แม่นมฉีนำทารกแรกเกิดกลับไปที่จวนอ๋องฉู่ แล้วจึงอุ้มไปให้หยวนชิงหลิงและพูดอย่างขมขื่นว่า "ในชีวิตของหม่อมฉันไม่เคยเห็นแม่ที่โหดร้ายเช่นนี้มาก่อน ตอนที่นางเกิด นางบอกว่านางอยากจะอุ้มเด็ก พอให้นางอุ้มแล้ว นางกลับบีบคอเด็กอย่างแรง ถ้าจิ้งเหอจวิ้นจู่ไม่เอาม้านั่งมาทุบนางจนสลบไป เด็กอาจจะไม่อยู่แล้ว”ตลอดทางกลับมาแม่นมฉีอกสั่นขวัญแขวนไปหมด นางรู้สึกหวาดกลัว นางคิดไม่ถึงว่าน่าจะทำให้ทุบให้กู้จือหมดสติไป ถ้าจิ้งเหอจวิ้นจู่เข้ามาช้ากว่านี้ เด็กคงไม่รอดแล้วหยวนชิงหลิงอุ้มเด็กไว้ มองดูทารกที่ดูเหมือนตัวหนอนในผ้าห่อตัว นางถอนหายใจเบา ๆ เด็กคนนี้ช่างน่าสงสารเหลือเกิน“จิ้งเหอจวิ้นจู่ว่าอย่างไร?” หยวนชิงหลิงถาม“จวิ้นจู่บอกแค่ว่าให้บ่าวพานางกลับมา ในอารามชีไม่มีนมให้นางเพคะ” โม่โม่กล่าวนางข้าหลวงสี่และอาซื่อเข้ามา นางข้าหลวงสี่กลัวว่าหยวนชิงหลิงอุ้มนางแล้วจะเหนื่อย ดังนั้นนางจึงรับมาอุ้มไว้และขมวดคิ้ว "ตัวเล็กมาก ตัวเท่ากับตอนที่เด็ก ๆ ของเราเกิดเลยเพคะ""โม่โม่ มีแม่นมสำรองในจวน ท่านอุ้มให้นางไปกินนมเถอะ" หยวนชิงหลิงมองอาซื่อ "อาซื่อ ให้คนไปที่จวนจิ้งโฮ่ว และเชิญท่านโฮ่วมา"อาซื่อรับคำสั่
“พูดก็พูด แต่มันก็จริง ท้ายที่สุดแล้วอย่างไรก็เป็นลูกของตัวเอง เขาอาจจะไม่โหดร้ายขนาดนั้น”หยวนชิงหลิงเย้ยหยัน "เขาเคยเมตตาข้าและน้องสาวข้าหรือ? ข้าจำยังเหตุการณ์ฮุ่ยติงโฮ่วได้อย่างแม่นยำ กับคนแบบนี้ เขากล้าผลักน้องสาวข้าไปตายเพื่ออนาคตของเขา อย่าบอกว่าไม่เลย ลูกสาวที่ไม่ทราบที่มาสำหรับเขาน่ะหรือ? ข้าไม่เชื่อใจเขาอยู่แล้ว ส่งฉงเอ๋อร์ให้เขาไม่ได้ เด็กคนนี้มีพ่อแม่แบบนี้ก็น่าสงสารมากพออยู่แล้ว ขืนส่งไปให้พวกเขาคงไม่อาจรอดชีวิตได้ัฟำ”หยวนชิงหลิงเพิ่งจะกลายเป็นแม่คน นางมีความเห็นอกเห็นใจต่อเด็ก ๆ เป็นพิเศษ เด็กก็เหมือนผ้าขาว หากพวกเขามีความผิด ก็คงผิดที่เป็นลูกของพวกเขาเด็กไร้เดียงสาแค่ไหน? ถ้าเลือกได้จะเลือกเป็นลูกพวกเขาได้อย่างไร?หยวนชิงหลิงรู้สึกเศร้ามาก เพราะรอยแดงที่คอของเด็กยังไม่จางหายไป นางเพิ่งเกิดมา สิ่งที่ต้อนรับนางก็คือความโหดร้ายของแม่ตัวเองนางข้าหลวงสี่ไม่รู้ว่าจะปลอบใจนางอย่างไร เพราะเรื่องนี้เลวร้ายมาก และใครที่พบเห็นต่างก็ปวดใจจิ้งโฮ่วหลบหน้าหลบตาหมานเอ๋อร์บอกเขาในจวนว่าได้นำเด็กกลับมาด้วย ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาไม่อยากมา แต่หมานเอ๋อร์พูดอย่างแฝงค
ในวินาทีนั้นหยวนชิงหลิงอยากฆ่าเขาจริง ๆจิ้งโฮ่วมองไปที่แววตาของหยวนชิงหลิงที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาขึ้นเสียงเล็กน้อยและเถียงไปว่า "เจ้ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นทำไม ข้าไม่ต้องการเด็กคนนี้ มันเป็นกับดักที่กู้จือกับอ๋องอันสร้างขึ้น ทำไมเจ้าต้องให้ข้ารับผิดชอบ เจ้าก็ไปหาอ๋องอันสิ"หยวนชิงหลิงอดทนจนแทบกระอักเลือด ชี้ไปที่ประตูและพูดอย่างเด็ดขาดว่า "ออกไป!"จิ้งโฮ่วแทบอดไม่ไหวที่จะออกไปทันที หลังจากได้ยินเขารีบลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู หลังจากที่หยุดตรงนั้นมาสักพัก เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และหันกลับมามองหยวนชิงหลิง “เจ้าบอกว่าข้าจะทำให้ท่านย่าเจ้าโมโหตาย คำนี้เจ้าอย่าเที่ยวเอาไปพูดไร้สาระข้างนอกเชียวล่ะ มันทำลายชื่อเสียงของข้า"“ท่านยังห่วงชื่อเสียงบ้า ๆ นั่นอยู่อีกหรือ?” ในที่สุดหยวนชิงหลิงก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว นางผุดลุกขึ้นมาชี้ไปที่เขาแล้วด่าว่า “ถ้าท่านไร้ยางอายขนาดนี้ ก็ออกไปซะ ออกไปที่ตลาดหาฟังดูว่าชื่อเสียงของท่านจิ้งโฮ่วมันเป็นอย่างไร คนข้างนอกบอกว่าท่านมันไร้ค่า ขายลูกสาวแลกตำแหน่ง หน้าด้านไร้ศีลธรรม แล้วท่านยังมีหน้ามาพูดให้เรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อหน้าข้าอีกหรือ
"ข้าคิดว่าให้นางเลี้ยงคงไม่เหมาะ นางจะไม่มีวันได้แต่งงานตลอดชีวิตหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่การทำร้ายนางไปชั่วชีวิตรึ?" ในฐานะสมาชิกของราชวงศ์ อวี่เหวินห่าวรู้สึกเสียใจกับจิ้งเหอจวิ้นจู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ตระกูลชุยที่รับใช้เขา เขาหวังจากก้นบึ้งของหัวใจว่าจิ้งเหอจวิ้นจู่จะสามารถใช้ชีวิตตามปกติแทนที่จะมาเสียเวลาชีวิตแบบนี้หยวนชิงหลิงคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า "จริง ๆ แล้วข้าไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าแค่กังวลว่านางที่มองเห็นลูกสาวของกู้จืออยู่ทุกวันแล้วจะทรมานหรือไม่?""เจ้าคิดแบบนี้ก็มีเหตุผล" อวี่เหวินห่าวมองนางและพูดเบา ๆ "นอกจากนี้ ข้าหวังจริง ๆ ว่านางสามารถแต่งงานใหม่ได้ และจะมีใครสักคนรักนางเหมือนข้าและเจ้า แม้ว่าฉงเอ๋อร์จะน่าสงสาร แต่ก็ต้องมีหนทางแน่ เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าคุยกับใต้เท้าชุย ท่านบอกว่าในจวนฮูหยินเฒ่าล้มป่วยเพราะเป็นห่วงนางมาก ทุกวันนี้นางไม่มีความสุขเลย เรื่องผิดบาปของเจ้าสามไม่อาจลบล้างไปได้เลย”"จะมีความสุขหรือไม่ คนนอกไม่อาจเห็นได้หรอก ไม่ได้หมายความว่าการหาผู้ชายที่จะแต่งงานด้วยคือความสุข สิ่งที่นางต้องการตอนนี้คือความสงบสุขภายในใจต่างหาก" หยวนชิงหลิงกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยวนชิงหลิงก็พูดว่า "แล้วทำไมท่านไม่เรียกหมานเอ๋อร์เข้ามาถามล่ะ?"อวี่เหวินห่าวกล่าวว่า "ก็ดี"เขาลุกขึ้นและออกไป ซูยี่ที่เพิ่งเข้ามาในลานพอดี เขาก็พูดว่า "ซูยี่ไปเรียกหมั่นโถวเข้ามา""พ่ะย่ะค่ะ!" ซูยี่วันนี้ไม่มีอะไรทำ และอยากที่จะมาดูพวกเด็ก ๆหมานเอ๋อร์ถูกเรียกตัวมา และเมื่ออวี่เหวินห่าวถามเกี่ยวกับแม่มดดำ นางถึงกับตกตะลึง "พระองค์ทรงทราบเรื่องแม่มดดำได้อย่างไรเพคะ?"“บอกมาสิแม่มดดำคืออะไรกันแน่” อวี่เหวินห่าวกล่าวหมานเอ๋อร์กล่าวว่า "แม่มดดำเป็นหมอศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียงเรา และนับว่ามีฐานะสูงสุดในหนานเจียง แม้ว่าหนานเจียงของเราจะแบ่งเหนือใต้ แต่แม่มดดำก็คือแม่มดดำของหนานเจียงทั้งหมด และเป็นผู้นำแม่มดแห่งหนานเจียงทั้งหมด แม่มดดำไม่สามารถแต่งงานได้ เมื่อพวกเขาสืบทอดตำแหน่งแม่มดดำ พวกเขาจะมองหาและเลือกเด็กสาวสองคนจากหนานเจียงให้เป็นผู้สืบทอด"หยวนชิงหลิงพูดว่า "แล้วเจ้ารู้ไหมว่าลูกสาวคนหนึ่งของแม่มดดำในหนานเจียงได้เสียชีวิตแล้ว"“ทูลองค์หญิง บ่าวก็ไม่ทราบ และบ่าวเองก็ไม่ได้กลับไปที่หนานเจียงนานแล้วด้วยเพคะ” หมานเอ๋อร์กล่าวหยวนชิงหลิงถามว่า "เจ้าเพิ่งบอกว่
"เจ้า...เจ้ามาที่นี่ทำไม เจ้าคิดจะทำอะไร?" กู้จือเจ็บไปทั่วร่าง และหลังคลอดนางก็หมดสติไปทันที ตอนนี้ทั้งเหนื่อยและหิว ราวกับว่าร่างกายของนางถูกก้อนหินบดขยี้อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้ทำให้นางหยุดระแวงจิ้งเหอจวิ้นจู่ได้เลย“ก่อนหน้านี้เจ้าที่ถามข้า ว่าข้าจะฆ่าเจ้าหรือไม่? ตอนนี้ข้าได้คำตอบแล้ว เจ้าอยากฟังไหม?” จิ้งเหอจวิ้นจู่พูดเสียงเบา ร่างกู้จือแข็งทื่อ นางค่อย ๆ หันหน้าไป ริมฝีปากของนางสั่นเล็กน้อย "เจ้าฆ่าข้าไม่ได้"จิ้งเหอจวิ้นจู่กล่าวว่า "กู้จือ เจ้าลองบอกเหตุผลมา ให้ข้าไม่ฆ่าเจ้า"กู้จือกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก "หยวนชิงหลิงบอกว่านางจะปกป้องข้า และพาข้ากลับไปที่หนานเจียง เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ เจ้ายังบอกว่าจะฟังนาง เพราะนางช่วยชีวิตเจ้า"กู้จือไม่เห็นแววตาในดวงตาของจิ้งเหอจวิ้นจู่เลย ท่าทางดูสงบมากและพูดว่า "ใช่ ข้าเคยพูดไปแล้ว ถ้านางอยากช่วยเจ้าและข้าฆ่าเจ้า ก็เพราะข้าเป็นหนี้นางหนึ่งชีวิต"“เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ ฆ่าข้าไม่ได้!” กู้จือลุกขึ้นลากร่างอันหนักอึ้งไปด้านข้าง “เห็นแก่ลูกข้า เจ้าอยากได้ลูกข้ามิใช่หรือ? เจ้าเอาไปเลย ไว้ชีวิตข้าด้วย"จิ้งเหอจวิ้นจู่ถอนหายใจ "จริง ๆ ข้าอยากจะปล
กู้จือรู้สึกได้ถึงยมทูต ในใจก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้นเรื่อย ๆ และนางเค้นสมองนึกเรื่องเกี่ยวกับเรื่องของอ๋องอัน แต่ในความเป็นจริงนางติดต่อกับอ๋องอันค่อนข้างจำกัด และอ๋องอันก็ค่อนข้างระวังตัวเป็นอย่างมาก ที่จะไม่ให้นางรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ มากอีกด้วยนางนึกถึงคน ๆ หนึ่งและพูดอย่างรวดเร็ว "อ๋องอันติดต่อกับคุณชายหงเย่บ่อย ๆ พวกเขาต้องสมรู้ร่วมคิดกัน เขาส่งคนไปฆ่าอ๋องฉี และโยนความผิดให้อ๋องจี้ อ๋องจี้บริสุทธิ์ เจ้าไปหาพระชายาจี้ก็ได้ เจ้าช่วยพระชายาจี้ได้ พระชายาจี้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อเจ้า...”หลังจากได้ยิน แววตาจิ้งเหอจวิ้นจู่ก็สั่นไหว "กู้จือ ข้าไม่สนใจสิ่งที่เจ้าพูด"“อีกอย่าง...” กู้จืออยากจะร้องไห้ แต่ไม่มีน้ำตาที่จะร้องและยืนตัวสั่นด้วยความตื่นตระหนก “เจ้าอยากฟังเรื่องอ๋องเว่ยหรือไม่? อ๋องเว่ยมีเจ้าอยู่ในใจ จริง ๆ แล้วเขามีเจ้าอยู่ในใจ ... ”ร่องรอยของความเกลียดชังส่องประกายในดวงตาของจิ้งเหอจวิ้นจู่ จิตสังหารก็เกิดขึ้นทันที แสงเย็นของมีดสั้นก็ส่องวาบผ่านคอของกู้จือนางพูดอย่างไม่เสียใจเลยสักนิดว่า "กู้จือ เจ้าไม่ควรพูดถึงเขาเลย"กู้จือรู้สึกว่าคอของนางเย็น และเอื้อมมือไปสัมผัสโดยไม่รู้ต
ภูเขาลูกใหญ่มาก จึงสุ่มหาสักที่ที่มีดินร่วนเพื่อฝังศพกู้จืออาซื่อตักดินเติมลงในหลุมและพูดอย่างเฉยชาว่า "กู้จือ เจ้าได้รับกรรมที่ก่อแล้ว ตายแล้วไปก็ไปปรโลกซะ อย่าคิดจะกลับมาสร้างปัญหาอีก อย่างไรก็ตาม ตอนที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าทำเรื่องเลวร้ายไว้มากมาย ตายไปแล้วต้องตกนรก แม้จะอยากกลับก็ไม่ได้อีก ในชาติหน้าขอให้เป็นคนดีนะ ถึงการเป็นคนดีจะลำบาก แต่ก็สุขใจ”นางเติมดินในหลุมให้เต็มและอัดให้แน่น วางหินสองก้อนไว้ด้านบนเป็นเครื่องหมาย นางรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย นางจึงนั่งหน้าหลุมศพเพื่อพักและพูดว่า "จิ้งเหอจวิ้นจู่ช่างแสนดีเหลือเกิน ทำไมเจ้าถึงโหดร้ายกับนาง นางเคยช่วยเจ้าไว้แท้ ๆ เป็นคนไม่รู้จักบุญคุณคน เจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากคนตายเลย เอาเถอะ เจ้าไปซะเถอะ "หลังจากพูดจบ นางก็เดินกลับมาพร้อมกับแบกพลั่วมาจิ้งเหอจวิ้นจู่กำลังเก็บข้าวของในห้อง เตียงและเครื่องนอนของกู้จือถูกเผาทิ้งทั้งหมด มีกลิ่นเลือดลอยคลุ้งอยู่ในอากาศอาซื่อเข้าไปช่วยเผาทุกอย่างที่ควรเผา แล้วถามจิ้งเหอจวิ้นจู่ว่า "ท่านจะกลับไปที่แห่งใด?"จิ้งเหอจวิ้นจู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ข้าจะกลับไปกับเจ้า จะแวะดูเด็กคนนั้นสักหน่อย"“แล้
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม