย็น ๆ“เจ็บชะมัด” บ่นกับตัวเองแล้วเงยหน้ามองเพดานห้อง ผ่อนลมหายใจออกทางปากอย่างช้า ๆ ตอนนี้มาเวอริคไม่รู้สึกถึงน้ำหนักที่ข้อเท้าแล้วนั่นหมายความว่า โซ่ตรวนที่ถูกตัดถูกนำออกไปแล้วเรียบร้อย ทว่า สภาพของเขาในตอนนี้มันก็น่าเวทนาเหลือเกิน มาเวอริคเริ่มคิดว่าเขาจะรับมือกับอเล็กซานเดอร์ที่ลงมาหายังไงดี เพราะสามวันที่ผ่านมามันเต็มไปด้วยการทรมานที่แสนสาหัส เพียงแค่ต้องการรู้คำตอบในสิ่งที่มาเวอริคบอกกับโรนัลเดล บวกกับความเกลียดชังที่อเล็กซานเดอร์มีต่อมาเวอริค ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเลยกลายเป็นบาดแผลที่ยังไม่หายดีบนร่างกายมาเวอริค และมาเวอริคก็มีเรื่องมากมายที่อยากเอ่ยถามกับอเล็กซานเดอร์หากอเล็กซานเดอร์ลงมาหาเขาอีกครั้ง เขาจะเอ่ยถามทุกสิ่งทุกอย่า
@Dark-night Hotel“ท่านมาเวอริค!” เอียนรีบวิ่งเข้ามารับร่างของผู้เป็นนายที่ดูอ่อนแรง โชคดีมากที่คนของ เจฟรีย์ โรนัลเดล ยังจำเจ้านายของตนได้ เอียนและบาโน่ช่วยกันพยุงมาเวอริคมายังลิฟต์ ใจจริงอยากพาเจ้านายนั่งพักก่อนแต่สถานการณ์ตอนนี้ ทางที่ดีรีบพาเจ้านายขึ้นห้องที่เจฟรีย์อยู่จะดีที่สุดในที่สุดมาเวอริคก็ได้พักหายใจหลังเดินเท้าเปล่ามาอย่างยาวนานหลายนาทีหรืออาจจะเกือบชั่วโมง ตอนนี้เท้าของเขาแทบไม่มีความรู้สึกอะไรแล้วและไหนจะร่างกายที่บอบช้ำ ที่ยังมีชีวิตรอดมาได้จนตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว มาเวอริคผ่อนลมหายใจก่อนปรายตามองลูกน้องของตน“พวกแกตัดสินใจเองหรือไง?” เอ่ยถามขึ้นมาและเอียนก็เข้าใจคำถามได้ทันที“ครับและผมก็คิดว่าท่านมาเวอริคเองก็ต้องการแบบนี้เหมือนกัน” เอียนเป็นคนตอบ“หึ ทำดีมาก” มาเวอริคยิ้มมุมปากก่อนลิฟต์จะมาถึงชั้นสูงสุดพอดี พอประตูลิฟต์เปิดออกก็พบกับคนของโรนัลเดลมากมาย รวมถึงศพคนคาร์ลอฟที่นอนจมกองเลือด“สภาพแย่ยิ่งกว่าหมาอีกไม่ใช่เหรอนั่น” เจฟรีย์ที่ยืนคุยกับลูกน้องหันมองลิฟต์ที่เปิดออกและเอ่ยทักทายมาเวอริคอย่างเป็นกันเอง“ขอบใจที่เปรียบกับหมาแทนที่จะเป็นขยะ” มาเวอริคตอบกลับก
ตึก ตึก ตึกเสียงฝีเท้าที่ย่ำลงบนพื้นคฤหาสน์หลังใหญ่ดังกึกก้องพร้อมกับเสียงร้องไห้แผ่วเบา แต่หนักแน่นในความรู้สึกที่ต้องสูญเสียคนรักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ใบหน้าที่เย่อหยิ่งและโอหังกลับชุ่มไปด้วยน้ำตาจนกลายเป็นคนละคน สองแขนที่โอบอุ้มร่างคนรักกำลังสั่นเทา หยาดน้ำตาหยดลงบนร่างอเล็กซานเดอร์ เช่นเดียวกับหยาดเลือดที่ไหลหยดตามเส้นทาง“ทำไมคนที่เก่งกาจอย่างนายถึงต้องยอมตายกัน ทำไม... ถึงทิ้งฉันไว้แบบนี้อเล็ก” เอ่ยถามทั้งที่รู้ว่าไร้ซึ่งคำตอบ ยามก้มหน้ามองใบหน้าที่ซีดเซียวของคนรัก ยามเห็นรอยยิ้มจาง ๆ บนริมฝีปากที่เคยบอกรัก เอดิสันก็ยิ่งเจ็บปวดหัวใจและเสียใจจนไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว หากเป็นไปได้ก็อยากให้มันเป็นเพียงความฝัน... ความฝันที่พอลืมตาตื่นขึ้นมาได้เห็นใบหน้าที่ตนรักอยู่ข้างกายนัยน์สีน้ำเงินครามที่ทอแสงอ่อนลงยามนี้กำลังไร้ซึ่งพลังในการมีชีวิตอยู่ เอดิสันอุ้มร่างอเล็กซานเดอร์กลับเข้ามาในห้องนอน ห้องที่ซึ่งฝากฝังความทรงจำของพวกเขาไว้มากมาย‘เอดดี้’“ฮึก ช่วยกลับมาเรียกฉันว่าเอดดี้อีกครั้งสิอเล็ก” เอดิสันร้องไห้หนักขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอันเลือนรางเรียกชื่อของตน เอดดี้ ชื่อเล่นที่มีเพียงอ
เงินจำนวน 2,900,000,000 ดอลลาร์ ถูกโอนเข้าบัญชีของ เอเวอร์เร็ตต์ โรนัลเดล ทันทีที่มาเวอริคกลับเข้าห้องทำงานของบิดา มาเวอริคเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับหลับตาลง ตอนนี้ภาพจำทุกอย่างยังคงชัดเจนราวกับว่ามันเพิ่งเกิด ฉายอยู่ซ้ำ ๆ ในหัวราวกับตอกย้ำว่าอเล็กซานเดอร์ตายเพราะตัวเขา มาเวอริคถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นแล้วออกมามอบคำสั่งให้กับทุกคน“ฉันจะมอบอำนาจให้เอียนในการแบ่งทีมจำนวนห้าทีมเพื่อเก็บศพตามโรงแรมและสถานที่ต่าง ๆ ใครที่ต่อต้านเอียนหรือต่อต้านคนของฉัน ฉันจะจัดการขั้นเด็ดขาดทันที ส่วนพวกแม่บ้านและสาวใช้รวมถึงคนอื่น ๆ ที่พอขยับตัวได้ ก็ให้ทำความสะอาดคฤหาสน์และสนามด้านหน้าให้สะอาด ล้างด้วยน้ำสะอาดและแอลกอฮอลล์ไม่ต่ำกว่าสามรอบ อย่าให้คราบเลือดหลงเหลือแม้แต่หยดเดียว”“รับทราบค่ะ!/รับทราบครับ!”“ส่วนศพให้นำไปเผาที่เดิม รู้กันใช่ไหม?” มาเวอริคเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามขณะมองหน้าคนของเขาเพื่อรอคำตอบ“ครับ ทุกศพจะถูกนำไปเผาที่หลุมทางด้านหลังคฤหาสน์ที่ห่างออกไปราวหนึ่งกิโลเมตรครับ”“ดี จัดการให้เรียบร้อย” มอบหมายงานเรียบร้อยแล้วก็เดินมายังห้องนอนของบิดา ประตูที่ปิดสนิทมีคราบเลือดหยดลงตรงหน้าประตูและท
“เด็ก ๆ ไปอาบน้ำได้แล้ว” ฟินน์เอ่ยบอกน้อง ๆ ร่วมมารดาที่วิ่งเล่นกันอยู่หน้าบ้าน ตัวเขาเองก็ต้องรีบอาบน้ำเหมือนกัน เพราะตอนนี้ตามเนื้อตัวมีแต่เศษฝุ่นเศษฟางเต็มไปหมด ฟินน์วางเคียวลงในที่ที่เก็บอุปกรณ์ก่อนมองน้อง ๆ ที่ยังวิ่งเล่นกันอยู่ “เด็ก ๆ พี่บอกว่าให้ไปอาบน้ำไงครับ” พอน้องไม่ฟังก็มีอันต้องใช้เสียงดุกันบ้าง“พี่ไปอาบน้ำก่อนเลยครับ กว่าเจ้าพวกนี้จะยอมอาบก็คงอีกสักพักใหญ่ ๆ เลย” เอเธอร์ ลาเนียร์ ลูกชายคนโตของบ้านและอายุห่างกับฟินน์สิบสองปี เอเธอร์เดินเข้ามาบอกพี่ชายพร้อมมองไปยังน้อง ๆ อีกสองคนที่วิ่งเล่นกันอยู่“เอางั้นก็ได้แต่อย่าปล่อยน้องไปไหนล่ะ มันเริ่มจะเย็นแล้ว”“ครับพี่” เอเธอร์พยักหน้ารับคำ ฟินน์จึงถอดเสื้อที่สวมอยู่ออก ร่างกายกำยำที่แม้สายงานจะเปลี่ยนไปแต่รูปร่างเขาก็ยังคงดีอยู่ มัดกล้ามที่ปั้นมาจากสายงานบอดี้การ์ดตอนนี้มันดูดีมากกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย แผลเป็นที่ได้รับยามฝึกฝนหรือออกสนามจริงก็มีแต่งแต้มตามร่างกายบ้าง แต่มันก็ไม่ได้มากจนดูน่าเกลียด อีกทั้งตอนนี้สีผิวของฟินน์จากที่เคยขาวก็เริ่มออกสีน้ำผึ้งแทนจากการทำงานตากแดดฟินน์คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้ามาในห้องน้ำ พาดผ้าไว้ต
มาเวอริคเดินมาทิ้งกายลงบนม้านั่งพลางยกขาขึ้นไขว่ห้าง สองแขนยกขึ้นกอดอกพร้อมกับในหัวที่มีความคิดมากมาย ตอนนี้สีหน้าของมาเวอริคเรียบนิ่งไร้อารมณ์เป็นอย่างมาก มาเวอริคต้องยอมรับว่าเขาสลัดคำพูดของฟินน์ออกไปจากหัวไม่ได้เลย ไหนจะสีหน้าที่เขาไม่เคยเห็นเพราะฟินน์มักแสดงแต่ด้านที่เข้มแข็งให้เห็น‘ผมรักคุณครับ’‘ผมรักคุณมากและรักมาตลอด ผมเจ็บทุกครั้งที่ต้องหาคู่นอนให้กับคุณแต่ผมก็ทำเพราะมันคือหน้าที่ เลือกคู่นอนที่ดีที่สุดให้กับคุณแต่บางครั้งผู้หญิงที่ตรงตามความต้องการ มันก็ไม่ได้มีเยอะหรือหาได้ง่ายทุกครั้งที่คุณต้องการขนาดนั้น หากคุณยอมนอนกับคนเก่า ๆ บ้างบางทีเรื่องที่ผมต้องเป็นตุ๊กตายางคงไม่เกิดขึ้น’“ตุ๊กตายาง...” มาเวอริคพึมพำเสียงเบาแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าจามิล ไม่ใช่ว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้แต่มาเวอริคไม่ได้ใส่ใจมัน เขามองข้ามและคิดว่าในมันไม่ใช่เรื่องของเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับมันมากนัก และต้องยอมรับว่าในตอนนั้นด้วยหน้าที่ของฟินน์ที่เป็นทั้งคนสนิท มือขวาและคู่นอนที่ทำตามความต้องการของเขา ไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตายางมีชีวิตจริง ๆ ทว่า มาเวอริคไม่เคยถามฟินน์เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เล