“นายจะนอนไปถึงเมื่อไหร่ฟินน์? รีบลุกไปจัดการตัวเองได้แล้ว” น้ำเสียงของผู้เป็นนายนาม มาเวอริค คาร์ลอฟ ค่อนข้างหงุดหงิดและไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะเดิมทีหากทำหน้าที่เสร็จเรียบร้อย ฟินน์จะต้องออกจากห้องไปก่อนแล้ว แต่เมื่อคืนฟินน์ถูกมาเวอริคทำหนักเกินไป ตรงนี้จึงพอเข้าใจแต่การตื่นทีหลังเขา มันดูไร้ความรับผิดชอบต่อหน้าที่สิ้นดี
“อึก... ข ขออภัยครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้” ฟินน์กัดฟันยันตัวขึ้นลุกนั่ง ร่างกายเขาแทบไม่ไหวแต่ต้องทนฝืนเพื่อลงจากเตียง ตามตัวฟินน์มีแต่รอยกัด รวมถึงร่องรอยของนิ้วมือเต็มไปหมด มาเวอริคไม่สนใจท่าทีทรมานของฟินน์ ผู้เป็นนายหันหลังแล้วจัดการไดร์ผมให้แห้ง จัดทรงผม ทาครีมแล้วแต่งตัวด้วยเสื้อสเวทเตอร์แขนยาวสีดำ กางเกงสแลคสีน้ำตาลพับขาเล็กน้อย รองเท้าโลฟเฟอร์สีเดียวกับกางเกง มาเวอริคตรวจความเรียบร้อยแล้วคว้าเสื้อโค้ทตัวยาวที่มีขนาดพอดีกับขากางเกงมาคลุมไหล่
“ชิ...!” พอหันกลับมาเห็นว่าฟินน์เพิ่งลงจากเตียงไปอยู่หน้าประตูห้อง การเคลื่อนไหวชักช้าจนน่ารำคาญใจ แต่หากผู้เป็นนายลองสังเกตสักนิด เขาจะเห็นว่าสีหน้าของฟินน์ดูไม่ดีเลย “นายจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วกลับคาร์ลอฟไปซะ ฉันไม่ต้องการลูกน้องที่น่าหงุดหงิดแบบนาย” น้ำเสียงเย็นชาไร้หัวใจของมาเวอริคทำฟินน์รู้สึกแน่นหน้าอก ฟินน์เงยมองผู้เป็นนายที่เดินผ่านเขาไป ฟินน์ยังไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไรผิดนักหนา
‘นายจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วกลับคาร์ลอฟไปซะ ฉันไม่ต้องการลูกน้องที่น่าหงุดหงิดแบบนาย’
ในวันนี้ วันที่ผู้เป็นนายและเจ้าของหัวใจออกปากไล่ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
บอดี้การ์ดที่ชื่อ ฟินน์ ไอแซค เลยนึกตั้งคำถามขึ้นมากับตนเองว่า ความพยายามที่เขาทำมาทั้งหมดเคยส่งไปถึงบ้างหรือเปล่า? ฟินน์เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาที่ทอดมองสะท้อนภาพแผ่นหลังของ มาเวอริค คาร์ลอฟ ผู้เป็นนายที่เดินห่างออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งประตูห้องปิดลง ฟินน์ก็ยังคงคิดว่าการที่เขาทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้ผู้เป็นนายมันผิดมากเชียวหรือ?สองพี่น้องมาร์การ์เล็ตที่คิดเข้าหามาเวอริค สายตาของฟินน์ที่ตรวจดูฝาแฝดตระกูลมาร์การ์เล็ตแล้ว เขาคิดว่าดูยังไงทั้งสองคนก็ไม่น่าไว้ใจ ในฐานะที่เป็นทั้งคนสนิทและลูกน้องที่ยืนข้างกายมาสิบปี ฟินน์จึงกีดกันไม่ให้เข้าใกล้ผู้เป็นนาย
ฟินน์รู้ รู้ดีมากกว่าใครว่าบุคคลที่แบกชื่อ มาเวอริค คาร์ลอฟ แข็งแกร่งมากแค่ไหน
ฟินน์รู้ว่าใครก็ตามที่อยู่เบื้องหน้า หากคิดแตะต้องมาเวอริคในแง่ร้าย ล้วนไม่มีทางรอดกลับไปได้สักคน
ฟินน์รู้แต่ฟินน์ก็จำเป็นต้องทำตามหน้าที่ที่แบกรับ หน้าที่ของคนสนิท หน้าที่ของลูกน้องและหน้าที่ของคนแอบรักที่ไม่อยากเห็นคนที่รักต้องมีบาดแผล แม้ท้ายที่สุดสิ่งที่เขาทำจะไร้ค่าและกลายเป็นคนผิดก็ตาม
"ลาออกดีไหมนะ?" พึมพำขึ้นมาแล้วพักเอาแรงก่อนสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย ฟินน์กลับมาที่ห้องพักซึ่งอยู่ชั้นที่ 11 การเดินที่ดูติดขัดของฟินน์ทำให้ใครต่อใครมองฟินน์แปลก ๆ ฟินน์แค่นยิ้มก่อนเข้าห้อง ปิดประตูแล้วทิ้งตัวลงนั่งลงบนพื้นห้อง
'นั่นมันตุ๊กตายางของท่านมาเวอริค’
นั่นคือความหมายของสายตาที่มองเขา เหล่าลูกน้องทุกคนในคาร์ลอฟต่างรู้เรื่องที่ฟินน์เป็นคู่นอนให้กับผู้เป็นนาย แน่นอนว่าเป็นคู่นอนแก้ขัดหากเขาหาสาวสวยมาให้ไม่ได้ ฟินน์หลับตาแล้วนึกถึงวันแห่งการเริ่มต้นของการเป็นคู่นอน
'การที่นายหาคู่นอนให้ฉันไม่ได้แล้วบอกจะรับผิดชอบน่ะ นายจะรับผิดชอบด้วยการยกตัวนายให้ฉันแทนหรือไง?'
'...ถ้าท่านไม่รังเกียจที่ผมเป็นผู้ชาย ผมก็พร้อมรับผิดชอบความผิดพลาดนี้ด้วยร่างกายผมครับ'
ฟินน์ยังจำสีหน้าของมาเวอริคได้ดีว่าคนคนนี้ตกใจมากแค่ไหน ฟินน์ที่เข้าทำงานเพียงสองปีแต่กลับไม่มีความหวาดกลัว ความเสียใจที่จะสละร่างกายตนเองให้ผู้เป็นนายได้ปลดปล่อยความต้องการ เมื่อมีครั้งแรก ก็ต้องมีครั้งต่อไป แล้วเมื่อไหร่กันที่ฟินน์ยกหัวใจให้กับคนใจร้าย?
มันกี่ปีแล้วนะที่ฟินน์แอบรักคนคนนี้? มันกี่ปีแล้วที่ยกหัวใจให้ไปโดยที่คนคนนั้นไม่ต้องการและไม่เคยร้องขอ มีแต่ฟินน์ที่โลภมากอยากได้หัวใจของ มาเวอริค คาร์ลอฟ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางได้มา แต่ก็โลภจนเกินตัว มันถึงเวลาที่เขาควรพอแล้วหรือเปล่านะ?
"เวรเอ้ย ทำไมต้องอ่อนแอกับเรื่องแบบนี้ด้วยวะ" ฟินน์ยกฝ่ามือเช็ดน้ำตาที่อยู่ ๆ ก็ไหลลงมา แค่ข้างเดียวก็เกินทนแล้วแต่นี่ไหลมาพร้อมกันสองข้าง ให้ตายสิ คนที่ข้ามเส้นก่อนคือตัวเขาเองแท้ ๆ แต่กลับมานั่งเสียใจงั้นเหรอ? ทั้งที่รู้ตัวว่าไม่ไหวแล้วกับความรู้สึกนี้ แล้วทำไมถึงได้ดันทุรังโดยหวังว่าสักวันจะได้รับกลับมา?
โง่ชัด ๆ
กับแค่หัวใจคนคนเดียว ไม่เห็นจำเป็นต้องทำขนาดนี้เลย สิบปีที่ยืนข้างกาย ฟินน์ดันทุรังไปแล้วห้าปีเพื่อรักคนคนนี้ ตลกดีที่คนคนนั้นไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าการทำหน้าที่ปกติธรรมดาของฟินน์
"ลาออกคงเป็นทางเดียวที่ดีที่สุด" ฟินน์ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลแล้วพาร่างกายอันบอบช้ำเข้าห้องน้ำ แววตาของฟินน์มองร่างกายที่สะท้อนในกระจก รอยกัดจนห้อเลือดมีหลายจุด รอยนิ้วมือ รอยช้ำจากแรงบีบตามแขน ที่ลำคอมีเพียงรอยคิสมาร์กที่ถูกดูดจนแดงแล้วมันก็เริ่มดูช้ำ ๆ แล้วด้วย ฟินน์ถอนหายใจแล้วเริ่มอาบน้ำทำความสะอาดช่องทาง
ระหว่างอาบน้ำ ฟินน์ได้คิดเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขา ฟินน์รู้ดีว่าการลาออกจากคาร์ลอฟไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากจัดการได้ในเร็ววันก่อนเจ้านายกลับอิงเกรเซียน เขาจะมีเวลาหนีออกจากสายตาของมาเวอริค หนีไปหาแม่ที่ต่างประเทศคงเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย ฟินน์ยิ้มบางแล้วหลับตาปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านร่างกาย
ฟินน์ ไอแซค [อายุ 30 ปี]
สัญชาติ-เชื้อชาติ : อิงเกรเซียน
เพศ : ชาย / สูง : 184 เซนติเมตร / หนัก : 69 กิโลกรัม
ตำแหน่ง : คนสนิทของทายาทคาร์ลอฟ-มือขวา
ระยะเวลาการทำงาน : 10 ปี (เริ่มงานตอนอายุ 20 ปี)
สถานะ : ลาออก
ในเมื่อทวงคืนหัวใจไม่ได้ อย่างน้อยก็พาตัวเองออกจากตรงนั้นก็แล้วกัน (:
วันเดียวกันกับที่มาเวอริคเข้าเยี่ยมน้องชายที่โรนัลเดล ฟินน์ได้เดินทางออกจากรันเซียแม้สภาพร่างกายจะพร้อมในช่วงบ่าย และเขาก็กลับไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ได้บอกใครสักคน
10 ชั่วโมงต่อมา
เท้าของฟินน์เหยียบแผ่นดินประเทศบ้านเกิดอย่างอิงเกรเซียน เขาไม่สบายตัวแต่ไม่คิดจะหยุดพัก ฟินน์นั่งรถตรงมาที่คฤหาสน์คาร์ลอฟ เข้าพบหัวหน้าบอดี้การ์ดที่เป็นคนคัดเขาให้มาเวอริคในอดีต แจ้งจุดประสงค์และเข้าพบผู้นำสูงสุดอย่าง เอดิสัน คาร์ลอฟ
การลาออกของเขาได้รับการอนุมัติแต่แลกมากับการถูกอเล็กซานเดอร์ซ้อม ถึงจะอนุญาตให้สวนกลับแต่ฟินน์ที่มีสภาพร่างกายติดลบย่อมทำอะไรไม่ได้ เป็นเวลากว่าสิบชั่วโมงตามระยะเวลาการทำงาน
ยิ่งทำมานาน ยิ่งรู้ข้อมูลเยอะ
เพื่อเป็นเครื่องหมายเตือนใจ หากปากพล่อยเรื่องคาร์ลอฟเมื่อไหร่ อเล็กซานเดอร์จะไม่ปล่อยเอาไว้แน่แม้จะอยู่สุดขอบโลกก็ตาม
"ฉันเสียดายนายจริง ๆ" อเล็กซานเดอร์คอยดูฟินน์มาตลอด ทั้งรูปร่าง ความสุขุมที่ดูสงบนิ่งราวหุ่นไร้วิญญาณ ฝีมือการต่อสู้ก็ไม่เป็นรองใคร น่าเสียดายที่ต้องเสียคนแบบนี้ไป
"แค่ก! แฮ่ก ดีใจนะครับ อึก ที่ได้ยินท่านพูดแบบนั้น" ฟินน์แทบลืมตาไม่ขึ้นแต่แค่เขารู้ว่ายังไม่ตาย แค่นี้ก็เกินพอแล้ว อเล็กซานเดอร์แบกฟินน์ที่หมดสติขึ้นบ่าแล้วพาไปส่งที่รถ ก่อนฟินน์จะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล
หลังจากรถที่พาฟินน์ส่งโรงพยาบาลขับออกไป ใครคนหนึ่งก็เดินออกมาจากที่ซ่อนแล้วมองตามรถก่อนเอ่ยถามอเล็กซานเดอร์
"เขาลาออกจริง ๆ เหรอครับ?"
"ท่านอิการาชิ รู้เรื่องแล้วเหรอครับ" คนที่โผล่มาคือ อิการาชิ คาร์ลอฟ บุตรชายจากภรรยาคนที่สี่ เป็นบุตรเพียงคนเดียวที่มีเชื้อสายเอเชีย อิการาชิในชุดยูกาตะสีดำเดินเข้ามาหาอเล็กซานเดอร์พร้อมรอยยิ้ม
"ผมเพิ่งรู้จากท่านพ่อ ว่าแต่ท่านพี่มาเวอริครู้เรื่องหรือยังครับ?" อิการาชิเอ่ยถามพลางมองหน้าอเล็กซานเดอร์แล้วยิ้มจนดวงตาเป็นรูปจันทร์เสี้ยว เป็นยิ้มที่อเล็กซานเดอร์ไม่ชอบเท่าไหร่
"ยังครับ"
"แปลก แต่ก็น่ายินดีครับ" พูดจบก็ค่อย ๆ ลืมตาแล้วก้าวเดินกลับไปยังบ้านสไตล์ญี่ปุ่นที่ปลูกแยกอยู่ทางฝั่งขวาของคฤหาสน์ ระหว่างที่เดินอิการาชิก็ดึงแขนออกจากชุดยูกาตะที่ใส่ทำให้ช่วงบนของยูกาตะพับลง เผยให้เห็นรอยสักมังกรที่ถูกดาบญี่ปุ่นนับสิบเล่มทิ่มแทงอย่างเป็นศิลปะเต็มแผ่นหลัง ไม่ต่างอะไรกับรอยสักของยากูซ่าแต่ในรอยสักของทายาทคาร์ลอฟต่างมีความหมาย
มังกร คือตัวแทนของเอดิสันผู้เป็นบิดา
มาเวอริคเปรียบตนเป็นงูจึงมีรอยสักงูพันมังกรที่หวังว่าสักวัน มาเวอริคจะใช้คมเขี้ยวและพิษแว้งกัดมังกรตนนั้น เช่นเดียวกับอิการาชิที่มีเชื้อสายญี่ปุ่น ได้ใช้ดาบญี่ปุ่นแทงมังกรจนสะบักสะบอมหมดราศีของสัตว์ชั้นสูง แม้จะเป็นบิดาแต่พวกเขาต่างหมายจะโค่นมังกรลง และอเล็กซานเดอร์ที่เคียงข้างกายมังกรมาตลอด เขาจึงอยากเฝ้าดูว่าบุตรที่มังกรสร้าง จะมีตัวไหนล้มมังกรได้สำเร็จบ้าง ช่างน่าดูชมจริง ๆ ...
และแน่นอนว่าเขาจะเข้าขวางเพื่อไม่ให้มังกรตนนั้นได้ล้มลง ไม่มีวัน
ทางฟินน์ได้นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลร่วมสัปดาห์ เขานอนเหมือนตายด้วยร่างกายที่บอบช้ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บวกกับโดนซ้อมแลกอิสระอีกสิบชั่วโมง ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้นี่ก็น่าทึ่งมากแล้วจริง ๆ
และอีกสามวันฟินน์จะออกจากโรงพยาบาล เขาจะต้องออกจากประเทศภายในหนึ่งวัน เพราะหากอยู่นานกว่านี้ มาเวอริค คาร์ลอฟ อาจจะกลับมาที่อิงเกรเซียนก่อนเขาออกจากประเทศก็เป็นได้
คฤหาสน์มาร์การ์เล็ตมาเวอริครู้สึกตัวตื่นในช่วงเช้าของวัน ทั้งที่เพิ่งนอนเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วแต่เขากลับตื่นขึ้นมาเวลาเจ็ดโมงเช้าของวัน มาเวอริคยันตัวลุกนั่งก่อนยกมือกุมขมับแล้วปรายตามองคนข้างกายริชาร์ด มาร์การ์เล็ต ผู้นำมาเฟียตระกูลมาร์การ์เล็ตในประเทศรันเซีย แม้จะไม่ใช่องค์กรใหญ่มากมายอะไร แต่ก็ถือว่ามีอำนาจและอิทธิพลพอสมควร ทว่าเหตุผลแรกที่ไม่ใช่เหตุผลหลัก มาเวอริคสนับสนุนมาร์การ์เล็ตเพราะ ‘จูงจมูกง่าย’ รู้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นหน้า มาเวอริคถึงได้ปล่อยให้มาร์การ์เล็ตเข้าหา แต่คนสนิทของเขากลับขัดขวาง มันเลยทำให้แผนของเขารวนหมดแม้สุดท้ายจะได้เข้าแทรกมาร์การ์เล็ตในฐานะผู้สนับสนุนตามที่วางแผนไว้ก็เถอะ แต่จะว่าไป ป่านนี้ไปอยู่ไหน? ทำไมถึงไม่มาตาม ปกติเดิมทีแล้ว ‘ฟินน์ ไอแซค’ คนสนิทที่เปรียบดั่งมือขวาและมือซ้ายในเวลาเดียวกันจะต้องมาเรียกเขา เข้ามาปลุกเขาโดยไม่สนว่าจะนอนที่ไหนพร้อมรายงานเรื่องที่ต้องทำในวันนี้‘อา จริงสินะ...’ มาเวอริคคิดในใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาลงโทษฟินน์หนักมือไปหน่อย ร่างกายของฟินน์เลยไม่พร้อม แถมเขายังหงุดหงิดไล่ฟินน์กลับประเทศ ทว่ามาเวอริคก็เชื่อว่าฟินน์นั้นไม
การเดินทางอันยาวนานถึง 10 ชั่วโมงได้สิ้นสุดลงแล้ว เครื่องบินส่วนตัวของทายาทคาร์ลอฟกำลังลงจอดบนสนามบินส่วนตัวของตระกูลคาร์ลอฟที่อยู่ติดกับสนามบินใหญ่อิงเกรเซียน มาเวอริคลงจากเครื่องทันทีที่จอดสนิทและอิวานต้องทำหน้าที่แทนฟินน์ที่ลาออกไป ตั้งแต่นำเอกสารเดินทางไปที่สนามบินใหญ่เพื่อจัดการเรื่องเข้าออกประเทศของผู้เป็นนาย จนถึงดูแลเรื่องกระเป๋าเดินทาง‘ลาออกเพื่อลำบากฉันแท้ ๆ เลย’ อิวานขมวดคิ้วขณะนึกถึงฟินน์และงานที่เขาต้องทำแทน แต่หากกลับถึงคฤหาสน์คาร์ลอฟเมื่อไหร่ หน้าที่ของเขาก็จะสิ้นสุดลง ดังนั้น ทนอีกหน่อยแล้วกันเพื่อเงิน เพื่ออิสระ“ยินดีต้อนรับกลับครับท่านมาเวอริค!” ชายชุดดำที่หน้าอกของสูทปักสัญลักษณ์ตระกูลเอ่ยทักทายเสียงดังฟังชัดพร้อมค้อมศีรษะเก้าสิบองศา มาเวอริคพยักหน้ารับแล้วก้าวขึ้นไปบนรถทันทีที่ประตูถูกเปิด เขามาถึงอิงเกรเซียนในช่วง 2 A.M. แต่ประเทศแห่งนี้ก็ยังไม่หลับใหลเหมือนอย่างเคย มาเวอริคเท้าศอกลงกับขอบประตูขณะมือค้ำแก้มทอดสายตาออกไปนอกรถ“นายรู้เรื่องที่คนสนิทฉันลาออกใช่ไหม?” มาเวอริคเอ่ยถามเสียงแข็งพร้อมใช้คำว่าคนสนิทแทนที่จะเอ่ยชื่อฟินน์ออกไป“รู้ครับ” คนขับรถพยักหน้าพร้อม
เป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่มาเวอริคถูกขังในห้องเก่า ๆ ของชั้นแรก มันเหมือนกับห้องนอนปกติเพียงแต่ข้าวของที่มีดูเก่าและดูใช้ได้เพียงไม่กี่อย่าง แต่มาเวอริคไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่เพราะตอนนี้ความคิดของเขา มันกำลังจมอยู่กับการหาตัวคนทรยศ ซึ่งมีชื่ออยู่ในใจแล้วแต่จะยังไม่คอนเฟิร์มแม้เปอร์เซ็นต์จะสูงก็ตาม มาเวอริคถอนหายใจก่อนมองดูโซ่เส้นใหญ่ที่ล่ามข้อเท้าทั้งสองข้าง จากการลองยกข้อเท้าดูแล้วพบว่าน้ำหนักของโซ่ค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่ได้มากจนถ่วงการขยับหรือการเคลื่อนไหวของร่างกายได้มาเวอริคมองไปรอบ ๆ ห้องแล้วหยุดสายตาที่ถาดอาหาร ถึงจะถูกขังในฐานะคนทรยศแต่อาหารการกินยังดูดีอยู่ ก็สมกับที่เอดิสันให้ความชื่นชอบมาเวอริคมากกว่าใคร มาเวอริคถอนหายใจแล้วเอนกายลงนอน สายตาทอดมองเพดานห้องก่อนค่อย ๆ ปิดลงพร้อมความคิดมากมายที่แล่นอยู่ในหัวผัวะ!แต่การพักผ่อนกลับถูกทำลายด้วยประตูห้องที่ถูกเปิดออกอย่างแรง มาเวอริคยันกายขึ้นลุกนั่งแล้วมองตรงไปยังหน้าประตูห้อง“มารยาทหายไปไหนกันหมด?” เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์แล้วมองหน้าบิดาด้วยสายตาแข็งกร้าว“ปากดีเหมือนเดิมเลยนี่ลูกชาย แต่ที่ฉันมาหาแกในวันนี้เพราะฉันมีเรื่องต้องคุยกับ
3 วันต่อมามาเวอริคลืมตาขึ้นมาพร้อมกับความปวดร้าวทั้งร่างกาย และภาพเพดานที่คุ้นเคยมันก็ทำให้เขารู้ตัวว่า ตัวเขาเข้ามาอยู่ห้องขังใต้ดินเป็นเวลาสามวันแล้ว มันทั้งอับทั้งชื้นและมีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย มาเวอริคค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจแล้วพยุงตัวขึ้นลุกนั่ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันยามความเจ็บแปล๊บวิ่งไปทั่วร่างทันทีที่ขยับตัว แต่พอลุกนั่งได้แล้วก็ค่อย ๆ เอนหลังพิงผนังห้องเย็น ๆ“เจ็บชะมัด” บ่นกับตัวเองแล้วเงยหน้ามองเพดานห้อง ผ่อนลมหายใจออกทางปากอย่างช้า ๆ ตอนนี้มาเวอริคไม่รู้สึกถึงน้ำหนักที่ข้อเท้าแล้วนั่นหมายความว่า โซ่ตรวนที่ถูกตัดถูกนำออกไปแล้วเรียบร้อย ทว่า สภาพของเขาในตอนนี้มันก็น่าเวทนาเหลือเกิน มาเวอริคเริ่มคิดว่าเขาจะรับมือกับอเล็กซานเดอร์ที่ลงมาหายังไงดี เพราะสามวันที่ผ่านมามันเต็มไปด้วยการทรมานที่แสนสาหัส เพียงแค่ต้องการรู้คำตอบในสิ่งที่มาเวอริคบอกกับโรนัลเดล บวกกับความเกลียดชังที่อเล็กซานเดอร์มีต่อมาเวอริค ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเลยกลายเป็นบาดแผลที่ยังไม่หายดีบนร่างกายมาเวอริค และมาเวอริคก็มีเรื่องมากมายที่อยากเอ่ยถามกับอเล็กซานเดอร์หากอเล็กซานเดอร์ลงมาหาเขาอีกครั้ง เขาจะเอ่ยถามทุกสิ่งทุกอย่า
@Dark-night Hotel“ท่านมาเวอริค!” เอียนรีบวิ่งเข้ามารับร่างของผู้เป็นนายที่ดูอ่อนแรง โชคดีมากที่คนของ เจฟรีย์ โรนัลเดล ยังจำเจ้านายของตนได้ เอียนและบาโน่ช่วยกันพยุงมาเวอริคมายังลิฟต์ ใจจริงอยากพาเจ้านายนั่งพักก่อนแต่สถานการณ์ตอนนี้ ทางที่ดีรีบพาเจ้านายขึ้นห้องที่เจฟรีย์อยู่จะดีที่สุดในที่สุดมาเวอริคก็ได้พักหายใจหลังเดินเท้าเปล่ามาอย่างยาวนานหลายนาทีหรืออาจจะเกือบชั่วโมง ตอนนี้เท้าของเขาแทบไม่มีความรู้สึกอะไรแล้วและไหนจะร่างกายที่บอบช้ำ ที่ยังมีชีวิตรอดมาได้จนตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว มาเวอริคผ่อนลมหายใจก่อนปรายตามองลูกน้องของตน“พวกแกตัดสินใจเองหรือไง?” เอ่ยถามขึ้นมาและเอียนก็เข้าใจคำถามได้ทันที“ครับและผมก็คิดว่าท่านมาเวอริคเองก็ต้องการแบบนี้เหมือนกัน” เอียนเป็นคนตอบ“หึ ทำดีมาก” มาเวอริคยิ้มมุมปากก่อนลิฟต์จะมาถึงชั้นสูงสุดพอดี พอประตูลิฟต์เปิดออกก็พบกับคนของโรนัลเดลมากมาย รวมถึงศพคนคาร์ลอฟที่นอนจมกองเลือด“สภาพแย่ยิ่งกว่าหมาอีกไม่ใช่เหรอนั่น” เจฟรีย์ที่ยืนคุยกับลูกน้องหันมองลิฟต์ที่เปิดออกและเอ่ยทักทายมาเวอริคอย่างเป็นกันเอง“ขอบใจที่เปรียบกับหมาแทนที่จะเป็นขยะ” มาเวอริคตอบกลับก
ตึก ตึก ตึกเสียงฝีเท้าที่ย่ำลงบนพื้นคฤหาสน์หลังใหญ่ดังกึกก้องพร้อมกับเสียงร้องไห้แผ่วเบา แต่หนักแน่นในความรู้สึกที่ต้องสูญเสียคนรักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ใบหน้าที่เย่อหยิ่งและโอหังกลับชุ่มไปด้วยน้ำตาจนกลายเป็นคนละคน สองแขนที่โอบอุ้มร่างคนรักกำลังสั่นเทา หยาดน้ำตาหยดลงบนร่างอเล็กซานเดอร์ เช่นเดียวกับหยาดเลือดที่ไหลหยดตามเส้นทาง“ทำไมคนที่เก่งกาจอย่างนายถึงต้องยอมตายกัน ทำไม... ถึงทิ้งฉันไว้แบบนี้อเล็ก” เอ่ยถามทั้งที่รู้ว่าไร้ซึ่งคำตอบ ยามก้มหน้ามองใบหน้าที่ซีดเซียวของคนรัก ยามเห็นรอยยิ้มจาง ๆ บนริมฝีปากที่เคยบอกรัก เอดิสันก็ยิ่งเจ็บปวดหัวใจและเสียใจจนไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว หากเป็นไปได้ก็อยากให้มันเป็นเพียงความฝัน... ความฝันที่พอลืมตาตื่นขึ้นมาได้เห็นใบหน้าที่ตนรักอยู่ข้างกายนัยน์สีน้ำเงินครามที่ทอแสงอ่อนลงยามนี้กำลังไร้ซึ่งพลังในการมีชีวิตอยู่ เอดิสันอุ้มร่างอเล็กซานเดอร์กลับเข้ามาในห้องนอน ห้องที่ซึ่งฝากฝังความทรงจำของพวกเขาไว้มากมาย‘เอดดี้’“ฮึก ช่วยกลับมาเรียกฉันว่าเอดดี้อีกครั้งสิอเล็ก” เอดิสันร้องไห้หนักขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอันเลือนรางเรียกชื่อของตน เอดดี้ ชื่อเล่นที่มีเพียงอ
เงินจำนวน 2,900,000,000 ดอลลาร์ ถูกโอนเข้าบัญชีของ เอเวอร์เร็ตต์ โรนัลเดล ทันทีที่มาเวอริคกลับเข้าห้องทำงานของบิดา มาเวอริคเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับหลับตาลง ตอนนี้ภาพจำทุกอย่างยังคงชัดเจนราวกับว่ามันเพิ่งเกิด ฉายอยู่ซ้ำ ๆ ในหัวราวกับตอกย้ำว่าอเล็กซานเดอร์ตายเพราะตัวเขา มาเวอริคถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นแล้วออกมามอบคำสั่งให้กับทุกคน“ฉันจะมอบอำนาจให้เอียนในการแบ่งทีมจำนวนห้าทีมเพื่อเก็บศพตามโรงแรมและสถานที่ต่าง ๆ ใครที่ต่อต้านเอียนหรือต่อต้านคนของฉัน ฉันจะจัดการขั้นเด็ดขาดทันที ส่วนพวกแม่บ้านและสาวใช้รวมถึงคนอื่น ๆ ที่พอขยับตัวได้ ก็ให้ทำความสะอาดคฤหาสน์และสนามด้านหน้าให้สะอาด ล้างด้วยน้ำสะอาดและแอลกอฮอลล์ไม่ต่ำกว่าสามรอบ อย่าให้คราบเลือดหลงเหลือแม้แต่หยดเดียว”“รับทราบค่ะ!/รับทราบครับ!”“ส่วนศพให้นำไปเผาที่เดิม รู้กันใช่ไหม?” มาเวอริคเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามขณะมองหน้าคนของเขาเพื่อรอคำตอบ“ครับ ทุกศพจะถูกนำไปเผาที่หลุมทางด้านหลังคฤหาสน์ที่ห่างออกไปราวหนึ่งกิโลเมตรครับ”“ดี จัดการให้เรียบร้อย” มอบหมายงานเรียบร้อยแล้วก็เดินมายังห้องนอนของบิดา ประตูที่ปิดสนิทมีคราบเลือดหยดลงตรงหน้าประตูและท
“เด็ก ๆ ไปอาบน้ำได้แล้ว” ฟินน์เอ่ยบอกน้อง ๆ ร่วมมารดาที่วิ่งเล่นกันอยู่หน้าบ้าน ตัวเขาเองก็ต้องรีบอาบน้ำเหมือนกัน เพราะตอนนี้ตามเนื้อตัวมีแต่เศษฝุ่นเศษฟางเต็มไปหมด ฟินน์วางเคียวลงในที่ที่เก็บอุปกรณ์ก่อนมองน้อง ๆ ที่ยังวิ่งเล่นกันอยู่ “เด็ก ๆ พี่บอกว่าให้ไปอาบน้ำไงครับ” พอน้องไม่ฟังก็มีอันต้องใช้เสียงดุกันบ้าง“พี่ไปอาบน้ำก่อนเลยครับ กว่าเจ้าพวกนี้จะยอมอาบก็คงอีกสักพักใหญ่ ๆ เลย” เอเธอร์ ลาเนียร์ ลูกชายคนโตของบ้านและอายุห่างกับฟินน์สิบสองปี เอเธอร์เดินเข้ามาบอกพี่ชายพร้อมมองไปยังน้อง ๆ อีกสองคนที่วิ่งเล่นกันอยู่“เอางั้นก็ได้แต่อย่าปล่อยน้องไปไหนล่ะ มันเริ่มจะเย็นแล้ว”“ครับพี่” เอเธอร์พยักหน้ารับคำ ฟินน์จึงถอดเสื้อที่สวมอยู่ออก ร่างกายกำยำที่แม้สายงานจะเปลี่ยนไปแต่รูปร่างเขาก็ยังคงดีอยู่ มัดกล้ามที่ปั้นมาจากสายงานบอดี้การ์ดตอนนี้มันดูดีมากกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย แผลเป็นที่ได้รับยามฝึกฝนหรือออกสนามจริงก็มีแต่งแต้มตามร่างกายบ้าง แต่มันก็ไม่ได้มากจนดูน่าเกลียด อีกทั้งตอนนี้สีผิวของฟินน์จากที่เคยขาวก็เริ่มออกสีน้ำผึ้งแทนจากการทำงานตากแดดฟินน์คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้ามาในห้องน้ำ พาดผ้าไว้ต