ภูเขาลูกใหญ่มาก จึงสุ่มหาสักที่ที่มีดินร่วนเพื่อฝังศพกู้จืออาซื่อตักดินเติมลงในหลุมและพูดอย่างเฉยชาว่า "กู้จือ เจ้าได้รับกรรมที่ก่อแล้ว ตายแล้วไปก็ไปปรโลกซะ อย่าคิดจะกลับมาสร้างปัญหาอีก อย่างไรก็ตาม ตอนที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าทำเรื่องเลวร้ายไว้มากมาย ตายไปแล้วต้องตกนรก แม้จะอยากกลับก็ไม่ได้อีก ในชาติหน้าขอให้เป็นคนดีนะ ถึงการเป็นคนดีจะลำบาก แต่ก็สุขใจ”นางเติมดินในหลุมให้เต็มและอัดให้แน่น วางหินสองก้อนไว้ด้านบนเป็นเครื่องหมาย นางรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย นางจึงนั่งหน้าหลุมศพเพื่อพักและพูดว่า "จิ้งเหอจวิ้นจู่ช่างแสนดีเหลือเกิน ทำไมเจ้าถึงโหดร้ายกับนาง นางเคยช่วยเจ้าไว้แท้ ๆ เป็นคนไม่รู้จักบุญคุณคน เจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากคนตายเลย เอาเถอะ เจ้าไปซะเถอะ "หลังจากพูดจบ นางก็เดินกลับมาพร้อมกับแบกพลั่วมาจิ้งเหอจวิ้นจู่กำลังเก็บข้าวของในห้อง เตียงและเครื่องนอนของกู้จือถูกเผาทิ้งทั้งหมด มีกลิ่นเลือดลอยคลุ้งอยู่ในอากาศอาซื่อเข้าไปช่วยเผาทุกอย่างที่ควรเผา แล้วถามจิ้งเหอจวิ้นจู่ว่า "ท่านจะกลับไปที่แห่งใด?"จิ้งเหอจวิ้นจู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ข้าจะกลับไปกับเจ้า จะแวะดูเด็กคนนั้นสักหน่อย"“แล้
อาซื่อและหมานเอ๋อร์รีบไปช่วยพยุงนาง หยวนชิงหลิงรู้ว่านางเหนื่อยจนหมดสติไป จึงพานางไปที่ห้องด้านข้างนอนพักสักครู่หลังจากพานางไปนอนแล้ว นางให้หมานเอ๋อร์ไปที่จวนตระกูลชุย เพื่อที่คนในจวนตระกูลชุยจะได้ไม่ต้องกังวล แต่อย่ามาที่นี่ก่อน ปล่อยให้นางอ่อนแอสักพัก หากคนในตระกูลชุยมา เกรงว่านางจะต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็งอย่างไรก็ตาม จิ้งเหอจวิ้นจู่สนิทกับพระชายาซุน ดังนั้นนางจึงเชิญพระชายาซุนมาเมื่อพระชายาซุนมาถึง หยวนชิงหลิงก็เล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง พระชายาซุนสะใจมาก และพูดว่า "ดี ฆ่าได้ดี คนแบบนี้สมควรตาย"“คนตายไปแล้วก็ช่างเถอะ ไม่ต้องตะโกนหรอก” หยวนชิงหลิงกล่าวพระชายาซุนพยักหน้า "ข้ารู้ ข้าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร ที่นี่เจ้าช่วยเก็บความลับไว้ได้ไหม?""คนที่รู้เรื่องนี้มีแค่อาซื่อและหมานเอ๋อร์ และทั้งสองคนเก็บความลับได้" หยวนชิงหลิงรู้ว่าแม้ว่าบางครั้งพระชายาซุนจะเก็บความลับไม่อยู่ แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิ้งเหอจวิ้นจู่นางมีขอบเขต ดังนั้นนางจึงไม่กลัวที่จะบอกให้นางรู้พระชายาซุนถอนหายใจด้วยความโล่งอกจริง ๆก่อนหน้านี้ที่จิ้งเหอจวิ้นจู่จะเก็บกู้จือไว้ นางเคยบอกด้วยว่าจิ้งเหอจวิ้นจู่ใจอ
นางยังสั่งให้คนส่งจดหมายถึงหยวนชิงหลิงนางบอกหยวนชิงหลิง ทั้งครอบครัวและเพื่อน ๆ ของนางในเมืองหลวง รู้สึกว่านางจมอยู่ในทะเลแห่งความทุกข์ ทุกคนอยากจะปกป้องนาง แต่นางก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น ถ้าชีวิตคือประสบการณ์ นางอยากจะออกไปสัมผัสมันด้วยตัวเองหลังจากอ่านจดหมายฉบับนี้ หยวนชิงหลิงรู้สึกมีความสุขจริง ๆ แม้ว่าการออกไปครั้งนี้อาจจะยากลำบากและอันตราย แต่ก็เป็นเรื่องดีที่นางสามารถใช้ชีวิตตามใจนางเอง และทิ้งโซ่ตรวนของเมืองหลวงไว้เบื้องหลังอวี่เหวินห่าวขอให้เซียวหงเฉินหาครอบครัวรับฉงเอ๋อร์ไปเลี้ยงเซียวหงเฉินหาได้อย่างรวดเร็ว เขาคือหยวนไหว่หลางจากฝูโจว เขาแต่งงานมาหลายปีและไม่มีลูก เขาพาฮูหยินไปเหมืองหลวงเพื่อรับการรักษา อยู่ที่เมืองหลวงรับรักษานานมากว่าหนึ่งปี ถ้าเขานำเด็กกลับไปที่ฝูโจว เขาสามารถประกาศต่อคนทั่วไปได้ว่าฮูหยินของเขาได้คลอดมาเองเซียวหงเฉินให้หยวนชิงหลิงวางใจได้ นางรู้จักหยวนไหว่หลางคนนี้มาหลายปีแล้ว เขาใจดี มีเมตตา สะสมทรัพย์สมบัติบริจาคเพื่อหมู่บ้าน ในระแวกนั้นยกย่องว่าเขาเป็นคนใจบุญหยวนชิงหลิงคิดว่ามันดีมาก ฝูโจวอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง กำหนดการประมาณสองวัน ถ้าสะดวกจะ
อวี่เหวินห่าวถอนหายใจ "อันที่จริงมันไม่สำคัญหรอกว่าจะมีคลังเล็ก ๆ หรือไม่ ในไม่ช้านี้จิ้งถิงกำลังจะมา ข้าคงจะไม่อดอยากจนเกินไป""แน่นอน ๆ" ถังหยางตระหนักได้ว่าเขาพยายามเอาใจทั้งสองฝ่าย และดีดลูกคิดได้อย่างราบรื่นในวันสำคัญ ต้องเริ่มซ้อมแผนการในวันพรุ่งนี้ก่อนอื่นในตอนประมาณเที่ยงคืนจะทำการโกนผมให้เด็ก ๆ ก่อน เรียกว่าเรียกว่าการโกนผมไฟครบเดือน หลังจากนั้น อวี่เหวินห่าวจะพาหยวนชิงหลิงและเด็ก ๆ ไปจุดธูปกราบไหว้ที่ศาลบูรพกษัตริย์ จากนั้นนำไปถวายพระพรไท่ซ่างหวง ไทเฮา ฮ่องเต้ และฮองเฮาหลังจากเสร็จแล้ว ก็กลับไปที่จวนจิ้งโฮ่ว เรียกว่าครบเดือนกลับบ้านแม่ เดินแวะรับอั่งเปาให้เป็นสิริมงคล หลังจากจุดประทัดเสร็จแล้วจึงกลับไปที่จวนอ๋องฉู่ เพื่อต้อนรับแขกเรื่อที่เข้ามากมายมายนอกจากนี้จะมีงานเลี้ยงที่จวนจิ้งโฮ่วได้เชิญญาติ และเพื่อน ๆ ของจวนจิ้งโฮ่วมา หยวนชิงหลิงได้สั่งให้คนไปบอกท่านย่าของนางเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว และนางจะจ่ายเงินเองนางรู้ว่าเงินของท่านย่าถูกจิ้งโฮ่วรีดไถมาตลอดหลายปีจนว่างเปล่า นางไม่สามารถนำเงินออกมาจัดงานเลี้ยงดี ๆ ได้อีกแล้วในขณะนี้ยังเดินไม่ค่อยได้ ดังนั้นหยวนชิงหลิงจ
ได้ยินมาว่าตั้งแต่องค์หญิงรัชทายาทตั้งครรภ์ รัชทายาทไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเลย ด้วยเหตุนี้เขารบกวนหมอหลวงเฉาซ้ำแล้วซ้ำเล่า หมอหลวงเฉาเองก็ลำบากไม่น้อย แต่เขาจะทำอย่างไรได้? แม้แต่ผู้หญิงที่ฉลาดก็ไม่สามารถหุงข้าวได้ หากไม่มีข้าวและเขาไม่ใช่ผู้หญิงประมาณสามทุ่ม กู้ซีมาพร้อมกับกองทหารองค์รักษ์หนึ่งร้อยนาย กองทหารองค์รักษ์และทหารหลวงได้ทำการลาดตระเวนคุ้มกันไปด้วยกันแน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก พวกเขาเคยทำมาก่อน และยินดีให้ความร่วมมือเป็นอย่างยิ่งในช่วงเที่ยงคืนช่างตัดผมได้โกนผมพวกเด็ก ๆหลังจากพยายามเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นเวลาหนึ่งเดือน ช่องว่างขนาดตัวระหว่างเด็ก ๆค่อย ๆ แคบลง อย่างน้อยหน้าตาก็ดูไม่เลวทีเดียวอย่างไรก็ตาม ร่างกายของเปาจื่อย่อมแข็งแรงกว่าอยู่แล้ว รองลงมาคือทังหยวน และเสี่ยวลั่วหมี่ที่ผอมกว่านิดหน่อย แต่ใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ อ้วนขึ้น มองแวบเดียวก็บอกความแตกต่างไม่ได้ในทันทีช่างโกนผมรอบ ๆ ออกเหลือเพียงผมส่วนเล็ก ๆ บริเวณหน้าผากจนไปถึงกลางกระหม่อม เด็ก ๆ ที่เหมือนลูกบอลแป้งนั้นน่ารักมาก โดยเฉพาะเวลาชูแขนชูขาเล่นอดใจไม่ไหวที่จะอุ้มพวกเขาไว้ในอ้อมแขน แล้วตีหน้าผากพวกเ
หลังจากเข้าวังแล้ว จึงได้พาสามแฝดไปที่ตำหนักบูรพาก่อนหลังจากมาถึง มู่หรูกงกงและเจ้ากรมพิธีการได้นำคนไปรอที่นั่นแล้ว และหูโม่โม่ที่อยู่ข้างกายไทเฮาก็อยู่ที่นั้นด้วยเสื้อผ้าของสามแฝดได้เตรียมพร้อมที่จะให้พวกเขาเปลี่ยนแล้วเปาจื่อเป็นหลานชายของจักรพรรดิ ดังนั้นหลังจากครบเดือนแล้ว เขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงแดงปักลายมังกรทะยานสี่เล็บ สวมหมวกกลมสีเหลืองขอบแดงทังหยวนและเสี่ยวลั่วหมี่ หลานชายทั้งสองของจักรพรรดิก็สวมชุดคลุมสีแดงอมม่วงเช่นกัน และปักเพียงลายนกอินทรีทะยานและสัตว์ในตำนาน หูทั้งสองข้างภายใต้หัวกลมนั้นช่างดูน่ารักมากเมื่อมองไปที่พวกเขา อวี่เหวินห่าวรู้สึกเต็มไปด้วยความสุข จะมีทารกที่น่ามองเช่นนี้ได้อย่างไร?หยวนชิงหลิงชอบมาก หลังจากหอมแต่ละคนแล้ว เปาจื่อก็ยิ้มออกมา ทังหยวนนั้นนิ่งมาก และเสี่ยวลั่วหมี่ที่ดูเหม่อลอยหลังจากแต่งตัวแล้ว เขาก็ไปที่พระตำหนักเซินหมิงไท่ซ่างหวง ไทเฮา จักรพรรดิหมิงหยวน และฮองเฮาล้วนอยู่ที่นั่น และเหล่าสนมทั้งหมดก็ร่วมเสด็จมาเช่นกันไทเฮาทรงรออย่างกระวนกระวายพระทัยเล็กน้อย และเมื่อได้ยินว่ามาถึงแล้ว นางแทบนั่งไม่ติดที่ และลุกขึ้นในทันที อวี่เหวินห่าวแ
แต่ไท่ซ่างหวงที่ได้ยินและพูดติดตลกว่า "หลานเจ้าบอกว่าเจ้าพูดไปเรื่อย!"จักรพรรดิหมิงหยวนยิ้มและตรัสว่า "ไม่เป็นไร ๆ สามัคคีกันจริง ๆ เลย"อวี่เหวินห่าวยิ้มแยู่ด้านข้างเขาและพูดว่า "เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ แฝดสามมีความเชื่อมโยงกันทางจิตวิญญาณ หากพระองค์ลองสังเกตุเคลื่อนไหว และท่าทางของพวกเขาอย่างละเอียด ท่าทางของพวกเขาจะสอดคล้องกัน"ทุกคนรีบเข้าดู และแน่นอนว่าการแสดงออกของทั้งสามคล้ายกัน คนหนึ่งทำปากจู๋ อีกสองคนก็เช่นกัน คนหนึ่งหาว และอีกสองคนก็หาวด้วยเช่นกัน การเคลื่อนไหวสอดประสานกันอย่างน่าประหลาดใจหูเฟยเข้ามาดูและพูดอย่างมีความสุขว่า "ฝ่าบาท พวกเขาน่ารักมากเพคะ หม่อมฉันก็อยากมีสักคนเหมือนกัน"หูเฟยยังเด็กและมีชีวิตชีวา นางนิสัยร้อนแรง และมักจะพูดตรง ๆ อยู่เสมอ คนอื่นคงจะรู้สึกอายเมื่อพูดแบบนี้ แต่กลับนางพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนอย่างดีใจ มันทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามันเป็นความหวังที่สวยงามจักรพรรดิหมิงหยวนเงยหน้าขึ้นมองนาง ดวงตาของเขาอ่อนโยนเล็กน้อย จากนั้นค่อย ๆ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยราวกับว่าเขาเองก็ยินดีเช่นกันเสียนเฟยกลั้นหายใจและนั่งอยู่ข้างใน ความครึกครื้นดูเหมือนจะไม่เกี่ยวอะไรกับนาง
ไม่ใช่ว่าเสียนเฟยเสียสติไปแล้ว นางรู้ตัวว่าแม้ว่านางจะหมดสติไปในตอนนี้ ก็จะไม่มีใครสนใจนางฝ่าบาทรังเกียจนาง แม้แต่ท่านป้าก็ไม่ช่วยนางอีกต่อไปและที่น่าแค้นใจก็คือ แม้แต่ลูกห้าก็ไม่เคยขอร้องให้นางเลยแม้แต่น้อยหลังจากวางแผนมาครึ่งชีวิต นางก็กำลังจะได้มันมา อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น เสียนเฟยจะไปยอมได้อย่างไร?นางลุกขึ้นอย่างช้า ๆ และพูดอย่างเย็นชา "ข้าเผลอหลุดปากไป กลับไปแล้วจะไปหาไทเฮาเพื่อขออภัยโทษ แต่วันนี้เป็นวันมงคลครบเดือนของหลานชาย และข้าก็เตรียมของขวัญไว้ให้หลาน ยังไม่ได้ให้ของขวัญ ข้าคุกเข่าอยู่ที่นี่ไม่ได้"หลังจากพูดจบนางก็กัดฟันและเดินออกไปหูโม่โม่รู้นิสัยใจคอของนาง ดังนั้นนางจึงไม่กล้าหยุดนาง นางทำได้เพียงส่ายหน้าและพูดว่า "พระนางไม่จำเป็นเลยมิใช่หรือ? ไทเฮาและฝ่าบาทต่างก็ทรงกริ้วในตอนนี้ ทำไมไม่คุกเข่าลงมา เพื่อที่ว่าไทเฮาจะได้หาทางยกโทษให้พระนางได้บ้าง"เสียนเฟยไม่ฟังนาง และเดินออกไปทันทีแต่แม้ว่านางจะออกไป นางก็ไม่สามารถเข้าไปในพระตำหนักเฉียนคุนได้พระตำหนักเฉียนคุนเป็นสถานที่ที่ไท่ซ่างหวงประทับอยู่ หากไม่ได้รับอนุญาตจากไท่ซ่างหวง ใครจะกล้าปล่อยให้นางเข้าไป? นางรออ