6
สหายสนิทคนใหม่
ภาพตรงหน้างดงามนัก ไม่คิดเช่นกันว่าจะได้มาเห็นภาพนี้พอดี ไม่รู้ว่าต้องขอบคุณหรือโมโหเด็กสาวผู้นั้นดีที่ชอบหนีหายไปตลอด
“นั่นเพคะองค์ชาย องค์หญิงอยู่ตรงนั้น” เสี่ยวเหมยสาวใช้คนสนิทกล่าวพลางชี้ไปยังโต๊ะหินอ่อนตรงลานประลอง นางก้าวเท้าหมายจะเดินเข้าไปหาแต่ถูกชายหนุ่มผู้นั้นห้ามไว้เสียก่อน
“เดี๋ยว รอก่อน”
“เพคะ องค์ชาย” เสี่ยวเหมยตอบรับแล้วขยับไปยืนด้านหลัง ปล่อยให้องค์ชายหนิงอวี่หรือองคืชายสามยืนมองอยู่เช่นนั้น
เกือบทุกวันองค์ชายต้องออกมาตามน้องสาวกลับวังเช่นนี้ ทั้งฮ่องเต้ทั้งพระสนมต่างพากันตามใจนาง น้องสาวจึงค่อนข้างเอาแต่ใจตนเอง แม้ไม่ได้ทำให้ผู้ใดเดือดร้อนแต่นางชอบหาเรื่องให้ตนเองลำบากอยู่บ่อยครั้ง
หลังยามเว่ยหากนางไม่อยู่ในวังเขาจะรีบออกตามหา เพื่อไม่ให้นางสร้างเรื่องให้ตนเองลำบาก แต่วันนี้ดียิ่งนักนางมิได้สร้างเรื่องให้ตนเอง กลับทำเรื่องดี ๆ ให้ผู้เป็นพี่ชายเช่นเขา
หนิงอวี่ยืนมองอยู่เช่นนั้นจนการรำกระบี่จบลง เขาปรบมือเสียงดังเดินเข้าไปยังลานประลองโดยมีนางกำนัลของน้องสาวเดินตามไป
ซูเหวินมองด้วยความงุนงง หลันอันฉีลุกจากแท่นบรรเลงฉินเดินมายืนขวางบังนายหญิงของตนเองไว้ ไม่รู้ว่าผู้ที่มาคือผู้ใด แต่หน้าที่เขาคือการดูแลความปลอดภัยให้นาง
“เสด็จพี่ ท่านมาจริง ๆ ด้วย” องค์หญิงหนิงเอ๋อลุกจากโต๊ะหินวิ่งกระโดดเข้าไปกอดแขนผู้เป็นพี่ชาย ซูเหวินแตะต้นแขนอันฉีเบา ๆ เขาจึงเดินเลี่ยงไปอยู่ข้างหลังนาง พร้อมรับกระบี่บางทั้งสองมาถือเอาไว้แทน
“ซูเหวิน ถวายบังคมองค์ชายสาม” ทั้งองครักษ์และสาวใช้หงอิงพากันทำความเคารพองค์ชายสามตามผู้เป็นนาย ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ ก่อนจะแตะแขนน้องสาวแล้วพูดกับเจ้าของจวน
“ไม่ต้องมากพิธี เป็นข้าที่เข้ามามิได้ขออนุญาต ขออภัยด้วย ข้ามารับน้องสาวกลับเท่านั้น ลำบากพวกเจ้าดูแลนางแล้ว”
“เสด็จพี่เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น หนิงเอ๋อมิได้ทำสิ่งใดเสียหน่อย เพียงอยากมาเคารพรองแม่ทัพต่งเท่านั้น” องค์ชายส่ายหัวให้กับท่าทีน้อยอกน้อยใจของน้องสาว ยกมือขึ้นลูบหัวน้องสาวด้วยความเอ็นดู เขารู้ดีว่าน้องสาวตนเองชื่นชมรองแม่ทัพต่งซึ่งเป็นบุตรสาวของแม่ทัพต่ง ทั้งยังเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ได้ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่บิดาจนสิ้นชีพ
เขาเองก็เคารพแม่ทัพต่ง เมื่อได้รู้จักต่งซูเหวินตอนท่านตาและมารดายังอยู่ก็ชื่นชมนางมาตลอด แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ทำความรู้จักนางสักเท่าไร วันนี้เป็นวันที่ดียิ่งนัก...
“เจ้าจะแต่งกายเช่นนี้ไปเคารพรองแม่ทัพจริงหรือ” หญิงสาวมองหน้าพี่ชายเมื่อเขากล่าวจบ พลางก้มมองสภาพตนเองในอาภรณ์บุรุษเช่นนี้ จริงอย่างท่านพี่กล่าวนางควรมาด้วยสภาพที่ดีกว่านี้
“เช่นนั้น ข้ากลับก็ได้ อย่างไรข้ากับนางก็เป็นสหายกันแล้ว ไว้วันหน้าค่อยมาก็ไม่สาย” ซูเหวินยิ่งงุนงงไปใหญ่ที่องค์หญิงพูดเองอีกครั้ง แม้นางจะพูดไปเรื่อยแต่กลับน่ารักน่าเอ็นดู ไม่แปลกใจเลยที่ฮ่องเต้จะทรงรักและตามใจนางมากที่สุด
“เชิญองค์หญิงเสด็จได้ทุกเมื่อหากต้องการ หม่อมฉันจะไปส่งนะเพคะ เชิญทั้งสองพระองค์เพคะ” เจ้าของบ้านต้อนรับขับสู้ด้วยรอยยิ้มเสมอ นางผายมือเชิญสองพี่น้องเดินไปทางประตู โดยมีหลันอันฉีเดินตามไม่ห่าง
“รบกวนเจ้าแล้วจริง ๆ ที่วันนี้ยอมเล่นกับน้องสาวข้า นางไม่เคยมีสหายมาก่อน”
“ไม่รบกวนเลยเพคะ หม่อมฉันเองก็ไม่มีสหายได้พูดคุยกับองค์หญิงก็ดีไม่น้อย”
“ท่านพี่เห็นหรือไม่ ข้าไม่ได้รบกวนผู้อื่นเสียหน่อย” ผู้เป็นน้องสาวกล่าวเสียงขุ่นเคืองใบหน้าบูดบึ้ง องค์ชายส่ายหน้าด้วยความเอ็นดูอีกครั้ง จากนั้นจึงลอบมองใบหน้าของสตรีที่เดินตามมา แม้จะอยากพูดคุยกับนางให้มากกว่านี้ แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะทำเช่นนั้น จึงได้แต่พาน้องสาวกลับเท่านั้น
“น้อมส่งสเด็จองค์ชาย องค์หญิง” ซูเหวินค้อมตัวพร้อมกล่าวลาทั้งสองพระองค์ที่กำลังจะเดินขึ้นรถม้า องค์หญิงเดินมาจับมือนางเอาไว้ก่อนเดินขึ้นรถม้า
“ขอบใจมากที่ช่วยข้าไว้ในวันนี้ วันหน้าข้าจะมาเล่นด้วย หากมีสิ่งใดอยากให้ช่วยมาหาข้าได้ทุกเมื่อ” ซูเหวินยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ นางไม่ได้ทำสิ่งใดมากมายเลยแต่องค์หญิงกลับพูดคุยกับนางอย่างสนิทใจเช่นนี้ แปลกนัก นางยิ้มให้องค์หญิงแต่ผู้ที่จ้องมองยิ้มนั้นเนิ่นนานกลับเป็นองค์ชายผู้สูงศักดิ์บนรถม้า
“องค์หญิงทรงอย่าทำเหมือนหม่อมฉันเป็นสัตว์เลี้ยงสิเพคะ” นางบอกกับองค์หญิง ใบหน้ายิ้มแย้มหยอกล้อ องค์หญิงก็ทรงขบขันกับคำพูดของนาง
“เช่นนั้นข้าไปล่ะ” หญิงสาวค้อมตัวส่งองค์หญิงแล้วยืนมองหญิงสาวที่อายุน้อยกว่าด้วยความเอ็นดู นางเองก็รู้สึกถูกชะตากับองค์หญิงขึ้นมาอย่างประหลาด แท้จริงนางไม่อยากยุ่งกับผู้คนในวังเพราะเท่าที่เคยเจอล้วนมีแต่คนเห็นผลประโยชน์ตนเองเป็นสำคัญ
หากจะมีสักคนที่คบหาด้วยได้ก็คงจะเป็นองค์หญิงหนิงเอ๋อนี่กระมัง นางส่งองค์หญิงองค์ชายเสร็จก็เดินกลับเข้าจวนไป
“เสด็จพี่ กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือเพคะ” หญิงสาวถามพี่ชายขณะนั่งอยู่ในรถม้า ตั้งแต่ขึ้นมาเขาก็เอาแต่นั่งยิ้มอยู่ลำพัง ไม่พูดไม่จาไม่ดุนางสักคำ เดิมที่ก็ดีใจอยู่แต่ต่อมาพบว่ามันแปลกไปจึงเอ่ยถามขึ้นมา
“พี่ไม่ได้คิดสิ่งใด เหตุใดจึงถามเช่นนั้น”
“ตั้งแต่ออกจากจวนต่งมาเสด็จพี่ก็นั่งยิ้มไม่หุบเลย ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่เสด็จดูมีความสุขจนหนิงเอ๋อปล่อยผ่านไปไม่ได้ คงไม่ใช่ว่าท่านพี่...”
“ไม่ใช่ จะเป็นไปได้อย่างไร พี่จะรู้สึกอะไรกับนางได้”
“เสด็จพี่ หนิงเอ๋อยังมิได้กล่าวว่าท่านชอบพอนางเลยสักคำ เหตุใดว้าวุ่นเช่นนี้” หญิงสาวว่าจบก็หัวเราะคิกคัก มองพี่ชายก็ยิ่งรู้สึกขบขัน ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพสร้างของพี่ชาย บัดนี้แดงระเรื่อราวกับผลอิงเถาก็ถือว่ากล่าวไม่ผิด
เสด็จพี่ของนางอายุก็มากพอให้แต่งงานได้แล้ว เพียงแต่นางไม่เคยเห็นพี่ชายตนเองถูกใจสตรีใดมาก่อน หากเป็นหญิงสาวตระกูลต่งนางเองก็คงไม่ขัดขวางซ้ำยังอยากเป็นแม่สื่อให้พี่ชายอีก
“เหตุใดจึงแก่แดดแก่ลมเช่นนี้”
“หากเสด็จพี่ชอบพอนางให้หนิงเอ๋อช่วยดีหรือไม่” คนที่เพิ่งกล่าวว่าน้องสาวแก่แดดแก่ลมรีบหันกลับมาฟังแทบทันที เขาเองไม่มีข้ออ้างใดให้พบเจอนาง แต่กับน้องสาวไม่เหมือนกัน ฟังนางไว้ก็ไม่เสียหายเท่าไร...
“น้องพี่ เจ้ามีความคิดใดหรือ”
7ผู้ที่อยู่ในใจ“อีกหนึ่งเดือนจะเป็นงานฉลองวันเกิดท่านแม่ ข้าขอให้นางมาสอนรำกระบี่ดีหรือไม่ นางจะได้เข้าวังบ่อย ๆ เสด็จจะได้ไปทำความรู้จักกับนางไม่ต้องคิดข้ออ้างมากมาย เพียงมาหาน้องท่านพี่ก็จะเจอนาง” องค์หญิงหนิงเอ๋อบอกผู้เป็นพี่ด้วยน้ำเสียงสดใส แววตาเปล่งประกาย ตามประสาผู้ไม่เคยมีความรักชอบผู้ใด องค์ชายหนิงอวี่ก็มีความเห็นเอนเอียงไปตามคำบอกเล่าของน้องสาว ติดเพียงอย่างเดียว...“นี่เจ้าอยากช่วยพี่หรืออยากเรียนวิชารองแม่ทัพต่งกันแน่”“โถ่ เสด็จพี่ถึงอย่างไรเสียก็ช่วยท่านได้ ให้ข้าได้ประโยชน์บ้างจะเป็นไร” ผู้เป็นน้องสาวตอบอย่างเขินอาย หัวเราะเบา ๆ ให้ชายตรงหน้า นางอยากเรียนก็จริง แต่ไปขอให้นางสอนที่จวนก็ได้นี่นางอยากช่วยพี่ชาย จึงคิดว่าไปขอให้สหายมาช่วยสอนในวังดีกว่า“ได้ ๆ น้องพี่ว่าอย่างไรก็ดีทั้งนั้น แต่หากพรุ่งนี้จะออกไปให้องครักษ์ไปด้วยรู้หรือไม่”“หนิงเอ๋อต้องไปพรุ่งน
8ใบหน้าที่เสแสร้ง“คุณหนูซูเหวิน มีคนมาหาเจ้าค่ะ” บ่าวในจวนมาแจ้งนางที่ห้อง ซูเหวินลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือเดินไปเปิดประตูห้อง ถามสาวใช้ว่าผู้ใดกันที่มาแต่เช้าเช่นนี้“ใครกันมาแต่เช้าเช่นนี้”“องค์หญิงเจ้าค่ะคุณหนู” สาวใช้กล่าวน้ำเสียงร้อนรน เกรงว่าให้สูงศักดิ์รอนานจะไม่ดีนัก ซูเหวินขมวดคิ้วแล้วตามสาวใช้ออกไปทันที ไม่รู้ว่าเหตุใดองค์หญิงจึงมาหานางแต่เช้า คงไม่มาเคารพป้ายวิญญาณมารดานางหรอกกระมัง ระหว่างเดินก็คิดไปสารพัดอย่าง“ถวายบังคมองค์หญิง”“ไม่ต้องมากพิธี รีบมานั่งเถอะข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วย”“หม่อมฉันหรือเพคะ คนทั่วไปอย่างหม่อมฉันจะช่วยสิ่งใดองค์หญิงได้กัน” นางถามอย่างไม่เข้าใจ ไม่เข้าว่าใจองค์หญิงผู้มีทุกสิ่งในใต้หล้าอยู่ในมือจะให้นางช่วยสิ่งใดได้ องค์หญิงหนิงเอ๋อราวกับรู้ว่านางคิดสิ่งใดจึงเริ่มพูดต่อ“อีกหนึ่งเดือนจะเ
9หน้าที่คือต้องปกป้องหลังกลับจากเรือนฝั่งขวาต่งซุเหวินก็เดินกลับไปที่เรือนฝั่งซ้ายซึ่งเป็นเรือนของตนเอง ท่าทีสบายใจ อารมณ์ดียิ่งนัก หลายชาติก่อนนางไม่เคยเถียงหรือมีท่าทีเช่นกับผู้อื่นมาก่อน พอได้ลองแล้วรู้สึกดีไม่น้อย เช่นนี้นี่เองสองแม่ลูกนั่นจึงมักมาหาเรื่องนางอยู่บ่ายครั้งและที่สำคัญยามนี้นางมีคนคอยดูแลปกป้อง มันทำให้นางยิ่งสบายใจมากขึ้นไปอีก ตัวนางเองไม่มีกำลังจะไปสู้กับใครมีเพียงมันสมองเท่านั้น พอได้หลันอันฉีมาราวกับมีมือมีเท้าเพิ่ม โชคดีเสียจริงที่เลือกเขามา“อันฉี”“ขอรับคุณหนู” ชายหนุ่มรีบเดินเร็วมายืนขนาบข้างกายนางเพื่อรอฟังคำสั่ง นางมองหน้าเขาอยู่สักพักจึงยิ้มออกมา รอยยิ้มงดงามสดใสทำให้คนที่มองใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา“เจ้าไม่สบายหรือเหตุใดหน้าจึงแดงเช่นนนี้” นางยกมือขึ้นแตะหน้าผากองครักษ์ตรงหน้า ด้วยความตกใจอันฉีก้าวถอยหลังทันทีที่ฝ่ามือเล็กแตะลงบนหน้าผากตน“ข้าไ
10เหตุบังเอิญ“เหตุใดพี่หญิงจึงมาช้าเช่นนี้ ข้ารออยู่นานเชียว” องค์หญิงหนิงเอ๋อถามขึ้นเมื่อเห็นหน้าผู้ที่นางรออยู่นานแล้ว ผู้ที่ถูกทักกลับมีใบหน้างุนงง องค์หญิงที่นางได้เจอเพียงสองครั้งเท่านั้นแต่กลับถูกเรียกพี่หญิง นางไม่คุ้นชินผู้ที่เรียกนางเช่นนี้มีเพียงซูหนี่ ซ้ำยังเรียกนางด้วยน้ำเสียงเสแสร้งแกล้งทำ“พี่หญิงหรือเพคะ” ซุเหวินตอบองค์หญิงด้วยน้ำเสียงแคลงใจ จนองค์หญิงหนิงเอ๋อหัวเราะร่วน จูงมือนางให้เดินตามเข้าไปในตำหนักเพื่อพูดคุยกันเสียก่อน“พี่หญิงอายุมากกว่าข้า เช่นนี้เรียกพี่หญิงไม่ถูกหรือ”“แต่ทรงเป็นองค์หญิงนะเพคะ”“องค์หญิงแล้วอย่างไร ข้าอยากรู้ว่าผู้ใดจะขัดได้หากข้าจะเรียก พี่หญิงไม่ต้องห่วง ไปเถอะท่านกินอะไรมาหรือยัง ข้าให้คนเตรียมของกินไว้ให้มากนัก” ช่างเป็นเด็กสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง นางไม่รู้เลยว่าเหตุใดองค์หญิงจึงไม่มีเพื่อนองค์หญิงให
11ไม่อาจละสายตาการสอนของหลิงซือฝูมิใช่การแนะนำแต่เป็นการลงมือทำ องค์ชายทั้งสองถืออาวุธของตนเองพุ่งกระโจนเข้าใส่ผู้เป็นอาจารย์ ทั้งสามสู้กันดุเดือดแต่สุดท้ายผู้ชนะก็ยังคงเป็นหลิงซือฝูองค์ชายยืนหอบลมหายใจเข้ากระชั้น เพียงแค่เห็นการต่อสู้เมื่อครู่นางก็เหนื่อยแทนแล้ว ซูเหวินรินชาใส่จอกโบกมือให้ขันทีรับใช้ทั้งสองนำชาไปให้องค์ชายที่เพิ่งนั่งลงหลิงซือฝูที่มิได้มีขันทีรับใช้จึงเป็นหน้าที่นางกำนัลขององค์หญิงหนิงเอ๋อ“ขอบคุณท่านหญิง” หลิงซือฝูหันมาบอกน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวล ยิ่งฟังยิ่งเพลิดเพลิน ซูเหวินมิได้ตอบสิ่งใดออกไปเพียงหันพูดคุยกับหญิงสาวตรงหน้า“หากองค์หญิงเหนื่อยแล้ว เราฝึกวันพรุ่งนี้ดีหรือไม่เพคะ”“ข้าบอกแล้วอย่างไร ข้าไม่เหนื่อยเพียงอยากแอบดูการสอนของหลิงซือฝู” เสียงหวานบอก นึกขบขันตนเองที่ไม่อาจเข้าร่วมเรียนได้จึงทำได้เพียงแอบจำไปเช่นนี้ เมื่อกล่าวจบองค์หญิงก็ลุกจากที่นั่งเดิน
12สตรีผู้นั้นหลังเรียนเสร็จ องค์หญิงหนิงเอ๋อจึงพาต่งซูเหวินมายังห้องเครื่องเล็กของตำหนักองค์หญิง ให้นางทำขนมตามที่รับปากเอาไว้ก่อนหน้านี้ในอดีตหลังแต่งงานต่งซูเหวินก็เปลี่ยนจากคุณหนูใหญ่ตระกูลต่งเป็นพระชายารอง วัน ๆ ถูกชายากดขี่กดดันให้ทำนั่นทำนี่ ต้องไปช่วยบ่าวทำอาหาร เพราะผ่านเรื่องราวพวกนั้นมามากทำให้นางได้ความรู้เหล่านี้มามากนัก แต่กลับไม่ใช่เรื่องน่ายินดี“พี่หญิงท่านจะทำสิ่งใดหรือ”“องค์หญิงเคยกินเซาปิ่งหรือไม่เพคะ เก็บไว้กินได้นานอิ่มท้องด้วย ทำก็ไม่ยาก” ซุเหวินถามหญิงสาวตรงหน้า สายตายังคงสอดส่องหาสิ่งที่ตนเองต้องการใช้ หยิบสิ่งของมาวางไว้ตรงหน้า“ยังไม่เคย เช่นนั้นให้ข้าช่วยได้หรือไม่ ดูน่าสนุกนัก”“ได้” หญิงสาวทั้งสองช่วยกันทำขนมอยู่ในห้องเครื่องเล็กอยู่เกือบหนึ่งชั่วยาม เซาปิ่งที่ตั้งใจทำก็เสร็จจนได้ ใบหน้าขาวนวลขององค์หญิงหนิงเอ๋อเปรอะเปื้อนแป้งสีขาวเต็
13มีเรื่องใด“นี่เจ้า!” องค์หญฺงหนิงลี่โกรธจนควันแทบออกหูเมื่อได้ยินองค์หญิงหนิงเอ๋อทูลฟ้องเรื่องตนเอง แต่เพียงแค่องค์ชายสี่มองหน้านางก็หยุดกล่าวสิ่งใดออกมา“มีเรื่องใดกัน” องค์ชายสามหันไปถามองค์หญิงใหญ่ พร้อมกับเหลียวมองสตรีข้างกายน้องสาวร่วมอุทร นึกเป็นห่วงความรู้สึกนางไม่น้อยเข้าวังมาก็เพราะเขายอมให้น้องสาวเชิญนางมา หากนางมีเรื่องจริง เขาก็ควรเป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือ“ไม่มีเพคะองค์ชายสาม คงเป็นเรื่องเข้าใจผิด” ซูชิงเยียนตอบองค์ชายหนิงอวี่ด้วยท่าทีนอบน้อม ไม่รู้ว่าชาตินี้น่าจะเป็นเช่นเดิมหรือไม่ แต่ซูเหวินที่เคยเห็นแต่สิ่งเลวร้าย ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดนั่นล้วนเสแสร้งทั้งสิ้น“ข้าไม่ได้ถามเจ้า ว่าอย่างไรมีเรื่องใด” องค์ชายหนิงอวี่ตอบซูชิงเยียนเสียงเข้ม ซูชิงเยียนไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมาอีก เพียงลอบมองต่งซูเหวิน รอฟังว่านางจะตอบองค์ชายว่าอย่างไร ทุกคนล้วนแต่รอฟังว่านางจะตอบสิ่งใดไม่เว้นกระทั่ง
14การใหญ่เริ่มขึ้น“ขอบคุณหลิงซือฝู” หญิงสาวที่เดินเงียบมานานพูดขึ้น เดิมทีนางก็รู้สึกอึดอัดเมื่อเห็นหน้าเขาอยู่แล้ว พอต้องมาเดินอยู่ด้วยกันเช่นนี้นางยิ่งอึดอัดไปใหญ่ เมื่อหาเรื่องพูดคุยได้ก็รีบพูดออกไปหลิงเฟยหลงนึกขันในใจยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกลับไปทำหน้านิ่งเช่นเดิม เขารู้ว่านางอึดอัดเพราะเมื่อครู่เขาดันเห็นท่าทีของนางที่มีต่อซูชิงเยียน“ข้าไม่ได้ทำสิ่งใด ท่านหญิงไม่ต้องขอบคุณ ทางที่ไปก็เป็นทางผ่านดังที่บอกกับองค์ชายและองค์หญิง หากมีผู้ใดต้องกล่าวขอบคุณควรเป็นข้าเสียมากกว่า” กล่าวจบหลิงเฟยหลงก็ยกกล่องไม้ใส่ขนมขึ้นมาให้นางดูต่งซูเหวินยิ้มเล็กน้อยก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นในใจ ไม่รู้ว่าควรถามดีหรือไม่ ตำแหน่งของหลิงซือฝูถึงจะเป็นแค่อาจารย์ของเหล่าองค์ชาย แต่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานเขามากนัก ตำแหน่งองค์รัชทายาทก็เกรงว่าต้องให้เขาช่วยออกความเห็นด้วยเป็นแน่ใจนางอยากถามเขานักว่าในใจของซือฝูอย่างเขา เอนเอียงไ
45มีเพียงท่านเช้ามาทั่วทั้งเมืองต่างมีข่าวว่าตระกูลหลานของเสนาบดีเลี้ยงต้อนรับบุตรชายคนเล็ก และยังมีข่าวงานหมั้นหมายของบุตรชายกับหญิงสาวตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลหนึ่ง“หงอิงให้คนเตรียมรถม้า ข้าจะไปตระกูลหลาน”“เจ้าค่ะคุณหนู”“ไหนบอกว่ารักข้า ยอมปลิดชีพตนตามมาเพื่อดูแล แต่เสร็จเรื่องแล้วจะไปแต่งผู้อื่นแบบนี้ได้อย่างไรกัน หลันอันฉีเจ้าใจร้ายยิ่งนัก” นางบ่นพึมพำขณะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์อยู่ลำพัง เดิมทีวันนี้ตั้งใจจะไปถามเขาให้รู้เรื่องว่าเหตุใดจึงหนีนางไปเช่นนี้ แต่เช้านี้กลับได้ยินบ่าวในเรือนพูดคุยกัน บุตรชายคนเล็กของเสนาบดีขวากลับมาและที่จวนหลานกำลังจะมีงานมงคลครึ่งชั่วยามรถม้าจากจวนต่งก็มาถึงหน้าจวนหลาน ผู้คนหน้าจวนมิได้มีผู้คนมากมายนัก อาจเพราะทั่วเมืองกำลังไว้ทุกข์ให้หวงกุ้ยเฟยที่สิ้นพระชนม์ งดเว้นงานรื่นเริงสังสรรค์ งดเว้นการจัดการงานสมรส ที่จวนหลานเพียงเชิญสหายสนิทมากินอาหารและพูดคุยเรื่องแต
44ในใจมีผู้ใด“องค์ชายสี่เชิญนั่งเพคะ” เมื่อไท่จื่อเดินออกไป องค์ชายสี่ก็เดินเข้ามา เขาเองก็คงมาด้วยเหตุผลเดียวกับไท่จื่อ หลิงซือฝูเองก็เช่นเดียวกัน เหตุใดชาติก่อนนางจึงไม่มีผู้คนมารักมากมายเพียงนี้บ้าง“ท่านหญิงคงรู้แล้วว่าข้ามาด้วยเหตุใด”“พอรู้เพคะ แต่...”“ท่านหญิงฟังข้าให้จบก่อนได้หรือไม่” นางไม่ได้ตอบแต่พยักหน้าแทนคำตอบ จากนั้นนั่งเงียบให้เขาได้พูดเรื่องราวต่าง ๆ ให้จบสิ้นไม่ติดค้างในใจก่อน“ในใจข้ามีท่านหญิงมาตั้งแต่เราได้รู้จักกันในคราแรกแล้วยิ่งรู้สึกชื่นชมเมื่อได้รู้จักท่านมากขึ้น ช่วงเวลาที่ท่านกับน้องหญิงมาที่สำนักศึกษาข้าดีใจยิ่งนักที่ได้เห็นท่านทุกวัน”“...”“แต่เมื่อได้รู้ว่ามารดาทำสิ่งใดลงไปบ้าง ข้าจึงเริ่มรู้สึกว่าท่านรู้บางสิ่งที่ข้าไม่รู้ จนได้รู้ว่าเสด็จแม่เป็นหนึ่งในผู้ที่ส่งคนมาทำร้ายท่าน ยามนั้นข้าได้รู
43ผู้ทำผิดถูกลงโทษประกาศจากในวังให้มีการสอบรับเลือกขุนนางอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เพราะขุนนางจากตระกูลซูถูกลงโทษและถูกปลด องค์จักรพรรดิของแผ่นดินนี้ยังคงเป็นจักรพรรดิหนิงหวง องค์ชายสี่เกลี้ยกล่อมมารดาไม่สำเร็จจึงกราบทูลต่อบิดาด้วยความเสียใจถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้ยินมาด้วยเห็นแก่บุตรชายฮ่องเต้จึงยังคงรักษาพระเกียรติของหวงกุ้ยเฟยเอาไว้ ทรงประทานเหล้าพิษและปล่อยข่าวไปว่าพระองค์ทรงป่วยจนสิ้นพระชนม์ มิได้บอกกล่าวแก่ผู้ใดว่าพระนางร่วมมือกับตระกูลซูก่อกบฎองค์ชายสามได้รับแต่งตั้งเป็นไท่จื่อ เพราะองค์ชายสี่ขอเป็นผู้คอยช่วยเหลือเคียงข้างพี่ชายเท่านั้น กุ้ยเฟยเองก็ถูกแต่งตั้งเป็นฮ่องเฮาหลังจากเหตุการณ์นี้เช่นกัน ราชสำนักสั่นคลอนอย่างแท้จริง โชคดีที่ได้เสนาบดีขวาเป็นเสาหลักอยู่ จึงไม่มีจราจลใดในยามนี้ตระกูลซูถูกตัดสินประหารชีวิต แต่ซูฉางเหอยอมรับความผิดทั้งหมดไว้เอง ซูชิงเยียนและหญิงสาวในตระกูลจึงถูกลงโทษเนรเทศไปยังเขตชายแดนที่หนาวเหน็บห้ามกลั
42ข้าไม่รั้งเพียงสามวันนางก็ได้ข่าวจากหลิงซือฝูว่าองค์ชายสี่ทรงกราบทูลต่อฮ่องเต้ หวงกุ้ยเฟยทรงสมคบคิดกับตระกูลซูคิดก่อการกบฎ เรื่องนี้ถูกสอบสวนอย่างหนักรวมไปถึงคดีสินบนของเหล่าขุนนาง กระทั่งคดีลอบทำร้ายท่านหญิงเจียวจ้านแห่งสกุลต่ง ทำให้เช้านี้ต่งซูหนี่ถูกพาตัวไปยังกรมอาญาเพื่อสอบสวนร่วมกันเช้านี้ต่งซูเหวินจึงมีสีหน้าสดชื่นกว่าก่อน หากในจวนไม่มีต่งซูหนี่เหมือนทุกวันคงดีนัก หลังอ่านจดหมายของหลิงซือฝูเสร็จนางไปเดินเล่นอยู่หน้าลานประลองชื่นชมลานประลอง และต้นเฟิงที่มารดารักยิ่ง ใบหน้างดงามประดับด้วยรอยยิ้มกว้างหลังจากนี้นางคงได้ใช้ชีวิตตนเองอย่างสงบสุขเสียที“เหตุใดเจ้าต้องทำกับน้องสาวตนเองถึงเพียงนี้” นางคงลืมไปชั่วครู่ว่าภายในจวนนี้ยังมีมารดาเลี้ยง และบิดาผู้ลำเอียงของนางอยู่ต่งซูเหวินถอนหายใจหนัก ๆ ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับสองสามีภรรยาทางด้านหลัง นางรู้อยู่แล้วว่ามารดาเลี้ยงต้องมาหาเรื่องนางหากซูหนี่ถูกนำตัว
41ถูกต้องหรือถูกใจ“ถวายบังคมองค์ชาย องค์ชายท่านมาที่นี่ได้อย่างไร” ต่งซูเหวินถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ นางไม่คิดว่าจะได้เจอองค์ชายสี่ที่หน้าจวนในยามนี้ ท้องฟ้าเริ่มไร้แสงผู้คนเริ่มเก็บตัวอยู่ในบ้านเรือนตนเองเพราะอีกไม่นานตะวันจะลับฟ้าผู้ใดจะคิดเล่าว่าจะมีองค์ชายมายืนหน้าจวนตนเองพร้อมม้าอีกหนึ่งตัวเช่นนี้“ขออภัยท่านหญิงที่ข้าเสียมารยาทมาหาท่านในยามนี้ แต่ข้าไม่รู้ว่าจะพูดคุยเรื่องนี้กับผู้ใดได้อีกนอกจากท่าน ในหัวเอาแต่คิดถึงเรื่องที่ท่านหญิงพูดเมื่อคราวก่อน”“องค์ชายทรงร้อนใจเช่นนี้ เชิญเถอะเพคะ” แม้นางจะหมดรักในตัวเขาตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว แต่ความห่วงใยนี้ก็คงมิอาจตัดได้หมด ฟังจากเรื่องราวทั้งหมดผู้ที่น่าเห็นใจนอกจากนางก็คือเขา เพราะนางเห็นใจครอบครัวจึงยอมแต่งเป็นพระชายารองอีกครั้ง ส่วนเขาเห็นใจมารดาจึงยอมทำผิดใหญ่หลวงบุตรต้องกตัญญูแต่หากว่าบิดามารดามิได้ใฝ่สิ่งดี บาปกรรมก็ล้วนตกอยู่ที่บุตรท
40สาเหตุของการตาย“เจ้าเล่าให้ละเอียดหน่อย นี่เรื่องจริงหรือไม่” นางถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ทั้งยังตกใจมากเมื่อคิดว่ามีผู้อื่นย้อนเวลามาเหมือนนางเช่นนี้ แล้วยังเป็นผู้ที่อยู่ข้างกายนางตลอด อีกทั้งยังปิดบังนางมาตลอดไม่เคยบอกสิ่งใดแก่นางแต่หากเขาได้ย้อนเวลากลับมานั่นหมายถึงเขาก็มีเรื่องอยากแก้ไข แล้วเรื่องนั้นคงต้องเกี่ยวกับนางไม่เช่นนั้นบุตรชายเสนาบดีอย่างเขา คงไม่ยอมมาลำบากอยู่ข้างนางเช่นนี้“หลายปีก่อนตอนรวมแผ่นดินข้ากับมารดาถูกจับเป็นเฉลย เพื่อให้ท่านพ่อยอมทรยศแต่ได้รองทัพต่งแอบลอบเข้าไปช่วยเหลือสุดท้ายหนีออกมาได้ ข้าและท่านแม่บาดเจ็บได้ท่านคอยดูแลตอนอยู่นอกแคว้น ข้าจำได้แม่นยำว่าคุณหนูจิตใจดีมากเพียงใด หลังจากช่วยเหลือไว้คุณหนูกับรองแม่ทัพต่งก็จากไปโดยฝากข้าและท่านแม่ไว้กับชาวบ้านนอกแคว้น ทั้งยังมอบเงินไว้ให้ท่านแม่รักษาตัวด้วย”“...”“ต่อมาพบว่าตระกูลต่งสิ้นแล้ว จึงได้แต่เสียใจ
39ฐานะแท้จริงหลิงเฟยหลง และองค์ชายล้วนงุนงงที่เสนาบดีขวาเรียกรั้งบ่าวคนหนึ่งไว้ในห้องดื่มชานี้ ต่งซูเหวินได้ฟังจากปากองครักษ์ว่ารู้จักกับเสนาบดีขวามาก่อน จึงมิได้แปลกใจเท่าใดนัก“เจ้าไม่เคยแนะนำตัวกับผู้อื่นเลยหรือ” เสนาบดีขวาถามหลันอันฉีด้วยน้ำเสียงกึ่งตำหนิ ต่งซูเหวินคิดว่าทั้งสองคงรู้จักกันมานานจึงพูดจาดูใกล้ชิดกันมากเพียงนี้หลันอันฉีถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาทางโต๊ะดื่มชา เขามองหน้าเสนาบดีขวาอย่างไม่ชอบใจนัก“ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่ารอให้ทุกอย่างจบข้าจะกลับไป เหตุใดต้องให้เรื่องมันวุ่นวายขึ้นเช่นนี้” องครักษ์หนุ่มตอบกลับน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ท่ามกลางสายตางุนงงของคนนอกทั้งสาม“มีเรื่องใดกันหรือเจ้าคะท่านเสนา อันฉีทำสิ่งใดล่วงเกินท่านหรือไม่” แม้จะรู้สึกว่าเรื่องไม่ถูกต้อง แต่นางก็รีบลุกไปยืนบังองครักษ์ของตนเองไว้ ก่อนนี้นางเคยสัญญาว่าหากเขาปกป้องนาง นางก็จะปกป้องเขาไปตลอดชีวิต
38อำนาจสำคัญทางการตัดสินว่าการค้าของตระกูลซูมีความผิดจากการค้าของเถื่อนจริงอย่างที่หญิงชาวบ้านผู้นั้นร้องเรียน เดิมทีเถ้าแก่ผู้ดูแลร้านไม่ยอมรับว่าปิ่นนั่นเป็นของร้านเพราะมันมีสัญลักษณ์อยู่ แต่มีหรือต่งซูเหวินจะยอมให้ตระกูลซูรอดพ้นเรื่องนี้ไปได้ นอกจากปิ่นที่นางยังมีปิ่นอีกอันที่องค์หญิงหนิงเอ๋อเป็นผู้เก็บรักษาไว้เองเมื่อองค์หญิงยอมมอบปิ่นให้เป็นหลักฐานเถ้าแก่ผู้ดูแลจึงปฏิเสธเรื่องราวนี้ไปไม่ได้อีก ทางการสั่งปิดร้านค้าตระกูลซูเพื่อสืบความเรื่องการค้าเถื่อนเป็นอย่างที่นางคิดซูชิงเยียนรอดไปได้เพราะผู้ดูแลร้านเป็นผู้รับความผิดนี้ หญิงชาวบ้านผู้นั้นได้เงินเพิ่มสิบเท่าจากราคาของตามซูชิงเยียนเคยบอกเอาไว้ข่าวต่งซูเหวินถูกลอบทำร้ายภายในจวนตระกูลต่ง เรื่องนี้รู้กันทั่วเมืองแม้แต่องค์จักรพรรดิก็ได้ยินเช่นกัน ทรงโมโหมากจึงสั่งคนสอบสวนเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดเช่นเดียวกัน“ท่านหญิงมีสิ่งใดหรือ เหตุใดจึงอยากเจอพวกข้า” องค์ชา
37ย่อมคุ้มค่า“จะไม่เป็นไรได้อย่างไร เหตุใดต้องทำตนเองเจ็บถึงเพียงนี้ ท่านไม่รู้หรือว่าแผลเช่นนี้อาจทำให้ท่านเป็นแผลเป็นได้ ท่านเป็นสตรีเหตุใดมุทะลุถึงเพียงนี้ ข้าสู้เพราะกลัวท่านบาดเจ็บแต่ท่านกลับทำตนเองบาดเจ็บเช่นนี้” เขาว่าจบก็จูงมือนางเดินไปนั่ง ส่วนตนเองไปจุดโคมในห้องนอนให้ ชายหนุ่มรีบมาดูแผลของนางไม่สนใจร่างไร้สติบนพื้นเลย“เจ้าตำหนิข้า”“ข้าน้อยย่อมไม่กล้า เพียงแต่เป็นห่วงคุณหนูเท่านั้น หากเป็นแผลเป็นจะทำอย่างไร”“เป็นก็เป็น แค่ได้ตามที่ต้องการย่อมคุ้มค่า”หลันอันฉีดึงผ้ารัดผมของตนเองมารัดแขนนางเพื่อห้ามเลือด แล้วเอื้อมมือไปจัดผมยาวสลวยของนางที่หล่นลงมาไม่ให้มันโดนเลือดตรงแขนต่งซูเหวินมองการกระทำขององครักษ์อย่างแปลกใจ ไม่บ่อยนักที่เขาแสดงความรู้สึกเช่นนี้ ขณะรัดแผลก็บ่นพึมพำไม่ยอมหยุด นางนึกขบขันเป็นอย่างยิ่งโชคดีจริง ๆ ที่ตอนย้อนเวลากลับมานางเลือกหลันอันฉีม