2
เพลงนี้เพราะนัก
หญิงสาวนั่งเขียนลำดับเหตุการณ์ในอดีต เพื่อดูว่าตนเองจะสามารถแก้ไขสิ่งใดได้อีก โดยไม่ลืมว่านางจะแก้แค้นคนผู้นั้นให้ได้ ถึงพวกนั้นจะไม่รับรู้ว่าเคยทำสิ่งใดบ้าง แต่ทุกสิ่งนั้นนางสัมผัสมาด้วยตนเองทั้งสิ้นอย่างไรก็ต้องเอาคืน
เดิมคิดว่าตนเองอาจต้องเริ่มฝึกวรยุทธ์ วิชาดาบเสียบ้างแต่ผ่านมาหลายปีแล้ว มาฝึกยามนี้เกรงว่าคงไม่ไหว จึงคิดหาองครักษ์เสียยังดีกว่า
จริงอยู่ที่ตระกูลนางเป็นตระกูลนักรบแต่มารดาไม่อยากให้นางมีจุดจบเช่นตนเอง จึงไม่ยอมให้บุตรสาวฝึกยุทธ์ หลังจากมารดาสิ้นบิดาจึงขึ้นเป็นเจ้าบ้าน บิดานางแต่งเข้าสกุลต่ง
สองสามปีหลังมารดาตายก็ให้อนุภรรยาขึ้นเป็นฮูหยิน และบิดานางก็หลงมารดาเลี้ยงผู้นี้เสียยิ่งกว่าสิ่งใด ทำให้นางที่ไม่มีผู้สนับสนุนได้แต่ทนถูกรังแกมาตลอดหลายชาติที่ผ่านมา แต่ไม่ใช่ยามนี้ มารดานางมิใช่สตรีอ่อนหวานยามไปรบจึงให้สามีมีอนุภรรยาคอยดูแล
“คุณหนู หงอิงให้พ่อบ้านติดประกาศแล้วเจ้าค่ะ ยามอู่คุณหนูจะไปดูหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้ถาม ขณะผู้เป็นนายกำลังนั่งจรดหมึกลงบนกระดาษผ้า นางกำลังใช้ความคิดอย่างหนักในการคัดเลือกองครักษ์ ผู้มีฝีมือหาไม่ยากนักเช่นนั้นนางจึงอยากให้องครักษ์ทำได้มากกว่าการใช้กำลัง
“ไปสิ เจ้าว่าองครักษ์ที่ดีต้องเป็นเช่นไร”
“ต้องเก่งสิเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นจะมีองครักษ์ไปทำไม” หงอิงตอบอย่างใสซื่อ มือก็ค่อย ๆ รินชา หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วยกับสาวใช้ แต่กลับยังรู้สึกว่าตนเองต้องการมากกว่ากำลังกาย
ยามนี้นางมีเพียงตนเองเท่านั้นหากจะเป็นองครักษ์ของนางย่อมต้องซื่อสัตย์ต่อนาง สำคัญคือต้องเฉลียวพอจะช่วยอย่างอื่นนางได้ด้วย คิดไปก็กลัดกลุ้มไปนางจะหาองครักษ์เช่นนั้นได้ที่ใด
เข้ายามซื่อแล้วนางยังไม่รู้ว่าจะทดสอบอย่างไรดี กระทั่งเหลียวไปเห็นฉินตัวแรกของตนเองตรงมุมห้อง จึงเกิดความคิดขึ้นมา นางให้หงอิงหอบมันตามไปที่ลานประลองของสกุลต่งด้วย รอครึ่งชั่วยามผู้คนที่มารับเลือกก็เริ่มมากขึ้น
ชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำมากมายเดินเผ่นผ่านอยู่ในลานประลอง ซูเหวินนั่งอยู่หลังม่านผ้าบางพริ้ว คอยดูผ่านม่านว่าผู้ใดเข้าตาพอจะเป็นองครักษ์ของตนเองได้บ้าง
นางสะดุดตากับบุรุษผู้หนึ่งหน้าตาสะอาดสะอ้าน รูปร่างเพรียวบาง ท่าทีฉลาดเฉลียว หากเลือกจากหน้าตาบุรุษผู้นี้คงได้รับตำแหน่งนี้โดยไม่มีผู้ใดกล้าแข่ง
“วันนี้ท่านหญิงจะมาชมการประลองคัดเลือกองครักษ์ด้วยตนเอง ผู้ชนะจะได้รับตำแหน่งองครักษ์ของท่านหญิงขึ้นตรงต่อท่านหญิง เบี้ยหวัดมากกว่าองครักษ์ในจวน เตรียมตัวกันให้ดี ผู้ใดมาก่อนหยิบไม้จับคู่ตรงนั้นแล้วขึ้นไปยืนรอบนลานประลองได้เลย” พ่อบ้านต่งกล่าวกับบรรดาผู้ร่วมประลอง ระหว่างแนะนำก็ชี้ให้ดูว่าก้านไม้เลือกคู่อยู่ที่ใด กระบอกไม้ไผ่ทั้งสองบนโต๊ะภายในมีก้านไม้บอกลำดับ เลขลำดับซ้ำกันทั้งสองกระบอก ผู้ใดจับได้เหมือนกันต้องสู้กันจนมีผู้ชนะ
รอบสอง รอบสามและรอบถัดไปผู้ชนะทั้งหมดต้องมาจับอีกครั้งเพื่อประลองกันจนเหลือห้าคนสุดท้าย จึงจะใช้การคัดเลือกพิเศษจากต่งซูเหวินที่นั่งรออยู่ด้านใน
เกือบสองชั่วยามที่นางนั่งดูบุรุษประลองกันไม่วางตา ทั้งที่สาวใช้ตนเองยกมือปิดตาครั้งแล้วครั้งเล่า นางยังจะกลัวสิ่งใดได้อีกในเมื่อตนเองตายมาแล้วถึงสามรอบ
“พวกเจ้าทั้งห้าคนมายืนทางนี้” พ่อบ้านต่งเรียกบุรุษห้าคนสุดท้ายให้มายืนเรียงกัน หน้าห้องที่ต่งซูเหวินรออยู่ ทั้งห้าคนอยู่ในสภาพเปรอะเปื้อนไม่ต่างกัน ใบหน้ามีรอยฟกช้ำ รอยเลือด หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงหอบเหนื่อยกันไม่น้อย
นางไม่คิดว่าบุรุษผู้นั้นจะยังอยู่จนถึงรอบสุดท้าย ทั้งที่ดูเจ้าสำอางไม่เหมือนผู้ฝึกยุทธ์แม้แต่น้อย
“ท่านพ่อบ้านจะให้พวกข้าทำสิ่งใด” ชายหนุ่มหนึ่งในห้าถามเสียงเข้ม พวกเขาล้วนไม่รู้ว่าตรงหน้าคือต่งซูเหวิน รู้เพียงว่านางจะมาดูการประลอง แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางอยู่ที่ใด ผู้อื่นเองก็รอฟังว่าพ่อบ้านต่งจะให้ทำสิ่งใดต่อ
ยังไม่ทันได้ตอบสิ่งใด พวกเขาพลันได้ยินเสียงฉินแผ่วเบา ท่วงทำนองไพเราะแต่เศร้าสร้อยไม่น้อย เมื่อฉินบรรเลงก็ไม่มีผู้ใดกล่าวต่อ รอจนเพลงฉินจบลง ชายหนุ่มทั้งห้าจึงหันมองหน้ากันด้วยความงุนงง
“พ่อบ้านต่ง นี่หมายความว่าอย่างไร” หนึ่งในห้าบุรุษหน้าห้องถามขึ้น พวกเขามาเพื่อประลองคัดเลือกองครักษ์ เหตุใดอยู่ ๆ ก็มีผู้มาบรรเลงฉินในลานประลอง
“เพลงนี้เพราะนักแต่เหตุใดผู้บรรเลงจึงบรรเลงเศร้าสร้อยเช่นนี้” บุรุษรูปงามหนึ่งในห้าผู้ชนะถามขึ้น เขาไม่สงสัยเช่นผู้อื่นแต่กลับตะหงิดใจกับทำนองเพลงฉินเมื่อครู่ พ่อบ้านยิ้มให้เขาก่อนจะหันกลับเข้าไปในห้องว่าง ยกมือประสานกัน ค้อมตัวถามบอกกล่าวแก่ซูเหวิน
“ท่านหญิง ให้ข้าทำอย่างไรต่อดีขอรับ” เขาถามคุณหนูของบ้านสกุลต่งที่นั่งอยู่หลังม่าน พอนางลุกเดินออกาจากหลังม่านเขาก็ยืดตัวเต็มความสูง ยื่นมือไปให้นางใช้ประคองเดินบนทางต่างระดับ
“ขอบคุณผู้กล้าที่มาร่วมประลองวันนี้ ผู้ที่มาประลองในวันนี้ข้าจะมอบค่าเสียเวลาให้ทุกท่านคนละสามตำลึง ส่วนผู้ที่ไม่ผ่านรอบสุดท้ายข้าจะมอบค่าเสียเวลาให้ห้าตำลึง”
“ขอบคุณท่านหญิง” นางว่าจบผู้ที่มาร่วมประลองก็กล่าวขอบคุณแล้วพากันเดินไปรับเงินจากผู้ช่วยพ่อบ้านตรงทางออก เหลือเพียงบุรุษห้าคนตรงหน้า ต่งซูเหวินยิ้มให้ทั้งห้าคน ถามชื่อผู้ที่ถามเรื่องทำนองเพลงฉิน
“เจ้ามีชื่อแซ่ว่าอย่างไร”
“ข้าน้อยหลันอันฉี” เขาตอบนางด้วยน้ำเสียงเรียบทุ้ม ใบหน้าเรียบนิ่งมองหน้าสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้าไม่หลบสายตาไปไหน สายตารสวกับว่าเขารู้จักนาง แต่ต่งซูเหวินไม่ได้เข้าใจสายตานั้น นางเพียงพยักหน้าให้บุรุษผู้นั้น
“เช่นนั้น ข้าเลือกเจ้า ท่านทั้งสี่ไปรับค่าเสียเวลาจากผู้ช่วยพ่อบ้านได้เลย ขอบคุณที่มาวันนี้” ทั้งสี่คนโค้งคำนับแล้วจากไป เหลือเพียงหลันอันฉีที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เขาสงสัยว่าเหตุใดนางจึงเลือกตนเอง เพราะการประลองยังไม่เสร็จสิ้น แต่ก็มิได้เอ่ยถามออกไป
“เจ้าสงสัยหรือไม่ว่าเหตุใดข้าเลือกเจ้า”
“ขอรับ”
“เช่นนั้นตามมาทางนี้”
3องครักษ์คนใหม่หญิงสาวพาหลันอันฉีเดินตามไปทางโต๊ะหินอ่อนใกล้ลานประลอง ต้นเฟิงต้นใหญ่เริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวเหลืองเป็นสีแดง เมื่ออากาศเริ่มเย็นลง ทั่วทั้งจวนสกุลต่งมีแค่ลานประลองนี้เท่านั้นที่มีต้นเฟิงอยู่ แม้จะเป็นช่วงที่ใบกำลังเปลี่ยนสีแต่บนพื้นกลับไม่มีใบเฟิงอยู่เลยบ่งบอกว่าลานประลองแห่งนี้ถูกดูแลเป็นอย่างดี ไม่ว่านางจะถูกกลั่นแกล้งจากแม่เลี้ยงเท่าใด แต่ลานนี้ไม่เคยถูกละเลย เพราะลานประลองแห่งนี้เป็นความทรงจำของมารดานาง“ท่านหญิงมีสิ่งใดจะสั่งข้าหรือ” หลันอันฉีถามเสียงเข้ม ไม่มีได้ก้าวร้าวรุนแรง เพียงเป็นเอกลักษณ์ของบุรุษเท่านั้น พ่อบ้านพยักหน้าให้หลังจากท่านหญิงต่งมองหน้าครู่เดียว เขาเดินปลีกตัวออกไปปล่อยให้นางได้บอกกล่าวคำสั่งแค่ผู้ติดตามคนใหม่“ข้ามิได้ต้องการองครักษ์เก่งกาจเท่านั้น แต่ข้ายังอยากได้องครักษ์ฉลาดเฉลียวอีกด้วย และเจ้าเป็นผู้เดียวที่เอ่ยทักทำนองฉินของข้า เหตุใดจึงทักเพลงฉินแทนที่จะถามหัวข้อการประลองต่อไปเล่า” ต่งซูเหวินถามเสร็จก็นั่งลงบนหินอ่อนสีเดียวกับหยก รอฟังคำตอบจากหลันอันฉี“นี่ลานประลอง คงไม่มีผู้ใดนำเครื่องดนตรีมาเล่นที่นี่หากไม่มีเหตุผล เช่นนั้นข้าจึงรู้สึก
4เหตุใดจึงช่วยข้า“องค์หญิง ออกมาเช่นนี้ไม่กลัวเป็นอันตรายหรือเจ้าคะ” หญิงสาวข้างกายถามขึ้นเมื่อองค์หญิงปลอมตัวเป็นบุรุษหนีออกจากวังมาเที่ยว แม้จะเดินห้ามอยู่ข้างกายตลอดแต่นางเป้นบ่าวจะขัดใจผู้เป็นนายได้อย่างไรองค์หญิงหนิงเอ๋อบุตรสาวคนเล็กของฮ่องเต้หนิงหวง พระองค์ทรงรักและตามใจนางมาก เนื่องจากเป็นบุตรสาวที่เกิดจากกุ้ยเหรินคนโปรดเช่นเดียวกับองค์ชายสาม นางมักแอบหนีออกไปเที่ยวนอกวังบ่อย ๆ ยิ่งเป็นลูกคนเล็กถูกตามใจมากไม่มีผู้ใดให้พูดคุยหยอกล้อ ย่อมต้องเบื่อหน่ายเป็นธรรมดา“ข้าหนีออกมาตั้งกี่ครั้งแล้ว เคยถูกจับได้หรืออย่างไร ถึงถูกจับได้แล้วผู้ใดจะเอาโทษข้าเล่า”“โถ่ องค์หญิง”“ไปเถอะอย่ามัวพูดมากเสี่ยวเหมย ไม่เช่นนั้นข้าจะหนีไปเอง” เสี่ยวเหมยจำต้องปิดปากเงียบแล้ววิ่งตามองค์หญิงไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำได้เพียงไหว้พระพุทธองค์ในใจให้ปกปักษ์องค์หญิงของนางเท่านั้นตลาดผู้คนค่อนข้างพลุกพล่านองค์หญิงหนิงเอ๋อเดินไปตามทางในตรอก ข้างนอกแม้อาหารไม่ดูดีเท่าในวัง แต่บางอย่างกลับเลิศรสจนนางเอกยังตกใจ เหตุใดจึงไม่เคยกินมาก่อนเพราะเหตุนี้นางมักแอบออกมาสอดส่องดูว่าภายนอกมีชีวิตกันอย่างไร“เสี่ยวเหมยเจ้าดู
5โชคชะตาลิขิต“ข้าเคารพรองแม่ทัพต่งมานาน ได้เห็นว่าเจ้าเป็นบุตรสาวของนางจึงมีความคิดอยากจุดธูปไหว้นางหน่อยได้หรือไม่” ซูเหวินมองหน้าผู้พูดด้วยความงุนงง เหตุใดนางจึงกล่าวพิกลเช่นนี้ มีผู้ใดกันเดินเข้าบ้านผู้อื่นขอไหว้ผู้ล่วงลับ พอเห็นผู้เป็นนายเดินมาองครักษ์ก็หลบไปอยู่ข้างประตูหลีกทางให้ผู้เป็นเจ้านาย“เจ้าเป็นผู้ใด เหตุใดมาโหวกเหวกหน้าจวนผู้อื่นเช่นนี้ แปลกยิ่งนัก”“ข้าองค์หญิงหนิงเอ๋อ”“ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นองค์หญิง” ซูเหวินกล่าวขณะเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าสตรีที่แสร้งปลอมตัวเป็นชาย มองนางอย่างชั่งใจแปดในสิบส่วนเชื่อไปแล้วว่านางเป็นองค์หญิง คิดว่าหากนางตั้งใจหลอกจริงคงไม่กล้ามาถึงจวนเช่นนี้“หน้าข้าเจ้าคงไม่เคยเห็น แต่คงรู้จักป้ายหยกตระกูลไป๋นี่ใช่หรือไม่” สตรีอายุน้อยกว่ายื่นป้ายหยกขาวสลักคำว่าไป๋ ดูก็รู้ว่าเป็นของในวังอย่างแน่นอน แต่นางกลับคิดว่าแปลกอยู่ดี
6สหายสนิทคนใหม่ภาพตรงหน้างดงามนัก ไม่คิดเช่นกันว่าจะได้มาเห็นภาพนี้พอดี ไม่รู้ว่าต้องขอบคุณหรือโมโหเด็กสาวผู้นั้นดีที่ชอบหนีหายไปตลอด“นั่นเพคะองค์ชาย องค์หญิงอยู่ตรงนั้น” เสี่ยวเหมยสาวใช้คนสนิทกล่าวพลางชี้ไปยังโต๊ะหินอ่อนตรงลานประลอง นางก้าวเท้าหมายจะเดินเข้าไปหาแต่ถูกชายหนุ่มผู้นั้นห้ามไว้เสียก่อน“เดี๋ยว รอก่อน”“เพคะ องค์ชาย” เสี่ยวเหมยตอบรับแล้วขยับไปยืนด้านหลัง ปล่อยให้องค์ชายหนิงอวี่หรือองคืชายสามยืนมองอยู่เช่นนั้นเกือบทุกวันองค์ชายต้องออกมาตามน้องสาวกลับวังเช่นนี้ ทั้งฮ่องเต้ทั้งพระสนมต่างพากันตามใจนาง น้องสาวจึงค่อนข้างเอาแต่ใจตนเอง แม้ไม่ได้ทำให้ผู้ใดเดือดร้อนแต่นางชอบหาเรื่องให้ตนเองลำบากอยู่บ่อยครั้งหลังยามเว่ยหากนางไม่อยู่ในวังเขาจะรีบออกตามหา เพื่อไม่ให้นางสร้างเรื่องให้ตนเองลำบาก แต่วันนี้ดียิ่งนักนางมิได้สร้างเรื่องให้ตนเอง กลับทำเรื่องดี ๆ ให้ผู้เป็นพี่ชายเช
7ผู้ที่อยู่ในใจ“อีกหนึ่งเดือนจะเป็นงานฉลองวันเกิดท่านแม่ ข้าขอให้นางมาสอนรำกระบี่ดีหรือไม่ นางจะได้เข้าวังบ่อย ๆ เสด็จจะได้ไปทำความรู้จักกับนางไม่ต้องคิดข้ออ้างมากมาย เพียงมาหาน้องท่านพี่ก็จะเจอนาง” องค์หญิงหนิงเอ๋อบอกผู้เป็นพี่ด้วยน้ำเสียงสดใส แววตาเปล่งประกาย ตามประสาผู้ไม่เคยมีความรักชอบผู้ใด องค์ชายหนิงอวี่ก็มีความเห็นเอนเอียงไปตามคำบอกเล่าของน้องสาว ติดเพียงอย่างเดียว...“นี่เจ้าอยากช่วยพี่หรืออยากเรียนวิชารองแม่ทัพต่งกันแน่”“โถ่ เสด็จพี่ถึงอย่างไรเสียก็ช่วยท่านได้ ให้ข้าได้ประโยชน์บ้างจะเป็นไร” ผู้เป็นน้องสาวตอบอย่างเขินอาย หัวเราะเบา ๆ ให้ชายตรงหน้า นางอยากเรียนก็จริง แต่ไปขอให้นางสอนที่จวนก็ได้นี่นางอยากช่วยพี่ชาย จึงคิดว่าไปขอให้สหายมาช่วยสอนในวังดีกว่า“ได้ ๆ น้องพี่ว่าอย่างไรก็ดีทั้งนั้น แต่หากพรุ่งนี้จะออกไปให้องครักษ์ไปด้วยรู้หรือไม่”“หนิงเอ๋อต้องไปพรุ่งน
8ใบหน้าที่เสแสร้ง“คุณหนูซูเหวิน มีคนมาหาเจ้าค่ะ” บ่าวในจวนมาแจ้งนางที่ห้อง ซูเหวินลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือเดินไปเปิดประตูห้อง ถามสาวใช้ว่าผู้ใดกันที่มาแต่เช้าเช่นนี้“ใครกันมาแต่เช้าเช่นนี้”“องค์หญิงเจ้าค่ะคุณหนู” สาวใช้กล่าวน้ำเสียงร้อนรน เกรงว่าให้สูงศักดิ์รอนานจะไม่ดีนัก ซูเหวินขมวดคิ้วแล้วตามสาวใช้ออกไปทันที ไม่รู้ว่าเหตุใดองค์หญิงจึงมาหานางแต่เช้า คงไม่มาเคารพป้ายวิญญาณมารดานางหรอกกระมัง ระหว่างเดินก็คิดไปสารพัดอย่าง“ถวายบังคมองค์หญิง”“ไม่ต้องมากพิธี รีบมานั่งเถอะข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วย”“หม่อมฉันหรือเพคะ คนทั่วไปอย่างหม่อมฉันจะช่วยสิ่งใดองค์หญิงได้กัน” นางถามอย่างไม่เข้าใจ ไม่เข้าว่าใจองค์หญิงผู้มีทุกสิ่งในใต้หล้าอยู่ในมือจะให้นางช่วยสิ่งใดได้ องค์หญิงหนิงเอ๋อราวกับรู้ว่านางคิดสิ่งใดจึงเริ่มพูดต่อ“อีกหนึ่งเดือนจะเ
9หน้าที่คือต้องปกป้องหลังกลับจากเรือนฝั่งขวาต่งซุเหวินก็เดินกลับไปที่เรือนฝั่งซ้ายซึ่งเป็นเรือนของตนเอง ท่าทีสบายใจ อารมณ์ดียิ่งนัก หลายชาติก่อนนางไม่เคยเถียงหรือมีท่าทีเช่นกับผู้อื่นมาก่อน พอได้ลองแล้วรู้สึกดีไม่น้อย เช่นนี้นี่เองสองแม่ลูกนั่นจึงมักมาหาเรื่องนางอยู่บ่ายครั้งและที่สำคัญยามนี้นางมีคนคอยดูแลปกป้อง มันทำให้นางยิ่งสบายใจมากขึ้นไปอีก ตัวนางเองไม่มีกำลังจะไปสู้กับใครมีเพียงมันสมองเท่านั้น พอได้หลันอันฉีมาราวกับมีมือมีเท้าเพิ่ม โชคดีเสียจริงที่เลือกเขามา“อันฉี”“ขอรับคุณหนู” ชายหนุ่มรีบเดินเร็วมายืนขนาบข้างกายนางเพื่อรอฟังคำสั่ง นางมองหน้าเขาอยู่สักพักจึงยิ้มออกมา รอยยิ้มงดงามสดใสทำให้คนที่มองใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา“เจ้าไม่สบายหรือเหตุใดหน้าจึงแดงเช่นนนี้” นางยกมือขึ้นแตะหน้าผากองครักษ์ตรงหน้า ด้วยความตกใจอันฉีก้าวถอยหลังทันทีที่ฝ่ามือเล็กแตะลงบนหน้าผากตน“ข้าไ
10เหตุบังเอิญ“เหตุใดพี่หญิงจึงมาช้าเช่นนี้ ข้ารออยู่นานเชียว” องค์หญิงหนิงเอ๋อถามขึ้นเมื่อเห็นหน้าผู้ที่นางรออยู่นานแล้ว ผู้ที่ถูกทักกลับมีใบหน้างุนงง องค์หญิงที่นางได้เจอเพียงสองครั้งเท่านั้นแต่กลับถูกเรียกพี่หญิง นางไม่คุ้นชินผู้ที่เรียกนางเช่นนี้มีเพียงซูหนี่ ซ้ำยังเรียกนางด้วยน้ำเสียงเสแสร้งแกล้งทำ“พี่หญิงหรือเพคะ” ซุเหวินตอบองค์หญิงด้วยน้ำเสียงแคลงใจ จนองค์หญิงหนิงเอ๋อหัวเราะร่วน จูงมือนางให้เดินตามเข้าไปในตำหนักเพื่อพูดคุยกันเสียก่อน“พี่หญิงอายุมากกว่าข้า เช่นนี้เรียกพี่หญิงไม่ถูกหรือ”“แต่ทรงเป็นองค์หญิงนะเพคะ”“องค์หญิงแล้วอย่างไร ข้าอยากรู้ว่าผู้ใดจะขัดได้หากข้าจะเรียก พี่หญิงไม่ต้องห่วง ไปเถอะท่านกินอะไรมาหรือยัง ข้าให้คนเตรียมของกินไว้ให้มากนัก” ช่างเป็นเด็กสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง นางไม่รู้เลยว่าเหตุใดองค์หญิงจึงไม่มีเพื่อนองค์หญิงให
33จำต้องเลือกสองเท้าก้าวไปข้างหน้าอยู่หลายครั้งแต่ก็ย้อนกลับมายืนที่เดิมอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเสด็จแม่จะทำการใหญ่เช่นนี้ได้ ยอมแม้กระทั่งวางยาสวามีตนเอง นี่คงเป็นเหตุผลที่ทรงขอประทานสมรสจากเสด็จพ่อให้ตนเองกับสกุลซู“ชิงเยียนจำได้แล้วเพคะเสด็จป้า แต่ชิงเยียนเกรงว่าหากองค์ชายรู้เข้าจะไม่ทรงยินยอมร่วมแผนการของเรา”“หนิงจินเป็นบุตรที่กตัญญูเพียงใดเจ้าไม่รู้หรือชิงเยียน หากข้าบอกให้ทำมีหรือหนิงจินจะปฏิเสธได้ลง” หวงกุ้ยเฟยบอกซูชิงเยียนด้วยแววตาชื่นชม และรอยยิ้มร้ายกาจ นางชื่นชมตนเองที่เลี้ยงดูบุตรชายมาได้กตัญญูนัก ไม่ว่านางจะบอกเตือนสิ่งใดองค์ชายหนิงจินล้วนไม่เคยขัด กระทั่งนางกล้าใช้บุตรเป็นตัวหมากในการขึ้นสู่ที่สูง“เสด็จป้าทรงปรีชายิ่ง ชิงเยียนจะบอกท่านพ่อให้ครบทุกคำเพคะ เช่นนั้นชิงเยียนขอตัวก่อนอีกไม่นานองค์ชายคงมา หากมาเจอกันยามนี้ย่อมไม่ดีต่อแผนการเป็นแน่”&
32ข้าจำไว้แล้ว“หนิงลี่ แม่นางซู ขอโทษท่านหญิงเสีย” องค์หญิงใหญ่ชักสีหน้าเมื่อได้ยินคำสั่งของพี่ชาย ซูชิงเยียนเองก็ตกใจจนหน้าถอดสี ภาพลักษณ์หญิงสาวอ่อนหวานของนางต่อหน้าองค์ชายสี่หมดไปแล้วหรือไม่“เสด็จพี่ เหตุใดข้าต้องขอโทษนาง อย่างไรข้าก็เป็นองค์หญิง”“เจ้ารู้ว่าตนเองเป็นองค์หญิงแต่ไม่รู้ว่าไม่ควรเสียมารยาทต่อผู้อื่นหรือ” ขณะนี้นางกำลังเป็นที่สนใจของผู้คนไม่น้อยเลย แม้ผู้คนจะไม่ได้เข้ามาฟังใกล้ ๆ แต่กลับยืนมองอยู่ไม่ห่าง“เสด็จพี่”“ช่างเถอะเพคะองค์ชาย หม่อมฉันไม่อยากให้ผู้คนมองมากกว่านี้ ขอเพียงองค์หญิงไม่มาหาเรื่องหม่อมฉันอีก หม่อมฉันย่อมไม่ถือสา ไปเถอะเพคะองค์หญิง” กล่าวกับบุรุษตรงหน้าแล้วจึงขอปลีกตัวออกไป นางมั่นใจว่าองค์ชายสี่ต้องตามออกมาอย่างแน่นอน“เช่นนั้นให้ข้าเดินไปส่งดีหรือไม่” เป็นอย่างที่นางคิดเขาขอตามออกมา และหากนางยอมรับน้ำใจน
31ประทานสมรสต่งซูเหวินตามไปพบองค์หญิงหนิงเอ๋อที่หน้าตำหนักข้างของอุทยาน เมื่อพูดคุยกันจนหายคิดถึงแล้วจึงตามไปยังอุทยานเพื่อร่วมงานฉลองของหวงกุ้ยเฟยงานเช่นนี้ยังคงน่าเบื่อสำหรับนางอยู่เสมอ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่กับต่งซูหนี่ที่น่ารำคาญ นางเอาแต่มองหาหลิงเฟยหลง ถามนางซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าหลิงเฟยหลงไปไหน ทำไมจึงไม่อยู่ในงาน มันทำให้นางหงุดหงิด นางเดาว่าความหงุดหงิดนี้เพราะต่งซูหนี่น่ารำคาญ“ฝ่าบาทเพคะ งานฉลองของน้องไป่คราก่อนพระองค์ทรงรับปากประทานสมรสให้หนิงอวี่ ครานี้ทรงประทานสมรสให้หนิงจินเป็นของขวัญหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ” หวงกุ้ยเฟยกล่าวกับองค์จักรพรรดิด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน แม้จะไม่โปรดตระกูลซูที่คอยหนุนหลังนาง แต่อย่างไรนางก็เป็นถึงหวงกุ้ยเฟย อยู่ด้วยกันมานานย่อมมีความรักอยู่บ้าง ฮ่องเต้จึงไม่อาจปฏิเสธคำขอนี้ได้“หวงกุ้ยเฟย เจ้าอยากให้ข้าประทานสมรสบุตรชายกับสตรีตระกูลใดหรือ หนิงจินเจ้าถูกใจแม่นางตระกูลใดเหตุใดไม่ยอมบ
30ดั่งนภายามค่ำคืนหลังจากโรงน้ำชาวันนั้นผ่านมาหนึ่งเดือนอีกหนึ่งวันจะเป็นวันฉลองวันประสูติหวงกุ้ยเฟย ดังเช่นงานฉลองของไป่กุ้ยเฟย ฝ่าบาททรงมีคำสั่งให้จัดงานมีเทียบเชิญส่งไปแต่ละจวนไม่น้อย หนึ่งในนั้นก็เป็นตระกูลต่ง คราวนี้มิได้มีเพียงต่งซูเหวินเท่านั้น ต่งซูหนี่เองก็เข้าวังไปตามเทียบเชิญด้วยเช่นกันงานเช่นนี้นางเบื่อยิ่งนักหากไม่เพราะเทียบเชิญนางไม่นึกอยากมาแม้แต่น้อย คงเป็นวันนี้ที่หวงกุ้ยเฟยจะทูลขอสมรสจากองค์จักรพรรดิให้องค์ชายสี่และหญิงตระกูลซูผู้นั้น“คารวะท่านหญิง” นางกำนัลเอ่ยขึ้นมาขณะนางกำลังเดินไปยังอุทยานที่จัดงานฉลอง หากนางจำไม่ผิดนางกำนัลนี่เป็นนางกำนัลขององค์หญิงหนิงเอ๋อ แม้ไม่ชอบเข้าร่วมงานในวังแต่อย่างไรก็เป็นวันเกิดหวงกุ้ยเฟย องค์หญิงก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน“องค์หญิงหนิงเอ๋ออยู่ที่อุทยานหรือไม่”“อยู่เจ้าค่ะ องค์หญิงกำลังรอท่านหญิงอยู่เช่นกัน เชิญทางนี้เจ้าค่ะ” หงอิงเดิ
29ที่ปรึกษา“ข้าเชื่อท่านหญิง แต่หากท่านหญิงอยากล้มตระกูลซูมีแค่ตนเองคงไม่อาจสำเร็จได้”“เป็นเช่นนั้น ข้าจึงบอกท่านอย่างไรล่ะ ข้ารู้ว่าท่านเลือกองค์ชายสามใช่หรือไม่ นอกจากองค์ชายสามก็คงไม่มีผู้ใดเหมาะกับตำแหน่งไท่จื่อแล้ว อีกทั้งกุ้ยเฟยยังไม่ทรงอยากมีอำนาจเช่นหวงกุ้ยเฟยด้วย” นางบอกความคิดของตนเองให้กับบุรุษตรงหน้า ไม่รู้เช่นกันว่าเขาจะคิดอย่างไรกับเรื่องนี้แม้จะพานพบแต่เรื่องราวเลวร้ายมามาก แต่การยอมเชื่อใจผู้อื่นก็ยังง่ายกว่าการคอยระแวงผู้อื่นอยู่ดี“เป็นดังที่ท่านหญิงกล่าว ข้าเลือกองค์ชายสามไม่ใช่เพราะเก่งกาจเหนือองค์ชายสี่ แต่เพราะมารดาองค์ชายสามทรงรักบุตรชายมากกว่าการแสวงหาอำนาจ”“เช่นนั้นถือว่าข้าช่วยท่าน ท่านช่วยข้า”“หากท่านหญิงมีสิ่งใดให้ช่วย โปรดบอกข้าน้อย” หลิงซือฝูลุกยืนยกมือขึ้นมาประสานกันค้อมตัว เมื่อได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด เสร็จสิ้นทุกอย
28อดีตที่มิอาจลืมเลือนได้“ท่านไม่จำเป็นต้องตอบ ข้าเพียงขบขันความโง่งมยามนั้นของตนเองเท่านั้น”“เช่นนั้นคนผู้นั้นคือ...”“องค์ชายสี่หนิงจิน ข้าจึงอยากรู้เรื่องขององค์ชายมาก แต่ก็ไม่อยากเข้าใกล้”“ข้าเดาไม่ผิดจริง ๆ เช่นนั้นแล้วเรื่องของท่านหญิงเป็นอย่างไรต่อ ท่านหญิงบอกว่าตนเองผ่านความเป็นความตายถึงสามครั้งสามครา” หลิงเฟยหลงถามต่อ เรื่องนี้แม้ไม่น่าเชื่อเท่าใดแต่เมื่อผู้กล่าวเป็นต่งซูเหวิน เขาเต็มใจเชื่อนางทั้งหมดไม่ว่านางจะบอกสิ่งใดก็ตาม ก่อนนี้นางก็ได้บอกเรื่องราวเหลือเชื่อที่พิสูจน์มาแล้ว“ยามนั้นข้าโง่งมในรักเพียงเขาบอกว่า รักเพียงข้าแต่ต้องแต่งสตรีอื่นเป็นเมียเอกเพราะมารดาสั่ง ตระกูลชายาเอกมีอำนาจในราชสำนักมาก สามารถส่งเสริมเขาในการขึ้นเป็นไท่จื่อได้ ข้ายอมเพราะอยากเห็นคนรักสมปรารถนา ท่านลองเดาดูสิว่าสตรีที่ข้าว่าคือผู้ใด”“จากที่ท่านเกลียดตระ
27ผู้ร่วมชะตากรรม“ข้าบอกท่านครั้งก่อนว่าล่วงรู้อนาคต ที่แท้มิใช่เช่นนั้น” ต่งซูเหวินหันไปมองหลิงเฟยหลง คราก่อนที่เขาไปกับนาง นางก็มิได้บอกเล่าเรื่องจริงเพราะไม่รู้ว่าที่แท้เขาอยู่ฝ่ายผู้ใด จึงได้แสร้งบอกเขาไปว่านางมีญาณหยั่งรู้อนาคตผู้มากความรู้อย่างเขาย่อมไม่เชื่อเรื่องหลอกลวงนี้เป็นแน่ นางจึงกล่าวถึงรับสั่งฮ่องเต้ที่ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ จากที่นางคำนวนไว้อีกไม่กี่วันฮ่องเต้ต้องทรงมีราชโองการนี้เป็นแน่ ฮ่องเต้ต้องมีรับสั่งให้เหล่าองค์ชายจัดการเรื่องการค้าของเถื่อนที่ไม่สามารถเก็บภาษีได้สองวันต่อมาหลิงซือฝูจึงส่งจดหมายลับให้นาง เขาเชื่อที่นางกล่าวหลังจากได้ฟังรับสั่งฮ่องเต้ นางไม่ได้ตอบกลับเพราะยังไม่เชื่อเขาทั้งหมด“เช่นนั้นท่านหญิงรู้ได้อย่างไรว่าฮ่องเต้จะมีราชโองการ”“ก่อนข้าจะบอกความจริงแก่หลิงซือฝู ข้าขอถามท่านสักคำถาม ในสายตาท่านคิดว่าองค์ชายสี่เป็นเช่นไร”“จากที่
26เป็นเช่นนี้“คนผู้นี้ฟื้นตื่นขึ้นมาบ้างหรือไม่” ต่งซูเหวินถามเขาขณะยืนมองร่างบุรุษที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อวานเขาหลับอยู่ตลอดเลยหรือไม่ หลิงเฟยหลงเดินไปยืนข้างนางก่อนจะหันไปบอกเหตุการณ์เมื่อคืน“คนผู้นี้เมื่อคืนตื่นมาหนึ่งครั้ง ข้าได้สอบถามเขาบางส่วน เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านหญิงกำลังสืบสิ่งใดอยู่จึงไม่อาจสอบสวนช่วยท่านหญิงได้”“มิเป็นไร ข้าจะสอบสวนจินจื่อหยางผู้นี้เอง เพียงรอให้เขาตื่นขึ้นมาเท่านั้น หลิงซือฝูท่านคิดว่าชายผู้นี้จะฟื้นเมื่อใดหรือ”“ไม่นานคงตื่น มิเช่นนั้นให้องครักษ์ท่านหญิงลองปลุกดูดีหรือไม่”“อันฉี”“ขอรับคุณหนู” ไม่ต้องให้นางเอ่ยคำใดออกมาอีก เพียงเอ่ยนามเขาก็เข้าใจในทันทีว่าควรทำสิ่งใด หลันอันฉีเดินไปยังเตียงไม้เพื่อปลุกผู้ที่กำลังหลับ จื่อหยางขยับตัวเปิดเปลือกตาสักครู่ก็พยายามยันตัวลุกนั่งโดยมีองครักษ์หนุ่มช
25ข้าอิ่มพอดี“คุณหนูมีสิ่งใดจะสั่งข้าหรือ”“เจ้าแข็งแรงย่อมต้องมีแรงมาก มานวดแป้งให้ข้าที” ต่งซูเหวินกวักมือเรียกชายหนุ่มที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู เขาเดินเข้ามาอย่างว่าง่าย วางดาบพิงประตูครัวเดินอ้อมด้านหลังนางไปล้างมือ เสร็จแล้วมายืนข้างกายนาง“ทำเช่นนี้ จนกว่าแป้งนี่จะเป็นเนื้อเดียวกัน เข้าใจหรือไม่” ต่งซูเหวินวางมือสองข้างลงบนหลังมือของชายหนุ่ม กดมือเขาให้ขยำไปบนเนื้อแป้งที่ผสมน้ำอยู่ หลันอันฉีนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ไม่ได้มองด้วยซ้ำว่านางสอนอย่างไร เพราะยามนี้สายตาเขาแอบลอบมองเสี้ยวหน้าของนางอยู่ใบหน้าที่เคยนิ่งเฉยเจือไปด้วยสีชมพูอ่อนใส โชคดีที่ไม่มีผู้ใด ไม่เช่นนั้นคงมีผู้คนล่วงรู้ความรู้สึกของเขา“อันฉี เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่” ต่งซูเหวินเรียกเขาเสียงดัง โบกไม้โบกมือเรียกสติเขาให้หลุดออกจากภวังค์ นางใกล้ชิดกับเขาโดยไม่ระวังตัวแม้แต่น้อย ไม่รู้เพราะนางสบายใจหรือไม่คิดว่าเขาเป็น