7
ผู้ที่อยู่ในใจ
“อีกหนึ่งเดือนจะเป็นงานฉลองวันเกิดท่านแม่ ข้าขอให้นางมาสอนรำกระบี่ดีหรือไม่ นางจะได้เข้าวังบ่อย ๆ เสด็จจะได้ไปทำความรู้จักกับนางไม่ต้องคิดข้ออ้างมากมาย เพียงมาหาน้องท่านพี่ก็จะเจอนาง” องค์หญิงหนิงเอ๋อบอกผู้เป็นพี่ด้วยน้ำเสียงสดใส แววตาเปล่งประกาย ตามประสาผู้ไม่เคยมีความรักชอบผู้ใด องค์ชายหนิงอวี่ก็มีความเห็นเอนเอียงไปตามคำบอกเล่าของน้องสาว ติดเพียงอย่างเดียว...
“นี่เจ้าอยากช่วยพี่หรืออยากเรียนวิชารองแม่ทัพต่งกันแน่”
“โถ่ เสด็จพี่ถึงอย่างไรเสียก็ช่วยท่านได้ ให้ข้าได้ประโยชน์บ้างจะเป็นไร” ผู้เป็นน้องสาวตอบอย่างเขินอาย หัวเราะเบา ๆ ให้ชายตรงหน้า นางอยากเรียนก็จริง แต่ไปขอให้นางสอนที่จวนก็ได้นี่นางอยากช่วยพี่ชาย จึงคิดว่าไปขอให้สหายมาช่วยสอนในวังดีกว่า
“ได้ ๆ น้องพี่ว่าอย่างไรก็ดีทั้งนั้น แต่หากพรุ่งนี้จะออกไปให้องครักษ์ไปด้วยรู้หรือไม่”
“หนิงเอ๋อต้องไปพรุ่งนี้เลยหรือ”
“งานฉลองอีกแค่เดือนเดียว เดี๋ยวเจ้าจะไม่มีเวลา”
“ได้ ๆ หนิงเอ๋อจะไปพรุ่งนี้เลย ไม่รู้ผู้ใดรีบกันแน่” องค์หญิงบ่นพึมพำ มองหน้าผู้เป็นพี่ที่ตอนแรกไม่อยากให้นางยุ่ง พอรู้ว่านางมีวิธีก็รีบขึ้นมา
“ข้าได้ยินบ่าวไพร่บอกว่ามีคนเข้ามาที่จวน เหตุใดจึงไม่ไปโถงจื่อจิน” บิดาเอ่ยถามนางขณะที่นางกำลังเดินผ่านลานหน้าโถง ซูเหวินหันไปมองทำความเคารพบิดา นางกับบิดาไม่ค่อยได้พูดคุยกันเลยหลังจากบิดาให้อนุภรรยาผู้นั้นขึ้นเป็นฮูหยิน ถึงบ้านนางจะไม่ใช่ขุนนางแต่ได้รับสิ่งตอบแทนจากการเสียมารดาและท่านตาไปจำนวนมาก ทั้งนางยังได้รับยศท่านหญิงได้จึงไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นอยู่
สมบัติของท่านตายังมีโรงตีกระบี่ชั้นดี นางไม่จำเป็นต้องห่วงแต่ทุกสิ่งล้วนเป็นของนาง บิดากับมารดาเลี้ยงของนางจึงตอบตกลงยกนางให้แต่งเป็นอนุองค์ชายสีเมื่อชาติก่อน ทั้งที่นางไม่อยากแต่งเพราะหากนางแต่งออกทุกอย่างจะกลายเป็นของบิดา มารดาเลี้ยงมีบุตรสองคนคือเป็นสตรีหนึ่งบุรุษหนึ่ง มารดาเลี้ยงและบุตรสาวไม่ชอบนางมักหาเรื่องนางอยู่เสมอ หลายชาติก่อนนางยอมทนถูกรังแกเพราะต้องการกตัญญูต่อบิดา
และเพราะนางยอมกตัญญูต่อบิดา จึงทำให้ชาติก่อนนางสูญเสียบุตรในครรภ์ จนตระหนักได้ว่าควรกตัญญูให้ถูกคน นางจึงมุ่งมั่นเปลี่ยนนิสัยตนเองจากผู้ที่ยอมทุกอย่างในสามชาติก่อน เป็นคนที่จะแข็งข้อกับทุกคนหากนางไม่ต้องการจะทำ
“นางมาหาลูก เหตุใดต้องไปเคารพผู้อื่นที่โถงด้วยเล่า”
“อย่างไรเสียนางก็เป็นมารดาที่เลี้ยงเจ้ามา จะไม่ถูกใจอย่างไรก็ต้องกตัญญู” บิดาตอบกลับเสียงเข้ม ไม่ชอบที่บุตรสาวพูดถึงภรรยาตนเองด้วยความไม่เคารพเช่นนี้
“ฮ่า ๆ ท่านพ่อกล่าวผิดไปหรือไม่ ผู้ที่เลี้ยงข้าหลังจากท่านแม่สิ้นคือแม่นมต่างหากเล่า และแม่นมตายไปเมื่อสองปีก่อน ที่นางใช้จ่ายทุกวันนี้เงินทุกเหรียญล้วนมาจากหยาดเหงื่อ หยดเลือดของท่านแม่และท่านตาของข้าทั้งสิ้น ผู้ใดควรสำนึกท่านพ่อคงรู้อยู่แก่ใจ หากท่านไม่มีสิ่งใดข้าขอตัวก่อน”
“ซูเหวิน ต่งซูเหวิน” หลังนางกล่าวจบก็เดินหนีไปไม่สนใจว่าบิดาจะมองจะพูดอย่างไร เมื่อบุตรสาวเดินหนีต่งป๋อเหวินรีบเดินไปฉุดข้อมือบุตรสาวเอาไว้ กระชากอย่างแรงให้นางหันกลับมา เงื้อมือขึ้นสูงหมายจะฟาดลงบนใบหน้างดงามตรงหน้า
ฝ่ามือใหญ่คงฟาดบนใบหน้านางไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะถูกองครักษ์หนุ่มหยุดไว้เสียก่อน หลันอันฉีจับข้อมือของนายท่านต่งไว้แน่น เขารับรู้ว่าต่งป๋อเหวินคือเจ้าบ้านสกุลต่งในตอนนี้
แต่หากจะทำร้ายนายหญิงของเขา ไม่ว่าผู้ใดเขาก็ล้วนล่วงเกินได้ทั้งนั้น
“ปล่อยมือเสีย” ต่งป๋อเหวินหันไปบอกหลันอันฉีที่ยืนอยู่ด้านหลังของตนเอง เสียงเข้มดุดันโมโหไม่น้อยที่ถูกบ่าวไพร่ในจวนล่วงเกินเช่นนี้
“ขออภัยนายท่านที่ล่วงเกิน แต่ข้าน้อยเป็นองครักษ์ท่านหญิง ปล่อยให้ท่านทำร้ายนายหญิงมิได้” ต่งป๋อเหวินยิ่งโมโหเมื่อได้ยินคำตอบของบ่าวในบ้าน จะอย่างไรเขาก็เป็นผู้นำตระกูลในตอนนี้
“รู้หรือไม่ หากข้าแจ้งทางการว่าเจ้าต่อต้านบิดามารดาจะเป็นอย่างไรต่งซูเหวิน”
“หากท่านพ่ออยากแจ้งก็แจ้งเถิด แต่อย่าลืมว่าข้าถือศักดิ์เป็นหลานสาวฮ่องเต้อยู่ ไม่แน่หากแจ้งแล้วพระองค์อาจจะปลดท่านจากผู้นำตระกูลและให้ข้าขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเองก็ได้”
“ปล่อยข้า บ่าวไพร่ชั้นต่ำอย่างเจ้ามีสิทธิ์อันใดมาแตะตัวข้า”
“หากท่านพ่อไม่มีสิ่งใดข้าขอตัวก่อน อีกอย่างข้าอยากบอกท่านเอาไว้ว่าท่านไม่สามารถสั่งคนของข้าได้ และลงโทษคนของข้ามิได้ อันฉีไปเถอะ”
“ขอรับคุณหนู”
“ซูเหวินเจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร” ชายแก่ผู้นั้นตะโกนไล่หลังบุตรสาวเสียงดังลั่นจนภรรยาและบุตรสาวอีกคนออกมาดู นางไม่เคยแสดงท่าทีแข็งกร้าวให้เขาเห็นเลยสักครั้ง หลังจากมารดานางจากไปก็มักจะสงบเสงี่ยมอยู่เสมอ ตอนนี้กลับเป็นเช่นนี้ไปเขานึกแปลกใจนัก
“ท่านพี่ เหตุใดเสียงดังเช่นนี้ มีสิ่งใดหรือ”
“ท่านพ่อมโหสิ่งใดกัน” ซูหนี่บุตรสาวอีกคนถามเสียงใส นางมักแสร้งทำตัวอ่อนแอต่อหน้าผู้อื่น เรียกร้องความเห็นใจจากผู้อื่นเสมอ นางเป็นผู้ไปบอกต่งป๋อเหวินว่ามีผู้สูงศักดิ์มาที่จวนเมื่อเย็น จากนั้นเป่าหูบิดาให้นึกโกรธเคืองพี่สาวที่ทำสิ่งอื่นใดข้ามหน้าข้ามตาเจ้าบ้านอย่างเขา
“ซูหนี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่สาวเจ้านางเป็นอะไรไป เหตุใดจึงทำตัวประหลาดเช่นนี้ เมื่อก่อนนางไม่เคยกล้าเถียงข้าสักคำ บัดนี้นางให้องครักษ์ตนเองขัดขวางข้า” ต่งป๋อเหวินถามบุตรสาวน้ำเสียงไม่สบอารมณ์กับการกระทำของบุตรสาว แต่ไม่กล้าลงไม้ลงมือกับนางเช่นแต่ก่อน
“เช่นนี้แจ้งทางการดีหรือไม่เจ้าคะท่านพี่”
“นางยังถือศักดิ์เป็นหลานสาวฮ่องเต้ เจ้าคิดว่าทางการจะเข้าข้างผู้ใดบอกข้าสิ เหตุใดพูดไม่คิดเช่นนี้”
8ใบหน้าที่เสแสร้ง“คุณหนูซูเหวิน มีคนมาหาเจ้าค่ะ” บ่าวในจวนมาแจ้งนางที่ห้อง ซูเหวินลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือเดินไปเปิดประตูห้อง ถามสาวใช้ว่าผู้ใดกันที่มาแต่เช้าเช่นนี้“ใครกันมาแต่เช้าเช่นนี้”“องค์หญิงเจ้าค่ะคุณหนู” สาวใช้กล่าวน้ำเสียงร้อนรน เกรงว่าให้สูงศักดิ์รอนานจะไม่ดีนัก ซูเหวินขมวดคิ้วแล้วตามสาวใช้ออกไปทันที ไม่รู้ว่าเหตุใดองค์หญิงจึงมาหานางแต่เช้า คงไม่มาเคารพป้ายวิญญาณมารดานางหรอกกระมัง ระหว่างเดินก็คิดไปสารพัดอย่าง“ถวายบังคมองค์หญิง”“ไม่ต้องมากพิธี รีบมานั่งเถอะข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วย”“หม่อมฉันหรือเพคะ คนทั่วไปอย่างหม่อมฉันจะช่วยสิ่งใดองค์หญิงได้กัน” นางถามอย่างไม่เข้าใจ ไม่เข้าว่าใจองค์หญิงผู้มีทุกสิ่งในใต้หล้าอยู่ในมือจะให้นางช่วยสิ่งใดได้ องค์หญิงหนิงเอ๋อราวกับรู้ว่านางคิดสิ่งใดจึงเริ่มพูดต่อ“อีกหนึ่งเดือนจะเ
9หน้าที่คือต้องปกป้องหลังกลับจากเรือนฝั่งขวาต่งซุเหวินก็เดินกลับไปที่เรือนฝั่งซ้ายซึ่งเป็นเรือนของตนเอง ท่าทีสบายใจ อารมณ์ดียิ่งนัก หลายชาติก่อนนางไม่เคยเถียงหรือมีท่าทีเช่นกับผู้อื่นมาก่อน พอได้ลองแล้วรู้สึกดีไม่น้อย เช่นนี้นี่เองสองแม่ลูกนั่นจึงมักมาหาเรื่องนางอยู่บ่ายครั้งและที่สำคัญยามนี้นางมีคนคอยดูแลปกป้อง มันทำให้นางยิ่งสบายใจมากขึ้นไปอีก ตัวนางเองไม่มีกำลังจะไปสู้กับใครมีเพียงมันสมองเท่านั้น พอได้หลันอันฉีมาราวกับมีมือมีเท้าเพิ่ม โชคดีเสียจริงที่เลือกเขามา“อันฉี”“ขอรับคุณหนู” ชายหนุ่มรีบเดินเร็วมายืนขนาบข้างกายนางเพื่อรอฟังคำสั่ง นางมองหน้าเขาอยู่สักพักจึงยิ้มออกมา รอยยิ้มงดงามสดใสทำให้คนที่มองใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา“เจ้าไม่สบายหรือเหตุใดหน้าจึงแดงเช่นนนี้” นางยกมือขึ้นแตะหน้าผากองครักษ์ตรงหน้า ด้วยความตกใจอันฉีก้าวถอยหลังทันทีที่ฝ่ามือเล็กแตะลงบนหน้าผากตน“ข้าไ
10เหตุบังเอิญ“เหตุใดพี่หญิงจึงมาช้าเช่นนี้ ข้ารออยู่นานเชียว” องค์หญิงหนิงเอ๋อถามขึ้นเมื่อเห็นหน้าผู้ที่นางรออยู่นานแล้ว ผู้ที่ถูกทักกลับมีใบหน้างุนงง องค์หญิงที่นางได้เจอเพียงสองครั้งเท่านั้นแต่กลับถูกเรียกพี่หญิง นางไม่คุ้นชินผู้ที่เรียกนางเช่นนี้มีเพียงซูหนี่ ซ้ำยังเรียกนางด้วยน้ำเสียงเสแสร้งแกล้งทำ“พี่หญิงหรือเพคะ” ซุเหวินตอบองค์หญิงด้วยน้ำเสียงแคลงใจ จนองค์หญิงหนิงเอ๋อหัวเราะร่วน จูงมือนางให้เดินตามเข้าไปในตำหนักเพื่อพูดคุยกันเสียก่อน“พี่หญิงอายุมากกว่าข้า เช่นนี้เรียกพี่หญิงไม่ถูกหรือ”“แต่ทรงเป็นองค์หญิงนะเพคะ”“องค์หญิงแล้วอย่างไร ข้าอยากรู้ว่าผู้ใดจะขัดได้หากข้าจะเรียก พี่หญิงไม่ต้องห่วง ไปเถอะท่านกินอะไรมาหรือยัง ข้าให้คนเตรียมของกินไว้ให้มากนัก” ช่างเป็นเด็กสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง นางไม่รู้เลยว่าเหตุใดองค์หญิงจึงไม่มีเพื่อนองค์หญิงให
11ไม่อาจละสายตาการสอนของหลิงซือฝูมิใช่การแนะนำแต่เป็นการลงมือทำ องค์ชายทั้งสองถืออาวุธของตนเองพุ่งกระโจนเข้าใส่ผู้เป็นอาจารย์ ทั้งสามสู้กันดุเดือดแต่สุดท้ายผู้ชนะก็ยังคงเป็นหลิงซือฝูองค์ชายยืนหอบลมหายใจเข้ากระชั้น เพียงแค่เห็นการต่อสู้เมื่อครู่นางก็เหนื่อยแทนแล้ว ซูเหวินรินชาใส่จอกโบกมือให้ขันทีรับใช้ทั้งสองนำชาไปให้องค์ชายที่เพิ่งนั่งลงหลิงซือฝูที่มิได้มีขันทีรับใช้จึงเป็นหน้าที่นางกำนัลขององค์หญิงหนิงเอ๋อ“ขอบคุณท่านหญิง” หลิงซือฝูหันมาบอกน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวล ยิ่งฟังยิ่งเพลิดเพลิน ซูเหวินมิได้ตอบสิ่งใดออกไปเพียงหันพูดคุยกับหญิงสาวตรงหน้า“หากองค์หญิงเหนื่อยแล้ว เราฝึกวันพรุ่งนี้ดีหรือไม่เพคะ”“ข้าบอกแล้วอย่างไร ข้าไม่เหนื่อยเพียงอยากแอบดูการสอนของหลิงซือฝู” เสียงหวานบอก นึกขบขันตนเองที่ไม่อาจเข้าร่วมเรียนได้จึงทำได้เพียงแอบจำไปเช่นนี้ เมื่อกล่าวจบองค์หญิงก็ลุกจากที่นั่งเดิน
12สตรีผู้นั้นหลังเรียนเสร็จ องค์หญิงหนิงเอ๋อจึงพาต่งซูเหวินมายังห้องเครื่องเล็กของตำหนักองค์หญิง ให้นางทำขนมตามที่รับปากเอาไว้ก่อนหน้านี้ในอดีตหลังแต่งงานต่งซูเหวินก็เปลี่ยนจากคุณหนูใหญ่ตระกูลต่งเป็นพระชายารอง วัน ๆ ถูกชายากดขี่กดดันให้ทำนั่นทำนี่ ต้องไปช่วยบ่าวทำอาหาร เพราะผ่านเรื่องราวพวกนั้นมามากทำให้นางได้ความรู้เหล่านี้มามากนัก แต่กลับไม่ใช่เรื่องน่ายินดี“พี่หญิงท่านจะทำสิ่งใดหรือ”“องค์หญิงเคยกินเซาปิ่งหรือไม่เพคะ เก็บไว้กินได้นานอิ่มท้องด้วย ทำก็ไม่ยาก” ซุเหวินถามหญิงสาวตรงหน้า สายตายังคงสอดส่องหาสิ่งที่ตนเองต้องการใช้ หยิบสิ่งของมาวางไว้ตรงหน้า“ยังไม่เคย เช่นนั้นให้ข้าช่วยได้หรือไม่ ดูน่าสนุกนัก”“ได้” หญิงสาวทั้งสองช่วยกันทำขนมอยู่ในห้องเครื่องเล็กอยู่เกือบหนึ่งชั่วยาม เซาปิ่งที่ตั้งใจทำก็เสร็จจนได้ ใบหน้าขาวนวลขององค์หญิงหนิงเอ๋อเปรอะเปื้อนแป้งสีขาวเต็
13มีเรื่องใด“นี่เจ้า!” องค์หญฺงหนิงลี่โกรธจนควันแทบออกหูเมื่อได้ยินองค์หญิงหนิงเอ๋อทูลฟ้องเรื่องตนเอง แต่เพียงแค่องค์ชายสี่มองหน้านางก็หยุดกล่าวสิ่งใดออกมา“มีเรื่องใดกัน” องค์ชายสามหันไปถามองค์หญิงใหญ่ พร้อมกับเหลียวมองสตรีข้างกายน้องสาวร่วมอุทร นึกเป็นห่วงความรู้สึกนางไม่น้อยเข้าวังมาก็เพราะเขายอมให้น้องสาวเชิญนางมา หากนางมีเรื่องจริง เขาก็ควรเป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือ“ไม่มีเพคะองค์ชายสาม คงเป็นเรื่องเข้าใจผิด” ซูชิงเยียนตอบองค์ชายหนิงอวี่ด้วยท่าทีนอบน้อม ไม่รู้ว่าชาตินี้น่าจะเป็นเช่นเดิมหรือไม่ แต่ซูเหวินที่เคยเห็นแต่สิ่งเลวร้าย ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดนั่นล้วนเสแสร้งทั้งสิ้น“ข้าไม่ได้ถามเจ้า ว่าอย่างไรมีเรื่องใด” องค์ชายหนิงอวี่ตอบซูชิงเยียนเสียงเข้ม ซูชิงเยียนไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมาอีก เพียงลอบมองต่งซูเหวิน รอฟังว่านางจะตอบองค์ชายว่าอย่างไร ทุกคนล้วนแต่รอฟังว่านางจะตอบสิ่งใดไม่เว้นกระทั่ง
14การใหญ่เริ่มขึ้น“ขอบคุณหลิงซือฝู” หญิงสาวที่เดินเงียบมานานพูดขึ้น เดิมทีนางก็รู้สึกอึดอัดเมื่อเห็นหน้าเขาอยู่แล้ว พอต้องมาเดินอยู่ด้วยกันเช่นนี้นางยิ่งอึดอัดไปใหญ่ เมื่อหาเรื่องพูดคุยได้ก็รีบพูดออกไปหลิงเฟยหลงนึกขันในใจยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกลับไปทำหน้านิ่งเช่นเดิม เขารู้ว่านางอึดอัดเพราะเมื่อครู่เขาดันเห็นท่าทีของนางที่มีต่อซูชิงเยียน“ข้าไม่ได้ทำสิ่งใด ท่านหญิงไม่ต้องขอบคุณ ทางที่ไปก็เป็นทางผ่านดังที่บอกกับองค์ชายและองค์หญิง หากมีผู้ใดต้องกล่าวขอบคุณควรเป็นข้าเสียมากกว่า” กล่าวจบหลิงเฟยหลงก็ยกกล่องไม้ใส่ขนมขึ้นมาให้นางดูต่งซูเหวินยิ้มเล็กน้อยก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นในใจ ไม่รู้ว่าควรถามดีหรือไม่ ตำแหน่งของหลิงซือฝูถึงจะเป็นแค่อาจารย์ของเหล่าองค์ชาย แต่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานเขามากนัก ตำแหน่งองค์รัชทายาทก็เกรงว่าต้องให้เขาช่วยออกความเห็นด้วยเป็นแน่ใจนางอยากถามเขานักว่าในใจของซือฝูอย่างเขา เอนเอียงไ
15ท่านสัญญาแล้วตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมาต่งซูเหวินเข้าวังไปสอนองค์หญิงรำกระบี่ไม่ขาด ไปครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาอยู่ในวังสามเกือบสี่ชั่วยาม แม้จะเข้าวังนานแต่กลับใช้เวลาสอนองค์หญิงเพียงหนึ่งชั่วยามส่วนเวลาที่เหลือถูกองค์หญิงบังคับให้ทำขนมให้กินทุกวันจนนางนึกว่าตนเองเป็นแม่ครัวหลวงเสียอีก ทำเสร็จก็ต้องนำไปส่งองค์ชายสามที่หน้าสำนักศึกษาเกือบทุกวัน นางมีโอกาสได้พูดคุยกับองค์ชายสามบ่อยครั้ง รับรู้ได้ว่าเขากับน้องชายนิสัยต่างกันมากนักไม่แปลกใจเลยหากฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งเขาเป็นไท่จื่อชาติก่อน นางสังเกตผู้คนรอบตัวองค์ชายหนิงอวี่และองค์หญิงหนิงเอ๋อ อย่างไรในตอนนี้นางก็ตกลงคบหาองค์หญิงเป็นสหายจะให้นางถูกวางยาไปอีกคนไม่ได้“พี่หญิงคิดสิ่งใดอยู่หรือ” สหายใหม่เอ่ยถามขณะที่นางกำลังเดินหน้ายุ่งอยู่ข้างกาย ทั้งสองกำลังเดินไปสำนักศึกษาเหมือนทุกวัน ต่งซูเหวินจำได้หลังงานฉลองของกุ้ยเฟยองค์ชายหนิงจินจะได้สมรสพระราชทาน นางจะให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด
45มีเพียงท่านเช้ามาทั่วทั้งเมืองต่างมีข่าวว่าตระกูลหลานของเสนาบดีเลี้ยงต้อนรับบุตรชายคนเล็ก และยังมีข่าวงานหมั้นหมายของบุตรชายกับหญิงสาวตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลหนึ่ง“หงอิงให้คนเตรียมรถม้า ข้าจะไปตระกูลหลาน”“เจ้าค่ะคุณหนู”“ไหนบอกว่ารักข้า ยอมปลิดชีพตนตามมาเพื่อดูแล แต่เสร็จเรื่องแล้วจะไปแต่งผู้อื่นแบบนี้ได้อย่างไรกัน หลันอันฉีเจ้าใจร้ายยิ่งนัก” นางบ่นพึมพำขณะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์อยู่ลำพัง เดิมทีวันนี้ตั้งใจจะไปถามเขาให้รู้เรื่องว่าเหตุใดจึงหนีนางไปเช่นนี้ แต่เช้านี้กลับได้ยินบ่าวในเรือนพูดคุยกัน บุตรชายคนเล็กของเสนาบดีขวากลับมาและที่จวนหลานกำลังจะมีงานมงคลครึ่งชั่วยามรถม้าจากจวนต่งก็มาถึงหน้าจวนหลาน ผู้คนหน้าจวนมิได้มีผู้คนมากมายนัก อาจเพราะทั่วเมืองกำลังไว้ทุกข์ให้หวงกุ้ยเฟยที่สิ้นพระชนม์ งดเว้นงานรื่นเริงสังสรรค์ งดเว้นการจัดการงานสมรส ที่จวนหลานเพียงเชิญสหายสนิทมากินอาหารและพูดคุยเรื่องแต
44ในใจมีผู้ใด“องค์ชายสี่เชิญนั่งเพคะ” เมื่อไท่จื่อเดินออกไป องค์ชายสี่ก็เดินเข้ามา เขาเองก็คงมาด้วยเหตุผลเดียวกับไท่จื่อ หลิงซือฝูเองก็เช่นเดียวกัน เหตุใดชาติก่อนนางจึงไม่มีผู้คนมารักมากมายเพียงนี้บ้าง“ท่านหญิงคงรู้แล้วว่าข้ามาด้วยเหตุใด”“พอรู้เพคะ แต่...”“ท่านหญิงฟังข้าให้จบก่อนได้หรือไม่” นางไม่ได้ตอบแต่พยักหน้าแทนคำตอบ จากนั้นนั่งเงียบให้เขาได้พูดเรื่องราวต่าง ๆ ให้จบสิ้นไม่ติดค้างในใจก่อน“ในใจข้ามีท่านหญิงมาตั้งแต่เราได้รู้จักกันในคราแรกแล้วยิ่งรู้สึกชื่นชมเมื่อได้รู้จักท่านมากขึ้น ช่วงเวลาที่ท่านกับน้องหญิงมาที่สำนักศึกษาข้าดีใจยิ่งนักที่ได้เห็นท่านทุกวัน”“...”“แต่เมื่อได้รู้ว่ามารดาทำสิ่งใดลงไปบ้าง ข้าจึงเริ่มรู้สึกว่าท่านรู้บางสิ่งที่ข้าไม่รู้ จนได้รู้ว่าเสด็จแม่เป็นหนึ่งในผู้ที่ส่งคนมาทำร้ายท่าน ยามนั้นข้าได้รู
43ผู้ทำผิดถูกลงโทษประกาศจากในวังให้มีการสอบรับเลือกขุนนางอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เพราะขุนนางจากตระกูลซูถูกลงโทษและถูกปลด องค์จักรพรรดิของแผ่นดินนี้ยังคงเป็นจักรพรรดิหนิงหวง องค์ชายสี่เกลี้ยกล่อมมารดาไม่สำเร็จจึงกราบทูลต่อบิดาด้วยความเสียใจถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้ยินมาด้วยเห็นแก่บุตรชายฮ่องเต้จึงยังคงรักษาพระเกียรติของหวงกุ้ยเฟยเอาไว้ ทรงประทานเหล้าพิษและปล่อยข่าวไปว่าพระองค์ทรงป่วยจนสิ้นพระชนม์ มิได้บอกกล่าวแก่ผู้ใดว่าพระนางร่วมมือกับตระกูลซูก่อกบฎองค์ชายสามได้รับแต่งตั้งเป็นไท่จื่อ เพราะองค์ชายสี่ขอเป็นผู้คอยช่วยเหลือเคียงข้างพี่ชายเท่านั้น กุ้ยเฟยเองก็ถูกแต่งตั้งเป็นฮ่องเฮาหลังจากเหตุการณ์นี้เช่นกัน ราชสำนักสั่นคลอนอย่างแท้จริง โชคดีที่ได้เสนาบดีขวาเป็นเสาหลักอยู่ จึงไม่มีจราจลใดในยามนี้ตระกูลซูถูกตัดสินประหารชีวิต แต่ซูฉางเหอยอมรับความผิดทั้งหมดไว้เอง ซูชิงเยียนและหญิงสาวในตระกูลจึงถูกลงโทษเนรเทศไปยังเขตชายแดนที่หนาวเหน็บห้ามกลั
42ข้าไม่รั้งเพียงสามวันนางก็ได้ข่าวจากหลิงซือฝูว่าองค์ชายสี่ทรงกราบทูลต่อฮ่องเต้ หวงกุ้ยเฟยทรงสมคบคิดกับตระกูลซูคิดก่อการกบฎ เรื่องนี้ถูกสอบสวนอย่างหนักรวมไปถึงคดีสินบนของเหล่าขุนนาง กระทั่งคดีลอบทำร้ายท่านหญิงเจียวจ้านแห่งสกุลต่ง ทำให้เช้านี้ต่งซูหนี่ถูกพาตัวไปยังกรมอาญาเพื่อสอบสวนร่วมกันเช้านี้ต่งซูเหวินจึงมีสีหน้าสดชื่นกว่าก่อน หากในจวนไม่มีต่งซูหนี่เหมือนทุกวันคงดีนัก หลังอ่านจดหมายของหลิงซือฝูเสร็จนางไปเดินเล่นอยู่หน้าลานประลองชื่นชมลานประลอง และต้นเฟิงที่มารดารักยิ่ง ใบหน้างดงามประดับด้วยรอยยิ้มกว้างหลังจากนี้นางคงได้ใช้ชีวิตตนเองอย่างสงบสุขเสียที“เหตุใดเจ้าต้องทำกับน้องสาวตนเองถึงเพียงนี้” นางคงลืมไปชั่วครู่ว่าภายในจวนนี้ยังมีมารดาเลี้ยง และบิดาผู้ลำเอียงของนางอยู่ต่งซูเหวินถอนหายใจหนัก ๆ ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับสองสามีภรรยาทางด้านหลัง นางรู้อยู่แล้วว่ามารดาเลี้ยงต้องมาหาเรื่องนางหากซูหนี่ถูกนำตัว
41ถูกต้องหรือถูกใจ“ถวายบังคมองค์ชาย องค์ชายท่านมาที่นี่ได้อย่างไร” ต่งซูเหวินถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ นางไม่คิดว่าจะได้เจอองค์ชายสี่ที่หน้าจวนในยามนี้ ท้องฟ้าเริ่มไร้แสงผู้คนเริ่มเก็บตัวอยู่ในบ้านเรือนตนเองเพราะอีกไม่นานตะวันจะลับฟ้าผู้ใดจะคิดเล่าว่าจะมีองค์ชายมายืนหน้าจวนตนเองพร้อมม้าอีกหนึ่งตัวเช่นนี้“ขออภัยท่านหญิงที่ข้าเสียมารยาทมาหาท่านในยามนี้ แต่ข้าไม่รู้ว่าจะพูดคุยเรื่องนี้กับผู้ใดได้อีกนอกจากท่าน ในหัวเอาแต่คิดถึงเรื่องที่ท่านหญิงพูดเมื่อคราวก่อน”“องค์ชายทรงร้อนใจเช่นนี้ เชิญเถอะเพคะ” แม้นางจะหมดรักในตัวเขาตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว แต่ความห่วงใยนี้ก็คงมิอาจตัดได้หมด ฟังจากเรื่องราวทั้งหมดผู้ที่น่าเห็นใจนอกจากนางก็คือเขา เพราะนางเห็นใจครอบครัวจึงยอมแต่งเป็นพระชายารองอีกครั้ง ส่วนเขาเห็นใจมารดาจึงยอมทำผิดใหญ่หลวงบุตรต้องกตัญญูแต่หากว่าบิดามารดามิได้ใฝ่สิ่งดี บาปกรรมก็ล้วนตกอยู่ที่บุตรท
40สาเหตุของการตาย“เจ้าเล่าให้ละเอียดหน่อย นี่เรื่องจริงหรือไม่” นางถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ทั้งยังตกใจมากเมื่อคิดว่ามีผู้อื่นย้อนเวลามาเหมือนนางเช่นนี้ แล้วยังเป็นผู้ที่อยู่ข้างกายนางตลอด อีกทั้งยังปิดบังนางมาตลอดไม่เคยบอกสิ่งใดแก่นางแต่หากเขาได้ย้อนเวลากลับมานั่นหมายถึงเขาก็มีเรื่องอยากแก้ไข แล้วเรื่องนั้นคงต้องเกี่ยวกับนางไม่เช่นนั้นบุตรชายเสนาบดีอย่างเขา คงไม่ยอมมาลำบากอยู่ข้างนางเช่นนี้“หลายปีก่อนตอนรวมแผ่นดินข้ากับมารดาถูกจับเป็นเฉลย เพื่อให้ท่านพ่อยอมทรยศแต่ได้รองทัพต่งแอบลอบเข้าไปช่วยเหลือสุดท้ายหนีออกมาได้ ข้าและท่านแม่บาดเจ็บได้ท่านคอยดูแลตอนอยู่นอกแคว้น ข้าจำได้แม่นยำว่าคุณหนูจิตใจดีมากเพียงใด หลังจากช่วยเหลือไว้คุณหนูกับรองแม่ทัพต่งก็จากไปโดยฝากข้าและท่านแม่ไว้กับชาวบ้านนอกแคว้น ทั้งยังมอบเงินไว้ให้ท่านแม่รักษาตัวด้วย”“...”“ต่อมาพบว่าตระกูลต่งสิ้นแล้ว จึงได้แต่เสียใจ
39ฐานะแท้จริงหลิงเฟยหลง และองค์ชายล้วนงุนงงที่เสนาบดีขวาเรียกรั้งบ่าวคนหนึ่งไว้ในห้องดื่มชานี้ ต่งซูเหวินได้ฟังจากปากองครักษ์ว่ารู้จักกับเสนาบดีขวามาก่อน จึงมิได้แปลกใจเท่าใดนัก“เจ้าไม่เคยแนะนำตัวกับผู้อื่นเลยหรือ” เสนาบดีขวาถามหลันอันฉีด้วยน้ำเสียงกึ่งตำหนิ ต่งซูเหวินคิดว่าทั้งสองคงรู้จักกันมานานจึงพูดจาดูใกล้ชิดกันมากเพียงนี้หลันอันฉีถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาทางโต๊ะดื่มชา เขามองหน้าเสนาบดีขวาอย่างไม่ชอบใจนัก“ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่ารอให้ทุกอย่างจบข้าจะกลับไป เหตุใดต้องให้เรื่องมันวุ่นวายขึ้นเช่นนี้” องครักษ์หนุ่มตอบกลับน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ท่ามกลางสายตางุนงงของคนนอกทั้งสาม“มีเรื่องใดกันหรือเจ้าคะท่านเสนา อันฉีทำสิ่งใดล่วงเกินท่านหรือไม่” แม้จะรู้สึกว่าเรื่องไม่ถูกต้อง แต่นางก็รีบลุกไปยืนบังองครักษ์ของตนเองไว้ ก่อนนี้นางเคยสัญญาว่าหากเขาปกป้องนาง นางก็จะปกป้องเขาไปตลอดชีวิต
38อำนาจสำคัญทางการตัดสินว่าการค้าของตระกูลซูมีความผิดจากการค้าของเถื่อนจริงอย่างที่หญิงชาวบ้านผู้นั้นร้องเรียน เดิมทีเถ้าแก่ผู้ดูแลร้านไม่ยอมรับว่าปิ่นนั่นเป็นของร้านเพราะมันมีสัญลักษณ์อยู่ แต่มีหรือต่งซูเหวินจะยอมให้ตระกูลซูรอดพ้นเรื่องนี้ไปได้ นอกจากปิ่นที่นางยังมีปิ่นอีกอันที่องค์หญิงหนิงเอ๋อเป็นผู้เก็บรักษาไว้เองเมื่อองค์หญิงยอมมอบปิ่นให้เป็นหลักฐานเถ้าแก่ผู้ดูแลจึงปฏิเสธเรื่องราวนี้ไปไม่ได้อีก ทางการสั่งปิดร้านค้าตระกูลซูเพื่อสืบความเรื่องการค้าเถื่อนเป็นอย่างที่นางคิดซูชิงเยียนรอดไปได้เพราะผู้ดูแลร้านเป็นผู้รับความผิดนี้ หญิงชาวบ้านผู้นั้นได้เงินเพิ่มสิบเท่าจากราคาของตามซูชิงเยียนเคยบอกเอาไว้ข่าวต่งซูเหวินถูกลอบทำร้ายภายในจวนตระกูลต่ง เรื่องนี้รู้กันทั่วเมืองแม้แต่องค์จักรพรรดิก็ได้ยินเช่นกัน ทรงโมโหมากจึงสั่งคนสอบสวนเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดเช่นเดียวกัน“ท่านหญิงมีสิ่งใดหรือ เหตุใดจึงอยากเจอพวกข้า” องค์ชา
37ย่อมคุ้มค่า“จะไม่เป็นไรได้อย่างไร เหตุใดต้องทำตนเองเจ็บถึงเพียงนี้ ท่านไม่รู้หรือว่าแผลเช่นนี้อาจทำให้ท่านเป็นแผลเป็นได้ ท่านเป็นสตรีเหตุใดมุทะลุถึงเพียงนี้ ข้าสู้เพราะกลัวท่านบาดเจ็บแต่ท่านกลับทำตนเองบาดเจ็บเช่นนี้” เขาว่าจบก็จูงมือนางเดินไปนั่ง ส่วนตนเองไปจุดโคมในห้องนอนให้ ชายหนุ่มรีบมาดูแผลของนางไม่สนใจร่างไร้สติบนพื้นเลย“เจ้าตำหนิข้า”“ข้าน้อยย่อมไม่กล้า เพียงแต่เป็นห่วงคุณหนูเท่านั้น หากเป็นแผลเป็นจะทำอย่างไร”“เป็นก็เป็น แค่ได้ตามที่ต้องการย่อมคุ้มค่า”หลันอันฉีดึงผ้ารัดผมของตนเองมารัดแขนนางเพื่อห้ามเลือด แล้วเอื้อมมือไปจัดผมยาวสลวยของนางที่หล่นลงมาไม่ให้มันโดนเลือดตรงแขนต่งซูเหวินมองการกระทำขององครักษ์อย่างแปลกใจ ไม่บ่อยนักที่เขาแสดงความรู้สึกเช่นนี้ ขณะรัดแผลก็บ่นพึมพำไม่ยอมหยุด นางนึกขบขันเป็นอย่างยิ่งโชคดีจริง ๆ ที่ตอนย้อนเวลากลับมานางเลือกหลันอันฉีม