ซ่าาาา……...ปึก
อร๊ายยยยย!!!!!
ทันที...ที่น้ำในแก้วที่ฉันถือมาลอยไปอยู่บนหน้าของผู้หญิงคนนั้นจนหมด แก้วเปล่าถูกวางลงบนโต๊ะอย่างแรงเพื่อแสดงให้กลุ่มคนตรงหน้ารู้ว่าฉันโกรธมาก และตามมาด้วยเสียงกรี๊ดของหญิงสาววัยแรกรุ่นที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่เดือน แต่ดันปากดี ฉันไม่รู้หรอกว่ายัยนี้เด็กใคร แต่คงเส้นใหญ่มากถึงได้มาทำงานที่นี่ได้ เพราะเธอทำงานไม่ได้เรื่องเอาซะเลย ขนาดฉันที่ทั้งสวยและเก่ง กว่าจะเข้าได้ก็แทบแย่ แต่เพราะอารมณ์ไง ไม่แคร์อะไรทั้งนั้น แล้วเป็นไงล่ะทีเนี้ย เฮ้ออออ!!!
“คุณนีรดาร์ เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม”
“คุณนีรดาร์!!!!!”
“คะๆๆๆๆ”
เสียงตะคอกของผู้จัดการทำให้ฉันหลุดจากภวังค์ หลังจากที่จัดการยัยเด็กนั่นเรียบร้อย ฉันก็ถูกเรียกเข้ามาในห้องเย็นเกือบชั่วโมงและไม่มีท่าทีว่าจะได้ออกไป ถ้าเทียบกับสมัยเป็นนักเรียนก็คงหมายถึงห้องปกครองที่ไม่มีใครอยากเข้ามา แต่ฉันจับใจความที่คุณผู้จัดการพูดไม่ได้สักอย่างเพราะมัวแต่คิดถึงคำที่ยัยนั่นพูด ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น แต่เอ๊ะ...เมื่อกี้เหมือนได้ยินย้ายๆ อะไรย้าย
“ผู้จัดการว่ายังไงนะคะ”
“เฮ้อออ!!! ผมบอกว่า คุณต้องย้ายไปประจำที่เชียงใหม่” เขาถอนหายใจแรงหนึ่งครั้งแล้วบอกกับฉันช้าๆ ชัดๆ
"ฮะ!!"
“ผมช่วยคุณได้เท่านี้แหละ ความจริงเพราะคุณเป็นคนเก่ง ผมก็อยากให้คุณไปช่วยที่นู่นด้วย แต่ดันเกิดเรื่องขึ้นซะก่อน ผมก็เลยไม่ต้องขอความเห็นจากคุณ”
เหวอ....เลยฉัน เชียงใหม่เลยนะนั่น แล้วพ่อกับแม่จะอยู่ยังไง แต่เพราะฉันตกงานไม่ได้ พ่อต้องใช้เงินเยอะในการรักษาตัว จะทำยังไง ทำไงดี ยัยหนูดาเอ๊ยยยย...ถึงคราวซวยแล้ว
“แล้วเงินเดือนฉันจะขึ้นไหมคะ มีค่าอะไรให้พะ….”
ปังงงงงง!!!!
“นี่คุณ!!!! นั่นน่ะลูกกรรมการบริษัทเลยนะ ไม่โดนไล่ออกก็ดีแค่ไหนแล้ว” นั่นงะ...รู้อยู่แล้วไม่น่าถาม เสียงตบโต๊ะดังขึ้นทั้งที่ฉันยังพูดไม่จบ เกรี้ยวกราดได้ตลอดจริงๆ
“ค่ะ…”
ฉันทำได้แค่ก้มหน้ารับกรรมที่ยัยเด็กนั่นเป็นคนก่อ แล้วเดินออกมาจากห้องของผู้จัดการ เฮ้ออออ!!! ยัยเด็กนั่นต้องเป็นคู่เวรคู่กรรมของฉันแน่ๆ ฉันอยู่ที่นี้มาตั้ง 4 ปีไม่เคยมีปัญหากับใคร นึกแล้วก็ขึ้น กล้าดียังไงมาหาว่าฉันขายตัว ฉันรักศักดิ์ศรีของฉันเป็นที่สุด แต่ก็นะ...ถือว่าไปเอาประสบการณ์ละกัน
ติ๊ง...ติ๊ง
ลูกปลา : เป็นไงมึง
แมนนี่ : ไม่โดนไล่ออกใช่ปะมึง
พริกแกง : นั้นดิ นั้นดิ เล่ามา
ฉัน : โดนย้ายยยย
แมนนี่ : โอ้...แม่เจ้า
พริกแกง : ไปไหนมึง
ลูกปลา : พระราม 2 อยุธยา หรือนครปฐม
ฉัน : เชียงใหม่
ฉัน : เป็นงะ ช็อกมะล่ะพวกมึง
ฉันกดปิดเครื่องในทันทีเพราะรู้ว่าพวกมันต้องโทรมา ตอนนี้ฉันยังไม่พร้อมที่จะคุยกับใครทั้งนั้นขอเวลาทำใจสักพัก ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยห่าง พ่อกับแม่เลย ตายๆๆๆ งานนี้ตายแน่ๆ
@บ้าน
แกร๊กก...แกร๊ก
“แม่คะ หนูกลับมาแล้วค่ะ”
ฉันเปิดประตูเข้ามาในบ้านแต่ไม่พบใคร จึงร้องหาผู้เป็นมารดาแล้วเดินไปล้มตัวลงนอนบนโซฟาตัวใหญ่ตรงห้องนั่งเล่น ราวกับว่าไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรต่อ
พรึบบบบ.....
“ทำไมกลับเร็วจังลูก”
เสียงคุ้นหูเอ่ยถามและเดินตรงมายังห้องนั่งเล่นพร้อมกับหอบผ้าในมือ ท่านว่างหอบผ้านั่นลงบนโต๊ะแล้วหย่อนสะโพกลงข้างฉันพลางเอามือมาแตะหน้าผาก คล้ายกับจะเช็กดูว่าฉันยังสบายดีอยู่รึเปล่า
“ไม่สบายรึเปล่าลูก หน้าซีดๆ”
“เปล่าจ๊ะแม่ หนูดาสบายดี”
ฉันฉีกยิ้มพร้อมกับจับมือของท่านมาหอม มาแนบหน้า แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ความจริงต่อจากนี้ฉันจะทำแบบนี้ในทุกวันไม่ได้อีกแล้ว ความจริงฉันกลับมาหาท่านทั้งสองได้ทุกอาทิตย์แหละ แต่ฉันต้องประหยัดยังต้องจ่ายค่ารักษาอีกเยอะ คงต้องรอแค่วันหยุดยาว ปีหนึ่งก็สามสี่ครั้งเอง ฉันต้องคิดถึงพวกท่านมากแน่ๆ
“เดี๋ยวแม่ไปเอาน้ำมาให้นะ”
หลังจากที่แม่ลุกไป ฉันก็ตรงไปยังห้องของใครคนหนึ่ง ที่นอนอยู่แต่บนเตียงมานานหลายเดือน เขาคือพ่อของฉันเอง ท่านประสบอุบัติเหตุจนเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ฉันสงสารท่านเหลือเกิน แต่หมอบอกว่ามีโอกาสหายเป็นปกติ ฉันจึงทำทุกวิถีทางให้ท่านหาย เสียเงินเท่าไรฉันก็ยอม และนี่คือสาเหตุที่ฉันตกงานไม่ได้ รายได้มาจากฉันทางเดียว แม้แม่จะช่วยฉันด้วยการหาโน้นหานี้มาทำแต่มันก็ไม่พอหรอก ถ้าฉันไม่มีงานทำพวกเราแย่แน่ เอาว่ะ!!!!....อย่างน้อยก็ได้ค่าครองชีพเพิ่ม ไม่เสียค่าเช่าบ้าน ก็พอไหวอยู่แหละ
“พ่อจ๋า...เป็นยังไงบ้าง วันนี้มีอะไรมาโชว์หนูดาไหม”
ฉันเฝ้าถามและพูดคุยกับท่านทุกวัน ถึงแม้จะไม่มีเสียงตอบกลับแต่ท่านก็รับรู้สิ่งที่ฉันพูด บางวันท่านก็ยิ้ม กระดิกมือ กระดิกนิ้ว นั่นแหละที่พ่อโชว์ให้ฉันดู อาการท่านดีกว่าเมื่อก่อน
“หนูดาต้องไปทำงานที่เชียงใหม่ อาจจะหลายเดือน หรือเป็นปี พ่อต้องเข้มแข็งนะ หนูดาจะอดทน ไม่มีงานไหนได้เงินเยอะเท่านี้หรอก หนูดาไม่อยากหางานใหม่ พ่อเข้าใจใช่ไหม ฮือออๆ”
ฉันพูดไปน้ำตาก็ไหลไปฉันโน้มตัวลงไปกอดท่าน และรับรู้ได้ถึงแรงกอดจากด้านหลัง เรากอดกันอยู่อย่างนั้นนานเท่าไรไม่รู้ รู้แต่ไม่อยากปล่อยอ้อมกอดนี้เลย….. อีกนานแค่ไหนกันฉันถึงจะได้กลับมา แม่บอกว่ามันไม่ไกลเลย ว่าฉันเป็นเด็กขี้แย เรื่องแค่นี้เอง จริงเหรอ...เรื่องแค่นี้จริงเหรอ พวกท่านอาจจะอยู่ได้ เพราะมีคนแวะเวียนไปหาท่านอยู่บ่อยๆ แต่ฉันล่ะจะอยู่ยังไง ฮืออออ...ฮือออๆๆ
“คุณนีรดาร์ รึเปล่าครับ”ฉันหันไปตามเสียงเรียกขณะที่กำลังยืนหันหน้าหันหลังอยู่หน้าสนามบินเชียงใหม่ ผู้จัดการบอกว่าพอถึงที่สนามบินก็จะมีคนของบริษัทมารับ นี้คงเป็นคนของบริษัทซินะ“ค่ะ ฉันนีรดาร์”“อ๋อครับ ผมมาจากบริษัท Y ครับ มารับคุณไปส่งที่พักครับ” เขาพูดพลางเอื้อมมือมายกกระเป๋าเดินทางสองสามใบที่อยู่บนรถเข็นเพื่อขนขึ้นรถ“ขอบคุณนะคะ คุณ...เออ”“ผม...ที ครับ”ฉันเอ่ยขอบคุณเขาตามมารยาทและก็ควรรู้ชื่อเขาด้วยเพราะเราอาจได้ทำงานร่วมกันในวันข้างหน้า เขาตอบฉันกลับมาแบบยิ้มๆ มือเล็กเอื้อมไปเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งบนเบาะด้านหลังคนขับ มีความรู้สึกเหมือนเป็นคนสำคัญเลยแฮะ มีรถตู้มารับด้วย รถแล่นมาได้ซักประมาณครึ่งชั่วโมงได้แหละมั้งก่อนจะมาหยุดนิ่งอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่ดูภายนอกมันอาจจะเล็กไปหน่อยแต่ก็น่าอยู่ดีนะ สะอาดสะอ้าน น่าจะมีคนค่อยดูแลแน่ๆ ดีเลย ฉันเป็นพวกไม่ชอบทำงานบ้านสักเท่าไร ก็ส่วนมากแม่จะทำให้นี่นา“ถึงแล้วครับ” พี่คนขับที่ชื่อที..คนนั้นหันมาบอกฉัน แล้วหันกลับไปเปิดประตูลงจากรถเดินไปเปิดกระโปรงหลังเพื่อขนของลง ฉันจึงเปิดประตูลงมาจากรถ อากาศที่นี่ดีจัง ไม่ร้อนอบอ้าวหรืออาจเป็นเพราะยังเช
[ Patapee Talk ]ขณะที่ผมกำลังนอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียงก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินลงบันไดมาจากชั้นบนแล้วเสียงนั่นก็เงียบไปสักพัก...ผมเลยไม่ได้สนใจอะไร นั้นคงจะเป็นผู้หญิงคนที่ป้าพิมบอกไว้ซินะ เหอะ...เป็นผู้หญิงแบบไหนกันถึงยอมมาอยู่บ้านเดียวกับผู้ชายที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ตอนที่ป้าแกบอกผมก็ไม่ได้ขัดอะไร เพราะคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะต้องไม่ยอมแน่ๆ แต่มันคงเป็นคราวซวยของผมที่มาเจอผู้หญิงบ้า ที่กล้ามาอยู่กับผู้ชายสองต่อสอง...ความจริงผมย้ายออกไปอยู่คอนโดที่ป๊าซื้อไว้ให้ก็ได้นะ แต่ผมไม่อยากพึ่งพาท่านเพราะผมไม่อยากสืบทอดสิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่ ผมไม่เห็นด้วยกับทุกอย่างที่ท่านทำ เฮ้อออออ.... เตรียมตัวไปสนามแข่งรถดีกว่า ปกติผมจะไปทำงานพาร์ทไทม์ที่ผับใกล้ๆ เนี่ยแหละ ไปบ้าง ไม่ไปบ้าง แต่หลักๆ ผมอยู่ที่สนามแข่งรถมากกว่า ที่นี่เงินดี ได้เงินง่าย และตายได้ง่ายๆ เหมือนกันแต่มีรึที่ผมจะกลัว ผมลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อจะไปอาบน้ำแต่งตัว วันนี้ผมไม่มีเรียนบ่ายและผมก็ไม่อยากเจอยัยผู้หญิงคนนั้น ปกติผมก็ไม่ค่อยได้กลับมาบ้านนี้เท่าไร ออกไปตั้งแต่เช้ากลับเข้ามาก็ห้าทุ่มเที่ยงคืน แต่ถ้าวันหยุดก็เช้า หรือไม่ก็ไม่กลั
อื้ออออ...อืออออฉันยกแขนบิดตัวก่อนจะค่อยๆ กะพริบตาเพื่อปรับให้เข้ากับแสงไฟ นี่ฉันเผลอหลับไปเหรอเนี่ย นานแค่ไหนแล้วนะ ดวงตาเบิกกว้างทันทีเมื่อเห็นว่ามีผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้มายืนจ้องหน้าอยู่ ฉันพลิกตัวหนีไปอีกทางจนลืมไปว่าตัวเองนอนอยู่บนโซฟาไม่ได้มีพื้นที่เยอะขนาดจะรองรับร่างกายฉันได้ ส่งผลให้ทั้งตัวหล่นร่วงไปกองอยู่กับพื้นตุบบบ...โอ๊ยยยย!!!!“เห่ยยย!!!”เขาร้องอุทานพลางเอื้อมมือจะคว้าตัวฉัน..แต่ไม่ทัน ฉันยันตัวลุกขึ้นนั่ง เอามือลูบตามเนื้อตัวที่มีร่องรอยการตกกระทบนิดหน่อย นิ่วหน้า ซูดปาก ตกลงมาแค่นี้ก็เจ็บเหมือนกันนะเนี่ย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าบุคคลปริศนาอยู่ในบ้านด้วย ฉันรีบดีดตัวลุกขึ้นยืนแล้วถอยหลังไปทางห้องครัวเพื่อหาอะไรป้องกันตัว โดยที่ยังจ้องคนคนนั้นอยู่ แต่เห็นหน้าเขาไม่ชัดเท่าไรเพราะไม่ได้ใส่แว่น ยิ่งไฟในห้องนี้เป็นแสงสลัว ยิ่งทำให้ฉันแทบจะไม่เห็นหน้าเขาเลย ฉันเอื้อมมือไปควานหาบางอย่างบนเคาน์เตอร์ครัวก่อนจะหยิบกรรไกรมากำไว้ในมือแน่น ในจังหวะเดียวกันผู้บุกรุกก็ค่อยๆ ก้าวเข้าหาและฉันถอยหนีปึกกกก!!!ความเย็นของประตูตู้เย็นทำให้ฉันสะดุ้งเล็กน้อย นั่นแปลว่าฉันถอยไปอีกไม่ได้แล้ว เขาย