หยวนชิงหลิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยและหันไปมองอาซื่อ "ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนั้น"อาซื่อพูดว่า "ข้าแค่คิดว่าสิ่งที่ติดค้างในใจนางตอนนี้น่าจะเป็นอ๋องเว่ย ถ้านางอยากปล่อยวางจริง นางอาจจะคุยกับอ๋องเว่ย?"“มีอะไรให้คุยอีก?” หยวนชิงหลิงนึกถึงเรื่องที่อ๋องเว่ยทำร้ายนาง หวังเพียงว่าอ๋องเว่ยจะออกไปจากชีวิต และไม่รบกวนนางอีก“ไม่รู้สิ” อาซื่อไม่เข้าใจความรักระหว่างชายกับหญิง แต่คิดแค่ว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะไปไหนได้?หยวนชิงหลิงก้าวไปข้างหน้า อาซื่อรีบพูดว่า "พี่หยวนก้าวไปข้างหน้าไม่ได้นะ มันอันตราย"หยวนชิงหลิงหันศีรษะและยิ้มให้นาง "ไม่เป็นไร ลมดีมากเลย ข้าอยากรับลม"“นางข้าหลวงสี่เพิ่งบอกอยู่หยก ๆ เพิ่งอยู่เดือนเสร็จ ยังโดนลมไม่ได้” อาซื่อกล่าว“ไม่เป็นไร อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว” หยวนชิงหลิงกล่าวอาซื่อยิ้ม "จะอุ่นหรือไม่ก็ช่างเถอะ ใต้เท้าถังส่งเครื่องนอนไปที่คุกเมื่อวานนี้ พ่อของท่านบอกว่าในคุกมันหนาว"เนื่องจากฝ่าบาทยังคงต้องดำเนินการสอบสวนต่อไป แม้ว่าจิ้งโฮ่วจะให้การเป็นอย่างดี แต่เขาจะหลอกลวงเบื้องสูงได้หรือ? ดังนั้นฝ่าบาทจึงสั่งให้เขาถูกคุมขังในคุกของสำนักผู้ตรวจการจวนจิ้งเป่าไปก่อนอย่า
มีคนคล้ายแม่อยู่ข้างตัวเอง ก็อย่าคิดถึงแม่ของตัวเองเลยแต่นี่มันแตกต่างกัน“นั่นมาแล้วใช่ไหม?” จู่ ๆ อาซื่อก็พูดขึ้นมาทั้งสองมองออกไปทันที และเห็นกลุ่มรถม้าและกองม้าค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนถนน ม้าที่อยู่ด้านหน้าดูเหมือนจะเป็นทหารม้าแปดตัว และรถม้าสองคันที่อยู่ข้างหลังติดธงของต้าโจวมาด้วย"มาแล้วจริง ๆ!" อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความตื่นเต้นเขาทิ้งหยวนชิงหลิงไว้ข้างหลังทันที และวิ่งปึงปังลงไปและพูดกับกรมพิธีการข้างล่างว่า "มาแล้ว ๆ เตรียมพรมแดง เตรียมต้อนรับ"หยวนชิงหลิงมองไปที่อวี่เหวินห่าวที่กระโดดโล้ดเต้นเหมือนเด็ก นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก "ใช่เขาหรือ? ทำไมถึงรู้สึกเหมือนตัวตลกโดบี้มากขึ้นเรื่อย ๆ นะ"“โดบี้คืออะไรเจ้าคะ?” อาซีถามหยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "โดบี้เป็นคนโง่ที่น่ารัก"อาซื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งรู้สึกน่าสนใจมาก ตอนเดินไปด้วยกันจึงพูดกับนางว่า "ตอนทำงานไม่เคยเห็นเขาดูงี่เง่าเลอะเลือนแบบนี้มาก่อน รัชทายาทของพวกเราฉลาดมากนะเจ้าคะ"หยวนชิงหลิงลงไปที่ประตูเมือง เห็นรัชทายาทผู้ชาญฉลาดที่อาซื่อว่าควบม้าออกไปทักทายเขา เสียงเกือกม้าทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว เขาและม้าเกือบจะจมอยู่
ผู้หญิงที่อยู่บนรถม้าก็ลงมาด้วย ผู้หญิงคนนั้นมีใบหน้าที่งดงามและห้าวหาญ สวมเสื้อผ้าแพรลายเมฆาหลวม ๆ เห็นได้ชัดว่านางมีท้องที่ใหญ่โต นางกระโดดออกจากรถม้าด้วยตัวเอง หลังจากที่นางลงจากรถแล้ว นางยังคงมองไปที่ท่านแม่ทัพด้วยความงุนงงอีกคนหนึ่งลงมาจากรถม้า เป็นผู้หญิงอายุประมาณยี่สิบปี มักผมหางม้า สวมเสื้อผ้าหลวม ๆ เปื้อนฝุ่นและดูเหนื่อยล้าหยวนชิงหลิงจับจ้องไปที่ใบหน้าของผู้หญิงอีกคน โดยเฉพาะเสื้อผ้าหน้าผมของนาง และท่าทางของนางขณะที่นางลงจากรถม้า นางเห็นรองเท้าของนาง เป็นรองเท้าหนังหัวแหลมคู่หนึ่งอยู่ใต้กระโปรงยาวเมื่อมองไปที่การแต่งตัวแบบนี้ หยวนชิงหลิงรู้สึกแปลกประหลาดใจ ดังนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะมองอีกสักพักคนนี้แม้ไม่ได้งดงามมาก แต่ให้ความรู้สึกสบายใจกับผู้คนมาก แม้ว่าเฉินจิ้งหนิง ภรรยาของจิ้งถิงก็ให้ความรู้สึกคล้ายกัน แต่ก็แตกต่างกันเล็กน้อยรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก“เฉินจิ้งหนิง คารวะองค์หญิงรัชทายาทเพคะ!”นางที่ยังเหม่อไม่ได้สติ เมื่อเห็นเฉินจิ้งหนิงก้าวไปข้างหน้าเพื่อคำนับให้เช่นนี้ นางรีบคืนคำนับโดยจับมือของเฉินจิ้งหนิงเอาไว้ทันที "จวิ้นจู่อย่าเกรงใจไปเลย ระหว่างทางลำบา
"คนนั้นยังคงเป็นคน ๆ เดิม..." อวี่เหวินห่าวคิดอยู่ครู่หนึ่ง "แต่ก็ไม่ใช่คนเดิมเช่นกัน"เฉินจิ้งถิงยิ้ม "พี่อวี่เหวิน เจ้าหมายความว่าอะไร?"อวี่เหวินห่าวยิ้มและโบกมือ "ไว้ข้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้เจ้าฟังทีหลัง มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปพบลูกชายของข้า"เฉินจิ้งถิงดูสนใจมากและพูดอย่างมีความสุขว่า "ดี"ในอีกด้านหนึ่ง หยวนชิงหลิงก็พาเฉินจิ้งหนิงไปดูเด็ก ๆ พวกเขาทั้งสี่อยู่ด้วยกัน มองดูเด็กสามคนที่เหมือนกันยังกับแกะ คู่สามีภรรยาจากต้าโจวต่างก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจสามแฝดมองผู้มาเยือนจากต้าโจวด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เหมือนว่าจะชินกับอะไรเหล่านี้ไปแล้ว จึงไม่ได้ดูตื่นเต้นสักเท่าไหร่ในช่วงอาหารเย็น คู่สามีภรรยาอ๋องฉีก็มาเป็นเพราะหยวนหยงอี้อยากจะมา ดังนั้นอ๋องฉีจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมาหยวนหยงอี้ชื่นชมเฉินจิ้งหนิง นางจึงย่อมอยากพบเป็นธรรมดาหลังจากทำควารู้จักกันสักพัก หยวนหยงอี้ก็มองไปที่แม่ทัพจิ้งถิงและแอบพูดกับอ๋องฉีว่า "ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแม่ทัพจิ้งจะยังหนุ่มและหล่อมากขนาดนี้ ในเป่ยถังของเราคงมีไม่กี่คนที่จะเทียบกับเขาได้? ท่านต้องคบเพื่อนแล้วล่ะ"อ๋องฉีโกรธจนปากเบี้ยว "ก
หลังจากอ๋องฉีมองมาอย่างยั่วยุเช่นนั้น เฉินจิ้งถิงก็ดื่มเหล้าจนหมดชามโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ราวกับกำลังดื่มน้ำเปล่าในชามอ๋องฉีกัดฟัน คิดว่าเขาเสแสร้ง แล้วเทเหล้าอีก “นี่เรียกว่าคารวะสามจอก มาอีก!”หลังจากพูดจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นดื่มไปอีกชามหนึ่งเฉินจิ้งถิงมองเขาอย่างชื่นชม "อ๋องฉีคอแข็งดีจริง ๆ!"อ๋องฉีเซไปสักพัก ดื่มเร็วเกินไปจนเริ่มเวียนหัว เขาชี้ไปที่เหล้าในชาม "ตาท่านแล้ว ท่านแม่ทัพอย่าได้เกรงใจ"“อ๋องฉีให้การต้อนรับอย่างดีเช่นนี้ ข้ามีหรือจะกล้าปฏิเสธ” เฉินจิ้งถิงดื่มเหล้าไปอีกชาม สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยน และเต็มไปด้วยรอยยิ้มตอนนี้อ๋องฉีรู้แล้วว่าตัวเองวู่วามไปแล้ว เขามุทะลุเกินไป คาดไม่ถึงว่าเขาจะคอแข็งขนาดนี้อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาสัญญาว่าจะดื่มสามชาม และยังเหลืออีกหนึ่งชาม ถ้าเขาดื่มชามนี้เขาจะต้องเมาแน่นอนเขาหันมอง ถึงจะเข้าตาจนแบบนี้แล้ว เขาก็ถอยไม่ได้ ต้องสู้ให้ถึงที่สุด และมองไปที่อวี่เหวินห่าวแล้วพูดว่า "พี่ห้า ยังมีอีกชามอยู่ ท่านคารวะท่านแม่ทัพสิ"ผลัดกันคารวะเขาแบบนี้ ไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่เมาอวี่เหวินห่าวมีหรือจะไม่รู้แผนการในใจของเขา? จากนั้นเขาก็พูดอย่า
ยิ่งพูดก็ยิ่งออกรสขึ้นเรื่อย ๆ แต่ผู้ที่ฟัง ฟังจนหนอนจะขึ้นหูอยู่แล้วเฉินจิ้นหนิงพูดใจเย็นว่า "ในเมื่อไม่ได้เจอกันตั้งนาน ทำไมไม่ออกไปประลองยุทธ์กันสักตา จะได้หวนนึกถึงความรู้สึกในอดีตอีกครั้ง"หลังจากได้ยินเช่นนี้ อวี่เหวินห่าวและเฉินจิ้งถิงก็เห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ดี ดังนั้นจึงรีบสั่งให้คนจัดการสนามให้เรียบร้อย และนำดาบยาวสองเล่มออกมา ออกไปสู้กันสักตาเพื่อรื้อฟื้นอดีตมีโคมไฟหลายดวงแขวนอยู่ในลาน ทำให้ลานนั้นส่องสว่างแบบสลัว ดูนุ่มนวลอวี่เหวินห่าวสวมชุดสีขาว และเฉินจิ้งถิงสวมชุดสีน้ำเงิน ทั้งสองคนทะยานขึ้นไป และดาบยาวก็ปะทะกันบนอากาศส่งเสียงไพเราะออกมา เพลงกระบี่งดงามเหมือนดอกไม้ ไร้ซึ่งจิตสังหาร มีเพียงความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้เท่านั้นหยวนชิงหลิงพูดด้วยเสียงต่ำ "พอแล้ว!"บังเอิญมองไปเฉินจิ้งหนิง หยวนชิงหลิงรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย แต่เฉินจิ้งหนิงยิ้มให้อย่างรู้ใจ "พอแล้วจริง ๆ"อาซื่อและหยวนหยงอี้เฝ้าดูการบรรเลงเพลงดาบของพวกเขา เดิมทีคิดว่าจะได้ชมการประลองยุทธ์ที่สะเทือนเลือนลั่น คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนการร่ายรำที่สง่างาม และอดไม่ได้ที่จะเลิกสนใจในที่สุดเฉินจิ้งหนิงก็ท
หลังจากดื่มไปสองชามใหญ่อ๋องฉีรู้สึกเวียนหัวตลอดทั้งคืนหยวนหยงอี้ช่วยประคองเขาเข้าไปในรถม้าและพูดว่า "นั่งลง ข้าจะไปขี่ม้า" ส่วนใหญ่เวลาพวกเขาออกไปข้างนอก นางชอบขี่ม้า ไม่ชอบอยู่อุดอู้ในรถม้าที่คับแคบตอนที่นางเปิดม่าน จู่ ๆ อ๋องฉีก็คว้าข้อมือนางไว้ "เดี๋ยวก่อน"หยวนหยงอี้หันหน้ามา "มีอะไรรึ?"นางมองย้อนแสงไป จึงมองไม่เห็นใบหน้าอย่างชัดเจน มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่เป็นประกายวิบวับ ความกล้าหาญที่เขารวบรวมมาทั้งหมดก็สลายหายไปอย่างกะทันหัน "ไม่ ข้าแค่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย"หยวนหยงอี้หัวเราะ "ใครบอกให้ท่านดื่มเยอะขนาดนั้นกัน? มาถึงก็คารวะเหล้าให้เขาตั้งสามชาม ถ้าข้าไม่ดื่มให้ท่านสักชาม คืนนี้ท่านได้ถูกหามกลับจวนแล้ว""ทำไมเจ้าถึงช่วยข้าดื่มกัน?" อ๋องฉีจ้องนางและถามหยวนหยงอี้ผายมือของนาง "แค่เห็นท่านเมาไม่ได้ เห็นอยู่ชัดเจนว่าท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้แม่ทัพเฉิน"อ๋องฉีโกรธ "ทำไมเจ้าถึงดูถูกข้าอยู่ตลอด?"หยวนหยงอี้ตกใจ "งั้นหรือ? ข้าดูถูกท่านตอนไหนกัน?"“เจ้าไม่ได้ดูถูกงั้นรึ?” อ๋องฉีถามกลับหยวนหยงอี้กล่าวว่า "ไม่แน่นอน ข้าจะดูถูกท่านได้อย่างไร? ทำไมท่านถึงมีความคิดเช่นนี้?"อ๋องฉีตบท
หยวนหยงอี้นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองใบหน้าร้อนเห่อของนางด้วยหัวใจที่เต้นแรงนางถอนหายใจเบา ๆ แล้วลูบหน้าตัวเอง ทั้งที่รู้ว่าทำไปก็ไม่ได้อะไรใจเต้นแบบนี้เป็นแค่ความรู้สึกชั่ววูบ ซึ่งนางไม่อยากรู้สึกเช่นนี้ว่าไปแล้วตอนที่นางแต่งงานกับเขา นางช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน คิดว่าหลังจากจบเรื่องนี้แล้ว นางจะสามารถโบยบินไปสุดขอบโลก ใช้ชีวิตตามที่นางต้องการได้ แต่ตอนนี้นางได้ผ่านอะไรมากมายกับเขา ความคิดของนางจึงค่อย ๆ เปลี่ยนไปไม่ใช่ว่านางอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ แต่สิ่งที่นางต้องการคือหลักประกันที่มั่นคง และความรักที่จริงใจฉู่หมิงชุ่ยทิ้งปัญหาใหญ่ไว้ให้พวกเขาคน ๆ นี้ไม่เคยห่างหายจากใจไปเช่นกันนางยอมรับว่าตัวนางเองก็ประทับใจเขาแต่นางก็มีเหตุผลเช่นกัน แค่ใจเต้นแรงไม่ได้หมายความว่านางจะต้องทนอยู่แบบนี้ตลอดไป แต่นี่เป็นเรื่องของทั้งชีวิตนางโหยหาความสัมพันธ์อย่างพี่หยวนกับองค์รัชทายาท พวกเขามีเพียงกันและกันในใจ และไม่มีที่ว่างให้สำหรับคนอื่นนางหวังว่าความสัมพันธ์และการแต่งงานของนางจะเหมือนเดิมอยู่เช่นนั้น แม้ว่าในใจของเขาจะมีฉู่หมิงชุ่ยอย่างเงียบ ๆ แต่นั้นเห็นทีคงจะไม่ได้ความรั
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม