5
โชคชะตาลิขิต
“ข้าเคารพรองแม่ทัพต่งมานาน ได้เห็นว่าเจ้าเป็นบุตรสาวของนางจึงมีความคิดอยากจุดธูปไหว้นางหน่อยได้หรือไม่” ซูเหวินมองหน้าผู้พูดด้วยความงุนงง เหตุใดนางจึงกล่าวพิกลเช่นนี้ มีผู้ใดกันเดินเข้าบ้านผู้อื่นขอไหว้ผู้ล่วงลับ พอเห็นผู้เป็นนายเดินมาองครักษ์ก็หลบไปอยู่ข้างประตูหลีกทางให้ผู้เป็นเจ้านาย
“เจ้าเป็นผู้ใด เหตุใดมาโหวกเหวกหน้าจวนผู้อื่นเช่นนี้ แปลกยิ่งนัก”
“ข้าองค์หญิงหนิงเอ๋อ”
“ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นองค์หญิง” ซูเหวินกล่าวขณะเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าสตรีที่แสร้งปลอมตัวเป็นชาย มองนางอย่างชั่งใจแปดในสิบส่วนเชื่อไปแล้วว่านางเป็นองค์หญิง คิดว่าหากนางตั้งใจหลอกจริงคงไม่กล้ามาถึงจวนเช่นนี้
“หน้าข้าเจ้าคงไม่เคยเห็น แต่คงรู้จักป้ายหยกตระกูลไป๋นี่ใช่หรือไม่” สตรีอายุน้อยกว่ายื่นป้ายหยกขาวสลักคำว่าไป๋ ดูก็รู้ว่าเป็นของในวังอย่างแน่นอน แต่นางกลับคิดว่าแปลกอยู่ดี องค์หญิงหนิงเอ๋อผู้ไม่เคยสนใจงานรื่นเริง งานของสตรีในวังเลย อยู่ ๆ มาหน้าจวนเช่นนี้
“ถวายบังคมองค์หญิง”
“ไม่ต้องมากพิธี หากเจ้ามั่นใจแล้วให้ข้าเข้าไปได้หรือไม่” สาวใช้ องครักษ์ รวมถึงคนงานเฝ้าประตูจวนล้วนพากันตกใจที่นางเป็นองค์หญิงจริง ๆ ซ้ำยังแต่งตัวเช่นนี้อยู่นอกวังอีก
“ทรงมาถึงหน้าจวน หม่อมฉันจะกล้าไม่ต้อนรับได้อย่างไร เชิญองค์หญิง” ซูเหวินผายมือเชิญให้องค์หญิงเข้าจวน เดินผ่านลานหน้าประตูใหญ่ก็พาไปทางลานประลอง ลานประลองร้างผู้คนมีเพียงคนเฝ้าประตูสองคนเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดยามได้เห็นต้นเฟิงหายากก็ต้องมองจนตาค้าง ความงดงามของลานประลองนั้นยากจะละสายตาจริง ๆ
ซูเหวินเลือกพาองค์หญิงหนิงเอ๋อไปนั่งโต๊ะหินใต้ต้นเฟิง แทนที่จะพาไปยังโถงรับแขก เพราะเห็นว่านางแต่งตั้งเช่นนี้คงไม่เหมาะจะให้ผู้อื่นได้เห็นจึงพานางไปยังลานประลองแทน
“องค์หญิงมาที่นี่ทำไมหรือเพคะ” เมื่อองค์หญิงนั่งลงนางจึงเอ่ยถามพลางไล่หญิงรับใช้ให้ไปนำชามารับแขก ซูเหวินยืนยิ่งอยู่ข้างโต๊ะม้าหินอ่อน อย่างไรสตรีตรงหน้าก็เป็นองค์หญิง สามชาติก่อนนางไม่เคยได้สนิทชิดเชื้อกับองค์หญิงหนิงเอ๋อ เพราะนางเป็นน้องสาวร่วมอุทรขององค์ชายสาม และองค์ชายสามกับองค์หญิงสี่ไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไร
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ก็แค่ตามมาขอบคุณเท่านั้นที่ก่อนหน้านี้ช่วยข้าเอาไว้ แต่เมื่อรู้แล้วว่าเจ้าเป็นบุตรีรองแม่ทัพต่งจึงอยากรู้จัก เจ้านั่งลงเถอะ” องค์หญิงกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางยื่นมือไปตบเก้าอี้หินอ่อนเรียกสองสามที
นางเดินมานั่งอย่างว่าง่าย ไม่ได้นึกเกรงกลัวหรือเกรงใจเพียงแต่อยากหยั่งเชิงนิสัยองค์ญิงผู้นี้ ดูว่านางมีนิสัยเหมือนองค์หญิงหนิงลี่พี่สาวหรือไม่ สองสามชาติก่อนนางมักถูกสตรีผู้นั้นหาเรื่องอยู่เสมอ
“ขอบพระทัยองค์หญิง ซูเหวินเป็นแค่ราษฎรตัวเล็ก ๆ จะมีสิ่งใด้ให้องค์หญิงสนพระทัยกันเพคะ”
“ข้าบอกตามตรงที่จริงก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องเจ้าสักเท่าใด ข้าอยากรู้เรื่องมารดาเจ้ามากกว่า อยากรู้ว่านางฝึกวิชาต่อสู้ กลยุทธ์ต่าง ๆ จากผู้ใด”
“เช่นนั้นขอตอบตามตรง ซูเหวินแม้จะเป็นบุตรสาวแต่มารดาไม่ปรารถนาให้ดำเนินรอยตามจึงไม่เคยสั่งสอนวิชาเหล่านั้นให้ มีเพียงรำกระบี่เท่านั้นที่มารดาสอน หากจะให้บอกว่าอาจารย์ของท่านแม่เป็นใครก็คงจะเป็นท่านตา ซึ่งทั้งสองไม่อยู่แล้วเกรงว่าจะมาสอนองค์หญิงไม่ได้”
“น่าเสียดาย เจ้าว่าข้าพอจะเป็นอย่างรองแม่ทัพต่งได้หรือไม่ ข้าชื่นชมนางยิ่งนัก ภายหน้าก็อยากเป็นวีรสตรีเช่นนาง” องค์หญิงพูดไปเรื่อยเปื่อยราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องชีวิตให้สหายอย่างไรอย่างนั้น เมื่อรู้ว่าต่งซูเหวินเป็นบุตรสาวรองแม่ทัพต่งอคติในใจก็ลดลง กลายเป็นสบายใจจะพูดคุยกับนางทั้งที่นางไม่เข้าหาผู้อื่นก่อน
“องค์หญิง...”
“ขอโทษ ข้าไม่ค่อยมีเพื่อน เมื่อมีคนให้พูดด้วยจึงลืมตัวไป อีกทั้งเจ้าดูไม่เหมือนบุตรสาวผู้สูงศักดิ์คนอื่น ๆ พวกนางมักประจบข้าเพราะรู้ว่าข้าเป็นลูกที่ฮ่องเต้โปรดปราน” แม้จะกล่าวขอโทษแต่นางก็ยังคงเล่าเรื่องราวไม่หยุด ชวนให้ต่งซูเหวินขบขัน นางหัวเราะเบา ๆ ให้ท่าทีองค์หญิงหนิงเอ๋อ
สาวใช้เดินถือกาน้ำชามาวางลงบนโต๊ะหินอ่อน พอได้ยินเสียงหัวเราะหญิงสาวผู้มาเยือนจึงหันมองเจ้าของเสียงหัวเราะ แววตางุนงง ขมวดคิ้วแน่น นางคิดตรึกตรองอยู่สักครู่จึงหัวเราะตามเจ้าของจวน
ทั้งที่ตนเองเพิ่งกล่าวขอโทษแต่ยังพูดไม่หยุด เจ้าของบ้านไม่มีโอกาสพูดสักคำ ช่างน่าขันยิ่งนัก
“เจ้าน่าสนใจยิ่งนัก”
“องค์หญิงคิดไปเองกระมัง หม่อมฉันมิได้ทำสิ่งใดเลย”
“เอาเถอะ เอาเป็นว่าข้าถูกใจเจ้านัก เช่นนั้นมาเป็นสหายกันเถอะ”
“เดี๋ยวก่อนองค์หญิง...”
“อย่างไรเราก็เป็นสหายกันแล้ว เจ้ารำกระบี่ให้ข้าดูได้หรือไม่” ครานี้เป็นต่งซูเหวินขมวดคิ้ว นางไม่เคยพบเจอคนเช่นนี้มาก่อนจริง ๆ พูดเองเออเองไปเสียหมดนางยังไม่ได้ตอบตกลงเสียหน่อย แต่กระนั้นนางก็ไม่ได้ดูมีพิษมีภัยหรือร้อยเล่ห์มารยาทเช่นหนิงลี่
“ให้ข้ารำกระบี่ก็มิใช่ปัญหา เพียงต้องเตรียมตัวสักหน่อย แต่นี่เย็นมากแล้วหากรอนานกว่านี้เกรงว่าทางกลับวังขององค์หญิงจะอันตราย”
“ไม่เป็นไรข้ารอได้ หากฟ้ามืดเสียก่อนเดี๋ยวก็มีคนมารับข้าเอง อย่าห่วงเลย” องค์หญิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ยืนยันว่าจะมืดค่ำเพียงใดก็อย่างดูรำกระบี่ของรองแม่ทัพต่ง บุคคลที่ตนเองนับถือมาแสนนาน ป่านนี้นางยังไม่กลับคนผู้นั้นคงออกมาตามหานางแล้วกระมัง เช่นนี้จะกลัวอันตรายทำไม
ท่านหญิงต่งเตรียมตัวสักพักก็หลันอันฉีก็กระบี่บางสองเล่มเดินตามมา ส่วนหงอิงก็แบกฉินตามมาด้วย
“อันฉี เจ้าเล่นฉินเป็นหรือไม่”
“พอได้ขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าเล่นเพลงที่ข้าเล่นวันประลองได้หรือไม่” นางถามองครักษ์ข้างกายอีกครั้ง พลางยื่นมือไปชักกระบี่บางสองเล่มในมือเขามาถือเอาไว้
หงอิงเดินไปวางฉินลงบนแท่นไม้ข้างโต๊ะหินอ่อนซึ่งอยู่ห่างจากต้นเฟิงไม่มากนัก
“ข้าจะพยายาม” หลันอันฉีกล่าวด้วยความเจียวตัวเดินไปนั่งหน้าฉิน วางฝักกระบี่ลงข้างกาย พอเห็นผู้ร่วมแสดงพร้อมหญิงสาวจึงถือกระบี่เดินไปยืนอยู่ใต้ต้นเฟิง
ชายหนุ่มเริ่มบรรเลงเพลงฉินที่จำได้ไม่เคยลืมวันนั้น เมื่อเขาเริ่มนางก็ขยับร่างกายอ่อนช้อย พริ้วไหวราวกับกลีบดอกไม้ร่วงหล่นจากต้นในฤดูสารท งดงามเพลินตา ประกอบกับแสงตอนพลบค่ำ ทำให้นางยิ่งดูงดงามท่ามกลางการร่ายรำกระบี่
ใบเฟิงถูกลมพัดลมลงใบแล้วใบเล่า ท่วงทำนองเพลงยังคงเล่นไปไม่หยุด การร่ายรำก็ยังอ่อนหวานและแข็งแรงไปพร้อม ๆ กัน
มือยังคงอยู่บนสายฉิน แต่สายตากับจดจ้องอยู่ที่เรือนร่างเพรียวบางไม่วางตา เช่นเดียวกับสายตาอีกคู่ตรงประตูทางเข้าลานประลอง...
6สหายสนิทคนใหม่ภาพตรงหน้างดงามนัก ไม่คิดเช่นกันว่าจะได้มาเห็นภาพนี้พอดี ไม่รู้ว่าต้องขอบคุณหรือโมโหเด็กสาวผู้นั้นดีที่ชอบหนีหายไปตลอด“นั่นเพคะองค์ชาย องค์หญิงอยู่ตรงนั้น” เสี่ยวเหมยสาวใช้คนสนิทกล่าวพลางชี้ไปยังโต๊ะหินอ่อนตรงลานประลอง นางก้าวเท้าหมายจะเดินเข้าไปหาแต่ถูกชายหนุ่มผู้นั้นห้ามไว้เสียก่อน“เดี๋ยว รอก่อน”“เพคะ องค์ชาย” เสี่ยวเหมยตอบรับแล้วขยับไปยืนด้านหลัง ปล่อยให้องค์ชายหนิงอวี่หรือองคืชายสามยืนมองอยู่เช่นนั้นเกือบทุกวันองค์ชายต้องออกมาตามน้องสาวกลับวังเช่นนี้ ทั้งฮ่องเต้ทั้งพระสนมต่างพากันตามใจนาง น้องสาวจึงค่อนข้างเอาแต่ใจตนเอง แม้ไม่ได้ทำให้ผู้ใดเดือดร้อนแต่นางชอบหาเรื่องให้ตนเองลำบากอยู่บ่อยครั้งหลังยามเว่ยหากนางไม่อยู่ในวังเขาจะรีบออกตามหา เพื่อไม่ให้นางสร้างเรื่องให้ตนเองลำบาก แต่วันนี้ดียิ่งนักนางมิได้สร้างเรื่องให้ตนเอง กลับทำเรื่องดี ๆ ให้ผู้เป็นพี่ชายเช
7ผู้ที่อยู่ในใจ“อีกหนึ่งเดือนจะเป็นงานฉลองวันเกิดท่านแม่ ข้าขอให้นางมาสอนรำกระบี่ดีหรือไม่ นางจะได้เข้าวังบ่อย ๆ เสด็จจะได้ไปทำความรู้จักกับนางไม่ต้องคิดข้ออ้างมากมาย เพียงมาหาน้องท่านพี่ก็จะเจอนาง” องค์หญิงหนิงเอ๋อบอกผู้เป็นพี่ด้วยน้ำเสียงสดใส แววตาเปล่งประกาย ตามประสาผู้ไม่เคยมีความรักชอบผู้ใด องค์ชายหนิงอวี่ก็มีความเห็นเอนเอียงไปตามคำบอกเล่าของน้องสาว ติดเพียงอย่างเดียว...“นี่เจ้าอยากช่วยพี่หรืออยากเรียนวิชารองแม่ทัพต่งกันแน่”“โถ่ เสด็จพี่ถึงอย่างไรเสียก็ช่วยท่านได้ ให้ข้าได้ประโยชน์บ้างจะเป็นไร” ผู้เป็นน้องสาวตอบอย่างเขินอาย หัวเราะเบา ๆ ให้ชายตรงหน้า นางอยากเรียนก็จริง แต่ไปขอให้นางสอนที่จวนก็ได้นี่นางอยากช่วยพี่ชาย จึงคิดว่าไปขอให้สหายมาช่วยสอนในวังดีกว่า“ได้ ๆ น้องพี่ว่าอย่างไรก็ดีทั้งนั้น แต่หากพรุ่งนี้จะออกไปให้องครักษ์ไปด้วยรู้หรือไม่”“หนิงเอ๋อต้องไปพรุ่งน
8ใบหน้าที่เสแสร้ง“คุณหนูซูเหวิน มีคนมาหาเจ้าค่ะ” บ่าวในจวนมาแจ้งนางที่ห้อง ซูเหวินลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือเดินไปเปิดประตูห้อง ถามสาวใช้ว่าผู้ใดกันที่มาแต่เช้าเช่นนี้“ใครกันมาแต่เช้าเช่นนี้”“องค์หญิงเจ้าค่ะคุณหนู” สาวใช้กล่าวน้ำเสียงร้อนรน เกรงว่าให้สูงศักดิ์รอนานจะไม่ดีนัก ซูเหวินขมวดคิ้วแล้วตามสาวใช้ออกไปทันที ไม่รู้ว่าเหตุใดองค์หญิงจึงมาหานางแต่เช้า คงไม่มาเคารพป้ายวิญญาณมารดานางหรอกกระมัง ระหว่างเดินก็คิดไปสารพัดอย่าง“ถวายบังคมองค์หญิง”“ไม่ต้องมากพิธี รีบมานั่งเถอะข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วย”“หม่อมฉันหรือเพคะ คนทั่วไปอย่างหม่อมฉันจะช่วยสิ่งใดองค์หญิงได้กัน” นางถามอย่างไม่เข้าใจ ไม่เข้าว่าใจองค์หญิงผู้มีทุกสิ่งในใต้หล้าอยู่ในมือจะให้นางช่วยสิ่งใดได้ องค์หญิงหนิงเอ๋อราวกับรู้ว่านางคิดสิ่งใดจึงเริ่มพูดต่อ“อีกหนึ่งเดือนจะเ
9หน้าที่คือต้องปกป้องหลังกลับจากเรือนฝั่งขวาต่งซุเหวินก็เดินกลับไปที่เรือนฝั่งซ้ายซึ่งเป็นเรือนของตนเอง ท่าทีสบายใจ อารมณ์ดียิ่งนัก หลายชาติก่อนนางไม่เคยเถียงหรือมีท่าทีเช่นกับผู้อื่นมาก่อน พอได้ลองแล้วรู้สึกดีไม่น้อย เช่นนี้นี่เองสองแม่ลูกนั่นจึงมักมาหาเรื่องนางอยู่บ่ายครั้งและที่สำคัญยามนี้นางมีคนคอยดูแลปกป้อง มันทำให้นางยิ่งสบายใจมากขึ้นไปอีก ตัวนางเองไม่มีกำลังจะไปสู้กับใครมีเพียงมันสมองเท่านั้น พอได้หลันอันฉีมาราวกับมีมือมีเท้าเพิ่ม โชคดีเสียจริงที่เลือกเขามา“อันฉี”“ขอรับคุณหนู” ชายหนุ่มรีบเดินเร็วมายืนขนาบข้างกายนางเพื่อรอฟังคำสั่ง นางมองหน้าเขาอยู่สักพักจึงยิ้มออกมา รอยยิ้มงดงามสดใสทำให้คนที่มองใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา“เจ้าไม่สบายหรือเหตุใดหน้าจึงแดงเช่นนนี้” นางยกมือขึ้นแตะหน้าผากองครักษ์ตรงหน้า ด้วยความตกใจอันฉีก้าวถอยหลังทันทีที่ฝ่ามือเล็กแตะลงบนหน้าผากตน“ข้าไ
10เหตุบังเอิญ“เหตุใดพี่หญิงจึงมาช้าเช่นนี้ ข้ารออยู่นานเชียว” องค์หญิงหนิงเอ๋อถามขึ้นเมื่อเห็นหน้าผู้ที่นางรออยู่นานแล้ว ผู้ที่ถูกทักกลับมีใบหน้างุนงง องค์หญิงที่นางได้เจอเพียงสองครั้งเท่านั้นแต่กลับถูกเรียกพี่หญิง นางไม่คุ้นชินผู้ที่เรียกนางเช่นนี้มีเพียงซูหนี่ ซ้ำยังเรียกนางด้วยน้ำเสียงเสแสร้งแกล้งทำ“พี่หญิงหรือเพคะ” ซุเหวินตอบองค์หญิงด้วยน้ำเสียงแคลงใจ จนองค์หญิงหนิงเอ๋อหัวเราะร่วน จูงมือนางให้เดินตามเข้าไปในตำหนักเพื่อพูดคุยกันเสียก่อน“พี่หญิงอายุมากกว่าข้า เช่นนี้เรียกพี่หญิงไม่ถูกหรือ”“แต่ทรงเป็นองค์หญิงนะเพคะ”“องค์หญิงแล้วอย่างไร ข้าอยากรู้ว่าผู้ใดจะขัดได้หากข้าจะเรียก พี่หญิงไม่ต้องห่วง ไปเถอะท่านกินอะไรมาหรือยัง ข้าให้คนเตรียมของกินไว้ให้มากนัก” ช่างเป็นเด็กสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง นางไม่รู้เลยว่าเหตุใดองค์หญิงจึงไม่มีเพื่อนองค์หญิงให
11ไม่อาจละสายตาการสอนของหลิงซือฝูมิใช่การแนะนำแต่เป็นการลงมือทำ องค์ชายทั้งสองถืออาวุธของตนเองพุ่งกระโจนเข้าใส่ผู้เป็นอาจารย์ ทั้งสามสู้กันดุเดือดแต่สุดท้ายผู้ชนะก็ยังคงเป็นหลิงซือฝูองค์ชายยืนหอบลมหายใจเข้ากระชั้น เพียงแค่เห็นการต่อสู้เมื่อครู่นางก็เหนื่อยแทนแล้ว ซูเหวินรินชาใส่จอกโบกมือให้ขันทีรับใช้ทั้งสองนำชาไปให้องค์ชายที่เพิ่งนั่งลงหลิงซือฝูที่มิได้มีขันทีรับใช้จึงเป็นหน้าที่นางกำนัลขององค์หญิงหนิงเอ๋อ“ขอบคุณท่านหญิง” หลิงซือฝูหันมาบอกน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวล ยิ่งฟังยิ่งเพลิดเพลิน ซูเหวินมิได้ตอบสิ่งใดออกไปเพียงหันพูดคุยกับหญิงสาวตรงหน้า“หากองค์หญิงเหนื่อยแล้ว เราฝึกวันพรุ่งนี้ดีหรือไม่เพคะ”“ข้าบอกแล้วอย่างไร ข้าไม่เหนื่อยเพียงอยากแอบดูการสอนของหลิงซือฝู” เสียงหวานบอก นึกขบขันตนเองที่ไม่อาจเข้าร่วมเรียนได้จึงทำได้เพียงแอบจำไปเช่นนี้ เมื่อกล่าวจบองค์หญิงก็ลุกจากที่นั่งเดิน
12สตรีผู้นั้นหลังเรียนเสร็จ องค์หญิงหนิงเอ๋อจึงพาต่งซูเหวินมายังห้องเครื่องเล็กของตำหนักองค์หญิง ให้นางทำขนมตามที่รับปากเอาไว้ก่อนหน้านี้ในอดีตหลังแต่งงานต่งซูเหวินก็เปลี่ยนจากคุณหนูใหญ่ตระกูลต่งเป็นพระชายารอง วัน ๆ ถูกชายากดขี่กดดันให้ทำนั่นทำนี่ ต้องไปช่วยบ่าวทำอาหาร เพราะผ่านเรื่องราวพวกนั้นมามากทำให้นางได้ความรู้เหล่านี้มามากนัก แต่กลับไม่ใช่เรื่องน่ายินดี“พี่หญิงท่านจะทำสิ่งใดหรือ”“องค์หญิงเคยกินเซาปิ่งหรือไม่เพคะ เก็บไว้กินได้นานอิ่มท้องด้วย ทำก็ไม่ยาก” ซุเหวินถามหญิงสาวตรงหน้า สายตายังคงสอดส่องหาสิ่งที่ตนเองต้องการใช้ หยิบสิ่งของมาวางไว้ตรงหน้า“ยังไม่เคย เช่นนั้นให้ข้าช่วยได้หรือไม่ ดูน่าสนุกนัก”“ได้” หญิงสาวทั้งสองช่วยกันทำขนมอยู่ในห้องเครื่องเล็กอยู่เกือบหนึ่งชั่วยาม เซาปิ่งที่ตั้งใจทำก็เสร็จจนได้ ใบหน้าขาวนวลขององค์หญิงหนิงเอ๋อเปรอะเปื้อนแป้งสีขาวเต็
13มีเรื่องใด“นี่เจ้า!” องค์หญฺงหนิงลี่โกรธจนควันแทบออกหูเมื่อได้ยินองค์หญิงหนิงเอ๋อทูลฟ้องเรื่องตนเอง แต่เพียงแค่องค์ชายสี่มองหน้านางก็หยุดกล่าวสิ่งใดออกมา“มีเรื่องใดกัน” องค์ชายสามหันไปถามองค์หญิงใหญ่ พร้อมกับเหลียวมองสตรีข้างกายน้องสาวร่วมอุทร นึกเป็นห่วงความรู้สึกนางไม่น้อยเข้าวังมาก็เพราะเขายอมให้น้องสาวเชิญนางมา หากนางมีเรื่องจริง เขาก็ควรเป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือ“ไม่มีเพคะองค์ชายสาม คงเป็นเรื่องเข้าใจผิด” ซูชิงเยียนตอบองค์ชายหนิงอวี่ด้วยท่าทีนอบน้อม ไม่รู้ว่าชาตินี้น่าจะเป็นเช่นเดิมหรือไม่ แต่ซูเหวินที่เคยเห็นแต่สิ่งเลวร้าย ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดนั่นล้วนเสแสร้งทั้งสิ้น“ข้าไม่ได้ถามเจ้า ว่าอย่างไรมีเรื่องใด” องค์ชายหนิงอวี่ตอบซูชิงเยียนเสียงเข้ม ซูชิงเยียนไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมาอีก เพียงลอบมองต่งซูเหวิน รอฟังว่านางจะตอบองค์ชายว่าอย่างไร ทุกคนล้วนแต่รอฟังว่านางจะตอบสิ่งใดไม่เว้นกระทั่ง
33จำต้องเลือกสองเท้าก้าวไปข้างหน้าอยู่หลายครั้งแต่ก็ย้อนกลับมายืนที่เดิมอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเสด็จแม่จะทำการใหญ่เช่นนี้ได้ ยอมแม้กระทั่งวางยาสวามีตนเอง นี่คงเป็นเหตุผลที่ทรงขอประทานสมรสจากเสด็จพ่อให้ตนเองกับสกุลซู“ชิงเยียนจำได้แล้วเพคะเสด็จป้า แต่ชิงเยียนเกรงว่าหากองค์ชายรู้เข้าจะไม่ทรงยินยอมร่วมแผนการของเรา”“หนิงจินเป็นบุตรที่กตัญญูเพียงใดเจ้าไม่รู้หรือชิงเยียน หากข้าบอกให้ทำมีหรือหนิงจินจะปฏิเสธได้ลง” หวงกุ้ยเฟยบอกซูชิงเยียนด้วยแววตาชื่นชม และรอยยิ้มร้ายกาจ นางชื่นชมตนเองที่เลี้ยงดูบุตรชายมาได้กตัญญูนัก ไม่ว่านางจะบอกเตือนสิ่งใดองค์ชายหนิงจินล้วนไม่เคยขัด กระทั่งนางกล้าใช้บุตรเป็นตัวหมากในการขึ้นสู่ที่สูง“เสด็จป้าทรงปรีชายิ่ง ชิงเยียนจะบอกท่านพ่อให้ครบทุกคำเพคะ เช่นนั้นชิงเยียนขอตัวก่อนอีกไม่นานองค์ชายคงมา หากมาเจอกันยามนี้ย่อมไม่ดีต่อแผนการเป็นแน่”&
32ข้าจำไว้แล้ว“หนิงลี่ แม่นางซู ขอโทษท่านหญิงเสีย” องค์หญิงใหญ่ชักสีหน้าเมื่อได้ยินคำสั่งของพี่ชาย ซูชิงเยียนเองก็ตกใจจนหน้าถอดสี ภาพลักษณ์หญิงสาวอ่อนหวานของนางต่อหน้าองค์ชายสี่หมดไปแล้วหรือไม่“เสด็จพี่ เหตุใดข้าต้องขอโทษนาง อย่างไรข้าก็เป็นองค์หญิง”“เจ้ารู้ว่าตนเองเป็นองค์หญิงแต่ไม่รู้ว่าไม่ควรเสียมารยาทต่อผู้อื่นหรือ” ขณะนี้นางกำลังเป็นที่สนใจของผู้คนไม่น้อยเลย แม้ผู้คนจะไม่ได้เข้ามาฟังใกล้ ๆ แต่กลับยืนมองอยู่ไม่ห่าง“เสด็จพี่”“ช่างเถอะเพคะองค์ชาย หม่อมฉันไม่อยากให้ผู้คนมองมากกว่านี้ ขอเพียงองค์หญิงไม่มาหาเรื่องหม่อมฉันอีก หม่อมฉันย่อมไม่ถือสา ไปเถอะเพคะองค์หญิง” กล่าวกับบุรุษตรงหน้าแล้วจึงขอปลีกตัวออกไป นางมั่นใจว่าองค์ชายสี่ต้องตามออกมาอย่างแน่นอน“เช่นนั้นให้ข้าเดินไปส่งดีหรือไม่” เป็นอย่างที่นางคิดเขาขอตามออกมา และหากนางยอมรับน้ำใจน
31ประทานสมรสต่งซูเหวินตามไปพบองค์หญิงหนิงเอ๋อที่หน้าตำหนักข้างของอุทยาน เมื่อพูดคุยกันจนหายคิดถึงแล้วจึงตามไปยังอุทยานเพื่อร่วมงานฉลองของหวงกุ้ยเฟยงานเช่นนี้ยังคงน่าเบื่อสำหรับนางอยู่เสมอ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่กับต่งซูหนี่ที่น่ารำคาญ นางเอาแต่มองหาหลิงเฟยหลง ถามนางซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าหลิงเฟยหลงไปไหน ทำไมจึงไม่อยู่ในงาน มันทำให้นางหงุดหงิด นางเดาว่าความหงุดหงิดนี้เพราะต่งซูหนี่น่ารำคาญ“ฝ่าบาทเพคะ งานฉลองของน้องไป่คราก่อนพระองค์ทรงรับปากประทานสมรสให้หนิงอวี่ ครานี้ทรงประทานสมรสให้หนิงจินเป็นของขวัญหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ” หวงกุ้ยเฟยกล่าวกับองค์จักรพรรดิด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน แม้จะไม่โปรดตระกูลซูที่คอยหนุนหลังนาง แต่อย่างไรนางก็เป็นถึงหวงกุ้ยเฟย อยู่ด้วยกันมานานย่อมมีความรักอยู่บ้าง ฮ่องเต้จึงไม่อาจปฏิเสธคำขอนี้ได้“หวงกุ้ยเฟย เจ้าอยากให้ข้าประทานสมรสบุตรชายกับสตรีตระกูลใดหรือ หนิงจินเจ้าถูกใจแม่นางตระกูลใดเหตุใดไม่ยอมบ
30ดั่งนภายามค่ำคืนหลังจากโรงน้ำชาวันนั้นผ่านมาหนึ่งเดือนอีกหนึ่งวันจะเป็นวันฉลองวันประสูติหวงกุ้ยเฟย ดังเช่นงานฉลองของไป่กุ้ยเฟย ฝ่าบาททรงมีคำสั่งให้จัดงานมีเทียบเชิญส่งไปแต่ละจวนไม่น้อย หนึ่งในนั้นก็เป็นตระกูลต่ง คราวนี้มิได้มีเพียงต่งซูเหวินเท่านั้น ต่งซูหนี่เองก็เข้าวังไปตามเทียบเชิญด้วยเช่นกันงานเช่นนี้นางเบื่อยิ่งนักหากไม่เพราะเทียบเชิญนางไม่นึกอยากมาแม้แต่น้อย คงเป็นวันนี้ที่หวงกุ้ยเฟยจะทูลขอสมรสจากองค์จักรพรรดิให้องค์ชายสี่และหญิงตระกูลซูผู้นั้น“คารวะท่านหญิง” นางกำนัลเอ่ยขึ้นมาขณะนางกำลังเดินไปยังอุทยานที่จัดงานฉลอง หากนางจำไม่ผิดนางกำนัลนี่เป็นนางกำนัลขององค์หญิงหนิงเอ๋อ แม้ไม่ชอบเข้าร่วมงานในวังแต่อย่างไรก็เป็นวันเกิดหวงกุ้ยเฟย องค์หญิงก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน“องค์หญิงหนิงเอ๋ออยู่ที่อุทยานหรือไม่”“อยู่เจ้าค่ะ องค์หญิงกำลังรอท่านหญิงอยู่เช่นกัน เชิญทางนี้เจ้าค่ะ” หงอิงเดิ
29ที่ปรึกษา“ข้าเชื่อท่านหญิง แต่หากท่านหญิงอยากล้มตระกูลซูมีแค่ตนเองคงไม่อาจสำเร็จได้”“เป็นเช่นนั้น ข้าจึงบอกท่านอย่างไรล่ะ ข้ารู้ว่าท่านเลือกองค์ชายสามใช่หรือไม่ นอกจากองค์ชายสามก็คงไม่มีผู้ใดเหมาะกับตำแหน่งไท่จื่อแล้ว อีกทั้งกุ้ยเฟยยังไม่ทรงอยากมีอำนาจเช่นหวงกุ้ยเฟยด้วย” นางบอกความคิดของตนเองให้กับบุรุษตรงหน้า ไม่รู้เช่นกันว่าเขาจะคิดอย่างไรกับเรื่องนี้แม้จะพานพบแต่เรื่องราวเลวร้ายมามาก แต่การยอมเชื่อใจผู้อื่นก็ยังง่ายกว่าการคอยระแวงผู้อื่นอยู่ดี“เป็นดังที่ท่านหญิงกล่าว ข้าเลือกองค์ชายสามไม่ใช่เพราะเก่งกาจเหนือองค์ชายสี่ แต่เพราะมารดาองค์ชายสามทรงรักบุตรชายมากกว่าการแสวงหาอำนาจ”“เช่นนั้นถือว่าข้าช่วยท่าน ท่านช่วยข้า”“หากท่านหญิงมีสิ่งใดให้ช่วย โปรดบอกข้าน้อย” หลิงซือฝูลุกยืนยกมือขึ้นมาประสานกันค้อมตัว เมื่อได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด เสร็จสิ้นทุกอย
28อดีตที่มิอาจลืมเลือนได้“ท่านไม่จำเป็นต้องตอบ ข้าเพียงขบขันความโง่งมยามนั้นของตนเองเท่านั้น”“เช่นนั้นคนผู้นั้นคือ...”“องค์ชายสี่หนิงจิน ข้าจึงอยากรู้เรื่องขององค์ชายมาก แต่ก็ไม่อยากเข้าใกล้”“ข้าเดาไม่ผิดจริง ๆ เช่นนั้นแล้วเรื่องของท่านหญิงเป็นอย่างไรต่อ ท่านหญิงบอกว่าตนเองผ่านความเป็นความตายถึงสามครั้งสามครา” หลิงเฟยหลงถามต่อ เรื่องนี้แม้ไม่น่าเชื่อเท่าใดแต่เมื่อผู้กล่าวเป็นต่งซูเหวิน เขาเต็มใจเชื่อนางทั้งหมดไม่ว่านางจะบอกสิ่งใดก็ตาม ก่อนนี้นางก็ได้บอกเรื่องราวเหลือเชื่อที่พิสูจน์มาแล้ว“ยามนั้นข้าโง่งมในรักเพียงเขาบอกว่า รักเพียงข้าแต่ต้องแต่งสตรีอื่นเป็นเมียเอกเพราะมารดาสั่ง ตระกูลชายาเอกมีอำนาจในราชสำนักมาก สามารถส่งเสริมเขาในการขึ้นเป็นไท่จื่อได้ ข้ายอมเพราะอยากเห็นคนรักสมปรารถนา ท่านลองเดาดูสิว่าสตรีที่ข้าว่าคือผู้ใด”“จากที่ท่านเกลียดตระ
27ผู้ร่วมชะตากรรม“ข้าบอกท่านครั้งก่อนว่าล่วงรู้อนาคต ที่แท้มิใช่เช่นนั้น” ต่งซูเหวินหันไปมองหลิงเฟยหลง คราก่อนที่เขาไปกับนาง นางก็มิได้บอกเล่าเรื่องจริงเพราะไม่รู้ว่าที่แท้เขาอยู่ฝ่ายผู้ใด จึงได้แสร้งบอกเขาไปว่านางมีญาณหยั่งรู้อนาคตผู้มากความรู้อย่างเขาย่อมไม่เชื่อเรื่องหลอกลวงนี้เป็นแน่ นางจึงกล่าวถึงรับสั่งฮ่องเต้ที่ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ จากที่นางคำนวนไว้อีกไม่กี่วันฮ่องเต้ต้องทรงมีราชโองการนี้เป็นแน่ ฮ่องเต้ต้องมีรับสั่งให้เหล่าองค์ชายจัดการเรื่องการค้าของเถื่อนที่ไม่สามารถเก็บภาษีได้สองวันต่อมาหลิงซือฝูจึงส่งจดหมายลับให้นาง เขาเชื่อที่นางกล่าวหลังจากได้ฟังรับสั่งฮ่องเต้ นางไม่ได้ตอบกลับเพราะยังไม่เชื่อเขาทั้งหมด“เช่นนั้นท่านหญิงรู้ได้อย่างไรว่าฮ่องเต้จะมีราชโองการ”“ก่อนข้าจะบอกความจริงแก่หลิงซือฝู ข้าขอถามท่านสักคำถาม ในสายตาท่านคิดว่าองค์ชายสี่เป็นเช่นไร”“จากที่
26เป็นเช่นนี้“คนผู้นี้ฟื้นตื่นขึ้นมาบ้างหรือไม่” ต่งซูเหวินถามเขาขณะยืนมองร่างบุรุษที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อวานเขาหลับอยู่ตลอดเลยหรือไม่ หลิงเฟยหลงเดินไปยืนข้างนางก่อนจะหันไปบอกเหตุการณ์เมื่อคืน“คนผู้นี้เมื่อคืนตื่นมาหนึ่งครั้ง ข้าได้สอบถามเขาบางส่วน เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านหญิงกำลังสืบสิ่งใดอยู่จึงไม่อาจสอบสวนช่วยท่านหญิงได้”“มิเป็นไร ข้าจะสอบสวนจินจื่อหยางผู้นี้เอง เพียงรอให้เขาตื่นขึ้นมาเท่านั้น หลิงซือฝูท่านคิดว่าชายผู้นี้จะฟื้นเมื่อใดหรือ”“ไม่นานคงตื่น มิเช่นนั้นให้องครักษ์ท่านหญิงลองปลุกดูดีหรือไม่”“อันฉี”“ขอรับคุณหนู” ไม่ต้องให้นางเอ่ยคำใดออกมาอีก เพียงเอ่ยนามเขาก็เข้าใจในทันทีว่าควรทำสิ่งใด หลันอันฉีเดินไปยังเตียงไม้เพื่อปลุกผู้ที่กำลังหลับ จื่อหยางขยับตัวเปิดเปลือกตาสักครู่ก็พยายามยันตัวลุกนั่งโดยมีองครักษ์หนุ่มช
25ข้าอิ่มพอดี“คุณหนูมีสิ่งใดจะสั่งข้าหรือ”“เจ้าแข็งแรงย่อมต้องมีแรงมาก มานวดแป้งให้ข้าที” ต่งซูเหวินกวักมือเรียกชายหนุ่มที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู เขาเดินเข้ามาอย่างว่าง่าย วางดาบพิงประตูครัวเดินอ้อมด้านหลังนางไปล้างมือ เสร็จแล้วมายืนข้างกายนาง“ทำเช่นนี้ จนกว่าแป้งนี่จะเป็นเนื้อเดียวกัน เข้าใจหรือไม่” ต่งซูเหวินวางมือสองข้างลงบนหลังมือของชายหนุ่ม กดมือเขาให้ขยำไปบนเนื้อแป้งที่ผสมน้ำอยู่ หลันอันฉีนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ไม่ได้มองด้วยซ้ำว่านางสอนอย่างไร เพราะยามนี้สายตาเขาแอบลอบมองเสี้ยวหน้าของนางอยู่ใบหน้าที่เคยนิ่งเฉยเจือไปด้วยสีชมพูอ่อนใส โชคดีที่ไม่มีผู้ใด ไม่เช่นนั้นคงมีผู้คนล่วงรู้ความรู้สึกของเขา“อันฉี เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่” ต่งซูเหวินเรียกเขาเสียงดัง โบกไม้โบกมือเรียกสติเขาให้หลุดออกจากภวังค์ นางใกล้ชิดกับเขาโดยไม่ระวังตัวแม้แต่น้อย ไม่รู้เพราะนางสบายใจหรือไม่คิดว่าเขาเป็น