การเดินทางไปเข้าร่วมทีมแพทย์อาสาเพื่อออกตรวจชาวบ้านบนดอยของวายุมีเหตุให้ต้องเลื่อนออกไปเมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟป่าทำให้มีชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บถูกส่งมาที่โรงพยาบาล N เป็นจำนวนมาก วายุกับแก้มใสที่ได้รับรายงานเรื่องไฟป่าตั้งแต่ช่วงเช้าจึงรีบเดินทางมาที่โรงพยาบาลทันทีโดยที่มีรามสูรติดตามมาด้วย
ถึงแม้ว่าจะมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ไฟป่าเป็นจำนวนมากแต่ระบบการจัดการของทางโรงพยาบาลที่เตรียมพร้อมทั้งสถานที่และบุคคลากรตั้งแต่ที่ได้รับรายงานเข้ามาทำให้ผู้ได้รับบาดเจ็บที่ถูกส่งตัวเข้ามาได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่สถานการณ์ภายในห้องฉุกเฉินเต็มไปด้วยความวุ่นวายภายในห้องพักผู้ป่วยเด็กหญิงตัวน้อยซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นย่า ไหล่บอบบางสั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้นเมื่อเธอตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าบิดามารดาของเธอได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
“ฮือ ฮือ ย่าขาหนูหม่อนคิดถึงพ่อกับแม่เหลือเกิน”
หม่อนไหมเอ่ยขึ้นบอกผู้เป็นย่าด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้นน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลกลิ้งลงมาบนแก้มเนียนเป็นสายทำให้แม่เลี้ยงเอื้องคำที่ไม่รู้ว่าควรจะปลอบอย่างไรให้หลานสายตัวน้อยรู้สึกดีขึ้นทำได้เพียงร่วมหลั่งน้ำตาเคียงข้างหม่อนไหมด้วยความรู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กันเมื่อต้องสูญเสียลูกชายและลูกสะใภ้ไปอย่างไม่ทันตั้งตัว
“หนูหม่อนเด็กดีถึงพ่อกับแม่จะไม่อยู่แล้วแต่หนูยังมีปู่กับย่านะลูกนะ”
พ่อเลี้ยงแสงหล้าเอ่ยปลอบหลานสาวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแฝงไปด้วยความเจ็บปวดใจเป็นอย่างมากเมื่อฝันดีในยามค่ำคืนถูกกลบทับด้วยข่าวร้ายที่ทำให้ภรรยาของเขาถึงกับเป็นลมหมดสติไป
“ฮึก ฮือ เพราะหนูหม่อนดื้อมากใช่ไหมคะ อึก พ่อกับแม่เลยทิ้งหนูหม่อนให้อยู่คนเดียว”
เด็กสาวเงยหน้าที่ร้องไห้จนดูบอบบางน่าสงสารขึ้นถามผู้เป็นปู่ที่พลันรู้สึกปวดแปลบขึ้นมาในใจเมื่อเสียงสะอื้นของหลานสาวดุจดังคมมีดกรีดเฉือนหัวใจเขาทีละแผลทรมานจนสุดที่จะทานทน
“หนูหม่อนของย่าเป็นเด็กน่ารัก นิสัยดี พ่อกับแม่เขาแค่ออกเดินทางไปไกลแสนไกลถึงแม้วันนี้เขาจะไม่ได้อยู่เคียงข้างหนูแล้วแต่ย่าอยากให้หนูระลึกเอาไว้เสมอนะลูก ว่าพ่อกับแม่เขากำลังเฝ้าดูหนูหม่อนอยู่ตลอดเวลาเขาไม่เคยทิ้งหนูไปไหนแต่เขาจะอยู่ในใจและความทรงจำของหนูตลอดไป”
แม่เลี้ยงเอื้องคำเอ่ยปลอบหลานสาวตัวน้อยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือมือที่บอบบางยื่นไปปาดน้ำตาอุ่นๆหยาดเล็กๆที่ร่วงลงมาจากดวงตากลมโตของหม่อนไหมออกให้อย่างอ่อนโยน
“หนูหม่อนไม่อยากเก็บพ่อกับแม่เอาไว้ในใจ ฮึก ฮือ แต่หนูหม่อนอยากให้พ่อกับแม่มาอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆหนูหม่อนตลอดไป ฮือ ฮือ ได้ไหมคะปู่ขา ย่าขา”
หม่อนไหมวิงวอนขอร้องด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาดวงหน้าเล็กที่เงยขึ้นสบตาปู่กับย่าเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาที่ไม่ว่าจะเช็ดอย่างไรหยดน้ำอุ่นๆก็ยังคงรินไหลออกมาไม่ขาดสาย เมื่อหัวใจดวงน้อยๆรู้สึกเจ็บปวดจนยากที่จะหักห้ามหยดน้ำตาไม่ไหลออกมาได้
ถึงเธอจะยังเด็กแต่เธอเข้าใจความหมายของผู้เป็นย่าดีเพียงแต่เธอยังทำใจยอมรับไม่ได้เท่านั้นเองว่าต่อจากนี้ไปเสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนของบิดาและมารดาจะเหลือเพียงความทรงจำที่ไม่อาจย้อนคืนวันวานได้อีกต่อไปความทรงจำที่ไม่ว่าจะพยายามลบเท่าไหร่ก็ไม่ได้ช่วยให้ลืมได้เลย
“โถ่ หลานรักของปู่”
พ่อเลี้ยงแสงหล้ายกมือขึ้นลูบแผ่นหลังของหลานสาวไปมาเบาๆอย่างปลอบโยนเขารู้ดีว่าความสูญเสียในครั้งนี้สร้างความเจ็บปวดให้หลานสาวมากเหลือเกินแต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเวลาไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้ว ถึงแม้พ่อเลี้ยงแสงหล้าอยากจะให้ทุกอย่างเป็นเพียงฝันร้ายที่ตื่นขึ้นมาแล้วทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม
ครอบครัวของเขาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตารอยยิ้มและเสียงหัวเราะของลูกชายและลูกสะใภ้ที่ดังก้องกังวานด้วยความสดใสแต่ทุกอย่างก็เป็นเพียงแค่ความหวังของชายคนหนึ่ง ที่ต้องยอมรับความจริงและเดินหน้าต่อไปด้วยการเลี้ยงดูทายาทเพียงคนเดียวของอติรุจน์และม่านฟ้าให้ดีที่สุดเท่าที่สองมือของปู่คนนี้จะทำได้
ข้างนอกห้องนั้นรามสูรยืนฟังเสียงร้องไห้ของเด็กสาวเงียบๆหัวใจที่เย็นชาพลันเจ็บหนึบสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนที่รามสูรจะตัดสินใจเดินจากไปทิ้งความตั้งใจที่จะมาเยี่ยมเด็กสาวเอาไว้เพียงแค่หน้าห้องเท่านั้น
“อาการทางร่างกายไม่หนักเท่าไหร่ครับพักรักษาตัวอีกสองสามวันก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่อาการทางใจค่อนข้างน่าเป็นห่วง”
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้แม่เลี้ยงเอื้องคำอดที่จะรู้สึกปวดแปลบในใจไม่ได้ใบหน้าที่ยังคงอ่อนเยาว์ถึงแม้อายุจะล่วงเลยผ่านวัยห้าสิบไปแล้วหันไปมองหลานสาวตัวน้อยที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกสงสารจับใจในขณะที่พ่อเลี้ยงแสงหล้าได้แต่พยักหน้ารับคำบอกเล่าของคุณหมอเงียบๆ
“ในระหว่างที่พักรักษาตัวผมแนะนำให้คุณปู่กับคุณย่าพาน้องออกไปเดินเล่นข้างนอกบ่อยๆ หรือไม่ก็พาน้องไปที่ห้องสันทนาการก็ได้ครับที่นั่นมีพยาบาลคอยดูแลตลอดเวลาและก็มีผู้ป่วยเด็กคนอื่นๆด้วย น้องอาจจะเจอเพื่อนใหม่ที่ทำให้น้องรู้สึกดีขึ้นบ้างไม่มากก็น้อยครับ อาการป่วยทางร่างกายรักษาไม่นานก็หายแต่อาการป่วยทางใจต้องใช้เวลาหมออยากให้คุณปู่กับคุณย่าเข็มแข็งนะครับหมอเชื่อว่าน้องต้องดีขึ้นอยากแน่นอน”
“ขอบคุณคุณหมอมากนะครับสำหรับคำแนะนำ ว่าแต่คุณหมอพอจะทราบไหมครับว่าใครเป็นคนช่วยหลานสาวของเราและพามาส่งที่โรงพยาบาล”
หลังจากที่เอ่ยคำขอบคุณคุณหมอหนุ่มแล้วพ่อเลี้ยงแสงหล้าก็เอ่ยถามเรื่องที่ตนเองอยากรู้ทันทีเพราะจากคำบอกเล่าของพยาบาลที่คอยดูแลหลานสาวของเขา เธอบอกว่าคนที่พาหม่อนไหมมาส่งที่โรงพยาบาลเป็นครอบครัวหนึ่งที่บังเอิญขับรถผ่านมาซึ่งหลังจากที่หลานสาวของเขาถึงมือหมอแล้วครอบครัวนั้นก็จากไปทันที
“ทราบครับ คนที่ช่วยหลานสาวของคุณปู่และพามาส่งที่โรงพยาบาลชื่อคุณหมอวายุครับ ปกติท่านประจำอยู่ที่โรงพยาบาลสาขาใหญ่ แต่เมื่อวานท่านเดินทางมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมหน่วยแพทย์อาสาและบังเอิญได้พบกับหลานสาวคุณปู่ที่กำลังประสบอุบัติเหตุพอดีครับ”
คำบอกเล่าของนายแพทย์หนุ่มทำให้พ่อเลี้ยงแสงหล้ารู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งในน้ำใจของคุณหมอวายุมากเพราะถ้าหากไม่ได้เขาช่วยพาหลานสาวมาส่งที่โรงพยาบาลเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอาจจะเกิดขึ้นกับหลานสาวของเขาก็เป็นได้
“ผมอยากจะขอพบคุณหมอวายุได้ไหมครับ อยากจะขอบคุณเขาที่ช่วยพาหนูหม่อนมาส่งที่โรงพยาบาล”
“ตอนนี้ท่านน่าจะกำลังยุ่งน่ะครับเพราะเหตุการณ์ไฟป่าทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ท่านเลยยกเลิกการเข้าร่วมโครงการแพทย์อาสาในวันนี้และมาช่วยรักษาผู้ป่วยที่โรงพยาบาลแทน แต่ยังไงเรื่องที่คุณปู่อยากจะพบกับท่านผมจะรายงานเรื่องนี้ให้ท่านได้ทราบครับ”
“ขอบคุณมากๆนะครับคุณหมอ ขอบคุณมาก”
พ่อเลี้ยงแสงหล้ายื่นมือมาจับมือของคุณหมอหนุ่มเอาไว้ด้วยความซาบซึ้งใจก่อนที่คุณหมอจะยิ้มให้เป็นการส่งท้ายและขอตัวจากไปเพื่อตรวจคนไข้คนต่อไปทันที
“น้องไม่อยากจะคิดเลยค่ะว่าถ้าไม่มีใครไปเจอหนูหม่อนป่านนี้แกจะเป็นยังไงบ้าง”
หลังจากที่คุณหมอหนุ่มจากไปแล้วแม่เลี้ยงเอื้องคำก็พูดขึ้นด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของคุณหมอวายุไม่ต่างกับสามีก่อนที่พ่อเลี้ยงแสงหล้าจะนั่งลงข้างๆภรรยาคู่ชีวิตและจับมือของเธอขึ้นมากุมเอาไว้อย่างอบอุ่น
“ต่อจากนี้ไปเราสองคนต้องเป็นทั้งปู่และย่าพ่อและแม่ให้หนูหม่อน เราต้องเลี้ยงแกให้เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กดีเพื่อตารุจของเรา สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้เราสองคนเสียใจและเจ็บปวดแต่พี่อยากให้น้องเข็มแข็งเพื่อหนูหม่อนนะ”
คำพูดของสามีทำให้น้ำตาร้อนผ่าวกลิ้งลงมาจากดวงตาคู่งามของแม่เลี้ยงเอื้องคำอย่างมิอาจควบคุมเอาไว้ได้อีกหัวใจของเธอทุกข์ระทมจนมิอาจทุกข์ได้มากกว่านี้ทุกข์จนแทบมิอาจหายใจ แต่ถึงอย่างนั้นมืออบอุ่นของสามีที่กำลังกุมมือของเธออยู่ก็ทำให้แม่เลี้ยงเอื้องคำตระหนักได้ว่าต่อจากนี้ไปเธอจะต้องเข็มแข็ง ถึงแม้ว่าลูกชายของเธอจะจากไปแล้วแต่เธอยังมีหลานสาวที่เป็นตัวแทนของลูกชายเธอจะต้องเลี้ยงดูหม่อนไหมให้เติบโตขึ้นมาเป็นอย่างดีเพื่อให้ลูกชายของเธอจากไปอย่างหมดห่วง
“น้องสัญญาว่าจะเข็มแข็งค่ะ เรามาช่วยกันเลี้ยงหนูหม่อนให้ดีที่สุดเพื่อลูกชายของเรากันนะคะ”
แม่เลี้ยงเอื้องคำยกมือของเธอขึ้นมาวางทาบทับลงบนมือใหญ่ของสามีก่อนที่ทั้งสองจะส่งยิ้มเพื่อให้กำลังใจกันและกัน การสูญเสียที่เกิดขึ้นถึงแม้จะสร้างความเจ็บปวดให้เธอกับสามีมากแต่เธอจะต้องก้าวข้ามผ่านไปให้ได้เพื่อหลานสาวเพียงคนเดียวของเธอ
เช้าวันต่อมา
“พี่รามแน่ใจนะครับว่าจะไม่ขึ้นไปบนดอยด้วยกัน”
วายุเอ่ยถามลูกชายคนโตที่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มสดใสก่อนที่เด็กชายจะเดินไปนั่งลงข้างๆมารดาที่หรี่ตามองลูกชายอย่างจับผิด แต่รามสูรกลับไม่เผยพิรุธใดๆให้มารดาจับผิดได้ทั้งนั้นเรื่องตีหน้าซื่อรามสูรถือว่ายืนหนึ่งที่สุดในบ้านผิดกับกอหญ้าที่ถูกแก้มใสจ้องหน้าคาดคั้นความจริงทีไรเป็นต้องหลุดพูดความจริงออกมาทุกที
“ไหนวันก่อนพี่รามบอกแม่แก้มว่าไปเยี่ยมน้องมาแล้วยังไงล่ะคะแล้วนี่ตั้งใจจะไปเลี้ยงต้อย เอ๊ย ดูแลน้องต่อหรือยังไงคะลูกชายสุดหล่อของแม่”
แก้มใสไม่ได้ถามเพียงอย่างเดียวเท่านั้นหากแต่สองมือของเธอยังยกขึ้นมาบีบแก้มของลูกชายส่ายไปมาน้อยๆด้วยความมันเขี้ยวสายตายามที่จ้องมองลูกชายเต็มไปด้วยความรัก ทำไมลูกชายของเธอยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งหล่อแบบนี้นะหน้าเหมือนพ่อจมูกและดวงตาเหมือนแม่รวมๆแล้วหน้าเหมือนพ่อมากกว่าแม่ก็นะไม่แปลกที่ลูกๆจะหน้าเหมือนพ่อเพราะเธอรักพี่หมอวายุมากนี่นา
“เปล่าสักหน่อย พี่รามอยากไปเที่ยวต่างหากล่ะครับก็คุณย่าบอกว่าเชียงใหม่ที่เที่ยวเยอะพี่รามเพิ่งเคยมาครั้งแรกก็ต้องอยากเที่ยวเป็นธรรมดา”
คนหน้าตายบอกเหตุที่ทำให้แก้มใสพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยเพราะทุกๆปีพี่หมอจะชอบชวนเธอมาเข้าร่วมโครงการแพทย์อาสาซึ่งหลังจากที่โครงการจบลงพี่หมอก็จะพาเธอท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะม่อนแจ่มที่เต็มไปด้วยสถานที่ให้เที่ยวชมมากมายทั้งไร่ดอกลมหนาวทุ่งดอกเวอร์บีนาสีม่วงสดใสตัดกับสีฟ้าครามไปเยือนทีไรแก้มใสก็ยังคงประทับใจทุกครั้ง
“เอ แต่ตอนนั้นพ่อจำได้ว่าพี่รามอยากมาเรียนรู้การเป็นหมออาสาขึ้นดอยลงเขาไม่ใช่เหรอครับ ทำไมความตั้งใจของพี่รามจู่ๆก็เปลี่ยนมาเป็นอยากเที่ยวไปได้น้าพ่อว่าต้องมีอะไรผิดพลาดตรงไหนสักอย่างแน่ๆเลย”
คำท้วงติงของบิดาทำให้รามสูรที่ยังคงตีหน้านิ่งอย่างไร้พิรุธลุกขึ้นยืนในทันทีทำเอาแก้มใสถึงกับเงยหน้าขึ้นมองลูกชายด้วยความแปลกใจกับท่าทีของลูกชายที่นึกอยากจะนั่งก็นั่งนึกอยากจะลุกก็ลุก เอ หรือว่ามื้อเช้าฝีมือของเธอจะใส่ผงปรุงรสมากเกินไปกันนะลูกชายของเธอถึงได้มีอาการคล้ายกำลังเมาผงปรุงรสแบบนี้
“พี่รามไปก่อนนะครับ เจได กับเอเดน รอนานแล้ว”
จบประโยคใบหน้าหล่อเหลาของเด็กชายวัยสิบสองขวบก็เผยรอยยิ้มให้บิดากับมารดาทิ้งท้ายก่อนที่รามสูรจะแสร้งเดินไปหยิบกระเป๋ากับกล้องถ่ายรูปเดินออกจากบ้านพักไปทันที ทิ้งให้แก้มใสมองตามแผ่นหลังกว้างของลูกชายไปด้วยอาการมึนงงในขณะที่วายุเผยรอยยิ้มบางๆออกมาอย่างรู้ทันความคิดของลูกชาย
“พี่รามไปเที่ยวแล้วเราสองคนก็ไปออกเดตกันบ้างดีกว่า”
“รอบนี้ขอเดตแบบหวานๆเลยนะคะ แบบเลือดโชกเหมือนรอบที่แล้วไม่เอาแล้วนะแก้มใสหัวใจจะวาย”
แก้มใสเอ่ยบอกสามีพร้อมกับลุกขึ้นมาทิ้งตัวลงนั่งบนตักแกร่งอย่างออดอ้อนมือเล็กๆพลันลูบคลำแผ่นอกของเขา และเลื่อนต่ำลงมาช้าๆ ก่อนที่วายุจะรีบจับมือซุกซนของเมียตัวน้อยเอาไว้เมื่ออีกแค่เพียงนิดเดียวมือของแก้มใสก็จะสัมผัสกับความใหญ่โตที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้กางเกงราคาแพง
“เราต้องรีบไปรวมตัวกับคุณหมอคนอื่นๆแล้วนะคะ”
“ครึ่งชั่วโมง แก้มใสขอแค่ครึ่งชั่วโมงรับรองว่ายังไงก็ทันเพราะพี่หมอของแก้มใสเก่งอยู่แล้ว”
วาจาออดอ้อนของภรรยาแสนรักทำให้วายุเกิดอาการลังเลซึ่งแก้มใสอาศัยจังหวะที่สามีกำลังคิดไม่ตกยื่นมือไปสัมผัสกับบางสิ่งบางอย่างที่แข็งขืนสู้มือของเธอทันที ราวกับว่าเธอได้ปลุกสัตว์ร้ายที่มีสัญชาตญาณดิบเถื่อนที่หลับสนิทให้ตื่นขึ้นมาก่อนที่เรียวปากร้อนผ่าวของวายุจะจรดลงบนกลีบปากอวบอิ่มจิ้มลิ้มของเธออย่างแผ่วเบา
เพราะต้องกลับไปจัดการงานศพของลูกชายและลูกสะใภ้ทำให้พ่อเลี้ยงแสงหล้าและแม่เลี้ยงเอื้องคำต้องจ้างพยาบาลพิเศษให้คอยดูแลหม่อนไหมในระหว่างที่ทั้งคู่ไม่อยู่ ซึ่งพยาบาลพิเศษที่รับหน้าที่ดูแลหม่อนไหมก็คือช่อแก้วคุณแม่ลูกหนึ่งที่เสียสามีไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้เธอเข้าใจหม่อนไหมดีว่าเด็กสาวรู้สึกอย่างไรที่ต้องเผชิญกับความสูญเสียอย่างไม่ทันตั้งตัว“มื้อเช้าวันนี้พี่ช่อซื้อปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ของโปรดหนูหม่อนมาฝากด้วยนะคะ”เมื่อเดินเข้ามาในห้องช่อแก้วก็ชูถุงปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ร้านชื่อดังโชว์ให้หม่อนไหมดูทำให้ความปรีดาอันแสนหวานผุดหน่อเล็กๆขึ้นมาส่ายไหวอยู่ในหัวใจที่กำลังเศร้าหมองของเด็กสาว ดวงตากลมโตมองของกินตรงหน้าพร้อมกับแอบกลืนน้ำลายอย่างหักห้ามใจไม่อยู่ถึงแม้เธอจะเศร้าใจมากเพียงไรแต่เธอไม่สามารถที่จะเมินเฉยต่อความหิวได้เลยแม้แต่น้อย“อาหารสำหรับผู้ป่วยรสชาติจืดชืดไปหน่อยหนูหม่อนอาจจะเบื่อ คุณย่าบอกพี่ช่อว่าหนูหม่อนชอบทานน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋พี่ช่อก็เลยรีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปต่อแถวซื้อมาฝากหนูหม่อนค่ะ”การกระทำที่แสดงออกถึงความเอาใจใส่ที่มีต่อเธอของช่อแก้วทำให้หม่อนไหมที่เอาแต่เงียบม
เช้าวันต่อมาโรงพยาบาล Nแววตาที่เศร้าสร้อยของเด็กสาวในเช้านี้ทำให้ช่อแก้วรู้สึกเป็นห่วงไม่น้อยเพราะเมื่อวานหลังจากที่คุณรามสูรหลานชายของท่านประธานโรงพยาบาล ที่ช่วยหม่อนไหมจากอุบัติเหตุแวะมาเล่นเป็นเพื่อนเด็กสาวทั้งวันรอยยิ้มที่ช่อแก้วคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้เห็นกลับเผยขึ้นอย่างง่ายดาย“ข้าวต้มหมูอร่อยมากๆเลยน้าหนูหม่อนทานหน่อยนะคะคนดี”น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยบอกเด็กสาวที่ยังคงเหม่อมองไปที่ประตูห้องราวกับว่ากำลังรอคอยการมาของใครบางคนที่ช่อแก้วเองก็ไม่รู้ว่าวันนี้คุณรามสูรจะมาเล่นกับเด็กสาวอีกไหม เพราะหลังจากที่หม่อนไหมหลับไปแล้วเขาก็จากไปเงียบๆโดยที่ไม่ได้บอกหรือฝากข้อความถึงหม่อนไหมเลยแม้แต่น้อย“วันนี้พี่ชายไม่มาเหรอคะ”เมื่อถามออกไปแล้วปลายจมูกก็พลันตีบตันในลำคอราวกับมีอะไรบางอย่างกลั้นอยู่ให้ยิ่งทรมานก่อนที่หม่อนไหมจะอดทนต่อความเสียใจแล้วออกแรงสูดลมหายใจเข้าลึกๆพร้อมกับหยิบช้อนขึ้นมาตักข้าวต้มหมูที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายเข้าปากในใจของเด็กสาวพยายามบอกตัวเองว่าไม่เป็นไรเธอจะต้องไม่ร้องไห้เพราะเธอให้สัญญากับพี่ชายเอาไว้แล้วว่าเธอจะเข็มแข็งและจะยิ้มทุกวันเพื่อให้พ่อกับแม่มีความสุข แต่สุดท้าย
เวลาต่อมา“หนูหม่อนยังไม่หายดีแอบพาไปข้างนอกแบบนี้จะไม่เป็นอะไรเหรอคะ”ช่อแก้วเอ่ยถามรามสูรพร้อมกับแอบมองเสี้ยวหน้าคมคายด้วยความกระวนกระวายใจเมื่อเขาจะพาหม่อนไหมออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ส่วนเด็กสาวเมื่อรู้ว่าพี่ชายจะพาออกไปเที่ยวเล่นก็ตื่นเต้นดีใจพร้อมกับบอกให้ช่อแก้วเปลี่ยนชุดให้เธอทันทีอย่างเตรียมพร้อมที่จะออกไปเผชิญโลกภายนอกกับพี่ชายที่แสนดีของเธอแล้ว“ผมอยากพาหนูหม่อนออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างครับอยู่แต่ในโรงพยาบาลน่าเบื่อจะแย่ ถึงจะมีสนามเด็กเล่นแต่ก็คงไม่สนุกเท่ากับการได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกหรอกครับ”“แต่ว่า...”“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับผมสัญญาว่าจะดูแลหม่อนไหมให้ดีที่สุด ผมรับรองได้เลยว่าคืนนี้พี่ช่อจะได้นอนหลับฝันดีอย่างไร้กังวลแน่นอนครับ”คำพูดที่หนักแน่นและแววตาที่จริงใจของรามสูรทำให้ช่อแก้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่รอยยิ้มบางๆจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าเมื่อเธอเผลอสบเข้ากับดวงตากลมโตของหม่อนไหมที่ทอแสงเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น ความเศร้าหมองที่เธอเคยเห็นในวันวานค่อยๆจางหายไปเหลือเพียงรอยยิ้มที่สดใสและแววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขยามที่เธอมองใบหน้าของรามสูรในเมื่อความสุขเพียงหนึ่งเ
เช้าวันต่อมารามสูรตักน้ำซุปที่ส่งกลิ่นหอมไปทั้งห้องครัวขึ้นมาชิมก่อนที่เด็กหนุ่มจะพยักหน้าน้อยๆอย่างพึงพอใจกับรสชาติอาหารที่ตัวเองตั้งใจทำไปฝากหม่อนไหมที่โรงพยาบาล รามสูรหยิบกล่องใส่อาหารมาตักเกี๊ยวน้ำใส่จนเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินไปดูซาลาเปาไส้ครีมคัสตาร์ดกับไส้ถั่วแดงที่กำลังนึ่งอยู่บนเตากลิ่นหอมของใบเตยจากแป้งของซาลาเปาที่รามสูรใส่ความตั้งใจลงไปตั้งแต่ขั้นตอนของการนวดแป้งไปจนถึงการทำไส้ของซาลาเปา ทำให้เด็กหนุ่มค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่รามสูรจะหยิบซาลาเปาออกมาหนึ่งชิ้นและยื่นให้เอเดนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ“เอเดนชิมซาลาเปาให้พี่รามหน่อยครับว่าอร่อยไหม”สายตาของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ทอเป็นประกายอย่างรอคอยคำตอบทำให้เอเดินรีบหยิบซาลาเปาจากมือของนายน้อยมากัดชิมทันที ดวงตาที่เต็มไปด้วยไอสังหารของเอเดนเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงเมื่อความนุ่มของแป้งผสมผสานกันอย่างลงตัวกับไส้ครีมที่หวานละมุนลิ้นชวนให้คนหยิบกินหลายชิ้นไม่รู้เบื่อ“อร่อยมากๆเลยครับคุณราม”เอเดนเอ่ยชมรามสูรพร้อมกับยกนิ้วให้อย่างชื่นชมจากใจจริงกับฝีมือทำอาหารของรามสูรที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากคุณยายตั้งแต่เด็กๆซึ่งโดยปกติแล้ว
โรงพยาบาล N“พี่รามหลานปู่” “พี่รามหลานตา” ตึก ตึก ตึกเสียงฝีเท้าของคนสองคนกำลังวิ่งแข่งกันมาตามทางเดินของโรงพยาบาลปากก็ร้องเรียกหลานชายคนโตด้วยความเป็นห่วงอย่างไม่มีใครยอมใคร ทำให้ที่รักกับกอหญ้าที่เดินตามหลังมาได้แต่ส่ายหน้าไปมาช้าๆพร้อมกันด้วยความเหนื่อยอกเหนื่อยใจกับนิสัยที่ไม่มีใครยอมใครของคุณตากับคุณปู่อดีตเพื่อนรักที่ปัจจุบันกลายเป็นไม่รักเพื่อนไปแล้ว“แล้วนายจะเบียดฉันทำไมวะไอ้หน้าหนังหมา”“อ้าว แล้วนายล่ะจะเบียดฉันทำไมไอ้หมาหน้าย่น นี่แหนะ”กฤษฎิ์ตอกกลับใส่หน้าเรียวอิจิด้วยคำพูดเผ็ดร้อนไม่แพ้กันก่อนที่เขาจะยื่นเท้าไปขัดขาเรียวอิจิทำให้เรียวอิจิที่ไม่ทันระวังสะดุดล้มจนหน้าคะมำลงไปจูบพื้นทันทีสร้างความสะใจให้แก่เพื่อนรักอย่างกฤษฎิ์เป็นอย่างมาก สะใจได้ไม่นานขาที่กำลังจะก้าววิ่งไปข้างหน้าพลันสะดุดล้มลงเมื่อคนที่จูบพื้นอยู่เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับยื่นมือมาจับขาของกฤษฎิ์เอาไว้แน่นด้วยความรวดเร็วจนทำให้กฤษฎิ์สะดุดล้มลงไปกองกับพื้นสภาพไม่ได้ต่างไปจากเรียวอิจิเลยแม้แต่น้อย“ปล่อยนะเว้ยไอ้หน้าแมว”“ปล่อยให้ไง่สิไอ้หน้าหมา นายอยากแกล้งฉันก่อนทำไม”เรียวอิจิยังคงจับขากฤษฎิ์
ไร่แสงหล้า“กินข้าวหน่อยนะหลานย่า ตั้งแต่กลับมาจากโรงพยาบาลหนูหม่อนไม่ค่อยกินข้าวเลย”น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยบอกหลานสาวด้วยความห่วงใยเมื่อหม่อนไหมเอาแต่นั่งเขี่ยข้าวในจานเล่นไปมาโดยที่ไม่ยอมตักขึ้นกินแม้แต่คำเดียว บางวันแม่เลี้ยงเอื้องคำถึงกับต้องสร้างข้อแลกเปลี่ยนขึ้นมาหลอกล่อหม่อนไหมถึงจะยอมกินข้าวแต่ถึงอย่างนั้นก็แทบนับคำได้“หนูหม่อนคิดถึงพี่ชายค่ะ หนูหม่อนอยากกินอาหารฝีมือพี่ชาย อยากเล่นกับพี่ชายแล้วก็ให้พี่ชายเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนด้วยค่ะ”หม่อนไหมบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปอย่างไม่ปิดบังการจากกันโดยที่ไม่ได้เอ่ยคำร่ำลาเป็นความรู้สึกที่ทรมานใจไม่น้อยสำหรับเด็กสาวที่มีพี่ชายคอยปลอบใจในวันที่กำลังรู้สึกเศร้าเสียใจ ในขณะที่แม่เลี้ยงเอื้องคำได้แต่ถอนหายใจออกมาน้อยๆด้วยความสงสารหลานสาวที่เอาแต่คิดถึงพี่ชายจนไม่ยอมกินข้าว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เข้าใจความรู้สึกของหม่อนไหมดีเพราะเท่าที่ฟังจากช่อแก้วเล่าพี่ชายคนนี้ของหม่อนไหมนั้นใจดีมากคอยอยู่เป็นเพื่อนเล่นหลานสาวของเธอตลอดเวลาที่เธอกับสามีกลับมาจัดการเรื่องงานศพของลูกชายและลูกสะใภ้“ถ้าหนูหม่อนคิดถึงพี่ชายหนูหม่อนก็ต้องกินข้าวเยอะๆจะได้โตไว
ปัจจุบันสนามบินสุวรรณภูมิร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีดำเข้าชุดกับกางเกงขายาวทรงกระบอกโดยใส่ชายเสื้อไว้ด้านในกางเกงปิดท้ายด้วยรองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดตาเดินล้วงกระเป๋ากางเกงเดินออกมาจากสนามบินด้วยท่าทีสบายๆ ใบหน้าหล่อเหลาราวกับลูกรักพระเจ้าชวนให้คนพบเห็นมองมาด้วยความสนใจหลงใหลแต่เจ้าของร่างสูงโปร่งกลับไม่ได้ให้ความสนใจแก่ใครทั้งสิ้นเขาทำเพียงเดินไปเรื่อย ๆ ก่อนที่จะหยุดลงที่หน้ารถคันซุปเปอร์คาร์คันหรูที่จอดเอาไว้ข้างๆสนามบินมุมปากที่เฉยชาพลันยกยิ้มด้วยความพึงพอใจก่อนที่เขาจะเปิดประตูและก้าวขึ้นไปนั่งบนรถพร้อมกับเปิดเพลงรักฟังอย่างสบายอารมณ์ รถซุปเปอร์คาร์คันหรูค่อยๆแล่นออกจากสนามบินด้วยความเร็วสูงราวกับว่าชายหนุ่มที่กำลังเหยียบคันเร่งจนมิดกำลังปลุกมัจจุราชที่กำลังหลับใหลให้ตื่นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้นเลยเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงที่รถซุปเปอร์คาร์โลดแล่นอยู่บนท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถราที่แล่นสัญจรสวนกันไปมาชวนให้วุ่นวายไม่สบายตาอยู่ไม่น้อยจนกระทั่งรถหยุดลงที่หน้าทาวน์เฮ้าส์เล็กๆหลังหนึ่ง หน้าบ้านมีชายชุดดำที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับรามสูรยืนอยู่ก่อนที่เขาจะรีบเปิดประตูลงจากรถไปหยุดย
ลมเย็นๆที่พัดมาปะทะร่างสูงของรามสูรที่กำลังยืนพิงกำแพงสูบบุหรี่อยู่บริเวณหลังร้านชวนให้รู้สึกสดชื่นไม่น้อยควันสีเทาหม่นที่ถูกพ่นออกจากริมฝีปากสีไวน์ค่อยๆล่องลอยไปอย่างไร้ทิศทาง ก่อนที่เสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากที่กำลังเดินตรงมาทางนี้จะทำให้รามสูรหันกลับไปมองเพียงเล็กน้อยเท่านั้นหลังจากนั้นรามสูรก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับผู้คนรอบข้างอีกเลย“มึงกล้าดียังไงถึงพากันมารุมกระทืบไอ้บอสน้องกู”น้ำเสียงดุดันของดินเอ่ยถามวัตรกับแก๊งเพื่อนที่พากันยืนนิ่งด้วยท่าทีสบายๆโดยที่ไม่ได้เกรงกลัวดินที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของบอสรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยพวกเขาเลยสักนิด“หึ นี่มึงมีน้องเหี้ยๆอย่างไอ้บอสด้วยเหรอวะ สันดานเลวแบบมันพวกกูไม่กระทืบจนเข้าโรงพยาบาลก็บุญหัวเท่าไหร่แล้ว”เป้เอ่ยขึ้นด้วยโทสะที่กำลังแล่นพล่านไปทั่วร่างกายเมื่อคิดถึงสาเหตุที่ทำให้เขากับเพื่อนไปลากตัวไอ้บอสออกมาจากผับที่มันกำลังมั่วอยู่กับสาวๆและรุมกระทืบอย่างไร้ความปรานี เมื่อชีวิตของเด็กสาวคนหนึ่งที่ตั้งใจทำงานหารายได้พิเศษเพื่อส่งเสียตัวเองเรียนถูกไอ้บอสหาเรื่องจนทำให้เธอถูกไล่ออกจากผับที่ทำงานอยู่ด้วยเหตุผลที่ทำให้เป้กับเพื่อนนึกโมโหจนแทบคลั่งเ