“นี่เป็นการสิงร่างคนอื่นได้อย่างไร?”มันแตกต่างจากที่นางพูดเลยมิใช่หรือ?“ทำไมจะไม่ใช่การสิงร่างคนอื่นล่ะ? ร่างกายยืมมาจากคนอื่น แต่วิญญาณเป็นของเจ้า ไม่แปลกใจเลยที่ข้าบอกว่าเจ้าหน้าตาอัปลักษณ์ แต่ที่แท้ไม่ใช่รูปร่างหน้าตาของเจ้าเอง เรื่องของวิญญาณน่าสนใจมากทีเดียว” อวี่เหวินห่าวที่ดูเคร่งเครียดกลับรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง ไม่ใช่ปีศาจอสูรกายก็ถือว่าใช้ได้แล้ว การสิงร่างคนอื่นนั้น โชคดีที่ว่าวิญญาณต้องอยู่ในร่างกายของตัวเอง และไม่ไปไหนไม่ได้หยวนชิงหลิงอึ้งไปสักพัก รู้สึกสับสนเล็กน้อยกับตรรกะในหัวของเขา เขาพูดเหมือนว่าดีมาได้อย่างนั้นอวี่เหวินห่าวถาม "เจ้าบอกว่าเดิมทีเจ้าเป็นหมอ? หมอชาหรือหมอเหล้า? ดูเจ้าชงชาเก่ง เจ้าเป็นหมอชาหรือไม่?"มุมปากของหยวนชิงหลิงกระตุก "หมอ ไม่จำเป็นต้องเป็นหมอชาหรือหมอเหล้าสักหน่อยใช่ไหม? เท่าที่ข้ารู้ราชวงศ์ของเราก็มีหมอเป็นเจ้าหน้าที่วิชาการด้วย""แต่พวกเขาล้วนเป็นผู้ชาย เจ้า..." จู่ ๆ อวี่เหวินห่าวก็มองนางอย่างหวาดผวา และพูดอย่างตื่นตระหนกว่า "สวรรค์ เจ้าไม่ใช่ผู้ชายใช่ไหม? ข้าจะบอกว่าเจ้ารู้เรื่องดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ตั้งมากมาย และยังคุยเรื่องจุดดำ
"ดังนั้นพวกเด็ก ๆ จึงมีพลังวิญญาณมาแต่กำเนิด พลังวิญญาณนี้มาจากวิญญาณดั้งเดิมของเจ้า และวิญญาณของเจ้าคือพลังงานอย่างที่เจ้าอาวาสเคยว่าไว้"จู่ ๆ หยวนชิงหลิงก็ประหลาดใจและตั้งใจมองเขาหยวนชิงหลิงเข้าใจว่าทำไมร่างนี้ถึงไม่ใช่ของนาง แต่มันสามารถส่งต่อไปให้พวกเด็ก ๆ ได้นางรีบพูดว่า "ข้าเข้าสิงร่างนี้ด้วยความคิดของข้า ซึ่งหมายความว่าความคิดของข้าสามารถควบคุมกล่องยาได้ และมันสามารถส่งผลต่อสมองของหยวนชิงหลิงคนเดิม หรืออีกนัยหนึ่งคือคลื่นสมองของข้าแต่เดิม และหยวนชิงหลิงคนก่อนเกิดการเชื่อมต่อกัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสมองของร่างกายที่ข้าใช้อยู่ตอนนี้ และส่งต่อไปยังพวกเด็ก ๆ ด้วย น่าจะเป็นแบบนี้นะ"อวี่เหวินห่าวมองนางด้วยสายตาใสซื่อ "เจ้าบอกว่าใช่ แต่ข้าเองก็ไม่เข้าใจอยู่ดี แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องไร้สาระ ข้าก็ไม่รู้จัปฏิเสธได้อย่างไร"เมื่อเห็นสีหน้านิ่งสงบของเขา หยวนชิงหลิงก็ไม่ตกใจมากนัก ดังนั้นนางจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง แต่นางก็ยังถามอย่างระมัดระวังว่า "หลังจากฟังเรื่องนี้แล้ว ท่านไม่มีอะไรจะถามแล้วใช่ไหม?""ถามรึ?" อวี่เหวินห่าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ไม่มีอะไรจะถามแล้ว มีอะ
ถังหยางพบเขาข้างนอกและถามว่า "องค์ชายบอกไปหรือยัง? องค์หญิงว่าอย่างไรบ้าง?"อวี่เหวินห่าวรู้สึกหดหู่ใจ "ไม่ ต้องอยู่โรงเตี้ยม"ถังหยางร้อนรน "ทำไมท่านไม่พูดถึงมิตรภาพเก่าแก่ระหว่างท่านแม่ทัพใหญ่กับท่านก่อน? กระหม่อมไม่ได้สอนท่านไปแล้วหรือ?"อวี่เหวินห่าวกล่าวว่า "ในตอนแรกนางเล่าเรื่องของนางให้ข้าฟังมากมาย ต่อมาข้าพูดถึงเรื่องนี้นางดูไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่""นางพูดว่าอะไรพ่ะย่ะค่ะ?" ถังหยางถาม“เรื่องที่พวกเราเคยคุยกันก่อนหน้านี้ เพื่อปิดปังว่านางไม่ใช่ผี นางพูดเรื่องไร้สาระมากมาย และบอกว่านางเป็นหมอและมีพลังวิญญาณ ข้าตั้งใจฟังและไม่หัวเราะเยาะนาง ใครจะไปรู้ว่านางไม่พอใจ จิตใจผู้หญิงยากแท้หยั่งถึง!”ถังหยางถอนหายใจ "แล้วเราควรทำอย่างไรดี? ปล่อยให้ท่านแม่ทัพใหญ่พักที่โรงเตี้ยมได้อย่างไร? มันคงยากที่จะมาที่นี่นะพ่ะย่ะค่ะ""อย่ากังวลไปเลย เมื่อถึงเวลาค่อยหาทาง" อวี่เหวินห่าวหรี่ตากัดฟันพูด เพื่อให้จิ้งถิงอยู่ในจวน เขาจะพยายามอย่างเต็มที่อารามชีหมิงเยว่วันนี้กู้จือเริ่มมีอาการปวดท้องตั้งแต่เช้าตรู่ และวันครบกำหนดคลอดของนางก็ไม่เร็วขนาดนี้ ดังนั้นในตอนแรกจิ้งเหอจวิ้นจู่และแม่นมฉีจ
"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? นางช่วยข้าไว้"กู้จือพึมพำ "ข้าไม่เชื่อพวกเจ้า""ข้ารู้ เจ้าเชื่อได้อย่างเดียวเท่านั้น เจ้าไม่มีทางเลือกอื่น" จิ้งเหอจวิ้นจู่พูดจบนางก็เดินออกไปนางเรียกคนเข้าไปช่วยแม่นมฉี นางไม่รู้เรื่องการคลอดลูกหรอกนางนั่งอยู่ข้างนอก ฟังเสียงกรีดร้องของกู้จือของนางจากข้างใน แสงแดดส่องผ่านกิ่งไม้และใบไม้มากระทบใบหน้าของนางเป็นระยะ ๆ นางเงยหน้าขึ้น ตอนนี้แสงแดดที่ดีที่สุดของปลายเดือนเมษายนก็มาถึงแล้วไม่มีอะไรน่ายินดีไปกว่าชีวิตที่กำลังจะเกิดมาในโลกแม้ว่าเด็กคนนี้อาจจะต้องพบเจอกับโลกที่ทุกข์สุขมากมายในอนาคต แต่การได้มาอยู่บนโลกนี้สักระยะหนึ่ง ก็อาจเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ก็มีเสียงร้องของทารกดังมาจากข้างใน จู่ ๆ เสียงร้องไห้หยุดลงทันทีทันใดนั้น เป็นแม่นมฉีที่ตะโกนออกมาด้วยความหวาดผวา "เจ้ามันบ้า เจ้ามันบ้าไปแล้ว นั่นลูกสาวของเจ้านะ"จิ้งเหอจวิ้นจู่รีบเดินเข้าไป เห็นว่ากู้จือกึ่งนอนอยู่บนเตียงเปื้อนเลือด นางอุ้มทารกแรกเกิดไว้ในอ้อมแขน บีบคอของทารก ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความชั่วร้าย"ข้าจะฆ่านางด้วยมือของข้าเอง ข้าจะล้างแค้นให้เจ้าเอง ปล่อ
แม่นมฉีนำทารกแรกเกิดกลับไปที่จวนอ๋องฉู่ แล้วจึงอุ้มไปให้หยวนชิงหลิงและพูดอย่างขมขื่นว่า "ในชีวิตของหม่อมฉันไม่เคยเห็นแม่ที่โหดร้ายเช่นนี้มาก่อน ตอนที่นางเกิด นางบอกว่านางอยากจะอุ้มเด็ก พอให้นางอุ้มแล้ว นางกลับบีบคอเด็กอย่างแรง ถ้าจิ้งเหอจวิ้นจู่ไม่เอาม้านั่งมาทุบนางจนสลบไป เด็กอาจจะไม่อยู่แล้ว”ตลอดทางกลับมาแม่นมฉีอกสั่นขวัญแขวนไปหมด นางรู้สึกหวาดกลัว นางคิดไม่ถึงว่าน่าจะทำให้ทุบให้กู้จือหมดสติไป ถ้าจิ้งเหอจวิ้นจู่เข้ามาช้ากว่านี้ เด็กคงไม่รอดแล้วหยวนชิงหลิงอุ้มเด็กไว้ มองดูทารกที่ดูเหมือนตัวหนอนในผ้าห่อตัว นางถอนหายใจเบา ๆ เด็กคนนี้ช่างน่าสงสารเหลือเกิน“จิ้งเหอจวิ้นจู่ว่าอย่างไร?” หยวนชิงหลิงถาม“จวิ้นจู่บอกแค่ว่าให้บ่าวพานางกลับมา ในอารามชีไม่มีนมให้นางเพคะ” โม่โม่กล่าวนางข้าหลวงสี่และอาซื่อเข้ามา นางข้าหลวงสี่กลัวว่าหยวนชิงหลิงอุ้มนางแล้วจะเหนื่อย ดังนั้นนางจึงรับมาอุ้มไว้และขมวดคิ้ว "ตัวเล็กมาก ตัวเท่ากับตอนที่เด็ก ๆ ของเราเกิดเลยเพคะ""โม่โม่ มีแม่นมสำรองในจวน ท่านอุ้มให้นางไปกินนมเถอะ" หยวนชิงหลิงมองอาซื่อ "อาซื่อ ให้คนไปที่จวนจิ้งโฮ่ว และเชิญท่านโฮ่วมา"อาซื่อรับคำสั่
“พูดก็พูด แต่มันก็จริง ท้ายที่สุดแล้วอย่างไรก็เป็นลูกของตัวเอง เขาอาจจะไม่โหดร้ายขนาดนั้น”หยวนชิงหลิงเย้ยหยัน "เขาเคยเมตตาข้าและน้องสาวข้าหรือ? ข้าจำยังเหตุการณ์ฮุ่ยติงโฮ่วได้อย่างแม่นยำ กับคนแบบนี้ เขากล้าผลักน้องสาวข้าไปตายเพื่ออนาคตของเขา อย่าบอกว่าไม่เลย ลูกสาวที่ไม่ทราบที่มาสำหรับเขาน่ะหรือ? ข้าไม่เชื่อใจเขาอยู่แล้ว ส่งฉงเอ๋อร์ให้เขาไม่ได้ เด็กคนนี้มีพ่อแม่แบบนี้ก็น่าสงสารมากพออยู่แล้ว ขืนส่งไปให้พวกเขาคงไม่อาจรอดชีวิตได้ัฟำ”หยวนชิงหลิงเพิ่งจะกลายเป็นแม่คน นางมีความเห็นอกเห็นใจต่อเด็ก ๆ เป็นพิเศษ เด็กก็เหมือนผ้าขาว หากพวกเขามีความผิด ก็คงผิดที่เป็นลูกของพวกเขาเด็กไร้เดียงสาแค่ไหน? ถ้าเลือกได้จะเลือกเป็นลูกพวกเขาได้อย่างไร?หยวนชิงหลิงรู้สึกเศร้ามาก เพราะรอยแดงที่คอของเด็กยังไม่จางหายไป นางเพิ่งเกิดมา สิ่งที่ต้อนรับนางก็คือความโหดร้ายของแม่ตัวเองนางข้าหลวงสี่ไม่รู้ว่าจะปลอบใจนางอย่างไร เพราะเรื่องนี้เลวร้ายมาก และใครที่พบเห็นต่างก็ปวดใจจิ้งโฮ่วหลบหน้าหลบตาหมานเอ๋อร์บอกเขาในจวนว่าได้นำเด็กกลับมาด้วย ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาไม่อยากมา แต่หมานเอ๋อร์พูดอย่างแฝงค
ในวินาทีนั้นหยวนชิงหลิงอยากฆ่าเขาจริง ๆจิ้งโฮ่วมองไปที่แววตาของหยวนชิงหลิงที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาขึ้นเสียงเล็กน้อยและเถียงไปว่า "เจ้ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นทำไม ข้าไม่ต้องการเด็กคนนี้ มันเป็นกับดักที่กู้จือกับอ๋องอันสร้างขึ้น ทำไมเจ้าต้องให้ข้ารับผิดชอบ เจ้าก็ไปหาอ๋องอันสิ"หยวนชิงหลิงอดทนจนแทบกระอักเลือด ชี้ไปที่ประตูและพูดอย่างเด็ดขาดว่า "ออกไป!"จิ้งโฮ่วแทบอดไม่ไหวที่จะออกไปทันที หลังจากได้ยินเขารีบลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู หลังจากที่หยุดตรงนั้นมาสักพัก เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และหันกลับมามองหยวนชิงหลิง “เจ้าบอกว่าข้าจะทำให้ท่านย่าเจ้าโมโหตาย คำนี้เจ้าอย่าเที่ยวเอาไปพูดไร้สาระข้างนอกเชียวล่ะ มันทำลายชื่อเสียงของข้า"“ท่านยังห่วงชื่อเสียงบ้า ๆ นั่นอยู่อีกหรือ?” ในที่สุดหยวนชิงหลิงก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว นางผุดลุกขึ้นมาชี้ไปที่เขาแล้วด่าว่า “ถ้าท่านไร้ยางอายขนาดนี้ ก็ออกไปซะ ออกไปที่ตลาดหาฟังดูว่าชื่อเสียงของท่านจิ้งโฮ่วมันเป็นอย่างไร คนข้างนอกบอกว่าท่านมันไร้ค่า ขายลูกสาวแลกตำแหน่ง หน้าด้านไร้ศีลธรรม แล้วท่านยังมีหน้ามาพูดให้เรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อหน้าข้าอีกหรือ
"ข้าคิดว่าให้นางเลี้ยงคงไม่เหมาะ นางจะไม่มีวันได้แต่งงานตลอดชีวิตหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่การทำร้ายนางไปชั่วชีวิตรึ?" ในฐานะสมาชิกของราชวงศ์ อวี่เหวินห่าวรู้สึกเสียใจกับจิ้งเหอจวิ้นจู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ตระกูลชุยที่รับใช้เขา เขาหวังจากก้นบึ้งของหัวใจว่าจิ้งเหอจวิ้นจู่จะสามารถใช้ชีวิตตามปกติแทนที่จะมาเสียเวลาชีวิตแบบนี้หยวนชิงหลิงคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า "จริง ๆ แล้วข้าไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าแค่กังวลว่านางที่มองเห็นลูกสาวของกู้จืออยู่ทุกวันแล้วจะทรมานหรือไม่?""เจ้าคิดแบบนี้ก็มีเหตุผล" อวี่เหวินห่าวมองนางและพูดเบา ๆ "นอกจากนี้ ข้าหวังจริง ๆ ว่านางสามารถแต่งงานใหม่ได้ และจะมีใครสักคนรักนางเหมือนข้าและเจ้า แม้ว่าฉงเอ๋อร์จะน่าสงสาร แต่ก็ต้องมีหนทางแน่ เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าคุยกับใต้เท้าชุย ท่านบอกว่าในจวนฮูหยินเฒ่าล้มป่วยเพราะเป็นห่วงนางมาก ทุกวันนี้นางไม่มีความสุขเลย เรื่องผิดบาปของเจ้าสามไม่อาจลบล้างไปได้เลย”"จะมีความสุขหรือไม่ คนนอกไม่อาจเห็นได้หรอก ไม่ได้หมายความว่าการหาผู้ชายที่จะแต่งงานด้วยคือความสุข สิ่งที่นางต้องการตอนนี้คือความสงบสุขภายในใจต่างหาก" หยวนชิงหลิงกล่าว