“หุบปาก!”ซูจิ่งสิงที่รู้ความจริงแล้วจ้องมองซูจื่อชิงอย่างเย็นชา ห้ามเขาพูดอะไรที่ไม่น่าฟังออกมาอีก“ท่านพ่อมีปัญหา หูทั้งสองของเขาไม่ได้ยิน พูดก็ไม่ได้”“เกิดอะไรขึ้น?” ซูจื่อชิงดูตกใจมากซูจิ่งสิงเห็นว่าสมาชิกครอบครัวอยู่กันครบ จึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ให้ทุกคนฟัง“ท่านพ่อไม่ได้ไม่อยากรู้จักพวกเรา แต่เขาไม่อยากให้เราเห็นเขาในสภาพเช่นนี้ และไม่อยากทำร้ายพวกเราด้วย”“เอ่อ...”ซูจื่อชิงก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด“ข้าขอโทษ ข้าเข้าใจท่านพ่อผิดไป”“ไม่ตำหนิเจ้าหรอก”กู้หว่านเยว่เหลือบมองเขา “แต่เจ้าต้องปรับปรุงนิสัยหุนหันพลันแล่นของเจ้าเสีย”ซูจื่อชิงก้มหน้าต่ำลงเรื่อย ๆ“เวลานี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือถามจากปากท่านพ่อให้รู้เรื่อง ว่าเหตุใดเขาถึงอยู่ในสภาพเช่นนี้”คำพูดเย็นชาประโยคเดียวของซูจิ่งสิง ทำให้ทุกคนเลิกงอแงไร้เหตุผล“ใช่แล้ว ท่านพ่อ ใครทำกับท่านจนตกอยู่ในสภาพนี้?”ซูจิ่นเอ๋อร์กำหมัดด้วยความโกรธจัด ซูจื่อชิงดึงแขนเสื้อของนาง“ท่านพ่อไม่ได้ยิน พูดก็ไม่ได้”“...แล้วพวกเราจะถามยังไง?”“ข้ามีวิธี”กู้หว่านเยว่หยิบกระดาษและพู่กันมา แล้วส่งให้แต่ละคน“เขี
ในขณะที่พูด กู้หว่านเยว่ก็เขียนลงบนกระดาษให้ซูจิ้งอ่านด้วยซูจิ้งเห็นกู้หว่านเยว่มีวิธีควบคุมเขา จึงเลิกล้มความคิดที่จะจากไปไหนไปโดยสิ้นเชิงในขณะเดียวกันก็มองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาที่งุนงงเป็นอย่างมากซูจิ่งสิงอธิบายว่า “นี่คือเมียของข้า นางมีทักษะทางการแพทย์”ซูจิ้งพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม สายตาปลื้มอกปลื้มใจนางหยางรีบบอกว่า “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ ตรงนี้มีข้าดูแลอยู่ก็พอแล้ว โดยเฉพาะหว่านเยว่ สองวันนี้เจ้าเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว เจ้าตั้งท้องอยู่ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ”จากการ “บอกความในใจ” ของอีกฝ่ายเมื่อครู่ นางเชื่อว่าซูจิ้งจะไม่จากไปไหนง่าย ๆ อีก“เช่นนั้นพวกข้าออกไปก่อนนะเจ้าคะ”กู้หว่านเยว่ดึงซูจิ่งสิงออกไปอย่างรู้กาลเทศะ ให้พื้นที่แก่นางหยางและซูจิ้งซูจื่อชิงมองเข้าไปในห้องด้วยความรู้สึกผิด “เมื่อครู่ ข้าพูดอะไรที่ทำให้ท่านพ่อเสียใจ ข้า...”เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน แค่คิดถึงบิดามากเหลือเกินในหลายปีที่ผ่านมากว่าจะได้พบกันไม่ง่ายเลย อีกฝ่ายยังต้องการจะจากไปอีก เขาจึงรู้สึกเครียดไปชั่วขณะ“อย่ากังวล ท่านพ่อหูหนวก ไม่ได้ยินสิ่งที่เจ้ากำลังพูด” ซูจิ่นเอ๋อร์ปลอบประโลมอย่างใจดี
“เถ้าแก่!”ชาวบ้านก้าวเข้ามาด้วยความตื่นเต้นดีใจ เขาอยากพูดคุยกับกู้หว่านเยว่มานานแล้ว“เถ้าแก่ ของข้าเป็นกระสอบทรายสำหรับให้ความอบอุ่น ก่อนอื่นให้อุ่นทรายก่อนแล้วค่อยบรรจุลงในกระเป๋า สามารถกันลมและต้านทานหนาวเย็นได้”ชาวบ้านอีกคนช่วยอธิบายเช่นกัน“ตกกลางคืน พวกข้านอนอยู่ในกองทรายร้อน ๆ ก็อบอุ่นแล้ว”กู้หว่านเยว่ถึงบางอ้อในทันที ฝ้ายของต้าฉียังไม่แพร่หลาย เจดีย์หนิงกู่ที่อยู่ห่างไกลและยากจนไม่มีปัญญาใช้เสื้อหนาวปุยฝ้ายและผ้าห่มนวมเลยไม่น่าแปลกใจที่ฤดูหนาวของทุกปีจะมีผู้คนหนาวตายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง สำหรับชาวนาชนชั้นล่าง ฤดูหนาวเปรียบเสมือนการฟันฝ่าภัยพิบัติ“ท่านพี่ ข้าต้องการปลูกฝ้าย เพื่อเผยแพร่เสื้อผ้าฝ้ายที่เราสวมใส่”กู้หว่านเยว่ทนเห็นชาวบ้านทนทุกข์จากความหนาวเย็นอีกต่อไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นฝ้ายยังสามารถทำให้ผู้คนร่ำรวยได้อีกด้วย“ฝ้ายเป็นของดี”ความหดหู่ใจเผยออกมาทางสีหน้าของซูจิ่งสิง“แต่ว่าเจดีย์หนิงกู่มีสภาพอากาศหนาวเย็นที่เลวร้าย จะปลูกรอดหรือ?”“เมล็ดฝ้ายที่ข้านำออกมาทั้งหมดล้วนได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้ว ทนต่อความหนาวเย็นและความแห้งแล้ง”กู้หว่านเยว่สังเกตเห
ร่างกายร้อนผ่าวอยู่บ้างกู้หว่านเยว่ลืมตาขึ้นมา พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงแกะสลักขนาดใหญ่ มีกลิ่นอายโบราณหลังหนึ่ง ข้างเตียงมีชายสวมชุดแต่งงานนั่งอยู่หนึ่งคนนี่คงฝันไปใช่ไหม แต่เหตุใดเหมือนจริงถึงเพียงนี้?นางเบือนหน้ามองฝ่ายชายฝ่ายชายผิวพรรณขาวดุจหยก ใบหน้าหล่อเหลางดงาม มองแวบเดียวก็ทำให้คนจมดิ่งสู่ภวังค์อย่างยากจะหักห้ามใจ เพียงแต่สีหน้าของเขาเย็นชาเกินไป สุ้มเสียงเองก็ไร้อารมณ์เสียนี่กระไร“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากแต่งกับข้า พระบรมราชโองการยากจะฝ่าฝืน หากเจ้าไม่ยินยอม...”“ข้ายินยอม ข้ายินยอม!”ชายหนุ่มรูปงามหาใครเทียบได้เช่นนี้ นางครองโสดมายี่สิบกว่าปีไม่เคยได้พบพานมาก่อน ไฉนเลยจะไม่ยินยอมกันเล่า!กู้หว่านเยว่พยักหน้าอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจสีหน้าตกตะลึงของฝ่ายชาย ยื่นมือออกไปเกี่ยวเข็มขัดโผเข้าหาอ้อมอกของเขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง อ้า หอมยิ่งนัก กลิ่นหอมเย็นของชายหนุ่มรูปงามเห็นได้ชัดว่านี่คือครั้งแรกของฝ่ายชาย ทีแรกยังคิดปฏิเสธ แต่กลับไม่อาจต้านทานเสียงที่ดังออดอ้อนออเซาะขึ้นมาของนางได้ สติค่อยๆ เลือนรางไป ทว่า ครู่เดียวก็ทำเอากู้หว่านเยว่วิญญาณหลุดลอยทั้งสองเกี
“ฝ่าบาทมีรับสั่ง เจิ้นเป่ยอ๋องซูจิ่งสิงคิดก่อกบฏ หลักฐานชัดเจน!”“นับแต่นี้ไปปลดออกจากตำแหน่ง เป็นสามัญชน ยึดทรัพย์เนรเทศไปยังหนิงกู่ถ่า ผู้ใดกล้าฝ่าฝืน ฆ่าได้ไม่ละเว้น!”ฮูหยินผู้เฒ่าทุบอกกระทืบเท้า “สกุลซูของข้าซื่อสัตย์ภักดี ไฉนเลยจะก่อกบฏได้?”หัวหน้าหน่วยยึดทรัพย์เจียงเต๋อจื้อสบถเสียงเย็น “ฝ่าบาทมีพระกระแสรับสั่งออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์เอง เจ้ากำลังกล่าวหาว่าฝ่าบาท ทรงวินิจฉัยผิดพลาดงั้นหรือ?”ทุกคนไม่กล้าโวยวายอีก กอดกันร่ำไห้โอดครวญทหารหลวงหลั่งไหลเข้ามา ถีบเปิดประตูเรือน ทุบทำลายข้าวของทั่วทุกสารทิศคล้ายโจรก็มิปาน ไม่ว่าที่ผ่านมาเจ้ามีตำแหน่งสูงส่งเยี่ยงไร หากถูกลงโทษยึดทรัพย์ นั่นก็คือคนต่ำต้อยมองภาพวุ่นวายภายในจวนอ๋อง ฮูหยินผู้เฒ่าคิดห้าม แต่กลับถูกเจียงเต๋อจื้อผลักล้มลงกับพื้น กระดูกของหญิงชราเกือบหักถัดมา เจียงเต๋อจื้อหรี่ตามองทางญาติฝ่ายหญิงของจวนอ๋อง“เพื่อป้องกันมิให้พวกเจ้านำทรัพย์สินส่วนตัวออกไป ญาติฝ่ายหญิงทั้งหมดต้องเปลื้องผ้าตั้งแต่ใต้สะดือลงมาเพื่อตรวจสอบหนึ่งรอบ!”“ไม่ได้!”สีหน้าเหล่าญาติฝ่ายหญิงทั้งโกรธทั้งอายฮูหยินผู้เฒ่าก่นด่าออกมา “เจียงเต๋อจื
“กบฏ ไม่ตายดี!”“สมรู้ร่วมคิดกับทูเจวี๋ย คลอดลูกชายไม่สมประกอบ!”ซูจิ่งสิงนอนกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนกระดานเกวียน รับก้อนหิน มูลแพะและผักเน่าที่โยนเข้ามาทุกทิศทาง...ยามรบชนะกลับมา เขาคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ปกป้องแคว้น ราษฎรล้วนโห่ร้องแสดงความยินดีบัดนี้เขาถูกใส่ร้ายข้อหากบฏ ไม่เพียงไม่มีคนขอความเป็นธรรมแทนเขา ทุกคนยังร้องตะโกนใส่ กลายเป็นคนบาปที่ทุกคนตราหน้าหันมองไปที่คนอื่น ๆ ของสกุลซู แต่ละคนเกือบซุกหน้าลงบนบ่าแล้วฮูหยินผู้เฒ่าร้องไห้น้ำตาไหลเป็นทาง “เวรกรรม สกุลซูของข้าตกต่ำถึงขั้นนี้เชียวหรือ...”นายท่านบ้านรองซูหัวหลินอดตำหนิไม่ได้ “ล้วนต้องตำหนิจิ่งสิง อยู่ดีๆ ก็คิดไม่ตก ไปสมรู้ร่วมคิดกับกบฏขายบ้านเมือง ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า ทั้งครอบครัวล้วนต้องเดือนร้อนเพราะเขา ข้าเป็นคนรักศักดิ์ศรีที่สุด ถูกราษฎรกลุ่มนี้สบถด่า หน้าก็ไม่กล้าเงยขึ้นมาแล้ว ภายภาคหน้าจะใช้ชีวิตเยี่ยงไร!”นับตั้งแต่ยึดทรัพย์จนถึงตอนนี้ เริ่มแรกทุกคนยังงุนงง จนถึงตอนนี้แต่ละคนก็เกิดความคิดขึ้นมาแล้ว มีทั้งคนเชื่อว่าซูจิ่งสิงมิได้ก่อกบฏ และมีคนที่ไม่เชื่อ นายท่านรองเป็นคนแรกที่มิอาจอดกลั้นบ้านอื่นสบตากันแวบ
เสียงอิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้นภายในสมอง ทำให้กู้หว่านเยว่ตกใจแทบแย่“เจ้าเป็นใคร?”“สวัสดีเจ้านาย ข้าเป็นผู้ดูแลระบบมิติ รับผิดชอบตอบปัญหาที่ท่านสงสัยโดยเฉพาะ”มิติคือพลังวิเศษที่นางมีตั้งแต่ชาติก่อน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินเรื่องผู้ดูแลระบบอันใด“ก่อนนี้เจ้านายอยู่ในขั้นเริ่มต้น จึงไม่ได้เปิดใช้งานฟังก์ชันของระบบ แต่อิงตามการกักตุนสินค้าเต็มพื้นที่ของท่านในวันนี้ มิติได้เปิดใช้งานผู้ดูแลระบบและอาคารทางการแพทย์ให้ท่านแล้ว”กู้หว่านเยว่หลับตาลง เพียงนึกคิดก็เข้าสู่มิติได้แล้ว ดังคาด ภายในพื้นที่กักตุนสินค้า นอกจากสิ่งของที่นางเก็บมา ก็มีอาคารทางการแพทย์เครื่องมือล้ำสมัยหลังหนึ่งทว่า เหตุใดเป็นอาคารทางการแพทย์เล่า?“ซูจิ่งสิงต้องการอาคารทางการแพทย์ เจ้าก็เปิดการใช้งานอาคารทางการแพทย์ ตกลงเจ้าของร่างคือข้าหรือซูจิ่งสิงกันแน่?”กู้หว่านเยว่ไม่สบอารมณ์อย่างมากในใจ“...” ผู้ดูแลระบบแกล้งตายไปแล้วกู้หว่านเยว่ทำเพียงสำรวจการเปลี่ยนแปลงภายในมิติ นอกจากอาคารทางการแพทย์ นางยังพบหน้าจอคล้ายศูนย์ควบคุมทำนองนั้นเพิ่มขึ้นมาในระบบอย่างหนึ่ง ข้างบนเขียนการเปิดใช้งานอาคารใหม่หลากหลายแบบอ
มีนางเป็นตัวอย่าง ทุกคนล้มเลิกความคิดแล้ว แต่ละคนกัดฟันเดินไปข้างหน้าเดินออกมาอีกราวห้าลี้ กู้หว่านเยว่เห็นนางหยางเหนื่อยจนคล้ายลาแก่ ต้องการขยับขึ้นไปช่วย แต่กลับถูกนางปฏิเสธ “หว่านเยว่ เจ้า เจ้าเหนื่อย ข้าเข็น...”“ใช่แล้วพี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเพิ่งแต่งเข้ามาก็ต้องถูกเนรเทศไปกับพวกเรา จะยังให้ท่านลำบากอีกได้เยี่ยงไร” ซูจื่อชิงรู้ความ เรียกซูจิ่นเอ๋อร์น้องสาวมาช่วยเข็นด้วยกันใครรู้ซูจิ่นเอ๋อร์ตัวเล็กแต่อารมณ์ร้าย ใบหน้าเปี่ยมอารมณ์ไม่พอใจ “ข้าเหนื่อยจะตายแล้ว เข็นไม่ไหว ก็ควรให้กู้หว่านเยว่เข็น ใครให้นางเป็นดาวหายนะทำให้พวกเราต้องถูกเนรเทศกันเล่า”“น้องหญิง เจ้าพูดส่งเดชอันใด เรื่องนี้ตำหนิพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ได้”ซูจื่อชิงโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว เหตุใดน้องหญิงคิดเห็นเฉกเดียวกันกับบ้านเหล่านั้นได้เล่า?สีหน้าซูจิ่นเอ๋อร์กลับเปลี่ยนไปแล้ว รู้สึกเกลียดกู้หว่านเยว่เพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่งส่วนอยู่ภายในใจกู้หว่านเยว่คร้านจะตามใจอารมณ์ของคุณหนูใหญ่ “เจ้าเองก็รู้ว่าพี่ใหญ่ของเจ้าเอ็นดูเจ้าที่สุด บัดนี้เขาหมดสติยังไม่ฟื้น ปรากฏว่าแม้แต่เข็นเกวียนของเขาสักเล็กน้อยเจ้าก็ไม่ยินดี ช่างเอ็นดูอย่างเสียเปล่า