“โต้ง!!” ฉันเอ่ยชื่อเขาเสียงดังด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่กล้าว่าอะไรเขาอยู่ดี
“หนีทำไม” ป้าบ!! ป้าบ!! “โอ๊ย!! เจ็บนะ!!” ฉันร้องลั่นด้วยความเจ็บ เมื่อโดนมือหนาฟาดก้นอย่างแรง จนน้ำตาแทบซึมเลยทีเดียว นั้นมือหรือเท้ากันแน่ ตีมาได้ เจ็บชะมัด โต้งพาฉันเดินมาหยุดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างหอประชุมของโรงเรียน เขาย่อตัวเล็กน้อยเพื่อให้เท้าของฉันแตะพื้นแล้วยืนด้วยตัวเองได้ “เดินหนีทำไม” โต้งถามขึ้นพร้อมกับจ้องหน้าฉันนิ่ง ฉันหลุบตาลงต่ำทันทีไม่กล้าสบตากับเขา “มิริน เงยหน้าขึ้นมาสิ” ฉันค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองเขา และเมื่อสายตาเลื่อนไปเห็นร่องรอยที่คอของเขามันก็ทำให้ใจฉันเจ็บจี๊ดขึ้นมาอย่างน่าโมโห โต้งยกมือขึ้นลูบคอตัวเองปอยๆพร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “โกรธหรือเปล่า” โต้งถามขึ้น “เปล่า!! โต้งจะไปที่ไหน ทำอะไรกับใคร ก็เรื่องของโต้งสิ มิรินจะไปโกรธได้ไง..” พูดจบ ฉันก็ก้มหน้าลงมองพื้นตามเดิม “ห๊ะ พูดอะไร ไม่เห็นจะเข้าใจเลย” “น้ำหวานพูดออกมาหมดแล้วล่ะ เรื่องเมื่อคืนนี้” ฉันยังก้มหน้าลงมองพื้นอยู่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาคุยกับเขา “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับน้ำหวาน” โต้งจับปลายคางของฉันให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา “ก็รอยพวกนั้น ฝีมือน้ำหวานไม่ใช่เหรอ” พอพูดออกไปแล้ว น้ำตาของฉันก็เริ่มคลอเบ้าอีกครั้ง “ใช่ที่ไหนล่ะ” โต้งชักสีหน้าหงุดหงิดใส่ฉันทันที “ไม่ใช่น้ำหวาน แล้วใครล่ะ ยังมีคนอื่นอีกเหรอ” ผู้หญิงเยอะล่ะสิ ฉันเผลอกัดริมฝีปากตัวเองแน่น เมื่อคิดว่าเขามีผู้หญิงอื่นอีก “พูดแบบนี้ แสดงว่า.. จำไม่ได้ล่ะสิ” ฉันขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีด้วยความสงสัย “เมื่อคืนนี้นะ...” โต้งเว้นคำพูดแล้วเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะรวบเอวบางของฉันเข้าไปชิดกับอกแกร่งของเขา “โต้งโดน ยัยขี้เมา...ข่มขื่นนะสิ” ฉันยิ่งขมวดคิ้วเป็นปมเข้าไปอีก ยัยขี้เมาเหรอ แล้วในหัวของฉันก็ฉายภาพตอนที่ฉันยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอยู่หลายต่อหลายแก้ว จากนั้นฉันก็ไปอยู่ที่บ้านพักของเขา ฉันเหรอ... “ล้อเล่นใช่ไหม” ฉันถามโต้งกลับอย่างไม่แน่ใจ “เสียใจจัง โดนยัยขี้เมาฟันแล้วทิ้งซะได้” “เป็นไปไม่ได้ ก็ไหนน้ำหวานบอกว่า...โต้งอุ้มมิรินมาส่งที่บ้านพักแล้วไง” จะเป็นฉันได้ไง “แล้วใครเขาทำกลางทางล่ะ ก็ทำเสร็จก่อนสิ แล้วค่อยไปส่ง” ฉันเงยหน้าขึ้นมองโต้งอย่างตะลึงที่ได้รู้ความจริงจากปากหนา เป็นเขาจริงๆ ด้วย ร่องรอยบนตัวฉันก็เป็นฝีมือเขาสินะ จู่ๆ ฉันก็รู้สึกร้อนวูบขึ้นมาบนใบหน้าอย่างกับคนเป็นไข้ ฉันชำเลืองมองที่ต้นคอโต้งอีกครั้ง นี่ฉันเร่าร้อนขนาดนั้นเลยเหรอถึงได้สร้างรอยคิสมาส์กเต็มลำคอเขาขนาดนั้น และที่สำคัญ ฉันเป็นคนเริ่มก่อนด้วยนี่สิ.. “หน้าแดงแบบนี้ จำได้แล้วสินะ” โต้งยกยิ้มกรุ้มกริ่ม พร้อมกับมองหน้าฉันด้วยสายตาหวานเชื่อม “ปะ เปล่านะ” ฉันรีบยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองอย่างเขินอายที่โดนเขาแซว “ขอจูบทีดิ” “นี่!!” ฉันรีบยกแขนขึ้นดันอกแกร่งไว้ เมื่อโต้งเอ่ยปากขอ..ซึ่งๆ หน้า “นะครับ” โต้งส่งสายตาออดอ้อนมาให้ แล้วใครมันจะปฏิเสธได้ลงล่ะ ริมฝีปากหนาทาบทับริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบา ฉันเลือนมือทั้งสองข้างขึ้นไปโอบรอบคอโต้ง มือหนาก็เลือนลงมาโอบกอดเอวบางของฉันไว้แน่น ความรู้สึกในตอนนี้ มันชั่งอบอุ่นเหลือเกิน ก่อนหน้านี้ ฉันกังวลเรื่องอะไรอยู่ จำไม่ได้ซะแล้ว รู้เพียงแต่ว่า...สบายใจ และดีใจ ที่เจ้าของร่องรอยพวกนี้ที่อยู่บนตัวฉันคือโต้ง และเจ้าของร่องรอยบนตัวโต้ง คือฉัน... “โต้ง!!” ฉันเผลอเรียกชื่อเขาเสียงดัง เมื่อโต้งถอนริมฝีปากออกเลื่อนลงมายังลำคอระหง ริมฝีปากหนาดูดเม้มแรงอยู่สองสามครั้งที่ลำคอ ฉันพยายามดันไหล่หนาให้ออกห่างตัว แต่โต้งก็ไม่ยอมขยับถอยออกแม้แต่น้อย “โต้ง.. มิรินเจ็บ...” ฉันแกล้งพูดเสียงออดอ้อนเขาบ้าง ร่างหนาหยุดการกระทำ แต่ก็ยังไม่ยอมเอาหน้าตัวเองออกห่างจากลำคอของฉัน ลมหายใจอุ่นๆ รินรดที่ลำคอได้สร้างความวูบวาบให้แก่ร่างกายฉันดีนัก พร้อมกับทำให้ใจฉันเต้นแรงอย่างตื่นตัว “ทำรอยทำไม..” ฉันถามกลับด้วยน้ำเสียงอู้อี๊ เพราะใบหน้ายังซุกอยู่กับไหล่หนาอยู่ “จะได้ไม่มีใครเข้าใจผิดอีกไง” โต้งตอบ พร้อมกับโอบกอดฉันแน่น ฉันฝั่งตัวเข้าไปในอ้อมกอดหนาพร้อมกับยกแขนขึ้นเขากอดตอบ “มิริน..” “ว่าไง” “ระหว่างเราสองคน...เรียกว่าแฟนได้ยัง” ฉันเงยหน้าขึ้นมองโต้ง ซึ่งเขาก็มองฉันอยู่ก่อนแล้ว “ยัง..” “ทำไมล่ะ” “ก็..โต้งไม่ขอเองนิ” ฉันตอบ พร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้เขา โต้งก็ส่งยิ้มหวานกลับมาให้ฉันเหมือนกัน “เป็นแฟนกับโต้งนะครับ มิริน” “ถ้าตอบว่าไม่ล่ะ” ฉันแกล้งเล่นแง้กับเขา “งั้นโต้งก็จะกอดมิรินอยู่แบบนี้แหละ จนกว่ามิรินจะตอบตกลง” ไม่พูดเปล่า แขนหนากระชับอ้อมกอดแน่นเข้าไปอีก “เข้าใจแล้ว ที่รัก..” ฉันบอกพร้อมกับเขย่งปลายเท้าขึ้นหอมแก้มหนาไปหนึ่งที “น่ารักจัง ขอจูบอีกทีดิ” โต้งบอก “ไม่เอาแล้ว” ฉันรีบฝั่งหน้าเข้ากับอกแกร่ง ไม่ยอมเงยหน้าออกมาให้เขาจูบ “ก็ได้ๆ ไปกินข้าวกันเถอะ พอมอบของให้เด็กๆ เสร็จเราก็จะกลับกันแล้ว” เมื่อได้ยินเข้าพูดแบบนั้น ฉันก็คลายอ้อมกอดออก แล้วเปลี่ยนมาจับมือกันแทน และด้วยความที่ไม่ทันระวังตัว โต้งก็โน้มหน้าลงมาจูบที่ริมฝีปากของฉันหนึ่งทีอย่างรวดเร็ว “โต้ง...” ฉันจึงเอื้อมมือไปตีต้นแขนเขาหนึ่งที ซึ่งร่างสูงก็เอาแต่ยืนยิ้มพร้อมกับขำไปด้วย คนบ้าเอ๊ย... เมื่อรับประทานอาหารเช้าที่โรงอาหารของโรงเรียนเสร็จ เหล่านักจิตอาสาทั้งหลายต่างก็นำสิ่งของมากมายมาบริจาคให้กับน้องๆ มีทั้งเสื้อผ้า อุปกรณ์กีฬา อุปกรณ์การเรียน และอื่นๆ อีกมากมาย เมื่อมอบของให้แก่ตัวแทนของโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว เหล่านักจิตอาสาก็ร่วมกันถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ฉันเดินไปยืนข้างบัวตองเพื่อนรักของฉัน ส่วนโต้งนั้นเหรอ... ก็เดินตามมายืนที่ด้านหลังของฉันติดๆ ตั้งแต่เมื่อเช้าล่ะ ที่ฉันตอบตกลงเป็นแฟนกับเขา เขาก็เอาแต่ตามฉันต้อยๆ ไปทุกที่ ไม่ว่าฉันจะไปไหน “ไม่ต้องตามขนาดนั้นก็ได้” ฉันหันไปพูดกระซิบกับโต้ง “กลัวหาย” โต้งตอบกลับมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มจนแก้มแทบปริ ถ้ารู้ว่าการที่ได้เป็นแฟนกับโต้ง แล้วจะได้เห็นเขายิ้มแบบนี้ ฉันน่าจะยอมไปตั้งแต่แรกนะ... “ขอยืนข้างบัวตองได้ไหม” เลโอเดินมายืนอยู่ด้านข้างบัวตองอีกฝั่งหนึ่ง พร้อมกับแกล้งเอาไหล่ชนไหล่บัวตองอย่างหยอกล้อ “แกๆ เรื่องที่เขาลือกัน น่าจะจริงนะ” ฉันได้ยินเสียงน้องปีหนึ่งผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหน้าฉันพูดขึ้น คงจะหมายถึงเรื่องบัวตองกับเลโอสินะ ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่ามันจริงหรือเปล่า แต่จะให้ถามไปตรงๆ มันก็ยังไงๆ อยู่ “ก็คงจะจริงแหละแก ดูดิ เลโอติดพี่บัวตองแจเลย” สองสาวที่ยืนอยู่ด้านหน้าฉันพยักหน้าให้กันอย่างเข้าใจ ถ้าไม่ติดว่าบัวตองก็ยืนอยู่ตรงนี้นะ ฉันจะด่ายัยเด็กสองคนนี้เข้าให้ “บัวตอง” ฉันหันไปคุยกับเพื่อน ซึ่งเธอกำลังพูดเล่นกับเลโออยู่ “ว่าไงแก” “แก กับเลโออ่ะ ยังไงเหรอ” ฉันลองเชิงถามแบบทีเล่นทีจริง “ก็อย่างที่เห็นไง” บัวตองตอบพร้อมกับรอยยิ้มแบบขำๆ แล้วก็หันไปคุยเล่นกับเลโอต่อ อย่างที่เห็นนี้มันยังไงล่ะ บัวตองชอบพูดเล่นหรือแซวผู้ชายไปทั่ว แต่ความเป็นจริง บัวตองก็แค่แซวเล่นๆ ไม่ได้คิดอะไร แล้วแบบที่ฉันเห็นในตอนนี้ คือบัวตองก็แค่เล่นๆ กับเลโอ เธอไม่ได้จริงจังอะไร ซึ่งมันขัดแย้งกับสิ่งที่ได้ยินมาอย่างมาก ด้วยเรื่องความสัมพันธ์อันลึกซึ้งนั่น...มันยังไงกันแน่ เท่าที่รู้จักบัวตองมา เธอไม่ใช่คนที่จะมีสัมพันธ์กับใครก็ได้ ถึงจะดูเหมือนบ้าผู้ชาย แต่บัวตองก็เป็นคนที่รักนวลสงวนตัวมาก . . .“คิดอะไรอยู่ ทำไมหน้าหมุ่ยแบบนั้น” โต้งโน้มหน้ามาถาม เกือบจะโดนแก้มฉันอยู่ละ“โต้ง”“หือ”“เพื่อนของโต้ง เขาชอบเพื่อนของมิรินหรือเปล่า” ฉันไม่รู้จะถามใครดี นอกจากเขา“แล้วโต้งจะรู้ไหมล่ะ ถ้าถามว่าโต้งชอบใคร...มีคำตอบให้แน่” โต้งส่งยิ้มหวานมาให้“อันนั้นรู้อยู่แล้ว” ฉันก็ยิ้มหวานกลับไปให้เขาเหมือนกัน“อยากไปเที่ยวคอนโดโต้งไหม” โต้งถาม พร้อมกับรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์“จะบ้าเหรอ ไม่ไปหรอก” ฉันรีบหันหน้าหนีทันที จู่ๆ ก็มาชวนไปคอนโด อีตาบ้าเอ๊ย...“ไปเถอะ โต้งไม่ทำอะไรหรอก สาบาน” โต้งยกมือขึ้นมาชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางแล้วไขว้กันเป็นสัญลักษณ์กากบาท นี้คือการสาบานของเขาใช่ไหม ฉันส่ายหน้าให้เขาอย่างหนายๆ แต่โต้งกลับยืนยิ้มแป้นอย่างอารมณ์ดี“เอาล่ะทุกคน มองมาที่กล้องแล้วก็พูดว่า ชีสสสสส” เสียงตากล้องจำเป็นพูดขึ้น เมื่อเขาทำการตั้งกล้องถ่ายเรียบร้อยแล้ว“เดี๋ยวๆ ๆ รอด้วย” พี่ยูวิ่งมาจากไหนไม่รู้ เขาเข้ามาแทรกกลางระหว่างบัวตองกับเลโอ ซึ่งเลโอก็แสดงสีหน้าไม่พอใจอยู่เล็กน้อยฉันรอบสังเกตเพื่อนรักของตัวเอง
ที่จริง... ที่ผมชอบมิรินก็เพราะว่า ผมคิดว่าเธอโสด ส่วนบัวตองนั้น ผมเห็นเธอสนิทกับผู้ชายหลายคนและเธอก็เป็นคนที่คุยเก่งมาก ผู้ชายต่างก็เข้าไปคุยกับเธอ มันทำให้ผมมองเธอผิดไปและในวันนั้น...ผมยอมรับว่า มีความคิดชั่วๆ อยู่ในหัว ผมเห็นเธออยู่ในห้องน้ำชาย และเผลอคิดไปว่าเธอต้องมารอใครสักคน เพื่อมาทำเรื่องอย่างว่า... ตอนที่ได้ยินเสียงห้องข้างๆ กำลังทำกิจกรรมเข้าจังหวะกันนั่น เมื่อบัวตองรู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือเลโอ เธอมีสีหน้าที่ตกใจมาก ผมคิดว่าบัวตองต้องมารอเลโอแน่ๆ แต่ไอ้หมอนั้นกลับพาสาวอื่นมากินแทนซะงั้นผมจึงตอบสนองบัวตองซะเลย แต่แล้ว... กลับกลายเป็นว่าผมได้ทำลายความบริสุทธิ์ของเธอซะงั้น ถามว่ารู้สึกผิดไหม ผมรู้สึกผิด..แต่ไม่ได้รู้สึกผิดเพราะพรากความบริสุทธิ์ของบัวตอง แต่ผมรู้สึกผิด...ที่เคยมองบัวตองในแง่ไม่ดี เพราะฉะนั้น ผมถึงอยากจะศึกษาบัวตองให้มากกว่านี้ ผมอยากคบกับบัวตองจริงๆโต้งผมยืนมองคนตัวเล็กที่กำลังกระสับกระส่ายอย่างเป็นกังวล เมื่อเพื่อนรักของตัวเองโดนผู้ชายลากไปไหนแล้วก็ไม่รู้“จะกลับได้ยัง” ผมถามคนตัวเล็กที่เอาแต่ชะเง้อคอมอ
“ต้นหลิว!!” ผมเอ่ยชื่อลูกพี่ลูกน้องของตัวเองที่ไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว เพราะต้นหลิวเรียนอยู่ที่ลอนดอน“ไง หวัดดีพี่ยัง” ต้นหลิวยืนยิ้มแป้นโชว์ฟันขาวที่มีเขี้ยวอยู่หน่อยๆ“พี่ป้าแกดิ” ผมยื่นมือไปยีหัวต้นหลิวเล่นอย่างมั่นเขี้ยวผมกับต้นหลิวเกิดปีเดียวกัน ต้นหลิวเกิดก่อนผมสองเดือน และไอ้แค่สองเดือนของมันนั่นแหละ ที่คอยบังคับให้ผมเรียกมันว่าพี่ เรื่องอะไรผมต้องเรียกมันว่าพี่ด้วย ขนาดคนที่ห่างกับผมหนึ่งปี ผมยังไม่เรียกพี่เลย“ผมยุ่งหมดแล้ว โต้ง!!” ต้นหลิวโวยทันที พร้อมกับพยายามปัดมือผมออกจากหัวน้อยๆ ของเธอ“ฮ่าๆ ๆ” แต่มีเหรอ ที่คนอย่างโต้งจะหยุด ผมรวบตัวต้นหลิวเข้ามาใกล้เพื่อที่ต้นหลิวจะได้ปัดมือผมออกจากหัวของเธอไม่ได้ มือหนาก็ยีผมต้นหลิวเล่นอย่างสนุกสนาน“ไอ้โต้ง!!”ผมหยุดการแกล้งต้นหลิวไว้แค่นั้น ก่อนจะหันไปมองตามเสียงเรียกเมื่อกี้ เพื่อนผมเอง ราเรซ มันเรียกผมซะเสียงดังเชียว พอหันหน้ามาก็เจอกับสีหน้าอย่างใคร่รู้ของเพื่อนทั้งสาม“ใครเหรอ ไอ้โต้ง” บิ๊กไบค์เอ่ยถามขึ้น“ออ นี่ ต้นหลิว ลูกสาวของอากูเอง” ผมหันไปบ
เพี๊ยะ!ฉันรู้สึกชาวาบที่ใบหน้าด้านเพี๊ยะ!ฉันรู้สึกชาวาบที่ใบหน้าด้านซ้าย น้ำตาไม่แม้แต่จะไหลออกมาด้วยซ้ำ เพราะฉันไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บเลยสักนิด เพราะใจของฉันมันชาด้านไปหมดแล้ว ฉันค่อยๆ หันหน้ากลับมามองหน้าผู้เป็นแม่ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกอะไร“มิริน...แม่...” แม่เฌอรีนพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเนียนของแม่“พูดจบแล้วใช่ไหมคะ มิรินจะได้พักผ่อน” ฉันเอ่ยพูดกับผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงที่แสนจะเย็นชา แล้วค่อยๆ หันหลังให้ก่อนจะก้าวเดินขึ้นมายังห้องนอนของตัวเองทันทีที่เท้าก้าวเข้ามาแตะพื้นห้องนอนอันแสนคุ้นเคยของตัวเอง น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก็ไหลออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆเราพึ่งจะเริ่มคบกันเองนะ ทำไมต้องมีอุปสรรคด้วย ฉันยังไม่อยากเลิกกับโต้ง ฉันควรจะทำอย่างไรดีเช้าวันรุ่นขึ้น....ไม่รู้ว่าฉันเผลอหลับไปตอนไหน แต่ที่รู้ๆ ก็คือฉันนอนร้องไห้ทั้งคืนหลังจากที่ทะเลาะกับแม่เฌอรีน ไม่อยากจะลุกออกจากที่นอนเลยเฮะฉันลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วเดินตรงไปยังห้องน้ำ เพ
“ทำไมครับ ทำไม...” ผมเผลอก้าวเดินเข้าไปหาแม่ของมิรินด้วยท่าทีคุกคาม จนท่านถึงกลับก้าวถอยหลังไปด้วยความตกใจ“แกจะทำอะไรนะ!!” ไอ้เฟยเดินเข้ามาขว้างหน้าผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ พร้อมกับก้างแขนออกปกป้องแม่เฌอรีนอย่างวีรษุร“ไอ้โต้ง” ราเรซรั้งแขนผมไว้ก่อนที่จะเดินเข้าไปถึงตัวของแม่เฌอรีน“เป็นเพราะผมใช่ไหม” ผมไม่แม้แต่จะหลบสายตา ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงของท่านอย่างต้องการคำตอบ“มาคุยกันหน่อย”แม่ของมิรินบอกกับผมก่อนที่ท่านจะเดินนำไปยังสวนด้านหลังของบ้าน ผมรีบเดินตามท่านไปในทันที ท่านเดินเข้าไปนั่งในศาลาริมน้ำของสวนหลังบ้าน พร้อมกับส่งสายตาบอกให้ผมนั่งลงตรงกันข้ามกับท่าน“ทำไมต้องส่งมิรินไปเรียนที่ต่างประเทศด้วยครับ” ผมเปิดประเด็นถามก่อนด้วยความร้อนใจ“ฉันอยากให้มิรินไปเรียนในที่ดีๆ สังคมดีๆ และอยู่กับคนดีๆ” แม่เฌอรีนจ้องหน้าบอกด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง“เธอเองอายุก็ยังน้อย ยังมีโอกาสที่จะได้เจอคนใหม่ๆ อีกเยอะ”“แล้วไงครับ”“มิรินเป็นหลานสาวของตระกูลผู้ดีเก่า ฉันก็อยากจะให้ลูกสาวเจอคนที่ดีและเหมาะสมกัน ครอบครัวขอ
“เราเลิกกันเถอะ มิริน” ผมกลั้นใจพูดประโยคที่ไม่เคยคิดที่จะพูดมันออกมาเลย มันทำใจได้ยากเหลือเกิน มันอ่อนแรงแทบยืนไม่ไหว ต้องเข้มแข็งแค่ไหน ถึงจะพูดคำนี้ออกมาได้ ถ้าสำหรับคนที่หมดรักกันแล้ว ก็คงพูดออกมาได้ไม่ยาก แต่สำหรับผม...คนที่รักมิรินหมดหัวใจ มันยากเหลือเกิน...“ไม่เอา!! มิรินไม่เลิก ทำไมโต้งถึงพูดแบบนี้ แม่ใช่ไหม แม่บังคับให้โต้งพูดใช่ไหม” เสียงมิรินโวยวายดังมาจากด้านในห้องนอนของเธอ ผมสงสารมิรินเหลือเกินผมรู้ดีว่าคำพูดของผมมันทำร้ายจิตใจมิรินเพียงใด และมันส่งผลต่อผมด้วย มันบาดใจผม จุกจนพูดไม่ออก ไม่คิดเลยว่าตัวผมเอง จะเป็นคนทำร้ายมิริน ผมมันเลวที่สุด“ไม่มีใครบังคับโต้งได้ มิรินก็รู้นิ อะไรที่โต้งไม่อยากทำ โต้งจะไม่ทำ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พยายามที่จะไม่แสดงความรู้สึกใดใด“ทำไมล่ะโต้ง ทำไมต้องเลิกกันด้วย ฮือออ มิรินทำอะไรผิด ฮือออ มิรินขอโทษ...”ผมกลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ได้แต่เอื้อมมือหนาขึ้นลูบที่บานประตู อยากจะบอกเธอเหลือเกิน ว่าเธอไม่ผิด ผมผิดเองที่ดีไม่พอ ผมเป็นสาเหตุที่ทำให้มิรินต้องถูกขังอยู่ในห้องแบบนี้“เธ
“เราเลิกกันเถอะ มิริน” ผมกลั้นใจพูดประโยคที่ไม่เคยคิดที่จะพูดมันออกมาเลย มันทำใจได้ยากเหลือเกิน มันอ่อนแรงแทบยืนไม่ไหว ต้องเข้มแข็งแค่ไหน ถึงจะพูดคำนี้ออกมาได้ ถ้าสำหรับคนที่หมดรักกันแล้ว ก็คงพูดออกมาได้ไม่ยาก แต่สำหรับผม...คนที่รักมิรินหมดหัวใจ มันยากเหลือเกิน... “ไม่เอา!! มิรินไม่เลิก ทำไมโต้งถึงพูดแบบนี้ แม่ใช่ไหม แม่บังคับให้โต้งพูดใช่ไหม” เสียงมิรินโวยวายดังมาจากด้านในห้องนอนของเธอ ผมสงสารมิรินเหลือเกิน ผมรู้ดีว่าคำพูดของผมมันทำร้ายจิตใจมิรินเพียงใด และมันส่งผลต่อผมด้วย มันบาดใจผม จุกจนพูดไม่ออก ไม่คิดเลยว่าตัวผมเอง จะเป็นคนทำร้ายมิริน ผมมันเลวที่สุด “ไม่มีใครบังคับโต้งได้ มิรินก็รู้นิ อะไรที่โต้งไม่อยากทำ โต้งจะไม่ทำ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พยายามที่จะไม่แสดงความรู้สึกใดใด “ทำไมล่ะโต้ง ทำไมต้องเลิกกันด้วย ฮือออ มิรินทำอะไรผิด ฮือออ มิรินขอโทษ...” ผมกลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ได้แต่เอื้อมมือหนาขึ้นลูบที่บานประตู อยากจะบอกเธอเหลือเกิน ว่าเธอไม่ผิด ผมผิดเองที่ดีไม่พอ ผมเป็นสาเหตุที่ทำให้มิรินต้องถูกขังอยู่ในห้องแบบนี้ “เธอไม่ผิดหรอก... ฉันแค่ เบื่อเธอแล้ว” พูดจบผมก
“นะ..อุ๊บ!!”ฉันยังเอ่ยไม่ทันจบประโยคก็ถูกริมฝีปากหนาช่วงชิ่งประกบปิดปากฉันไว้ซะก่อน ลิ้นชื้นแทรกผ่านกรีบปากบางเข้ามากวาดต้อนเอาทุกอย่างไปจนหมด ก่อนจะป้อนความหวานเข้ามาอย่างอ่อนนุ่ม ฉันรู้สึกวูบโวงไปทั่วท้องน้อยอย่างปั่นป่วนเมื่อโดนร่างสูงรุกรานอย่างไม่ทันตั้งตัว“แฮ่ก...” เสียงหายใจหอบแรงจากร่างสูงเมื่อเขาถอนริมฝีปากออก เขาจ้องมองหน้าฉัน แววตาดูไหวสั่นเหมือนคนร้องไห้ฉันมองหน้าเขาด้วยความตกใจป่นความไม่เข้าใจ ฉันมึนงงไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ ถึงได้จูบฉันแบบนี้ คนเลิกกันเขาทำกันแบบนี้เหรอ“ทะ ทำไม..” ฉันเอ่ยถามร่างสูงอย่างตะกุกตะกัก เพราะยังตกใจไม่หาย“ออกไปได้แล้ว” โต้งไม่ตอบฉันแต่กลับไล่ให้ฉันออกไปฉันก้มหน้ามองพื้นด้วยความสับสน ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกอย่างไรดี ฉันเลื่อนมือบางขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากของตัวเองเบาๆ ความรู้สึกเหมือนอยากจะดีใจ แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมา ได้แต่เม้มปากเป็นเส้นตรงแล้วยิ้มอยู่ในใจ“หูหนวกหรือไง”ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงโกรธไปแล้วที่เขาพูดจาขวานผ่าซากแบบนี้ แต่ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกช
“เครื่องดื่มสำหรับสาวสวยครับ” จู่ๆ ก็มีบริกรถือถาดเครื่องดื่มที่มีสีสันน่าทานเอามาเสิร์ฟให้ฉัน“ให้มิรินเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามอย่างงงๆ“ใช่ครับ มีโน๊ตมาให้ด้วยครับ” บริกรวางถาดลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปทันที ฉันก้มหน้าลงไปอ่านแผ่นกระดาษโน๊ตที่แปะมาบนถาด“สำหรับคนสวย ถ้าอยากจะขอบคุณ ขอเป็นเบอร์โทรแทนนะครับ” ฉันอ่านออกเสียง ก่อนจะหันหน้าไปหาราเรซด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม“ฝีมือพวกมึงใช่ไหม” โต้งเอ่ยถามราเรซและเลโอ“จะบ้าเหรอ พวกกูก็นั่งอยู่ตรงนี้ตลอด” เลโอตอบ“งั้น ไอ้ไบค์สินะ” โต้งพูด“อะไรมึง” แล้วบิ๊กไบค์ก็เดินเข้ามาพอดี“มึงใช่ไหม” โต้งหันไปถามบิ๊กไบค์ บิ๊กไบค์เดินเข้ามาที่โต๊ะก่อนจะโน้มหน้ามามองที่ถาดตรงหน้าฉัน“ไม่ใช่กู” บิ๊กไบค์ตอบพร้อมกับนั่งลงที่โซฟาพร้อมกับยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม“พวกกูไม่ได้แกล้งมึงหรอกนะ ไอ้โต้ง” ราเรซพูดขึ้นบ้าง“แล้วพี่ควรทำไงเรซ ต้องดื่มมันไหม” ฉันหันไปถามน้องชาย“ไม่ต้องดื่ม” แต่โต้งกลับตอบแทนซะงั้น“เหล้าแก้วนี้แพงอยู่นะ แสดงว่าคนที่สั่งมาให้ ม
“เครื่องดื่มสำหรับสาวสวยครับ” จู่ๆ ก็มีบริกรถือถาดเครื่องดื่มที่มีสีสันน่าทานเอามาเสิร์ฟให้ฉัน“ให้มิรินเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามอย่างงงๆ“ใช่ครับ มีโน๊ตมาให้ด้วยครับ” บริกรวางถาดลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปทันที ฉันก้มหน้าลงไปอ่านแผ่นกระดาษโน๊ตที่แปะมาบนถาด“สำหรับคนสวย ถ้าอยากจะขอบคุณ ขอเป็นเบอร์โทรแทนนะครับ” ฉันอ่านออกเสียง ก่อนจะหันหน้าไปหาราเรซด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม“ฝีมือพวกมึงใช่ไหม” โต้งเอ่ยถามราเรซและเลโอ“จะบ้าเหรอ พวกกูก็นั่งอยู่ตรงนี้ตลอด” เลโอตอบ“งั้น ไอ้ไบค์สินะ” โต้งพูด“อะไรมึง” แล้วบิ๊กไบค์ก็เดินเข้ามาพอดี“มึงใช่ไหม” โต้งหันไปถามบิ๊กไบค์ บิ๊กไบค์เดินเข้ามาที่โต๊ะก่อนจะโน้มหน้ามามองที่ถาดตรงหน้าฉัน“ไม่ใช่กู” บิ๊กไบค์ตอบพร้อมกับนั่งลงที่โซฟาพร้อมกับยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม“พวกกูไม่ได้แกล้งมึงหรอกนะ ไอ้โต้ง” ราเรซพูดขึ้นบ้าง“แล้วพี่ควรทำไงเรซ ต้องดื่มมันไหม” ฉันหันไปถามน้องชาย“ไม่ต้องดื่ม” แต่โต้งกลับตอบแทนซะงั้น“เหล้าแก้วนี้แพงอยู่นะ แสดงว่าคนที่สั่งมาให้ ม
“ทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะ โต้ง”ในขณะที่ผมกำลังคิดหาวิธีให้มิรินยอมกลับบ้านแต่โดยดี เปรี้ยวก็เดินเข้ามาชิดตัวผมพร้อมกับลูบไล้บริเวณอกแกร่งอย่างเอาใจ สายตาของมิรินจ้องเขม็งมาที่มือของเปรี้ยวก่อนจะหันไปกระดกเหล้าเข้าปากรวดเดียวหมดแก้ว ผมรู้ว่ามันให้มิรินโกรธแต่ผมก็แอบคิดว่า วิธีนี้อาจจะทำให้มิรินยอมกลับบ้านก็ได้“ขอตัวนะ” ผมเอ่ยพูดกับมิรินก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วหันไปโอบไหล่เปรี้ยว“ทำไมเป็นนี้ เจ็บมากนะ รู้ไหม..” มิรินไม่ได้หันมามองหน้าผมในระหว่างที่เธอพูด แต่มิรินกลับจ้องมองแก้วเหล้าในมือตาเขม็งพร้อมกับบีบมันแน่นจนมือบางสั่นไหว“มิรินจะปิดหูปิดตา ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไร จะพยายามโอเครกับทุกๆ อย่างให้ได้มากที่สุด” มิรินหันมามองหน้าผมพร้อมกับรอยยิ้มที่เธอพยายามปั้นมันออกมาเหมือนยินดี“เมาแล้วใช่ไหม เดี๋ยวโต้งไปส่ง” ผมผละตัวออกจากเปรี้ยวแล้วเดินไปยืนข้างมิริน ผมเอื้อมมือหนาไปจับมือบาง แต่ปรากฏว่า...ผมถูกมิรินปัดมือออกอย่างแรง“จะไปทำอะไรกันก็ไปสิ เชิญ!!” มิรินพูดโดยที่ไม่ยอมหันหน้ามามองผม โกรธจริงๆ แล้วสินะ“หยุดกินได้แล้ว
“มาแล้วเหรอโบวี่ มานั่งข้างเรามา..” เลโอบอกกับผู้หญิงผมยาวดัดลอน ซึ่งเธอเองก็ส่งยิ้มหวานไปให้เลโอทันที มันจะรู้ตัวบ้างไหมว่าได้ทำให้สาวสวยที่นั่งอยู่ข้างมันอีกคนไม่พอใจ แต่ผู้หญิงที่ชื่อโบวี่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เธอเดินไปนั่งข้างเลโอทันทีพร้อมกับยกมือขึ้นลูบอกเลโอเบาๆ อย่างเอาใจ“นั่งด้วยคนนะ” แม่สาวผมสั้นเดินมานั่งข้างผมทันทีโดยที่ไม่รอคำอนุญาตจากผม“เราชื่อเปรี้ยวนะ เธอล่ะ” ใครกันชั่งตั้งชื่อให้เธอได้เหมาะเจาะขนาดนี้“เธอคงรู้ชื่อฉันอยู่แล้วล่ะ เพราะไอ้เพื่อนตัวดีมันคงบอกเธอหรือไม่ก็เพื่อนเธอไปแล้วที่เกี่ยวกับฉัน”“ก็รู้แค่ว่า... ชื่อโต้ง มีนิสัยที่หยิ่งมาก ใช่หรือเปล่า”“ตามนั้น” ผมตอบโดยที่ไม่หันไปมองหน้าเธอ ก่อนจะเอื้อมมือไปยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมดแก้ว“น่าสนใจจัง” เปรี้ยวเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกแก้วของเธอขึ้นมาดื่มบ้าง“ชื่อแคลนะคะ นั่งด้วยคนสิ” เพื่อนของเปรี้ยวอีกคนหันไปพูดกับราเรซ ซึ่งราเรซมันก็พยักหน้าเป็นเชิงบอกให้นั่งได้Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrในระหว่างที่พวกผมนั่งดื่มเหล้าปาร์ตี้กันอยู่นั้น
“วันนี้ไปไหนดีแก” เสียงพูดหญิงคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้น ฉันทำทีเป็นไม่สนใจแกล้งแต่งหน้าแต่งตาไปพลางอย่างเนียนๆ“วันนี้ผู้ชายนัดฉันไปเที่ยวที่เอสทีผับอ่ะ” ผู้หญิงที่ดันลอนผมเป็นวอลุ่มพูดขึ้น“ใครเหรอ ถ้าเป็นลูกคนรวยแต่หน้า เ...ย ฉันไม่เอาแล้วนะ เสียของหมด” ผู้หญิงผมสั้นออกแนวทอมบอยพูดขึ้นเมื่อเธอเดินออกมาจากห้องน้ำ ดูจากการแต่งตัวของเธอแล้วนี่ ดูเปรี้ยวใช่ย่อย เธอใส่กระโปรงสั้นเหนือเข่าขึ้นมาถึงขาอ่อนแถมแวกข้างอีกต่างหาก“ไม่หรอก ยัยเปรี้ยว คนนี้เนี้ยนะ เป็นทายาทเจ้าของห้างฯนี้ด้วย แถมหล่อเฟ่ออีกต่างหาก” ทายาทเจ้าของห้างนี้งั้นเหรอ ก็ต้องเป็นเลโอสิ พวกนี้รู้จักเลโอด้วยเหรอ แต่ก็ไม่แปลกหรอก รายนั้นก็นะ ว่านเสน่ห์เป็นว่าเล่น“ฉันไม่เชื่อแกหรอก ยัยโบวี่ สายตาการมองผู้ชายของแกนะมันแย่ คราวที่แล้วก็บอกหล่อๆ เป็นไง อย่างกะพวกสัมภเวสีดีๆ นี่เอง”“เออนั่นดิแก ไหนเอารูปมาดูก่อนดิ ถ้าไม่หล่อจริง ฉันไม่ไปนะ” เสียงผู้หญิงอีกคนในกลุ่มเอ่ยขึ้น“แกอยากดูรูปเหรอแคล อ่ะนี่” ผู้หญิงที่ชื่อโบวี่ยื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้เพื่อนดู“อุ๊ยแก... คนนี้
“นะ..อุ๊บ!!”ฉันยังเอ่ยไม่ทันจบประโยคก็ถูกริมฝีปากหนาช่วงชิ่งประกบปิดปากฉันไว้ซะก่อน ลิ้นชื้นแทรกผ่านกรีบปากบางเข้ามากวาดต้อนเอาทุกอย่างไปจนหมด ก่อนจะป้อนความหวานเข้ามาอย่างอ่อนนุ่ม ฉันรู้สึกวูบโวงไปทั่วท้องน้อยอย่างปั่นป่วนเมื่อโดนร่างสูงรุกรานอย่างไม่ทันตั้งตัว“แฮ่ก...” เสียงหายใจหอบแรงจากร่างสูงเมื่อเขาถอนริมฝีปากออก เขาจ้องมองหน้าฉัน แววตาดูไหวสั่นเหมือนคนร้องไห้ฉันมองหน้าเขาด้วยความตกใจป่นความไม่เข้าใจ ฉันมึนงงไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ ถึงได้จูบฉันแบบนี้ คนเลิกกันเขาทำกันแบบนี้เหรอ“ทะ ทำไม..” ฉันเอ่ยถามร่างสูงอย่างตะกุกตะกัก เพราะยังตกใจไม่หาย“ออกไปได้แล้ว” โต้งไม่ตอบฉันแต่กลับไล่ให้ฉันออกไปฉันก้มหน้ามองพื้นด้วยความสับสน ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกอย่างไรดี ฉันเลื่อนมือบางขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากของตัวเองเบาๆ ความรู้สึกเหมือนอยากจะดีใจ แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมา ได้แต่เม้มปากเป็นเส้นตรงแล้วยิ้มอยู่ในใจ“หูหนวกหรือไง”ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงโกรธไปแล้วที่เขาพูดจาขวานผ่าซากแบบนี้ แต่ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกช
“เราเลิกกันเถอะ มิริน” ผมกลั้นใจพูดประโยคที่ไม่เคยคิดที่จะพูดมันออกมาเลย มันทำใจได้ยากเหลือเกิน มันอ่อนแรงแทบยืนไม่ไหว ต้องเข้มแข็งแค่ไหน ถึงจะพูดคำนี้ออกมาได้ ถ้าสำหรับคนที่หมดรักกันแล้ว ก็คงพูดออกมาได้ไม่ยาก แต่สำหรับผม...คนที่รักมิรินหมดหัวใจ มันยากเหลือเกิน... “ไม่เอา!! มิรินไม่เลิก ทำไมโต้งถึงพูดแบบนี้ แม่ใช่ไหม แม่บังคับให้โต้งพูดใช่ไหม” เสียงมิรินโวยวายดังมาจากด้านในห้องนอนของเธอ ผมสงสารมิรินเหลือเกิน ผมรู้ดีว่าคำพูดของผมมันทำร้ายจิตใจมิรินเพียงใด และมันส่งผลต่อผมด้วย มันบาดใจผม จุกจนพูดไม่ออก ไม่คิดเลยว่าตัวผมเอง จะเป็นคนทำร้ายมิริน ผมมันเลวที่สุด “ไม่มีใครบังคับโต้งได้ มิรินก็รู้นิ อะไรที่โต้งไม่อยากทำ โต้งจะไม่ทำ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พยายามที่จะไม่แสดงความรู้สึกใดใด “ทำไมล่ะโต้ง ทำไมต้องเลิกกันด้วย ฮือออ มิรินทำอะไรผิด ฮือออ มิรินขอโทษ...” ผมกลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ได้แต่เอื้อมมือหนาขึ้นลูบที่บานประตู อยากจะบอกเธอเหลือเกิน ว่าเธอไม่ผิด ผมผิดเองที่ดีไม่พอ ผมเป็นสาเหตุที่ทำให้มิรินต้องถูกขังอยู่ในห้องแบบนี้ “เธอไม่ผิดหรอก... ฉันแค่ เบื่อเธอแล้ว” พูดจบผมก
“เราเลิกกันเถอะ มิริน” ผมกลั้นใจพูดประโยคที่ไม่เคยคิดที่จะพูดมันออกมาเลย มันทำใจได้ยากเหลือเกิน มันอ่อนแรงแทบยืนไม่ไหว ต้องเข้มแข็งแค่ไหน ถึงจะพูดคำนี้ออกมาได้ ถ้าสำหรับคนที่หมดรักกันแล้ว ก็คงพูดออกมาได้ไม่ยาก แต่สำหรับผม...คนที่รักมิรินหมดหัวใจ มันยากเหลือเกิน...“ไม่เอา!! มิรินไม่เลิก ทำไมโต้งถึงพูดแบบนี้ แม่ใช่ไหม แม่บังคับให้โต้งพูดใช่ไหม” เสียงมิรินโวยวายดังมาจากด้านในห้องนอนของเธอ ผมสงสารมิรินเหลือเกินผมรู้ดีว่าคำพูดของผมมันทำร้ายจิตใจมิรินเพียงใด และมันส่งผลต่อผมด้วย มันบาดใจผม จุกจนพูดไม่ออก ไม่คิดเลยว่าตัวผมเอง จะเป็นคนทำร้ายมิริน ผมมันเลวที่สุด“ไม่มีใครบังคับโต้งได้ มิรินก็รู้นิ อะไรที่โต้งไม่อยากทำ โต้งจะไม่ทำ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พยายามที่จะไม่แสดงความรู้สึกใดใด“ทำไมล่ะโต้ง ทำไมต้องเลิกกันด้วย ฮือออ มิรินทำอะไรผิด ฮือออ มิรินขอโทษ...”ผมกลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ได้แต่เอื้อมมือหนาขึ้นลูบที่บานประตู อยากจะบอกเธอเหลือเกิน ว่าเธอไม่ผิด ผมผิดเองที่ดีไม่พอ ผมเป็นสาเหตุที่ทำให้มิรินต้องถูกขังอยู่ในห้องแบบนี้“เธ
“ทำไมครับ ทำไม...” ผมเผลอก้าวเดินเข้าไปหาแม่ของมิรินด้วยท่าทีคุกคาม จนท่านถึงกลับก้าวถอยหลังไปด้วยความตกใจ“แกจะทำอะไรนะ!!” ไอ้เฟยเดินเข้ามาขว้างหน้าผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ พร้อมกับก้างแขนออกปกป้องแม่เฌอรีนอย่างวีรษุร“ไอ้โต้ง” ราเรซรั้งแขนผมไว้ก่อนที่จะเดินเข้าไปถึงตัวของแม่เฌอรีน“เป็นเพราะผมใช่ไหม” ผมไม่แม้แต่จะหลบสายตา ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงของท่านอย่างต้องการคำตอบ“มาคุยกันหน่อย”แม่ของมิรินบอกกับผมก่อนที่ท่านจะเดินนำไปยังสวนด้านหลังของบ้าน ผมรีบเดินตามท่านไปในทันที ท่านเดินเข้าไปนั่งในศาลาริมน้ำของสวนหลังบ้าน พร้อมกับส่งสายตาบอกให้ผมนั่งลงตรงกันข้ามกับท่าน“ทำไมต้องส่งมิรินไปเรียนที่ต่างประเทศด้วยครับ” ผมเปิดประเด็นถามก่อนด้วยความร้อนใจ“ฉันอยากให้มิรินไปเรียนในที่ดีๆ สังคมดีๆ และอยู่กับคนดีๆ” แม่เฌอรีนจ้องหน้าบอกด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง“เธอเองอายุก็ยังน้อย ยังมีโอกาสที่จะได้เจอคนใหม่ๆ อีกเยอะ”“แล้วไงครับ”“มิรินเป็นหลานสาวของตระกูลผู้ดีเก่า ฉันก็อยากจะให้ลูกสาวเจอคนที่ดีและเหมาะสมกัน ครอบครัวขอ