“เถ้าแก่!”ชาวบ้านก้าวเข้ามาด้วยความตื่นเต้นดีใจ เขาอยากพูดคุยกับกู้หว่านเยว่มานานแล้ว“เถ้าแก่ ของข้าเป็นกระสอบทรายสำหรับให้ความอบอุ่น ก่อนอื่นให้อุ่นทรายก่อนแล้วค่อยบรรจุลงในกระเป๋า สามารถกันลมและต้านทานหนาวเย็นได้”ชาวบ้านอีกคนช่วยอธิบายเช่นกัน“ตกกลางคืน พวกข้านอนอยู่ในกองทรายร้อน ๆ ก็อบอุ่นแล้ว”กู้หว่านเยว่ถึงบางอ้อในทันที ฝ้ายของต้าฉียังไม่แพร่หลาย เจดีย์หนิงกู่ที่อยู่ห่างไกลและยากจนไม่มีปัญญาใช้เสื้อหนาวปุยฝ้ายและผ้าห่มนวมเลยไม่น่าแปลกใจที่ฤดูหนาวของทุกปีจะมีผู้คนหนาวตายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง สำหรับชาวนาชนชั้นล่าง ฤดูหนาวเปรียบเสมือนการฟันฝ่าภัยพิบัติ“ท่านพี่ ข้าต้องการปลูกฝ้าย เพื่อเผยแพร่เสื้อผ้าฝ้ายที่เราสวมใส่”กู้หว่านเยว่ทนเห็นชาวบ้านทนทุกข์จากความหนาวเย็นอีกต่อไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นฝ้ายยังสามารถทำให้ผู้คนร่ำรวยได้อีกด้วย“ฝ้ายเป็นของดี”ความหดหู่ใจเผยออกมาทางสีหน้าของซูจิ่งสิง“แต่ว่าเจดีย์หนิงกู่มีสภาพอากาศหนาวเย็นที่เลวร้าย จะปลูกรอดหรือ?”“เมล็ดฝ้ายที่ข้านำออกมาทั้งหมดล้วนได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้ว ทนต่อความหนาวเย็นและความแห้งแล้ง”กู้หว่านเยว่สังเกตเห
“ท่านพ่อ ไม่ต้องกลัว ข้าเตรียมยาไว้เรียบร้อยแล้ว”กู้หว่านเยว่ถือถ้วยยาหม้อมา แล้วอธิบายกับซูจิ้งด้วยกระดาษและพู่กัน ยาหม้อนี้สามารถทำให้คืนนี้เขาหมดสติไปอย่างสมบูรณ์ ไม่กลายเป็นมนุษย์หมาป่าอีกซูจิ้งไว้ใจกู้หว่านเยว่มาก ดื่มยารวดเดียวจนหมดเกลี้ยงหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หมดความรู้สึก สลบลงไปบนเตียง“พ่อของเจ้า เขา...” นางหยางกอดซูจิ้งไว้ด้วยความเป็นห่วงกู้หว่านเยว่อธิบาย “ท่านแม่ ท่านวางใจได้ ยาหม้อนี้จะไม่เป็นอันตรายกับใคร มันจะทำให้ท่านพ่อหลับสนิทเพียงชั่วคราวเท่านั้น พอพรุ่งนี้เช้าเขาก็จะตื่นเองตามธรรมชาติ”“ตกลง ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”นางหยางถอนหายใจด้วยความโล่งอก“คืนนี้ข้าจะนอนกับพ่อของพวกเจ้า จะได้ดูแลเขาได้สะดวก”“ท่านแม่ ท่านต้องระมัดระวังให้มาก”เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซูจิ่งสิงจึงหาเชือกป่านมาเส้นหนึ่งเพื่อมัดซูจิ้งไว้เช่นนี้แม้ว่าเขาจะตื่นขึ้นมา ก็จะทำร้ายนางหยางไม่ได้ทางด้านนี้ กู้หว่านเยว่ยังเร่งเข้าไปในมิติ เพื่อพัฒนายาถอนพิษหลังจากผ่านไปหนึ่งคืน นางก็ออกมาจากมิติด้วยความอ่อนล้า“หว่านเยว่ เรื่องยาถอนพิษอย่ารีบร้อนเกินไป” ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วด้วยความเจ็
“ทำไมพวกเจ้าไม่มัดข้าไว้ก่อนล่ะ เดี๋ยวข้าจะได้ไม่ทำให้พวกเจ้าบาดเจ็บ”ซูจิ้งหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนด้วยความลังเลนางหยางส่ายหัว “พี่ซาน ท่านจงเชื่อมั่นในตัวหว่านเยว่ หว่านเยว่ต้องรักษาท่านให้หายดีได้แน่นอน”กู้หว่านเยว่กลับบอกว่า “เพื่อความปลอดภัยเป็นสำคัญ ควรมัดท่านพ่อไว้ดีกว่า” ถึงอย่างไรหอแห่งโอสถก็ทำการวิจัยพัฒนายามนุษย์หมาป่าเป็นครั้งแรก นางยังกังวลเรื่องเหตุการณ์ไม่คาดฝันอยู่แม้ว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่กู้หว่านเยว่ก็เป็นคนที่รอบคอบ“ข้าทำเอง”ซูจิ่งสิงหยิบเชือกป่านมา แล้วมัดซูจิ้งไว้เหมือนเมื่อวานนางหยางกำหมัดแน่นอย่างไม่เป็นสุข ซูจิ่นเอ๋อร์และซูจื่อชิงก็หยิบเรื่องตลกระหว่างทางที่ถูกเนรเทศมาเล่าให้บรรยากาศผ่อนคลายลงกู้หว่านเยว่เห็นว่ายังมีเวลาอยู่ จึงกลับไปที่ห้องของตัวเองและเข้าไปในมิติเพื่อซื้อวัสดุสำหรับสร้างเรือนกระจกนางมียากล่อมประสาทอยู่ในมือ คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวข้างห้องอยู่ตลอดเวลาหยิบกระดาษออกมาอีกหนึ่งแผ่น เขียนวิธีการปลูกฝ้ายและพืชผักลงไปรอจนฝ้ายโตเต็มที่แล้ว นางยังจะสอนวิธีการทอผ้าและดีดฝ้ายให้เป็นปุยเพื่อกันหนาวให้กับกลุ่มคนงานด้วยหลังจากเข
การซ่อมแซมเส้นเสียงนั้นเป็นเรื่องยากลำบากมาก สิ่งที่ต้องตระเตรียมมีมากมาย กู้หว่านเยว่ยังไม่กล้าด่วนสรุปนางหยางรีบจับมือกู้หว่านเยว่ไว้ แต่กลับเช็ดน้ำตาพลางปลอบประโลมว่า “หว่านเยว่ พ่อของพวกเจ้าสามารถคลายจากพิษได้ แม่ก็พอใจแล้ว”นางรู้สึกสงสารกู้หว่านเยว่ที่ง่วนอยู่กับการล้างพิษตลอดสองวันที่ผ่านมา“ถ้าไม่มีความมั่นใจ ก็ไม่ต้องฝืน แม่ไม่อยากทำให้เจ้าต้องเหนื่อย”“ใช่แล้ว” ซูจิ่นเอ๋อร์มองกู้หว่านเยว่ด้วยความสงสาร “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านต้องนึกถึงการพักผ่อนด้วย ท่านกำลังตั้งครรภ์อยู่”นางยังหวังว่าบิดาจะฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ แต่เพื่อรักษากล่องเสียงของเขา จะทำให้พี่สะใภ้ใหญ่เหน็ดเหนื่อย เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ซูจื่อชิงยังกล่าวอีกว่า “ความจริงพวกเราก็ไม่ได้สื่อสารกันลำบากถึงเพียงนั้น รอจนการได้ยินของท่านพ่อฟื้นฟู การสื่อสารจะสะดวกขึ้นแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเอง”“หว่านเยว่ การดูแลสุขภาพของเจ้าเป็นสิ่งสำคัญ” ซูจิ่งสิงจับมือน้อยของกู้หว่านเยว่ไว้กู้หว่านเยว่รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ“พวกท่านวางใจได้ ข้าจะทำตามกำลังตัวเอง ถ้าทำไม่ได้ ข้าจะไม่ฝืนเด็ดขาด”เมื่อมีคำพูดนี้ของกู้ห
“วางเมล็ดพันธุ์และวัสดุไว้ภายในลาน ใช้หมดแล้วค่อยให้คนไปยกมา” ซูจิ่งสิงเอ่ยปากชี้แนะดวงตากู้หว่านเยว่ทอประกายระยับ ความเห็นนี้ของซูจิ่งสิงไม่เลว ลดปัญหาได้มาก“เวลาไม่คอยท่า พวกเราไปเดี๋ยวนี้เลย”“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไปกับพวกท่านด้วย” ซูจิ่นเอ๋อร์ไล่ตามมา“ข้าจะเข้าเมืองไปซื้อผ้าสองพับมาตัดชุดใหม่ให้ท่านพ่อ”วันนี้นางถักเปียสองข้าง สวมเสื้อคลุมสีแดงผิวพรรณขาวเปล่งปลั่งเพราะได้รับการดูแลจากยาเสริมความงามของกู้หว่านเยว่ คอยาวระหงส์คล้ายหงส์ขาวเย่อหยิ่งตัวหนึ่ง“เจ้าตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นตั้งแต่ยามใด?”“เรียนจากหรานหร่านเจ้าค่ะ พัฒนาการของข้ายอดเยี่ยมมากนะ”“พี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่พวกท่านยังเหม่ออันใดอยู่อีก รีบมาเร็วเข้าเถอะ”ซูจิ่นเอ๋อร์ปีนขึ้นรถม้าอย่างคล่องแคล่ว ร้องเรียกคนทั้งสอง ถือสายบังเหียนตั้งสมาธิขี่ม้ามาถึงเมืองตู้เปียนก็สายแล้ว กู้หว่านเยว่พาซูจิ่นเอ๋อร์ไปยังจวนฟู่หลานเหิง“เจ้าเข้าไปพบใต้เท้าฟู่ก่อน ข้าและพี่ใหญ่เจ้ามีธุระต้องจัดการ”ซูจิ่นเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “ข้าไม่มีวันไปพบเขา พี่สะใภ้ใหญ่ท่านพาข้าไปจวนจินเถอะ”อีกเดี๋ยวได้เจอตัวป่วนหยางหลิวอะไรนั่นอีก ก็กินอะไรไม่ลงแล้ว!
ฟู่หลานเหิงจับมือนางไว้อย่างแรง จุมพิตเร่าร้อนเจือกลิ่นอายสุราประกบกลีบปากนางฟู่หลานเหิงตระกองกอดซูจิ่นเอ๋อร์ บดเบียดกลีบปากแดงของนาง หางตากลับแดงก่ำ ภายใต้อาภรณ์สีครามคือความปรารถนาอันแรงกล้าซูจิ่นเอ๋อร์ลืมตาโตนี่ใต้เท้าฟู่กำลังจุมพิตนางหรือ?กลีบปากใต้เท้าฟู่เย็นมาก นุ่มมาก...ไม่ถูกๆ ซูจิ่นเอ๋อร์ นี่เจ้ากำลังคิดอันใด?หลังมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ซูจิ่นเอ๋อร์ใช้สองมือดิ้นหนีออกมา จากนั้นหยิบน้ำชาบนโต๊ะเสียงซ่าดังขึ้น สาดน้ำชาทั้งหมดใส่หน้าฟู่หลานเหิง“ใต้เท้าฟู่ ท่านตั้งสติหน่อย!” ซูจิ่นเอ๋อร์ร้องตะโกนอย่างมีโทสะฟู่หลานเหิงถูกน้ำชาสาดใส่จนได้สติ สายตาแจ่มชัดขึ้นเล็กน้อย สีหน้าอับอายจนกลายเป็นโกรธของซูจิ่นเอ๋อร์สะท้อนอยู่ภายในแววตาเขารู้สึกผิดขึ้นมาในทันใด“แม่นางจิ่น ข้ามิได้...”“ท่านหุบปาก ข้าจะออกไปเรียกบ่าวรับใช้เดี๋ยวนี้เลย!”ซูจิ่นเอ๋อร์โยนถ้วยชาไปที่อีกฝั่ง รีบเปิดประตูออกไป ฝีเท้าสะเปะสะปะอยู่บ้างไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดบ่าวรับใช้จึงถูกคนเรียกไปในตอนนี้ ซูจิ่นเอ๋อร์ตะโกนอยู่หลายครั้งถึงมีคนมาเห็นสภาพของห้องอุ่นแล้ว ทันใดนั้นตกใจจนวิญญาณหลุดลอยรีบไปเตรียมน้ำเย็น
ซูจิ่งสิงจับจ้องคนชุดดำทั้งห้า ฝ่ามือกลายเป็นกรงเล็บคว้าคอคนอยู่ใกล้ที่สุดไว้แล้วคนชุดดำรีบดึงผ้าปิดหน้าลง “นายท่าน ข้าเอง! ข้าคือฮั่นจิ่ว”อีกสี่คนที่เหลือเองก็ดึงผ้าปิดหน้าลง คุกเข่าตรงหน้าซูจิ่งสิง“ฮั่นจิ่ว เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่?” สายตาซูจิ่งสิงทอดมองอีกสี่คนทางด้านหลังห้าคนนี้ล้วนเคยติดตามอยู่ด้านหลังเขา ผู้อยู่ใต้อาณัติที่ซื่อสัตย์ภักดีประกอบด้วยฮั่นจิ่ว ลู่จิง เจียงเฟิ่ง ชิงเหลียน หงเจาก่อนซูจิ่งสิงกลับเมืองหลวงก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวผิดปกติของฮ่องเต้ชั่ว เพื่อป้องกันมิให้พวกเขาต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย มอบเงินก้อนหนึ่งให้พวกเขาที่ชายแดน ให้พวกเขาแยกย้ายจากไปฮั่นจิ่วและคนอื่นสบตากันแวบหนึ่ง รีบเอ่ยต่อ “หลังข้าและคนอื่นจากไปแล้วก็ได้ยินเรื่องนายท่านกลับเมืองหลวงและถูกฮ่องเต้ยึดทรัพย์เนรเทศ จึงออกตามหาจากเมืองหลวง จนมาถึงเมืองตู้เปียน”วันนี้พวกเขากำลังดื่มชาในร้านชา สืบเบาะแสของซูจิ่งสิง ปรากฏว่าบังเอิญเห็นซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เดินออกจากเรือนทั้งห้ารีบไล่ตามมา วางแผนปรากฏตัวในที่ห่างไกลแห่งหนึ่งคิดไม่ถึงซูจิ่งสิงวิชายุทธ์แข็งแกร่งเหนือชั้น ขณะพวกเขาไล่ตามก็สั
ทั้งสองคนไปตลาดหาซื้อของกินเล็กน้อย จากนั้นกลับไปยังจวนฟู่ปรากฏว่ายังไม่ผ่านเข้าประตูก็มองเห็นความชุลมุนวุ่นวายภายในจวนฟู่ เสียงเอะอะเอ็ดตะโรดังสนั่น ยังได้ยินเสียงร้องโอดครวญอีกด้วย“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”กู้หว่านเยว่กังวลความปลอดภัยของซูจิ่นเอ๋อร์ รีบตามบ่าวรับใช้เข้าประตู หลังเข้ามาแล้วถึงมองเห็นหยางหลิวถูกจับตัวไว้ในลานบ้าน ส่วนอาจารย์หูกำลังถูกตี“นี่โวยวายอันใดกันเล่า?”“พี่สะใภ้ใหญ่ พี่ใหญ่!” ซูจิ่นเอ๋อร์ปรี่ถลาเข้ามา จับคนทั้งสองไว้สีหน้าหวาดกลัว“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” กู้หว่านเยว่เช็ดเหงื่อแทนซูจิ่นเอ๋อร์ซูจิ่นเอ๋อร์รีบเอ่ยตอบ “หยางหลิวคนนี้มิใช่คนดี นางถึงขั้นวางยาใต้เท้าฟู่! ยังดีข้ามาทันเวลา หาไม่แล้วก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอันใดขึ้น!”ที่แท้หลังฟู่หลานเหิงเกิดความคิดส่งหยางหลิวจากไป หยางหลิวก็กระวนกระวายทุกคืนวัน สรุปว่าติดสินบนอาจารย์หู ทั้งสองคนร่วมมือกัน วางแผนวางยาฟู่หลานเหิงหุงข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุก [1]คนภายในห้องหนังสือวันนี้ล้วนถูกอาจารย์หูเรียกตัวไปกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงฟังจบ ทั้งสองคนล้วนมองเห็นความตกตะลึงภายในสายตาของอีกฝ่ายก่อนนี้คิดว่าหยางหลิวเป็น
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคิดจะสั่งอาหารตามรายการเมนู ปรากฏว่าครู่ต่อมา เจียงหรงก็เดินเข้ามาจากด้านนอก“ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ”นางทำความเคารพทั้งสองคนกู้หว่านเยว่รู้สึกประหลาดใจ “พวกเราสองคนแต่งกายปลอมตัวมา เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเราจะมา?”นางประคองเจียงหรงให้รีบลุกขึ้น เจียงหรงยิ้มอย่างขัดเขิน “เสี่ยวเอ้อร์ที่รับรองพวกท่านเข้ามารายงาน บอกว่ามีแขกสองท่านที่ท่าทางไม่ธรรมดามาถึงเพคะ หม่อมฉันจึงลองซักถามไปสองสามคำ ก็เดาได้ว่าเป็นฝ่าบาทและฮองเฮาเสด็จมาเพคะ”“ฉลาดจริง ๆ ”กู้หว่านเยว่กล่าวชื่นชมสมแล้วที่เป็นยอดภรรยาผู้มากความสามารถของท่านราชเลขาธิการ“ข้าและฝ่าบาทแต่งกายปลอมตัวออกมา ได้ยินว่าเจ้าเปิดร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมือง จึงตั้งใจมาลองชิมดูว่ารสชาติอาหารเสฉวนของที่นี่เป็นต้นตำรับหรือไม่ ทำตัวตามสบายเถอะ อย่าให้ฐานะของพวกเรารั่วไหลออกไป ปฏิบัติต่อเราเหมือนแขกธรรมดาทั่วไปก็พอแล้ว”เจียงหรงพยักหน้า “นายท่าน ฮูหยิน วางใจเถิดเพคะ”นางสังเกตสีหน้าของทั้งสองคน “หากนายท่านและฮูหยินต้องการจะลองอาหารเสฉวน ลองชิมสักสองสามอย่างนี้ดูเพคะ ต้มเลือดเป็ดผ้าขี้ริ้ว ไก่ทอดผัดพริกเสฉวน
ตอนนั้นเถ้าแก่ให้นางพักอยู่ในคอกม้า ลูกของนางยังตัวร้อนเป็นไข้สูงกู้หว่านเยว่จำได้ว่ารูปร่างหน้าตาของนางดูไม่เหมือนชาวต้าฉีหญิงสาวผู้นี้เป็นใครกันแน่?“หงเจา” หากเป็นพวกต้มตุ๋นหากินทั่วไป กู้หว่านเยว่ไม่เพียงแต่จะไม่ให้เงิน แต่ยังจะสั่งสอนบทเรียนให้ชุดใหญ่ แต่เวลานี้นางเปลี่ยนใจแล้ว โบกมือเรียกหงเจาให้เข้ามา“ฮูหยิน อย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ บ่าวจะรีบจัดการเดี๋ยวนี้”หงเจาถึงกับถกแขนเสื้อขึ้นแล้ว ตั้งใจจะไปโต้เถียงกับหญิงสาวผู้นั้นกู้หว่านเยว่เอ่ยขึ้นเบา ๆ “หยิบเศษเงินมาสักก้อน แล้วยื่นให้หญิงสาวผู้นั้น”“ฮูหยินเจ้าคะ?”“เร็วเข้า ทำตามที่ข้าบอกเถอะ”กู้หว่านเยว่ปล่อยม่านรถม้าลง ไม่ให้หญิงสาวผู้นั้นได้เห็นหน้าตาของนางแต่หญิงสาวผู้นั้นคงจะรู้สึกผิดอยู่ในใจ จึงยังคงหลับตาแน่น และไม่กล้ามองสอดส่ายไปยังบนรถม้า“เฮ้อ ฮูหยินช่างใจบุญเสียจริง”หงเจาถอนหายใจ ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงทำเช่นนี้ แต่คำสั่งของฮูหยิน นางย่อมต้องฟัง ดังนั้นจึงหยุดโต้เถียงในทันที รีบล้วงหยิบเศษเงินหนึ่งตำลึงออกมาจากกระเป๋าแขนเสื้อ แล้วโยนให้หญิงสาวผู้นั้น“เร็วเข้า ๆ ๆ เงินนี่ให้เจ้าแล้ว เอ
อวิ๋นมู่รับยาน้ำมาด้วยสองมือเขาร่างกายอ่อนแอแต่กำเนิด ร่างกายจึงเปราะบางอ่อนแอกว่าคนทั่วไป เคยมีหมอวินิจฉัยว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบห้าปีภายใต้การดูแลรักษาของกู้หว่านเยว่ สุขภาพของเขาก็ดีวันดีคืนอย่างเห็นได้ชัด“ฮองเฮา ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”สายตาของอวิ๋นมู่ฉายแววซาบซึ้งกู้หว่านเยว่มิใช่เป็นเพียงคนที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนเทพธิดาที่เขาเทิดทูนบูชาอยู่ในใจเขาคือสาวกผู้ภักดีของนาง“เรื่องดินปืน เจ้าจงฟังคำสั่งจากเกาเจี้ยน แม่ทัพใหญ่ในการโจมตีหนานเจียงครั้งนี้คือเขา”“เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”อวิ๋นมู่พยักหน้า เขากับเกาเจี้ยนสนิทสนมกันเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ดังนั้นการสื่อสารย่อมไม่มีอุปสรรคหลังจากปรึกษาหารือเรื่องดินปืนเสร็จแล้ว ทั้งสองก็ออกจากสกุลอวิ๋น ขึ้นรถม้าไปยังร้านอาหารที่เจียงหรงเปิดเพื่อรับประทานอาหาร“ปึง!”ทันใดนั้นก็มีเสียงกระแทกดังมาจากด้านหน้ารถม้ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงกำลังพูดคุยกันอยู่ ก็พากันสะดุ้งตกใจกับเสียงนี้“นายท่าน ชนคนเข้าแล้วเจ้าค่ะ”น้ำเสียงตื่นตระหนกของหงเจาดังเข้ามา ทำให้ทั้งสองคนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเปิด
“ขอบพระทัยเสด็จพี่ใหญ่ ขอบพระทัยพี่สะใภ้ใหญ่ กระหม่อมจะรีบนำข่าวดีไปบอกชิงหว่านเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”ซูจื่อชิงดีใจยิ่งนัก รีบคุกเข่าลงโขกศีรษะไปยังทั้งสองคนเสียงดังตุบ ๆ จากนั้นก็ทำราวกับเด็กหนุ่มใจร้อนคนหนึ่ง วิ่งออกจากวังไปอย่างรวดเร็ว“ไม่ได้เรื่อง”ซูจิ่งสิงทนมองไม่ได้กู้หว่านเยว่กล่าวหยอกล้อ “ดูเหมือนว่าบางคนจะไม่ได้เรื่องยิ่งกว่าน้องชายของตนเองเสียอีก”“นั่นไม่ได้เรียกว่าไม่ได้เรื่อง นั่นเรียกว่าต่อหน้าน้องหญิง ต้องรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา”ซูจิ่งสิงท่าทางดูจริงจังทั้งสองคนปรึกษาหารือเรื่องของซูจื่อชิงเสร็จแล้ว ก็หันมาปรึกษาหารือเรื่องการยกทัพไปปราบปรามหนานเจียงต่อ ในที่สุดสามีภรรยาทั้งสองคนก็ตัดสินใจตรงกันว่า การปราบปรามหนานเจียงนั้นต้องรวดเร็วและตัดสินผลแพ้ชนะให้เด็ดขาด“ส่งสาส์นประกาศศึกก่อน จากนั้นค่อยใช้ปืนใหญ่ ยิงถล่มหนานเจียงโดยตรง”ซูจิ่งสิงยกนิ้วโป้งขึ้นอย่างเงียบ ๆ “น้องหญิง วิธีการของเจ้าช่างหยาบและง่ายดายจริง ๆ ”“ก็ต้องรวดเร็วและเด็ดขาดสิ ข้าไม่อยากจะไปพัวพันกับชาวหนานเจียงนานเกินไป”กู้หว่านเยว่หันไปใส่ใจอีกเรื่องหนึ่ง“จริงสิ ทางด้านเฟิ่งอู๋ชีมีท่าทีอย่างไ