ได้ยินมาว่าตั้งแต่องค์หญิงรัชทายาทตั้งครรภ์ รัชทายาทไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเลย ด้วยเหตุนี้เขารบกวนหมอหลวงเฉาซ้ำแล้วซ้ำเล่า หมอหลวงเฉาเองก็ลำบากไม่น้อย แต่เขาจะทำอย่างไรได้? แม้แต่ผู้หญิงที่ฉลาดก็ไม่สามารถหุงข้าวได้ หากไม่มีข้าวและเขาไม่ใช่ผู้หญิงประมาณสามทุ่ม กู้ซีมาพร้อมกับกองทหารองค์รักษ์หนึ่งร้อยนาย กองทหารองค์รักษ์และทหารหลวงได้ทำการลาดตระเวนคุ้มกันไปด้วยกันแน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก พวกเขาเคยทำมาก่อน และยินดีให้ความร่วมมือเป็นอย่างยิ่งในช่วงเที่ยงคืนช่างตัดผมได้โกนผมพวกเด็ก ๆหลังจากพยายามเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นเวลาหนึ่งเดือน ช่องว่างขนาดตัวระหว่างเด็ก ๆค่อย ๆ แคบลง อย่างน้อยหน้าตาก็ดูไม่เลวทีเดียวอย่างไรก็ตาม ร่างกายของเปาจื่อย่อมแข็งแรงกว่าอยู่แล้ว รองลงมาคือทังหยวน และเสี่ยวลั่วหมี่ที่ผอมกว่านิดหน่อย แต่ใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ อ้วนขึ้น มองแวบเดียวก็บอกความแตกต่างไม่ได้ในทันทีช่างโกนผมรอบ ๆ ออกเหลือเพียงผมส่วนเล็ก ๆ บริเวณหน้าผากจนไปถึงกลางกระหม่อม เด็ก ๆ ที่เหมือนลูกบอลแป้งนั้นน่ารักมาก โดยเฉพาะเวลาชูแขนชูขาเล่นอดใจไม่ไหวที่จะอุ้มพวกเขาไว้ในอ้อมแขน แล้วตีหน้าผากพวกเ
หลังจากเข้าวังแล้ว จึงได้พาสามแฝดไปที่ตำหนักบูรพาก่อนหลังจากมาถึง มู่หรูกงกงและเจ้ากรมพิธีการได้นำคนไปรอที่นั่นแล้ว และหูโม่โม่ที่อยู่ข้างกายไทเฮาก็อยู่ที่นั้นด้วยเสื้อผ้าของสามแฝดได้เตรียมพร้อมที่จะให้พวกเขาเปลี่ยนแล้วเปาจื่อเป็นหลานชายของจักรพรรดิ ดังนั้นหลังจากครบเดือนแล้ว เขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงแดงปักลายมังกรทะยานสี่เล็บ สวมหมวกกลมสีเหลืองขอบแดงทังหยวนและเสี่ยวลั่วหมี่ หลานชายทั้งสองของจักรพรรดิก็สวมชุดคลุมสีแดงอมม่วงเช่นกัน และปักเพียงลายนกอินทรีทะยานและสัตว์ในตำนาน หูทั้งสองข้างภายใต้หัวกลมนั้นช่างดูน่ารักมากเมื่อมองไปที่พวกเขา อวี่เหวินห่าวรู้สึกเต็มไปด้วยความสุข จะมีทารกที่น่ามองเช่นนี้ได้อย่างไร?หยวนชิงหลิงชอบมาก หลังจากหอมแต่ละคนแล้ว เปาจื่อก็ยิ้มออกมา ทังหยวนนั้นนิ่งมาก และเสี่ยวลั่วหมี่ที่ดูเหม่อลอยหลังจากแต่งตัวแล้ว เขาก็ไปที่พระตำหนักเซินหมิงไท่ซ่างหวง ไทเฮา จักรพรรดิหมิงหยวน และฮองเฮาล้วนอยู่ที่นั่น และเหล่าสนมทั้งหมดก็ร่วมเสด็จมาเช่นกันไทเฮาทรงรออย่างกระวนกระวายพระทัยเล็กน้อย และเมื่อได้ยินว่ามาถึงแล้ว นางแทบนั่งไม่ติดที่ และลุกขึ้นในทันที อวี่เหวินห่าวแ
แต่ไท่ซ่างหวงที่ได้ยินและพูดติดตลกว่า "หลานเจ้าบอกว่าเจ้าพูดไปเรื่อย!"จักรพรรดิหมิงหยวนยิ้มและตรัสว่า "ไม่เป็นไร ๆ สามัคคีกันจริง ๆ เลย"อวี่เหวินห่าวยิ้มแยู่ด้านข้างเขาและพูดว่า "เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ แฝดสามมีความเชื่อมโยงกันทางจิตวิญญาณ หากพระองค์ลองสังเกตุเคลื่อนไหว และท่าทางของพวกเขาอย่างละเอียด ท่าทางของพวกเขาจะสอดคล้องกัน"ทุกคนรีบเข้าดู และแน่นอนว่าการแสดงออกของทั้งสามคล้ายกัน คนหนึ่งทำปากจู๋ อีกสองคนก็เช่นกัน คนหนึ่งหาว และอีกสองคนก็หาวด้วยเช่นกัน การเคลื่อนไหวสอดประสานกันอย่างน่าประหลาดใจหูเฟยเข้ามาดูและพูดอย่างมีความสุขว่า "ฝ่าบาท พวกเขาน่ารักมากเพคะ หม่อมฉันก็อยากมีสักคนเหมือนกัน"หูเฟยยังเด็กและมีชีวิตชีวา นางนิสัยร้อนแรง และมักจะพูดตรง ๆ อยู่เสมอ คนอื่นคงจะรู้สึกอายเมื่อพูดแบบนี้ แต่กลับนางพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนอย่างดีใจ มันทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามันเป็นความหวังที่สวยงามจักรพรรดิหมิงหยวนเงยหน้าขึ้นมองนาง ดวงตาของเขาอ่อนโยนเล็กน้อย จากนั้นค่อย ๆ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยราวกับว่าเขาเองก็ยินดีเช่นกันเสียนเฟยกลั้นหายใจและนั่งอยู่ข้างใน ความครึกครื้นดูเหมือนจะไม่เกี่ยวอะไรกับนาง
ไม่ใช่ว่าเสียนเฟยเสียสติไปแล้ว นางรู้ตัวว่าแม้ว่านางจะหมดสติไปในตอนนี้ ก็จะไม่มีใครสนใจนางฝ่าบาทรังเกียจนาง แม้แต่ท่านป้าก็ไม่ช่วยนางอีกต่อไปและที่น่าแค้นใจก็คือ แม้แต่ลูกห้าก็ไม่เคยขอร้องให้นางเลยแม้แต่น้อยหลังจากวางแผนมาครึ่งชีวิต นางก็กำลังจะได้มันมา อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น เสียนเฟยจะไปยอมได้อย่างไร?นางลุกขึ้นอย่างช้า ๆ และพูดอย่างเย็นชา "ข้าเผลอหลุดปากไป กลับไปแล้วจะไปหาไทเฮาเพื่อขออภัยโทษ แต่วันนี้เป็นวันมงคลครบเดือนของหลานชาย และข้าก็เตรียมของขวัญไว้ให้หลาน ยังไม่ได้ให้ของขวัญ ข้าคุกเข่าอยู่ที่นี่ไม่ได้"หลังจากพูดจบนางก็กัดฟันและเดินออกไปหูโม่โม่รู้นิสัยใจคอของนาง ดังนั้นนางจึงไม่กล้าหยุดนาง นางทำได้เพียงส่ายหน้าและพูดว่า "พระนางไม่จำเป็นเลยมิใช่หรือ? ไทเฮาและฝ่าบาทต่างก็ทรงกริ้วในตอนนี้ ทำไมไม่คุกเข่าลงมา เพื่อที่ว่าไทเฮาจะได้หาทางยกโทษให้พระนางได้บ้าง"เสียนเฟยไม่ฟังนาง และเดินออกไปทันทีแต่แม้ว่านางจะออกไป นางก็ไม่สามารถเข้าไปในพระตำหนักเฉียนคุนได้พระตำหนักเฉียนคุนเป็นสถานที่ที่ไท่ซ่างหวงประทับอยู่ หากไม่ได้รับอนุญาตจากไท่ซ่างหวง ใครจะกล้าปล่อยให้นางเข้าไป? นางรออ
แต่เพื่อความรอบคอบนางข้าหลวงสี่ จึงให้คนสับเปลี่ยนกันไปกินข้าวตามลำดับ นางจะไปก่อน ให้แม่นมทั้งสามคนอยู่ในห้องกับบรรดาฮูหยินเพื่อดูแลเด็ก ๆ หลังจากที่นาง อาซื่อ และหมานเอ๋อร์ทานเสร็จแล้ว พวกเขาก็จะมาสับเปลี่ยนแทนกันนางข้าหลวงสี่กำชับพวกนาง ย้ำหนักหนาว่าอย่าปล่อยให้เด็ก ๆ คลาดสายตาเด็ดขาดอย่างไรก็ตาม ข้างนอกนั้นมีคนของกู้ซีและซูยี่เฝ้าอยู่ แม้ว่าจะอุ้มเด็ก ๆ ออกไป ก็ไม่สามารถออกจากลานบ้านไปได้ด้วยวิธีนี้ พวกเขาก็สามารถสลับกันไปกินบะหมี่น้ำได้ อวี่เหวินห่าวก็ช่วยนำโต๊ะทำพิธีไปที่ศาลเจ้า ก็ถือเป็นอันเสร็จพิธีเรียบร้อยทางด้านนั้น หยวนชิงหลิงก็ออกมาหลังจากตรวจดูอาการฮูหยินเฒ่าและสั่งยา แม้ว่าอาการของฮูหยินเฒ่าจะสาหัส แต่โชคดีที่ตอนนี้ทุกอย่างคงที่ และไม่มีสัญญาณของการกำเริบครั้งที่สอง รออีกสักสองสามวันค่อยให้นางทำกายภาพบำบัดด้วยเหตุนี้ หลังจากทำการคารวะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่นมจึงอุ้มเด็ก ๆ และออกจากจวนจิ้งโฮ่วคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในรถม้า เด็ก ๆ หลังจากงอแงกันแล้ว ทุกคนก็ผล็อยหลับไป ใบหน้าของพวกเขาเปื้อนสีแดงและสีเหลือง จนแทบมองไม่เห็นใบหน้าของพวกเขา แต่ช่างน่าสนใจมากจริง ๆขณะที
“อ๋องอัน?” หยวนชิงหลิงตื่นตระหนก แต่เมื่อเห็นท่าทางมั่นใจของอวี่เหวินห่าว นางจึงสงบลง “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ท่านรู้ได้อย่างไร?”อวี่เหวินห่าวดึงนางนั่งลงและพูดว่า "วันนั้นจิ้งโฮ่วมาหาข้า และขอให้ข้าหาตำแหน่งขุนนางให้เขา แต่ข้าไม่เห็นด้วย หลังจากที่เขาลงจากรถม้า ข้าให้คนสะกดตามเขาไป พบว่าเขาได้ไปพบกับเจ้าสี่ แล้วเข้าไปในจวนของเจ้าสี่ด้วย แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าพวกเขากำลังวางแผนอะไร แต่เพื่อความรอบคอบ ข้าจึงให้คนจับตาดูเขาไว้ เมื่อวานซืนนี้จวนจิ้งโฮ่วได้พาเด็กกลับมาแล้วซ่อนไว้ในจวน ข้าเดาว่าเมื่อถึงเวลานั้น เขาคงจะแอบสับเปลี่ยนเด็ก ดังนั้นข้าจึงปล่อยตามน้ำไป เรื่องนี้ข้าได้ปรึกษากับขุนพลหลัวแล้ว ถ้าเป็นเจ้าสี่ลักพาตัวลูกไปจริง ข้าจะจัดการเขาเอง”หยวนชิงหลิงโกรธจัด “ท่านใช้เสี่ยวลั่วหมี่เป็นเหยื่อล่อจริง ๆ งั้นหรือ? แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นมาล่ะ?”อวี่เหวินห่าวรู้ว่านางจะต้องโกรธ ดังนั้นเขาจึงเตรียมคำพูดของเขาแต่เนิ่น ๆ เอาไว้แล้ว "หากเจ้าสี่มีความคิดที่จะทำร้ายลูกของเรา มันเป็นไปไม่ได้ที่จะป้องกัน ถ้าเขาล้มเหลวครั้งนี้ ครั้งหน้าเขาจะทำอีก ทางเดียวที่จะแก้ไขได้คือ ทำให้เรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่อ
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วเสี่ยวลั่วหมี่ก็ไม่เคยห่างนางเลยสักครั้ง ตอนนี้กลับถูกจิ้งโฮ่วลักพาตัวไป นางเองไม่รู้ว่าทำไมนางถึงกลัวได้มากมายขนาดนี้เขาขี้ตกใจ ขนาดตัวเองผายลมออกมาเอง ก็ยังทำให้ตัวเองตกใจจนร้องไห้ออกมาได้อวี่เหวินห่าวเห็นมือเท้านางเย็นแบบนี้ เขารู้ว่านางหวาดกลัวมาก ดังนั้นเขาจึงกอดนางและรับรองให้นางมั่นใจว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไรหยวนชิงหลิงพยายามสงบสติอารมณ์และพูดว่า "หากมีข่าวอะไร ท่านต้องบอกข้าทันทีนะ อย่าปิดบังข้า"“แน่นอน ถ้ามีข่าว ย่อมต้องเป็นข่าวดีแน่นอน เชื่อข้าสิ” อวี่เหวินห่าวจูบหน้าผากนาง เห็นหน้าซีดเผือดของนาง เขารู้สึกทุกข์ใจยิ่งนัก “เจ้าพักผ่อนเถอะ วันนี้งดรับแขก ให้นางข้าหลวงสี่บอกข้างนอกว่าเจ้าปวดหัว"หยวนชิงหลิงพยักหน้าอย่างลังเลใจ “เข้าใจแล้ว”อวี่เหวินห่าวประคองหน้านางไว้ เขาเองก็นึกถึงความกังวลและความกดดันของนางได้อยู่ แม้ว่าเขาจะเตรียมการทุกอย่างแล้ว แต่เขากลับไม่อาจสงบใจได้เลย อกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดเวลาเขาไม่กล้าแสดงท่าทางแบบนั้นออกมาต่อหน้านาง ไม่อย่างนั้นอาจทำให้นางตกใจตายได้จริง ๆเขาพูดอย่างยากลำบาก "หยวน ข้าขอโทษ เจ้าอยู่กับข้ามานาน แต่ข้
รอยยิ้มนี้ราวกับแสงอาทิตย์อันอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ ส่องเข้าไปถึงในหัวใจของจิ้งโฮ่วทันทีจิ้งโฮ่วสะเทือนใจและหันหน้าหนีทันที เขารู้สึกละอายใจจนไม่กล้ามองไปที่หลานที่เพิ่งครบเดือนได้ตรง ๆในใจของเขารู้สึกซับซ้อนเหลือเกินนี่คือหลานชายของเขา เขากำลังทำเรื่องบางอย่างที่พวกสวะเขาทำกันความรู้สึกละอายใจยังคงเพิ่มพูนขึ้นอยู่ในใจของเขาอย่างไรก็ตาม เขายังพยายามปลอบใจตัวเองซ้ำ ๆ ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาขายลูกสาว เพื่อแลกตำแหน่งเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะไม่เคยยอมรับมาก่อน แต่เมื่อมองย้อนกลับไปตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาขายศักดิ์ศรีไปได้อย่างไร เขาเคยละอายใจบ้างไหม?เขายังยินดีที่จะไปนอนกับผู้หญิงอย่างกู้จือ แล้วจะนับว่าเป็นอะไรได้?เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อยได้ยินเสียงของเกือกม้า หลังจากส่งตัวเสี่ยวลั่วหมี่แล้ว เขาจะรีบออกจากเมืองหลวงทันทีเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจขึ้นมาบ้างแล้ว ถ้าเขาฟังคำแนะนำของลูกสาวและออกจากเมืองหลวงไป เขาจะไม่ลงเอยด้วยสถานการณ์ที่น่าสังเวชเช่นนี้เสี่ยวลั่วหมี่ตัวน้อยในอ้อมแขนของเขาขยับเล็กน้อย ศีรษะเล็ก ๆ ของเขาหันไปด้านข้าง ถูผ้าเช็ดหน้าห่อต