สองสาวพี่น้องดวงตาแดงก่ำจากการถูกปฏิเสธ แววตาผิดหวัง“คุณชายโจว พวกเราไปกันเถอะ” ซูจิ่งสิงรีบร้อนพาซูเหล่าซานกลับโจวลิ่วหลางพยักหน้า แล้วรีบขี่รถม้าออกไปป้าสวี่เห็นดังนั้นก็ยิ่งกลุ้มใจ คุณชายโจวยังเร่งรถม้าให้พวกเขา นางพลาดชิ้นปลามันไปแล้วจริง ๆ!“พวกเจ้าสองคนไม่ไขว่คว้าเลย เลี้ยงพวกเจ้าเสียข้าวสุก!”ป้าสวี่ด่าลูกสาวทั้งสองอย่างไม่สบอารมณ์ จนซิ่งเอ๋อร์ตาแดง“ฮูหยินนั่นก็ไม่ได้หน้าตาสะสวยสักเท่าใด แค่แต่งตัวดี เสื้อผ้าของนางถ้าพวกข้าเอามาใส่ ยังดูดีกว่านางเสียอีก”“เจ้าแน่ใจนะ?”อวี๋เอ๋อร์นึกถึงใบหน้าที่สดใสขาวบริสุทธิ์ของกู้หว่านเยว่ ก่อนจะมองไปที่ใบหน้าที่ถูกลมทะเลพัดจนแห้งเหี่ยวหยาบกร้านของซิ่งเอ๋อร์ พูดอะไรที่ขัดกับความรู้สึกไม่ได้นางหยางกอดซูจิ้งไว้ แล้วถามกู้หว่านเยว่อย่างไม่สบายใจ“หว่านเยว่ อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตพ่อของเจ้าไว้ ให้เงินก้อนเดียวพอหรือ?”กู้หว่านเยว่ชี้ไปที่เสื้อผ้าเนื้อหยาบขาดวิ่นบนตัวซูจิ้ง“ท่านแม่ เห็นได้ชัดว่าท่านพ่อไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดี เขาให้ครอบครัวของป้าสวี่ไปเก็บเปลือกหอยที่ชายหาดโดยไม่คิดเงิน สกุลสวี่แค่จัดหาอาหารให้เข
“หุบปาก!”ซูจิ่งสิงที่รู้ความจริงแล้วจ้องมองซูจื่อชิงอย่างเย็นชา ห้ามเขาพูดอะไรที่ไม่น่าฟังออกมาอีก“ท่านพ่อมีปัญหา หูทั้งสองของเขาไม่ได้ยิน พูดก็ไม่ได้”“เกิดอะไรขึ้น?” ซูจื่อชิงดูตกใจมากซูจิ่งสิงเห็นว่าสมาชิกครอบครัวอยู่กันครบ จึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ให้ทุกคนฟัง“ท่านพ่อไม่ได้ไม่อยากรู้จักพวกเรา แต่เขาไม่อยากให้เราเห็นเขาในสภาพเช่นนี้ และไม่อยากทำร้ายพวกเราด้วย”“เอ่อ...”ซูจื่อชิงก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด“ข้าขอโทษ ข้าเข้าใจท่านพ่อผิดไป”“ไม่ตำหนิเจ้าหรอก”กู้หว่านเยว่เหลือบมองเขา “แต่เจ้าต้องปรับปรุงนิสัยหุนหันพลันแล่นของเจ้าเสีย”ซูจื่อชิงก้มหน้าต่ำลงเรื่อย ๆ“เวลานี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือถามจากปากท่านพ่อให้รู้เรื่อง ว่าเหตุใดเขาถึงอยู่ในสภาพเช่นนี้”คำพูดเย็นชาประโยคเดียวของซูจิ่งสิง ทำให้ทุกคนเลิกงอแงไร้เหตุผล“ใช่แล้ว ท่านพ่อ ใครทำกับท่านจนตกอยู่ในสภาพนี้?”ซูจิ่นเอ๋อร์กำหมัดด้วยความโกรธจัด ซูจื่อชิงดึงแขนเสื้อของนาง“ท่านพ่อไม่ได้ยิน พูดก็ไม่ได้”“...แล้วพวกเราจะถามยังไง?”“ข้ามีวิธี”กู้หว่านเยว่หยิบกระดาษและพู่กันมา แล้วส่งให้แต่ละคน“เขี
ในขณะที่พูด กู้หว่านเยว่ก็เขียนลงบนกระดาษให้ซูจิ้งอ่านด้วยซูจิ้งเห็นกู้หว่านเยว่มีวิธีควบคุมเขา จึงเลิกล้มความคิดที่จะจากไปไหนไปโดยสิ้นเชิงในขณะเดียวกันก็มองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาที่งุนงงเป็นอย่างมากซูจิ่งสิงอธิบายว่า “นี่คือเมียของข้า นางมีทักษะทางการแพทย์”ซูจิ้งพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม สายตาปลื้มอกปลื้มใจนางหยางรีบบอกว่า “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ ตรงนี้มีข้าดูแลอยู่ก็พอแล้ว โดยเฉพาะหว่านเยว่ สองวันนี้เจ้าเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว เจ้าตั้งท้องอยู่ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ”จากการ “บอกความในใจ” ของอีกฝ่ายเมื่อครู่ นางเชื่อว่าซูจิ้งจะไม่จากไปไหนง่าย ๆ อีก“เช่นนั้นพวกข้าออกไปก่อนนะเจ้าคะ”กู้หว่านเยว่ดึงซูจิ่งสิงออกไปอย่างรู้กาลเทศะ ให้พื้นที่แก่นางหยางและซูจิ้งซูจื่อชิงมองเข้าไปในห้องด้วยความรู้สึกผิด “เมื่อครู่ ข้าพูดอะไรที่ทำให้ท่านพ่อเสียใจ ข้า...”เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน แค่คิดถึงบิดามากเหลือเกินในหลายปีที่ผ่านมากว่าจะได้พบกันไม่ง่ายเลย อีกฝ่ายยังต้องการจะจากไปอีก เขาจึงรู้สึกเครียดไปชั่วขณะ“อย่ากังวล ท่านพ่อหูหนวก ไม่ได้ยินสิ่งที่เจ้ากำลังพูด” ซูจิ่นเอ๋อร์ปลอบประโลมอย่างใจดี
“เถ้าแก่!”ชาวบ้านก้าวเข้ามาด้วยความตื่นเต้นดีใจ เขาอยากพูดคุยกับกู้หว่านเยว่มานานแล้ว“เถ้าแก่ ของข้าเป็นกระสอบทรายสำหรับให้ความอบอุ่น ก่อนอื่นให้อุ่นทรายก่อนแล้วค่อยบรรจุลงในกระเป๋า สามารถกันลมและต้านทานหนาวเย็นได้”ชาวบ้านอีกคนช่วยอธิบายเช่นกัน“ตกกลางคืน พวกข้านอนอยู่ในกองทรายร้อน ๆ ก็อบอุ่นแล้ว”กู้หว่านเยว่ถึงบางอ้อในทันที ฝ้ายของต้าฉียังไม่แพร่หลาย เจดีย์หนิงกู่ที่อยู่ห่างไกลและยากจนไม่มีปัญญาใช้เสื้อหนาวปุยฝ้ายและผ้าห่มนวมเลยไม่น่าแปลกใจที่ฤดูหนาวของทุกปีจะมีผู้คนหนาวตายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง สำหรับชาวนาชนชั้นล่าง ฤดูหนาวเปรียบเสมือนการฟันฝ่าภัยพิบัติ“ท่านพี่ ข้าต้องการปลูกฝ้าย เพื่อเผยแพร่เสื้อผ้าฝ้ายที่เราสวมใส่”กู้หว่านเยว่ทนเห็นชาวบ้านทนทุกข์จากความหนาวเย็นอีกต่อไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นฝ้ายยังสามารถทำให้ผู้คนร่ำรวยได้อีกด้วย“ฝ้ายเป็นของดี”ความหดหู่ใจเผยออกมาทางสีหน้าของซูจิ่งสิง“แต่ว่าเจดีย์หนิงกู่มีสภาพอากาศหนาวเย็นที่เลวร้าย จะปลูกรอดหรือ?”“เมล็ดฝ้ายที่ข้านำออกมาทั้งหมดล้วนได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้ว ทนต่อความหนาวเย็นและความแห้งแล้ง”กู้หว่านเยว่สังเกตเห
“ท่านพ่อ ไม่ต้องกลัว ข้าเตรียมยาไว้เรียบร้อยแล้ว”กู้หว่านเยว่ถือถ้วยยาหม้อมา แล้วอธิบายกับซูจิ้งด้วยกระดาษและพู่กัน ยาหม้อนี้สามารถทำให้คืนนี้เขาหมดสติไปอย่างสมบูรณ์ ไม่กลายเป็นมนุษย์หมาป่าอีกซูจิ้งไว้ใจกู้หว่านเยว่มาก ดื่มยารวดเดียวจนหมดเกลี้ยงหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หมดความรู้สึก สลบลงไปบนเตียง“พ่อของเจ้า เขา...” นางหยางกอดซูจิ้งไว้ด้วยความเป็นห่วงกู้หว่านเยว่อธิบาย “ท่านแม่ ท่านวางใจได้ ยาหม้อนี้จะไม่เป็นอันตรายกับใคร มันจะทำให้ท่านพ่อหลับสนิทเพียงชั่วคราวเท่านั้น พอพรุ่งนี้เช้าเขาก็จะตื่นเองตามธรรมชาติ”“ตกลง ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”นางหยางถอนหายใจด้วยความโล่งอก“คืนนี้ข้าจะนอนกับพ่อของพวกเจ้า จะได้ดูแลเขาได้สะดวก”“ท่านแม่ ท่านต้องระมัดระวังให้มาก”เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซูจิ่งสิงจึงหาเชือกป่านมาเส้นหนึ่งเพื่อมัดซูจิ้งไว้เช่นนี้แม้ว่าเขาจะตื่นขึ้นมา ก็จะทำร้ายนางหยางไม่ได้ทางด้านนี้ กู้หว่านเยว่ยังเร่งเข้าไปในมิติ เพื่อพัฒนายาถอนพิษหลังจากผ่านไปหนึ่งคืน นางก็ออกมาจากมิติด้วยความอ่อนล้า“หว่านเยว่ เรื่องยาถอนพิษอย่ารีบร้อนเกินไป” ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วด้วยความเจ็
“ทำไมพวกเจ้าไม่มัดข้าไว้ก่อนล่ะ เดี๋ยวข้าจะได้ไม่ทำให้พวกเจ้าบาดเจ็บ”ซูจิ้งหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนด้วยความลังเลนางหยางส่ายหัว “พี่ซาน ท่านจงเชื่อมั่นในตัวหว่านเยว่ หว่านเยว่ต้องรักษาท่านให้หายดีได้แน่นอน”กู้หว่านเยว่กลับบอกว่า “เพื่อความปลอดภัยเป็นสำคัญ ควรมัดท่านพ่อไว้ดีกว่า” ถึงอย่างไรหอแห่งโอสถก็ทำการวิจัยพัฒนายามนุษย์หมาป่าเป็นครั้งแรก นางยังกังวลเรื่องเหตุการณ์ไม่คาดฝันอยู่แม้ว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่กู้หว่านเยว่ก็เป็นคนที่รอบคอบ“ข้าทำเอง”ซูจิ่งสิงหยิบเชือกป่านมา แล้วมัดซูจิ้งไว้เหมือนเมื่อวานนางหยางกำหมัดแน่นอย่างไม่เป็นสุข ซูจิ่นเอ๋อร์และซูจื่อชิงก็หยิบเรื่องตลกระหว่างทางที่ถูกเนรเทศมาเล่าให้บรรยากาศผ่อนคลายลงกู้หว่านเยว่เห็นว่ายังมีเวลาอยู่ จึงกลับไปที่ห้องของตัวเองและเข้าไปในมิติเพื่อซื้อวัสดุสำหรับสร้างเรือนกระจกนางมียากล่อมประสาทอยู่ในมือ คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวข้างห้องอยู่ตลอดเวลาหยิบกระดาษออกมาอีกหนึ่งแผ่น เขียนวิธีการปลูกฝ้ายและพืชผักลงไปรอจนฝ้ายโตเต็มที่แล้ว นางยังจะสอนวิธีการทอผ้าและดีดฝ้ายให้เป็นปุยเพื่อกันหนาวให้กับกลุ่มคนงานด้วยหลังจากเข
การซ่อมแซมเส้นเสียงนั้นเป็นเรื่องยากลำบากมาก สิ่งที่ต้องตระเตรียมมีมากมาย กู้หว่านเยว่ยังไม่กล้าด่วนสรุปนางหยางรีบจับมือกู้หว่านเยว่ไว้ แต่กลับเช็ดน้ำตาพลางปลอบประโลมว่า “หว่านเยว่ พ่อของพวกเจ้าสามารถคลายจากพิษได้ แม่ก็พอใจแล้ว”นางรู้สึกสงสารกู้หว่านเยว่ที่ง่วนอยู่กับการล้างพิษตลอดสองวันที่ผ่านมา“ถ้าไม่มีความมั่นใจ ก็ไม่ต้องฝืน แม่ไม่อยากทำให้เจ้าต้องเหนื่อย”“ใช่แล้ว” ซูจิ่นเอ๋อร์มองกู้หว่านเยว่ด้วยความสงสาร “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านต้องนึกถึงการพักผ่อนด้วย ท่านกำลังตั้งครรภ์อยู่”นางยังหวังว่าบิดาจะฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ แต่เพื่อรักษากล่องเสียงของเขา จะทำให้พี่สะใภ้ใหญ่เหน็ดเหนื่อย เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ซูจื่อชิงยังกล่าวอีกว่า “ความจริงพวกเราก็ไม่ได้สื่อสารกันลำบากถึงเพียงนั้น รอจนการได้ยินของท่านพ่อฟื้นฟู การสื่อสารจะสะดวกขึ้นแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเอง”“หว่านเยว่ การดูแลสุขภาพของเจ้าเป็นสิ่งสำคัญ” ซูจิ่งสิงจับมือน้อยของกู้หว่านเยว่ไว้กู้หว่านเยว่รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ“พวกท่านวางใจได้ ข้าจะทำตามกำลังตัวเอง ถ้าทำไม่ได้ ข้าจะไม่ฝืนเด็ดขาด”เมื่อมีคำพูดนี้ของกู้ห
“วางเมล็ดพันธุ์และวัสดุไว้ภายในลาน ใช้หมดแล้วค่อยให้คนไปยกมา” ซูจิ่งสิงเอ่ยปากชี้แนะดวงตากู้หว่านเยว่ทอประกายระยับ ความเห็นนี้ของซูจิ่งสิงไม่เลว ลดปัญหาได้มาก“เวลาไม่คอยท่า พวกเราไปเดี๋ยวนี้เลย”“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไปกับพวกท่านด้วย” ซูจิ่นเอ๋อร์ไล่ตามมา“ข้าจะเข้าเมืองไปซื้อผ้าสองพับมาตัดชุดใหม่ให้ท่านพ่อ”วันนี้นางถักเปียสองข้าง สวมเสื้อคลุมสีแดงผิวพรรณขาวเปล่งปลั่งเพราะได้รับการดูแลจากยาเสริมความงามของกู้หว่านเยว่ คอยาวระหงส์คล้ายหงส์ขาวเย่อหยิ่งตัวหนึ่ง“เจ้าตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นตั้งแต่ยามใด?”“เรียนจากหรานหร่านเจ้าค่ะ พัฒนาการของข้ายอดเยี่ยมมากนะ”“พี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่พวกท่านยังเหม่ออันใดอยู่อีก รีบมาเร็วเข้าเถอะ”ซูจิ่นเอ๋อร์ปีนขึ้นรถม้าอย่างคล่องแคล่ว ร้องเรียกคนทั้งสอง ถือสายบังเหียนตั้งสมาธิขี่ม้ามาถึงเมืองตู้เปียนก็สายแล้ว กู้หว่านเยว่พาซูจิ่นเอ๋อร์ไปยังจวนฟู่หลานเหิง“เจ้าเข้าไปพบใต้เท้าฟู่ก่อน ข้าและพี่ใหญ่เจ้ามีธุระต้องจัดการ”ซูจิ่นเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “ข้าไม่มีวันไปพบเขา พี่สะใภ้ใหญ่ท่านพาข้าไปจวนจินเถอะ”อีกเดี๋ยวได้เจอตัวป่วนหยางหลิวอะไรนั่นอีก ก็กินอะไรไม่ลงแล้ว!
กู้หว่านเยว่หยิบน้ำเชื่อมออกมาขวดหนึ่งแล้วยื่นให้เขา พร้อมกับอธิบาย“ข้าและท่านพี่ได้ยินว่าท่านเกิดเรื่อง จึงเร่งเดินทางมาที่นี่ ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่?”หนานหยางอ๋องได้ยินดังนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจ ประสานมือคารวะทั้งสองคน“ขอบคุณท่านอ๋องและพระชายาที่ยังเป็นห่วงข้า”กู้หว่านเยว่เห็นเขามีสีหน้าอ่อนเพลีย จึงรีบเอ่ยขึ้น “รีบดื่มน้ำเชื่อมนี่เถิด จะช่วยให้ท่านฟื้นฟูกำลังได้”“ตกลง”หนานหยางอ๋องเปิดขวดน้ำเชื่อมอย่างเชื่อฟัง แล้วดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง ก็รู้สึกว่ามีเรี่ยวแรงขึ้นมาไม่น้อยเลยจริง ๆ จึงรีบดื่มน้ำเชื่อมที่เหลือจนหมดขวดในขณะที่หนานหยางอ๋องดื่มน้ำเชื่อมอยู่นั้น กู้หว่านเยว่ก็ไปดูชาวประมงคนอื่น ๆ พบว่าชาวประมงเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นลมเพราะความหิวชุนจวี๋รีบวิ่งเข้ามาดู แต่หลังจากที่ตามหาหนึ่งรอบแล้ว ก็ไม่พบสามีของนาง“พี่ต้าหนิว เหตุใดจึงไม่เห็นพี่ต้าหนิวเลยล่ะ?”ต้าหนิวเป็นคนกลุ่มแรกที่ตกลงไปในวังน้ำวน ตามหลักแล้ว เขาก็น่าจะอยู่ที่นี่ แต่เหตุใดจึงไม่พบเขาเลย?ชุนจวี๋ร้อนใจจนแทบบ้าเมื่อเห็นชาวประมงเหล่านี้ นางก็รู้สึกดีใจอย่างมาก คิดว่าในที่สุดก็ได้พบกับสามีของนางแล้ว แ
กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงตกตะลึงเล็กน้อย “เจ้ามาจับปลาคนเดียวหรือ เจ้ามีสามีด้วยมิใช่หรือ?”พูดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของชุนจวี๋ก็น้ำตาคลอ“เขาหายตัวไปสามวันแล้ว เมื่อคืนข้าแอบออกมาตามหาเขา”ชุนจวี๋พูดพลางร้องไห้ “คนอื่นบอกว่าเขาตายแล้ว แต่ข้าไม่เชื่อข้าแอบพายเรือลำเล็กมาที่ใจกลางทะเลสาบคนเดียว แล้วก็รู้สึกได้ถึงแรงดูดมหาศาลกำลังดึงข้าอยู่ ข้ายังไม่ทันได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ถูกดึงลงไปพร้อมกับเรือ”นางเงยหน้าขึ้น “พอข้าตื่นขึ้นมา ก็เห็นพวกท่านทั้งสองยืนอยู่ตรงหน้าข้า”ชุนจวี๋นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบมองไปรอบ ๆ “สามีของข้าอาจจะตกลงมาด้วย พวกท่านเห็นเขาแถวนี้บ้างหรือไม่?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า “พวกเราเห็นแค่เจ้าคนเดียว”ชุนจวี๋หัวใจสลายในทันที“แต่พื้นที่ข้างล่างนี้กว้างมาก น่าจะเป็นสุสานใต้ดิน พวกเราลองหาทางเข้าสุสานใต้ดินดู พวกเขาลงมานานแล้ว อาจจะเข้าไปในสุสานใต้ดินนานแล้วก็ได้”กู้หว่านเยว่อธิบาย เมื่อครู่นางให้ระบบส่งแผนที่ของสุสานใต้ดินมาให้นางแล้ว“ข้าจะไปหาพร้อมกับพวกท่าน”น้ำเสียงที่ไม่ลังเลแม้แต่น้อยของชุนจวี๋ ทำให้กู้หว่านเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย“เจ้าไม่กลัวหรือ? ในส
“อืม”เขาตัดสินใจกัดฟันถอดเสื้อผ้าออก แต่พอถอดถึงกางเกง กู้หว่านเยว่ก็หันหน้าหนี ทำให้ซูจิ่งสิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาเปลี่ยนเป็นกางเกงสะอาดตัวใหม่ ไม่ได้ใส่เสื้อ รอให้กู้หว่านเยว่ทายาให้“ผู้ชายอย่างท่านนี่ เหตุใดทั้งตัวมีแต่กล้ามเนื้อแบบนี้ล่ะ?”กู้หว่านเยว่ทนไม่ไหว จึงลูบกล้ามท้องของเขา ทำเอาชายหนุ่มตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันทีถ้าเขาเดาไม่ผิด ที่นี่น่าจะเป็นห้องนอนในมิติของกู้หว่านเยว่สินะทั้งห้องเป็นสีชมพู มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของหญิงสาวอบอวลอยู่เมื่อได้กลิ่นหอมนั้น มองไปที่เตียงใหญ่ซึ่งอยู่ด้านหลังกู้หว่านเยว่ ใบหูของเขาก็ร้อนผ่าวกู้หว่านเยว่หัวเราะชอบใจ ถ้าไม่นึกถึงภารกิจสำคัญที่จะต้องทำเดี๋ยวนี้ นางต้องลากท่านพี่มากลิ้งบนเตียงสักหน่อยหลังจากฆ่าเชื้อโรคที่บาดแผลอย่างง่าย ๆ และโรยยาจินชวงสมานแผลแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก“น่าจะเรียบร้อยแล้ว โชคดีที่แผลนี้ไม่ลึกมาก แค่ช่วงสองสามวันนี้ระวังอย่าให้โดนน้ำก็พอ”“ขอบคุณน้องหญิง”ซูจิ่งสิงใส่เสื้อ กู้หว่านเยว่รู้สึกเสียดายเล็กน้อย มองไม่เห็นกล้ามท้องแล้วรอจนกระทั่งซูจิ่งสิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ กู้หว่านเยว่ก็เอ่
“หากถูกดูดเข้าไปในวังน้ำวน ยังมีโอกาสรอดชีวิตหรือไม่?”เมี่ยชิงหว่านเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน พอเห็นกู้หว่านเยว่ส่ายหน้า นางก็ทรุดตัวลงกับพื้น ดวงตาแดงก่ำกู้หว่านเยว่ดึงซูจิ่งสิงไปด้านข้าง จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย “ท่านพี่ ใต้วังน้ำวนนั่นอาจจะมีของบางอย่าง”เมื่อครู่ระบบบอกกับนางว่า ใต้วังน้ำวนอาจจะมีสมบัติอยู่กู้หว่านเยว่รู้สึกคันไม้คันมืออีกแล้ว“ข้าตั้งใจว่าจะไปดู ถ้าเห็นชาวประมงที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็จะพากลับมา”ซูจิ่งสิงเห็นดวงตาของนางเป็นประกาย ก็รู้ว่านางอยากไปมาก ในเมื่อน้องหญิงอยากไป เขาก็จะไม่ห้ามแน่นอน“เราสองคนไปด้วยกัน”“ก็ได้”อย่างมากก็หากเจออันตราย ก็จะลากซูจิ่งสิงเข้าไปหลบในมิติด้วยกันเมื่อตัดสินใจได้แล้ว กู้หว่านเยว่ก็หันไปบอกทุกคน“พวกเจ้ารอคำสั่งอยู่บนเรือใหญ่ หากไม่มีคำสั่งจากข้า ห้ามใครพายเรือเด็ดขาด ข้าและท่านอ๋องจะนั่งเรือเล็กไปสำรวจที่ใจกลางทะเลสาบก่อน”คนที่นำมาล้วนเป็นองครักษ์จันทรา ไม่กลัวว่าพวกเขาจะไม่เชื่อฟังชิงเหลียนและฉู่เฟิงรีบไปที่ท้ายเรือ จากนั้นค่อย ๆ วางเรือลำเล็กไว้บนผิวน้ำ“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านต้องระวังตัวด้วย” ชิง
“นี่คือเรือใหญ่ของหมู่บ้านเรา สามารถจุคนได้มากกว่ายี่สิบคน ด้านท้ายเรือยังมีเรือเล็กอีกสองลำ เพื่อความสะดวกในการให้คนลงไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ”ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านแนะนำ กู้หว่านเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เหยียบบันไดขึ้นไปบนเรือใหญ่ทันที“หว่านเยว่!”แววตาของซูจิ่งสิงทั้งเอ็นดูและจนปัญญา“เจ้าห้ามไปที่ทะเลสาบ ตกลงกันแล้ว”“เราเป็นสามีภรรยากัน”กู้หว่านเยว่กะพริบตา กล่าวอย่างซุกซน“หากมีอันตราย ก็จะได้ตายไปพร้อมกัน”ซูจิ่งสิง ...ระหว่างพูด กู้หว่านเยว่ก็ขึ้นไปบนเรือแล้ว พร้อมกับเรียกให้ทุกคนขึ้นมา ซูจิ่งสิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พลางเหาะขึ้นไปบนเรือ แล้วโอบเอวนางไว้“ชิงหว่าน”สายตาของเผยเสวียนฉายแววไม่เห็นด้วย ทำให้เมี่ยชิงหว่านโกรธมาก“คนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรคือท่านพ่อของข้า หากท่านรักตัวกลัวตายก็ไม่ต้องไป แต่ข้าต้องไปให้ได้”พูดจบก็สะบัดมือเขาออกแล้วก้าวขึ้นเรือไปเผยเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นตามไปด้วยสีหน้ามืดมนเนื่องจากมาตรวจสอบหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ซูจิ่งสิงจึงนำองครักษ์ที่พายเรือเป็นมาล่วงหน้า หลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือแล้ว ซูจิ่งสิงก็สั่งให้องครักษ์พายเ
“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งชิงโบกมือให้ลุก เขามีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่ต้องมากพิธีเขาเปิดเรื่องถามทันที “ทะเลสาบที่เกิดเรื่องอยู่ไหน?”“ด้านหลังหมู่บ้าน เชิญท่านอ๋องตามข้าน้อยมา”ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีใครสนใจ คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเดินทางมาด้วยตัวเองจากปากทางหมู่บ้านไปถึงทะเลสาบยังห่างไปอีกช่วงหนึ่ง กู้หว่านเยว่จึงถือโอกาสถามทันทีว่า“ผู้ใหญ่บ้าน ท่านช่วยเล่าเหตุการณ์ให้เราฟังหน่อยเจ้าค่ะ”ผู้ใหญ่บ้านสังเกตเห็นว่าข้างกายของท่านอ๋องนั้นยังมีสตรีหน้าตางดงามอีกหนึ่งคนตั้งแต่ที่ท่านอ๋องจูงมือของนาง แสดงท่าทางปกป้องมากเป็นพิเศษ ผู้ใหญ่บ้านพอจะเดาสถานะของกู้หว่านเยว่ได้ครั้นเห็นนางเอ่ยปากถาม จึงรีบกล่าวทันที“รายงานพระชายา ทะเลสาบแห่งนี้ชื่อว่าทะเลสาบโก่วสยง”เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบ ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างตกปลาเลี้ยงชีพจากทะเลสาบแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อน กลับเกิดพายุครั้งใหญ่เกิดฟ้าผ่าสายหนึ่งกลางทะเลสาบโก่วสยงแห่งนี้“ยามนั้นเรียกได้ว่าแผ่นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง จนชาวบ้านต้องพากันออกมาดูสถานการณ์ ผลปรากฏว
“ว่ามา”“เช้าตรู่วันนี้ หมู่บ้านชาวประมงมีชาวประมงสูญหายอีกสองคน หนานหยางอ๋องทรงรับสั่งให้รุดหน้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่าหลังจากที่มาถึงกลางทะเลสาบ เรือและคนก็ล้วนหายไปพร้อมกันขอรับ”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป “หนานหยางอ๋องไปที่นั่นได้อย่างไร?”“พระชายาทรงยังไม่ทราบ เดิมทีหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นเป็นที่ตั้งหลักของกองทัพทหารหนานหยางอ๋อง”ฉู่เฟิงกล่าวอธิบาย คิ้วของกู้หว่านเยว่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม“ท่านพี่ เรารีบไปดูกันเถอะ”ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกเดินทาง คาดไม่ถึงว่าหนานหยางอ๋องจะเกิดเรื่องเช่นนี้ก่อน ดังนั้นแผนการเดิมคือการสำรวจหมู่บ้านชาวประมงอย่างช้า ๆ หากหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นอันตรายมากจริง ๆ ก็ต้องล้อมทะเลสาบนั้นไว้ ห้ามใครเข้าไปเด็ดขาดแต่ตอนนี้หนานหยางอ๋องดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เรื่องราวกลับเลวร้ายมากขึ้นทุกที“เราต้องไปดูก่อน ฉู่เฟิงเจ้ามาบังคับม้า เร่งความเร็วกว่านี้”ฉู่เฟิงพยักหน้า ทันทีที่กระโดดขึ้นรถม้าก็เห็นรถม้าอีกคันไล่ตามมา“พี่หญิงหว่านเยว่!”เมี่ยชิงหว่านเปิดม่านหน้าต่างรถม้า ก่อนจะชะโงกหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาออกมา“ท่านพ่อเกิดเรื่องแล้ว
เช้าวันที่สอง ในที่สุดซูจื่อชิงก็ลืมตาหลังจากเมาค้างมาหนึ่งคืนเต็ม อาการปวดหัวของเขาได้ทวีความรุนแรงขึ้น วินาทีต่อจากนั้นรูม่านตาของเขาก็หดลงฉับพลัน“ชิวจู๋ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” อีกฝ่ายนอนอยู่บนเตียงของเขา อีกทั้งบนตัวของนางก็สวมใส่เพียงเสื้อเอี๊ยมชิ้นเดียวซูจื่อชิงกระโดดลงจากเตียงทันที จากนั้นก็มองไปยังเสื้อผ้าที่ร่วงอยู่บนพื้นด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “เมื่อคืนคุณชายรองคิดว่าข้าเป็นผู้อื่น จึงถอดเสื้อผ้าของข้า...”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของซูจื่อชิงซีดเผือดลง เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายพูดเป็นนัยอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่เวลานี้อาการปวดหัวของเขาทวีคูณมากขึ้น เขาไม่มีความภาพความประทับใจของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย เขาคิดไม่ออกว่าตัวเองทำอะไรชิวจู๋หรือไม่“เราสองคนทำอะไรกันแน่?”เขาไม่อยากเชื่อ เขาไม่เคยนึกชอบชิวจู๋“เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายรองยังอยากจะให้ข้าพูดออกมาอีกอย่างนั้นหรือ แล้วข้ายังจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้อย่างไรเจ้าคะ?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ น้
ซูจิ่งสิงไม่เห็นด้วย ประเด็นหลักเพราะเขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บเพราะจากคำให้การของชาวบ้านเหล่านั้น ฟังดูแล้วทะเลสาบแห่งนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก บางคนก็บอกว่ามีปีศาจอยู่ในทะเลสาบแห่งนั้น คนที่ดำลงไปสำรวจใต้น้ำก่อนหน้านั้นต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย“ไม่ได้ ในเมื่อเป็นสถานที่อันตราย ข้าก็ยิ่งต้องไปกับท่าน มิเช่นนั้นหากท่านตกอยู่ในอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทำให้ซูจิ่งสิงจนปัญญา เดิมทีเขาอยากมาบอกกล่าวภรรยาของตัวเองก่อนออกเดินทางสักคำ คิดไม่ถึงว่าภรรยาของตนจะขอไปกับเขาด้วยเมื่อเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่าต่อให้ตัวเองโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้แค่พยักหน้าอย่างจำใจ“ก็ได้ เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกัน แต่เจ้าต้องรับปากข้าก่อน ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามกระโดดลงจากเรือไปสำรวจในทะเลสาบเพียงลำพังเด็ดขาด”“ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่รับปากวันนี้รับปาก พรุ่งนี้กลับคำเนื่องจากสองสามีภรรยาคู่นี้จะต้องออกเดินทางไปสำรวจทะเลสาบแห่งนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นคืนนี้ทั้งสองคนจึงไม่อยู่รอให้ซูจื่อชิงฟื้นอยู่ในจวน แต่