ในขณะที่พูด กู้หว่านเยว่ก็เขียนลงบนกระดาษให้ซูจิ้งอ่านด้วยซูจิ้งเห็นกู้หว่านเยว่มีวิธีควบคุมเขา จึงเลิกล้มความคิดที่จะจากไปไหนไปโดยสิ้นเชิงในขณะเดียวกันก็มองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาที่งุนงงเป็นอย่างมากซูจิ่งสิงอธิบายว่า “นี่คือเมียของข้า นางมีทักษะทางการแพทย์”ซูจิ้งพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม สายตาปลื้มอกปลื้มใจนางหยางรีบบอกว่า “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ ตรงนี้มีข้าดูแลอยู่ก็พอแล้ว โดยเฉพาะหว่านเยว่ สองวันนี้เจ้าเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว เจ้าตั้งท้องอยู่ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ”จากการ “บอกความในใจ” ของอีกฝ่ายเมื่อครู่ นางเชื่อว่าซูจิ้งจะไม่จากไปไหนง่าย ๆ อีก“เช่นนั้นพวกข้าออกไปก่อนนะเจ้าคะ”กู้หว่านเยว่ดึงซูจิ่งสิงออกไปอย่างรู้กาลเทศะ ให้พื้นที่แก่นางหยางและซูจิ้งซูจื่อชิงมองเข้าไปในห้องด้วยความรู้สึกผิด “เมื่อครู่ ข้าพูดอะไรที่ทำให้ท่านพ่อเสียใจ ข้า...”เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน แค่คิดถึงบิดามากเหลือเกินในหลายปีที่ผ่านมากว่าจะได้พบกันไม่ง่ายเลย อีกฝ่ายยังต้องการจะจากไปอีก เขาจึงรู้สึกเครียดไปชั่วขณะ“อย่ากังวล ท่านพ่อหูหนวก ไม่ได้ยินสิ่งที่เจ้ากำลังพูด” ซูจิ่นเอ๋อร์ปลอบประโลมอย่างใจดี
“เถ้าแก่!”ชาวบ้านก้าวเข้ามาด้วยความตื่นเต้นดีใจ เขาอยากพูดคุยกับกู้หว่านเยว่มานานแล้ว“เถ้าแก่ ของข้าเป็นกระสอบทรายสำหรับให้ความอบอุ่น ก่อนอื่นให้อุ่นทรายก่อนแล้วค่อยบรรจุลงในกระเป๋า สามารถกันลมและต้านทานหนาวเย็นได้”ชาวบ้านอีกคนช่วยอธิบายเช่นกัน“ตกกลางคืน พวกข้านอนอยู่ในกองทรายร้อน ๆ ก็อบอุ่นแล้ว”กู้หว่านเยว่ถึงบางอ้อในทันที ฝ้ายของต้าฉียังไม่แพร่หลาย เจดีย์หนิงกู่ที่อยู่ห่างไกลและยากจนไม่มีปัญญาใช้เสื้อหนาวปุยฝ้ายและผ้าห่มนวมเลยไม่น่าแปลกใจที่ฤดูหนาวของทุกปีจะมีผู้คนหนาวตายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง สำหรับชาวนาชนชั้นล่าง ฤดูหนาวเปรียบเสมือนการฟันฝ่าภัยพิบัติ“ท่านพี่ ข้าต้องการปลูกฝ้าย เพื่อเผยแพร่เสื้อผ้าฝ้ายที่เราสวมใส่”กู้หว่านเยว่ทนเห็นชาวบ้านทนทุกข์จากความหนาวเย็นอีกต่อไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นฝ้ายยังสามารถทำให้ผู้คนร่ำรวยได้อีกด้วย“ฝ้ายเป็นของดี”ความหดหู่ใจเผยออกมาทางสีหน้าของซูจิ่งสิง“แต่ว่าเจดีย์หนิงกู่มีสภาพอากาศหนาวเย็นที่เลวร้าย จะปลูกรอดหรือ?”“เมล็ดฝ้ายที่ข้านำออกมาทั้งหมดล้วนได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้ว ทนต่อความหนาวเย็นและความแห้งแล้ง”กู้หว่านเยว่สังเกตเห
“ท่านพ่อ ไม่ต้องกลัว ข้าเตรียมยาไว้เรียบร้อยแล้ว”กู้หว่านเยว่ถือถ้วยยาหม้อมา แล้วอธิบายกับซูจิ้งด้วยกระดาษและพู่กัน ยาหม้อนี้สามารถทำให้คืนนี้เขาหมดสติไปอย่างสมบูรณ์ ไม่กลายเป็นมนุษย์หมาป่าอีกซูจิ้งไว้ใจกู้หว่านเยว่มาก ดื่มยารวดเดียวจนหมดเกลี้ยงหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หมดความรู้สึก สลบลงไปบนเตียง“พ่อของเจ้า เขา...” นางหยางกอดซูจิ้งไว้ด้วยความเป็นห่วงกู้หว่านเยว่อธิบาย “ท่านแม่ ท่านวางใจได้ ยาหม้อนี้จะไม่เป็นอันตรายกับใคร มันจะทำให้ท่านพ่อหลับสนิทเพียงชั่วคราวเท่านั้น พอพรุ่งนี้เช้าเขาก็จะตื่นเองตามธรรมชาติ”“ตกลง ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”นางหยางถอนหายใจด้วยความโล่งอก“คืนนี้ข้าจะนอนกับพ่อของพวกเจ้า จะได้ดูแลเขาได้สะดวก”“ท่านแม่ ท่านต้องระมัดระวังให้มาก”เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซูจิ่งสิงจึงหาเชือกป่านมาเส้นหนึ่งเพื่อมัดซูจิ้งไว้เช่นนี้แม้ว่าเขาจะตื่นขึ้นมา ก็จะทำร้ายนางหยางไม่ได้ทางด้านนี้ กู้หว่านเยว่ยังเร่งเข้าไปในมิติ เพื่อพัฒนายาถอนพิษหลังจากผ่านไปหนึ่งคืน นางก็ออกมาจากมิติด้วยความอ่อนล้า“หว่านเยว่ เรื่องยาถอนพิษอย่ารีบร้อนเกินไป” ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วด้วยความเจ็
“ทำไมพวกเจ้าไม่มัดข้าไว้ก่อนล่ะ เดี๋ยวข้าจะได้ไม่ทำให้พวกเจ้าบาดเจ็บ”ซูจิ้งหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนด้วยความลังเลนางหยางส่ายหัว “พี่ซาน ท่านจงเชื่อมั่นในตัวหว่านเยว่ หว่านเยว่ต้องรักษาท่านให้หายดีได้แน่นอน”กู้หว่านเยว่กลับบอกว่า “เพื่อความปลอดภัยเป็นสำคัญ ควรมัดท่านพ่อไว้ดีกว่า” ถึงอย่างไรหอแห่งโอสถก็ทำการวิจัยพัฒนายามนุษย์หมาป่าเป็นครั้งแรก นางยังกังวลเรื่องเหตุการณ์ไม่คาดฝันอยู่แม้ว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่กู้หว่านเยว่ก็เป็นคนที่รอบคอบ“ข้าทำเอง”ซูจิ่งสิงหยิบเชือกป่านมา แล้วมัดซูจิ้งไว้เหมือนเมื่อวานนางหยางกำหมัดแน่นอย่างไม่เป็นสุข ซูจิ่นเอ๋อร์และซูจื่อชิงก็หยิบเรื่องตลกระหว่างทางที่ถูกเนรเทศมาเล่าให้บรรยากาศผ่อนคลายลงกู้หว่านเยว่เห็นว่ายังมีเวลาอยู่ จึงกลับไปที่ห้องของตัวเองและเข้าไปในมิติเพื่อซื้อวัสดุสำหรับสร้างเรือนกระจกนางมียากล่อมประสาทอยู่ในมือ คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวข้างห้องอยู่ตลอดเวลาหยิบกระดาษออกมาอีกหนึ่งแผ่น เขียนวิธีการปลูกฝ้ายและพืชผักลงไปรอจนฝ้ายโตเต็มที่แล้ว นางยังจะสอนวิธีการทอผ้าและดีดฝ้ายให้เป็นปุยเพื่อกันหนาวให้กับกลุ่มคนงานด้วยหลังจากเข
การซ่อมแซมเส้นเสียงนั้นเป็นเรื่องยากลำบากมาก สิ่งที่ต้องตระเตรียมมีมากมาย กู้หว่านเยว่ยังไม่กล้าด่วนสรุปนางหยางรีบจับมือกู้หว่านเยว่ไว้ แต่กลับเช็ดน้ำตาพลางปลอบประโลมว่า “หว่านเยว่ พ่อของพวกเจ้าสามารถคลายจากพิษได้ แม่ก็พอใจแล้ว”นางรู้สึกสงสารกู้หว่านเยว่ที่ง่วนอยู่กับการล้างพิษตลอดสองวันที่ผ่านมา“ถ้าไม่มีความมั่นใจ ก็ไม่ต้องฝืน แม่ไม่อยากทำให้เจ้าต้องเหนื่อย”“ใช่แล้ว” ซูจิ่นเอ๋อร์มองกู้หว่านเยว่ด้วยความสงสาร “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านต้องนึกถึงการพักผ่อนด้วย ท่านกำลังตั้งครรภ์อยู่”นางยังหวังว่าบิดาจะฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ แต่เพื่อรักษากล่องเสียงของเขา จะทำให้พี่สะใภ้ใหญ่เหน็ดเหนื่อย เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ซูจื่อชิงยังกล่าวอีกว่า “ความจริงพวกเราก็ไม่ได้สื่อสารกันลำบากถึงเพียงนั้น รอจนการได้ยินของท่านพ่อฟื้นฟู การสื่อสารจะสะดวกขึ้นแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเอง”“หว่านเยว่ การดูแลสุขภาพของเจ้าเป็นสิ่งสำคัญ” ซูจิ่งสิงจับมือน้อยของกู้หว่านเยว่ไว้กู้หว่านเยว่รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ“พวกท่านวางใจได้ ข้าจะทำตามกำลังตัวเอง ถ้าทำไม่ได้ ข้าจะไม่ฝืนเด็ดขาด”เมื่อมีคำพูดนี้ของกู้ห
“วางเมล็ดพันธุ์และวัสดุไว้ภายในลาน ใช้หมดแล้วค่อยให้คนไปยกมา” ซูจิ่งสิงเอ่ยปากชี้แนะดวงตากู้หว่านเยว่ทอประกายระยับ ความเห็นนี้ของซูจิ่งสิงไม่เลว ลดปัญหาได้มาก“เวลาไม่คอยท่า พวกเราไปเดี๋ยวนี้เลย”“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไปกับพวกท่านด้วย” ซูจิ่นเอ๋อร์ไล่ตามมา“ข้าจะเข้าเมืองไปซื้อผ้าสองพับมาตัดชุดใหม่ให้ท่านพ่อ”วันนี้นางถักเปียสองข้าง สวมเสื้อคลุมสีแดงผิวพรรณขาวเปล่งปลั่งเพราะได้รับการดูแลจากยาเสริมความงามของกู้หว่านเยว่ คอยาวระหงส์คล้ายหงส์ขาวเย่อหยิ่งตัวหนึ่ง“เจ้าตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นตั้งแต่ยามใด?”“เรียนจากหรานหร่านเจ้าค่ะ พัฒนาการของข้ายอดเยี่ยมมากนะ”“พี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่พวกท่านยังเหม่ออันใดอยู่อีก รีบมาเร็วเข้าเถอะ”ซูจิ่นเอ๋อร์ปีนขึ้นรถม้าอย่างคล่องแคล่ว ร้องเรียกคนทั้งสอง ถือสายบังเหียนตั้งสมาธิขี่ม้ามาถึงเมืองตู้เปียนก็สายแล้ว กู้หว่านเยว่พาซูจิ่นเอ๋อร์ไปยังจวนฟู่หลานเหิง“เจ้าเข้าไปพบใต้เท้าฟู่ก่อน ข้าและพี่ใหญ่เจ้ามีธุระต้องจัดการ”ซูจิ่นเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “ข้าไม่มีวันไปพบเขา พี่สะใภ้ใหญ่ท่านพาข้าไปจวนจินเถอะ”อีกเดี๋ยวได้เจอตัวป่วนหยางหลิวอะไรนั่นอีก ก็กินอะไรไม่ลงแล้ว!
ฟู่หลานเหิงจับมือนางไว้อย่างแรง จุมพิตเร่าร้อนเจือกลิ่นอายสุราประกบกลีบปากนางฟู่หลานเหิงตระกองกอดซูจิ่นเอ๋อร์ บดเบียดกลีบปากแดงของนาง หางตากลับแดงก่ำ ภายใต้อาภรณ์สีครามคือความปรารถนาอันแรงกล้าซูจิ่นเอ๋อร์ลืมตาโตนี่ใต้เท้าฟู่กำลังจุมพิตนางหรือ?กลีบปากใต้เท้าฟู่เย็นมาก นุ่มมาก...ไม่ถูกๆ ซูจิ่นเอ๋อร์ นี่เจ้ากำลังคิดอันใด?หลังมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ซูจิ่นเอ๋อร์ใช้สองมือดิ้นหนีออกมา จากนั้นหยิบน้ำชาบนโต๊ะเสียงซ่าดังขึ้น สาดน้ำชาทั้งหมดใส่หน้าฟู่หลานเหิง“ใต้เท้าฟู่ ท่านตั้งสติหน่อย!” ซูจิ่นเอ๋อร์ร้องตะโกนอย่างมีโทสะฟู่หลานเหิงถูกน้ำชาสาดใส่จนได้สติ สายตาแจ่มชัดขึ้นเล็กน้อย สีหน้าอับอายจนกลายเป็นโกรธของซูจิ่นเอ๋อร์สะท้อนอยู่ภายในแววตาเขารู้สึกผิดขึ้นมาในทันใด“แม่นางจิ่น ข้ามิได้...”“ท่านหุบปาก ข้าจะออกไปเรียกบ่าวรับใช้เดี๋ยวนี้เลย!”ซูจิ่นเอ๋อร์โยนถ้วยชาไปที่อีกฝั่ง รีบเปิดประตูออกไป ฝีเท้าสะเปะสะปะอยู่บ้างไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดบ่าวรับใช้จึงถูกคนเรียกไปในตอนนี้ ซูจิ่นเอ๋อร์ตะโกนอยู่หลายครั้งถึงมีคนมาเห็นสภาพของห้องอุ่นแล้ว ทันใดนั้นตกใจจนวิญญาณหลุดลอยรีบไปเตรียมน้ำเย็น
ซูจิ่งสิงจับจ้องคนชุดดำทั้งห้า ฝ่ามือกลายเป็นกรงเล็บคว้าคอคนอยู่ใกล้ที่สุดไว้แล้วคนชุดดำรีบดึงผ้าปิดหน้าลง “นายท่าน ข้าเอง! ข้าคือฮั่นจิ่ว”อีกสี่คนที่เหลือเองก็ดึงผ้าปิดหน้าลง คุกเข่าตรงหน้าซูจิ่งสิง“ฮั่นจิ่ว เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่?” สายตาซูจิ่งสิงทอดมองอีกสี่คนทางด้านหลังห้าคนนี้ล้วนเคยติดตามอยู่ด้านหลังเขา ผู้อยู่ใต้อาณัติที่ซื่อสัตย์ภักดีประกอบด้วยฮั่นจิ่ว ลู่จิง เจียงเฟิ่ง ชิงเหลียน หงเจาก่อนซูจิ่งสิงกลับเมืองหลวงก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวผิดปกติของฮ่องเต้ชั่ว เพื่อป้องกันมิให้พวกเขาต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย มอบเงินก้อนหนึ่งให้พวกเขาที่ชายแดน ให้พวกเขาแยกย้ายจากไปฮั่นจิ่วและคนอื่นสบตากันแวบหนึ่ง รีบเอ่ยต่อ “หลังข้าและคนอื่นจากไปแล้วก็ได้ยินเรื่องนายท่านกลับเมืองหลวงและถูกฮ่องเต้ยึดทรัพย์เนรเทศ จึงออกตามหาจากเมืองหลวง จนมาถึงเมืองตู้เปียน”วันนี้พวกเขากำลังดื่มชาในร้านชา สืบเบาะแสของซูจิ่งสิง ปรากฏว่าบังเอิญเห็นซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เดินออกจากเรือนทั้งห้ารีบไล่ตามมา วางแผนปรากฏตัวในที่ห่างไกลแห่งหนึ่งคิดไม่ถึงซูจิ่งสิงวิชายุทธ์แข็งแกร่งเหนือชั้น ขณะพวกเขาไล่ตามก็สั
“พวกเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว”“นี่เป็นแมงป่องพิษที่หนานเจียงของเราใช้ความพยายามอย่างมากในการเพาะเลี้ยงออกมา พวกเจ้ากลับเผามันทั้งเช่นนี้ ต้องการเป็นศัตรูกับหนานเจียงของเราหรือ?”ในใจเฟิ่งหวู่โจวกำลังมีเลือดไหลแล้ว กู้หว่านเยว่หันกลับไปมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง“เจ้าพูดถูกแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ต้าฉีขอประกาศสงครามกับหนานเจียงอย่างเป็นทางการ”“อะไรนะ?”เฟิ่งหวู่โจวก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเรื่องราวจะบานปลายถึงขั้นนี้ คราวนี้ไปกันใหญ่แล้ว ต้าฉีโดนพวกเขายั่วจนโมโห จะเปิดศึกกับพวกเขา“พวกเจ้าเพิ่งจบสงครามไม่ใช่หรือ แคว้นของพวกเจ้าเกิดความอดอยากมากมายไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าไม่ควรพักฟื้นหรือ? พวกเจ้าบุ่มบ่ามเปิดศึกกับพวกเรา รู้หรือไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร?”เฟิ่งหวู่โจวร้อนใจจนแสดงออกทางสีหน้าสามารถมองออกได้ว่าเขากำลังตื่นตระหนกจากสีหน้า“ผลที่ตามมาอะไร หนานเจียงของเจ้ากล้าฆ่าแม่ทัพต้าฉีของเรา ต้าฉีของเรายังต้องอดกลั้นอีกหรืออย่างไร?”กู้หว่านเยว่มองแมงป่องพิษที่อยู่ใจกลางท้องพระโรงแวบหนึ่ง ภายใต้การถูกไฟย่าง แมงป่องพิษตัวนั้นถูกย่างจนกลายเป็นสีเหลืองทองและกรอบแล้ว“ไปจูงสุนัขมา
“ท่านนี้คือพระมเหสีของต้าฉีกระมัง ท่านโปรดช่วยพูดจาระวังหน่อย ถ้าหากทำให้ราชาแมงป่องพิษที่อยู่ข้างหลังข้าโกรธ ระวังจะตายไม่รู้ตัว”เฟิ่งหวู่โจมกล่าวข่มขู่ด้วยสายตาเย็นชา“แกร๊ก!”ราชาแมงป่องพิษที่อยู่ข้างหลังเขาชูห่างขึ้น แสดงแสนยานุภาพหางชี้ไปทางเหล่าขุนนาง ทุกคนตกใจจนเกือบจะกรีดร้องออกมา“ฮ่าๆๆ!”เฟิ่งหวู่โจวหัวเราะอย่างได้ใจ“ช่วยด้วย แมงป่องตัวนี้น่ากลัวมาก”“เหตุใดจึงมีแมงป่องพิษที่ตัวใหญ่เช่นนี้ ไม่เคยพบไม่เคยเห็นจริงๆ”“แมงป่องผิดตัวนี้แหละ ที่กัดชาวบ้านตายกลางถนนใช่หรือไม่?”เหล่าขุนนางต่างหวาดกลัวโดยเฉพาะพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ไม่เป็นวรยุทธ์ ล้วนหวาดกลัวแมงป่องพิษขนาดใหญ่ตัวนี้“เจ้า?”เวลานี้เอง ซูจิ่งสิงชักกระบี่สุริยันคำรามที่ข้างบัลลังก์มังกรออกมากะทันหัน และพุ่งตัวออกไป ใช้กระบี่พาดคอของเฟิ่งหวู่โจวโดยตรงเหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน เฟิ่งหวู่โจวตั้งตัวไม่ทัน“นี่เจ้าจะทำอะไร? ข้า ข้าคือองค์ชายของหนานเจียงนะ”“องค์ชายของหนานเจียงแล้วอย่างไร?”ซูจิ่งสิงยกกำปั้นขึ้น ชกไปที่ใบหน้าของเขาโดยตรง“ซูจิ่งสิง!” เฟิ่งหมิงกวงตะโกนเสียงดัง รีบออกคำสั่งราชาแมงป่องพิษโจม
“สัตว์ประหลาดตัวนั้นฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง เวลามันคลั่งขึ้นมาไม่สามารถควบคุม”ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับซูจื่อชิง เช่นนั้นก็เลือดเชื้อพระวงศ์สาดจริงๆ แล้ว“ข้ารู้ แต่ข้าทนดูไม่ได้จริงๆ”ซูจื่อชิงกัดฟันกล่าว“ให้ข้าคิดดูก่อนว่าแมงป่องคิดไม่ถูกกับอะไร”“สิ่งที่แมงป่องพิษไม่ถูกชะตาหรือ เหอๆ ก็ต้องเป็นข้าอยู่แล้ว”กู้หว่านเยว่หัวเราะอย่างเย็นชา จับมือซูจิ่งสิงเดินไปหลังจากเหล่าขุนนางเห็นฮ่องเต้และพระมเหสี ในที่สุดก็ก็หาความมั่นใจกลับคืนมาได้บ้าง ต่างพากันคำนับคนทั้งสองทันที“ถวายบังคมฝ่าบาทและพระมเหสี ฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี พระมเหสีอายุยืนพันปีพันปีพันพันปี”“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งสิงโบกมือ ใช้หางตาเหลือบมองเฟิ่งหวู่โจวอย่างเหยียดหยาม“ฮึ่ม” ขาพ่นลมออกจากจมูก ในสายตาเต็มไปด้วยการดูถูก“บังอาจ เหตุใดเห็นฝ่าบาทและพระมเหสีแล้วยังไม่คุกเข่า?” เกาเจี้ยนคำรามอย่างเกรี้ยวกราด สะเทือนจนผู้คนแสบแก้วหูเฟิ่งหวู่โจวยิ้มอย่างเย่อหยิ่ง “ลูกหลานหนานเจียงของเรา เบื้องบนคุกเข่าต่อฟ้าดินและกษัตริย์กับฮองเฮา เบื้องหลังคุกเข่าต่อพ่อแม่และผู้อาวุโส ไม่มีธรรมเนียมคุกเข่าต่อฮ่องเต้แคว้นอื่
นางได้ยินมาว่าองค์ชายสามหนานเจียงคนนั้นปล่อยสัตว์ประหลาดออกมาทำร้ายคนกลางถนน และกัดคนตายไปหนึ่งคน หลายวันมานี้ นางกับยายเฒ่าอู่ปิดประตูจวน ไม่กล้าออกไปไหนเลย“น้องหญิง ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร แต่ข้าเป็นขุนนางของต้าฉี ต้องช่วยราชสำนักแบ่งเบาภาระ”การประชุมใหญ่พรุ่งนี้ ถ้าเขาในฐานะราชเลขาธิการกลัว ปิดประตูไม่กล้าออกจากบ้าน เมื่อถูกเผยแพร่ออกไปจะยิ่งไกลเป็นที่หัวเราะเยาะของชายหนานเจียงยายเฒ่าอู่พึมพำที่ข้างๆ “ทำไร่ทำนาในหมู่บ้านดีที่สุดแล้ว เป็นขุนนางกลับมีเรื่องมากมายให้กังวล ไม่มีเวลาห่วงชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ”เว่ยเฉิงหัวเราะ “ท่านแม่พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก”“ไม่ถูกยังไง?”“ท่านแม่ลืมแล้วหรือ ตอนที่ข้ายังไม่ผ่านการสอบ ครอบครัวของพวกเราอยู่ที่ชนบท มักจะถูกอันธพาลท้องถิ่นรังแก มีครั้งหนึ่ง เพื่อปกป้องเจียงหรง ท่านแม่เกือบโดนทุบหัว”คำพูดของเว่ยเฉิง ทำให้ยายเฒ่าอู่นึกถึงความทรงจำในอดีตนางถอนหายใจ “มนุษย์นี่นะ ไม่ว่าเวลาไหนมีเรื่องให้กังวลตลอด”ชาติกำเนิดของพวกเขาคือชาวนา และนางก็เป็นแม่หม้าย ต้องเลี้ยงเว่ยเฉิงอย่างความยากลำบากมารดากับภรรยาเริ่มถอนหายใจ ลูกชายตัวน้อยในเปลก็เหมือนเริ่ม
“ลูกชายของเจ้าตายแล้ว แต่ลูกสะใภ้เจ้าก็เป็นมนุษย์เช่นกัน นางเสียใจไม่เป็นหรือ?เจ้าเสียใจ เจ้าก็ไปหาคนที่เป็นต้นเรื่อง เจ้ามาระบายใส่คนกันเองเช่นนี้ นี่มันตรรกะอะไร?“เจ้า เจ้า…” ฮูหยินผู้เฒ่าโจวโมโหจนพูดไม่ออก นายท่านโจวก็โมโหยายเฒ่าอู่เช่นกันพวกเขาคุยกันในบ้านตัวเอง เหตุใดจึงมีหญิงชราที่ไม่รู้จักคนหนึ่งแทรกเข้ามาอีกทั้งหญิงชราคนนี้ยังพูดจาไม่น่าฟังเลยเขาอยากถกเถียงกับยายเฒ่าอู่ด้วยเหตุผลแต่ยายเฒ่าอู่เป็นใคร?นางเป็นคนบ้านนอก และยังเป็นแม่หม้าย ปากร้ายจนคนทั้งหมู่บ้านต้องยอม นายท่านโจวหาใช่คู่ต่อสู้ของนาง เถียงกันไปเถียงกันมาครู่หนึ่ง ก็โดนนางต่อว่าจนหน้าแดง“ข้าก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของครอบครัวเจ้าหรอก ใครใช้ให้พวกเจ้าร้องไห้เสียงดังจนข้าได้ยิน เห็นพวกเจ้ารังแกคนเช่นนี้ ข้าไม่สามารถนิ่งดูดายได้ ข้าขอแนะนำพวกเจ้าสักคำ สร้างสมบุญกุศล อย่าให้ลูกชายของพวกเจ้าไม่สามารถไปสู่สุคติ”“เจ้า เจ้า!”นายท่านโจวทนไม่ไหวแล้ว“เจ้าเป็นคนของบ้านไหนกันแน่?”เขาดูการแต่งตัวของยายเฒ่าอู่ คิดว่านางเป็นคนรับใช้ของเจ้าของบ้าน“ไปเรียกเจ้านายเจ้ามา ข้าจะลองถามเขาดูว่า เขาอบรมสั่งสอนคนรับใช้เช่
ฮูหยินผู้เฒ่าโจวเจ็บใจ นางมีลูกชายแค่คนเดียว เพื่อเหลียงถงอวี้คนนี้ เขาดึงดันจะออกจากด่านหานกู่ พานางมาเมืองหลวง“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า เขาก็ยังอยู่ด่านหานกู่ เบื้องบนก็จะไม่ส่งเขาไปทำงานนี้ ล้วนเป็นเพราะเจ้า!”ฮูหยินผู้เฒ่าโจวผลักหน้าอย่างแรง เหลียงถงอวี้กัดริมฝีปากล่างแน่นเพราะคำพูดของนางนางมองผู้อาวุโสทั้งสองคนใบหน้าฮูหยินผู้เฒ่าโจวเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่มีต่อนาง สายตาที่นายท่านโจวมองนางก็เต็มไปด้วยเจตนาร้ายเช่นกันโจมเสี้ยนเป็นแม่ทัพ ถ้าหากตายในสนามรบ นั่นก็ถือว่าตายอย่างมีเกียรติตายด้วยน้ำมือของชาวหนานเจียง?และยังตายไปพร้อมกับคำกล่าวหาเช่นนี้ ชื่อเสียงที่สร้างมาทั้งชีวิตจบสิ้นแล้วเขาที่เป็นพ่อคนนี้ จะไม่แค้นเคืองได้อย่างไร?“นางพูดถูก เสี้ยนเอ๋อร์ตายเพราะเจ้า”“เจ้าคืนลูกชายข้ามา เจ้าคืนลูกชายข้ามา!”ฮูหยินผู้เฒ่าโจวพุ่งออกไป ตบตีตามร่างกายเหลียงโจวอวี้ นางเสียใจและสิ้นหวังจนเกือบจะเป็นลม“เจ้ายังจะอยู่ที่นี่ทำไม เจ้ายังไม่รีบไปอีก!”นายท่านโจวอุ้มฮูหยินผู้เฒ่าโจวไว้ หันไปไล่เหลียงถงอวี้ ราวกับนางเป็นโรคระบาด“ข้างบ้านทะเลาะอะไรกัน?”ข้างบ้าน ยายเฒ่าอู่ยืนอุ้มเ
“ฮึ่ม ต้าฉีกล้าฆ่าชวีเฟิง และยังกล้าขังพี่หญิงใหญ่ของข้า ข้าย่อมต้องทำให้พวกมันสำนึก”เฟิ่งหวู่โจวควบคุมแมงป่องยักษ์ไปพลาง คิดจะทำร้ายราษฎรอีกเวลานี้เอง เกาเจี้ยนขี่ม้า พาองครักษ์จันทรากลุ่มหนึ่งวิ่งมา“หยุดเดี๋ยวนี้!”เกาเจี้ยนกล่าวด้วยเสียงอันดังก้องราวกับฟ้าผ่า “เหลวไหลสิ้นดี ราษฎรไม่รู้อะไรด้วยเลย เจ้าปล่อยแมลงร้ายนี่ออกมาทำร้ายราษฎรตามใจชอบได้อย่างไร!”เขาชีทวนยาวไปทางเฟิ่งหวู่โจว“องค์ชายสาม รีบเก็บแมลงร้ายของเจ้ากลับไปซะ เช่นนั้นข้าไม่ละเว้นเจ้าแน่”“เจ้ากล้าพูดจาเช่นนี้กับข้า?!”เฟิ่งหวู่โจวหรี่ตา กำลังจะระเบิดอารมณ์ ทว่าผู้ติดตามที่อยู่ข้างๆ ห้ามเขา“องค์ชายสาม ท่านอย่าวู่วาม”ผู้ติดตามห้ามปรามเสียงเบา“องค์หญิงใหญ่ยังอยู่ในมือพวกเขาขอรับ”เฟิ่งหวู่โจวหยุดการกระทำอย่างที่คิด“บ้าจริง ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวพวกเขาจะทำอะไรพี่หญิงใหญ่ ข้าไม่สนใจความเป็นความตายของพวกมันหรอก ให้ราชาแมงป่องพิษกินพวกเขาทั้งเป็นให้หมดเลย!”“กลับไป”เขาเป่าขลุ่ยในมือ แมงป่องเหลือบมองเกาเจี้ยนแวบหนึ่ง หมุนกายกลับเข้ารถม้า“สถานีพักม้าอยู่ทางนี้ องค์ชายสามเชิญตามพวกเรามา” เกาเจี้ยนมองซากศพท
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของหนานเจียง มีจุดประสงค์เพื่อตบหน้าต้าฉี ทำให้ราชวงศ์ต้าฉีที่เพิ่งก่อตั้งอับอายขายหน้า“โจวฮูหยิน ข้ากับฝ่าบาทจะให้คำอธิบายกับเจ้าแน่นอน”“ขอบพระทัยพระมเหสีเพคะ”เหลียงถงอวี้คำนับจากใจ ก้าวเดินออกจากวังหลวงไปอย่างสิ้นหวังทีละก้าว“หนานเจียง ไม่ควรเก็บไว้อีกแล้ว”สายตาซูจิ่งสิงเย็นเยียบ เกิดเจตนาฆ่าในใจวันต่อมา เฟิ่งหวู่โจวมาถึงเมืองหลวงหลังจากเขาฆ่าโจวเสี้ยนไม่เพียงไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย ตอนอยู่ที่ประตูเมือง ยังทำร้ายราษฎร ถีบขุนนางตกจากม้า และถ่มน้ำลายใส่ชาวต้าฉีเหิมเกริมสุดขีด“องค์ชายสาม พวกเราทำเช่นนี้ มันจะเกินไปหน่อยหรือไม่?”แม้แต่ผู้ติดตามก็รู้สึกผิด กล่าวเกลี้ยกล่อม“อย่างไรก็อยู่ถิ่นของต้าฉี ถ้าหากทำให้ต้าฉีโกรธ นี่…”“เจ้ากลัวทำไม?”ถนนจูเชวี่ย เฟิ่งหวู่โจวขี่อยู่บนหลังม้าที่สูงใหญ่ สีหน้าได้ใจนักหน้าตาของเขาสู้เฟิ่งอู๋ชีไม่ได้ แต่แต่งกายประณีตมาก สวมชุดเจียงหนาน และยังสวมกำไลเงินบนข้อมือหลายวง ขณะที่เขาดึงสายบังเหียน เสียงกรุ๊งกริ๊งดึงดูดความสนใจเป็นพิเศษราษฎรที่ผ่านไปมาล้วนได้ยินพฤติกรรมที่เหิมเกริมของเขาแล้ว รีบหลบตามสองข้างทางด้ว
“บ่าวไปเดี๋ยวนี้เพคะ!”ชิงเหลียนหมุนกายวิ่งออกไปทันทีวันนี้คนที่เข้าเวรที่สำนักหมอนหลวงคือลั่วยางพอดี เมื่อเห็นชิงเหลียงมาเรียกคน คิดว่ากู้หว่านเยว่เป็นอะไรเสียอีก รีบคว้ากล่องยาตามออกไปทันทีหลังจากตามมาจึงจะรู้เรื่องของโจวเสี้ยนจากปากชิงเหลียน“นายท่านกับฮูหยินกำลังรู้สึกผิด ไม่ว่าจะส่งใครไป ท้ายที่สุดนี่ก็คือจุดจบของเรื่องนี้ ไม่มีใครถ้าคิดว่าองค์ชายหนานเจียงจะบ้าเช่นนี้หมอหญิงลั่ว หลังจากท่านเข้าไป ต้องเกลี้ยกล่อมฮูหยินดีๆ นะ”ลั่วยางพยักหน้า “น่าสงสารโจวฮูหยินมาก”“ก็นั่นน่ะสิ กว่าจะได้อยู่ด้วยกันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”เดิมทีสกุลโจวก็ไม่ชอบนางอยู่แล้ว ในที่สุดโจวเสี้ยนก็ได้แต่งงานกับนาง และมาซื้อบ้านอยู่ในเมืองหลวงวันดีๆ กำลังจะมาอยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าเพิ่งแต่งงานได้หนึ่งเดือน ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ระหว่างที่ทั้งสองสนทนา ก็ได้มาถึงตำหนักข้างที่ให้โจวฮูหยินพักชั่วคราวแล้วหลังจากลั่วยางคำนับทั้งสอง ก็เข้าไปตรวจชีพจรให้โจวฮูหยิน“เสียใจมากเกินไป ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หม่อมฉันจ่ายยาก็ดีขึ้นเองเพคะ”ลั่วยางเขียนตำรับยาหนึ่งแผ่น ให้ผู้ช่วยไปเอายาที่สำนักหมอหลวง ผ่านไปครู่หนึ่ง