จิ้งโฮ่วที่ได้ยินก็ผิดหวังมาก เขาพูดด้วยความโกรธว่า "หยวนชิงหลิง ในสายตาของเจ้ายังมีข้าเป็นพ่ออยู่หรือไม่?"หยวนชิงหลิงไม่อยากคุยกับเขา เมื่อเห็นว่าเขาโกรธ นางจึงไม่ถามถึงท่านย่า เกรงว่าเขาจะโกรธจนจะสาปแช่งออกมาฆ่าลูกชายและขายลูกสาวเขายังทำได้ แล้วนับประสาอะไรการสาปแช่งแม่ของตัวเอง บางทีก็อาจทำได้เช่นเดียวกันนางจึงหันหลังกลับและออกไปจิ้งโฮ่วพูดใส่นางด้วยความโมโห "ถ้าเจ้าไม่บอก ข้าจะไปหาลูกเขยของข้าเอง"หยวนชิงหลิงไม่หันหน้ากลับมา และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ข้าจะบอกเขาให้อยู่ห่างจากท่าน พวกเราไม่สนใจท่านอีกต่อไปแล้ว"หลังจากได้ยินเช่นนี้ จิ้งโฮ่วรู้สึกว่าเขาพยายามทุ่มเทอย่างหนักเพื่อส่งนางมาถึงจุดนี้ แต่นางไม่เชื่อฟังและยังเนรคุณอีก เขาโกรธมากจนอยากจะทุบทำลายข้าวของ แต่เพราะตัวเองไม่มีปัญญาจ่ายอะไรได้สักอย่าง จึงจำต้องกลับไปด้วยความโกรธเมื่อหยวนชิงหลิงกลับมาถึงที่ห้อง นางโกรธมากจนปวดท้องไปหมด แต่นางเป็นห่วงท่านย่าของนางจริง ๆ ดังนั้นนางจึงขอให้หมานเอ๋อร์เชิญหมอหลวงเฉาไปที่จวนจิ้งโฮ่วเพื่อดูว่าท่านย่าเป็นอย่างไรบ้างหมอหลวงเฉาที่กลับมาในตอนเย็นนั้น ได้รายงานกับหยวนชิงหลิงว่า "
หยวนชิงหลิงที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะไม่ได้ "ในบรรดาผู้หญิง มีผู้หญิงไม่มากนักที่ปล่อยวางได้เท่าเจ้า"พระชายาจี้ไม่คิดอะไรและพูดว่า "สถานการณ์บังคับทั้งนั้น ใครไม่อยากมีชีวิตที่มีสามีรักใคร่ทะนุถนอมบ้าง? แต่ถ้าไม่ได้ก็อย่าฝืนไปเลย ข้าผ่านมาครึ่งชีวิตแล้ว ยังจะเสพสุขอะไรอีก? ตอนนี้ข้าทำเพื่อลูก ข้าทำทุกอย่างเพื่อพวกนาง ถ้าหากพวกนางสบายดี ข้าก็วางใจแล้ว”หยวนชิงหลิงที่เป็นแม่คนแล้วเห็นด้วยกับประโยคนี้"อย่างไรก็ตาม” เมื่อนึกถึงเรื่องของเสียนเฟยขึ้นมาได้บางอย่างจึงมองมาที่นางแล้วพูดว่า "รู้ไหม เสียนเฟยก่อเรื่องวุ่นวายในวัง ค่อนข้างร้ายแรงเลยทีเดียว""ก่อเรื่องอะไรขึ้นรึ?" เมื่อหยวนชิงหลิงพูดถึงเสียนเฟย นางมักจะนึกถึงคำพูดที่นางได้ยินในห้องคลอด และอดรู้สึกเหน็บหนาวในใจขึ้นมาไม่ได้พระชายาจี้กล่าวว่า "จะก่อเรื่องอะไรได้อีก โต้แย้งเรื่องตำแหน่งฐานะน่ะสิ ตอนนี้เจ้าห้าเป็นรัชทายาทแล้ว นางควรได้เป็นหวังกุ้ยเฟย แต่นางไม่พอใจที่เสด็จพ่อไม่ได้เลื่อนตำแหน่งใหม่ให้นาง และไม่กล้าสร้างปัญหากับเสด็จพ่อ จึงไปร้องห่มร้องไห้กับไทเฮา เมื่อวานนี้ไทเฮาทนไม่ไหวเลยตำหนินางไป นางกำลังโกรธไทเฮา แล้วบัง
จิ้งโฮ่วลงจากรถม้ามา แล้วเดินคนเดียวบนถนนตะวันออก ท่ามกลางผู้คนพลุกพล่านไปมาทำให้เขารู้สึกเหว่ว้าและสิ้นหวังเขาพบโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เมื่อเข้าไปแล้วเขาก็สั่งเหล้ามาดื่มเอง เช่นเดียวกับบรรดานักปราชญ์และนักกวีทุกยุคทุกสมัย เวลารู้สึกเจ็บแปลบในใจก็อยากจะเขียนบทกวีออกมา แต่เขาละเลยเรื่องบทกวีกับวรรณกรรมมานานมากแล้ว หลายปีมานี้มีชีวิตเหมือนสุนัขและแมลงวัน ในใจยึดติดกับหน้าที่การงาน จะมีใจที่จะเขียนบทกวีได้อย่างไรความรู้สึกหดหู่ในใจมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงเงยหน้าขึ้นและดื่มเหล้าเกือบหมดไห จนเริ่มรู้สึกเมาวิงเวียนและตาพร่ามัวขึ้นมา“เฮ้ นี่หยวนซื่อหลางไม่ใช่หรือ?” ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเย้ยหยันที่ดังขึ้นเขาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เห็นชายวัยกลางคนในชุดผ้าสีน้ำเงินเดินเข้ามาพร้อมกับคนรับใช้ เมื่อเขามองเข้าไปใกล้ ๆ ก็พบว่านั่นคืออู๋ซื่อหลางเขารู้สึกผิดอยู่ครู่หนึ่ง และสีหน้าของเขาก็ตื่นตระหนกขึ้นมา เพราะฮูหยินของอู่ซื่อหลางคนนี้เคยสนิทกับเขาอู่ซื่อหลางอายุได้ห้าสิบสามปีในปีนี้ ฮูหยินคนก่อนของเขาอยู่ตอนเลื่อนตำแหน่งของเขา และหย่าขาดจากกันด้วยความหึงหวง เขาแต่งงานกับฮูหยินคนปัจจุบั
จิ้งโฮ่วยิ้มอย่างมีเลศนัย รอยยิ้มนี้เป็นนิสัย และเขาเองก็เผลอแสดงมันออกมาโดยไม่ตั้งใจหลังจากหัวเราะแล้ว เขานึกขึ้นได้ว่าเรื่องของกู้จือเป็นอ๋องอันที่เป็นคนบงการ จนเขาอดรู้สึกโกรธขึ้นมาในใจไม่ได้อย่างไรก็ตาม เมื่อเสี่ยวเอ้อร์ยกแก้วเหล้ามาวางบนโต๊ะ เขาก็ยืนขึ้นมาประสานมือความเคารพและรินเหล้าให้ "ท่านอ๋อง กระหม่อมรินเหล้าให้พ่ะย่ะค่ะ"เมื่อเห็นท่าทีที่อ่อนน้อมของเขา อ๋องอันก็พอใจมากและจิบเหล้าไปหนึ่งคำ "เหล้านี้ไม่ดี ถ้าจิ้งโฮ่วไม่รังเกียจ ไปที่จวนอ๋องอันเพื่อดื่มสักหน่อยดีหรือไม่? ""มิกล้า ๆ กระหม่อมไม่อาจรับไว้!" จิ้งโฮ่วรู้สึกปลื้มใจและพูดทันทีอ๋องอันยืนขึ้นและพูดอย่างมีความนัย "ท่านโฮ่วเชิญ!"จิ้งโฮ่วโค้งคำนับ "ท่านอ๋องเชิญ"เมื่อเขามาถึงจวนอ๋องอัน อ๋องอันสั่งให้คนยกเหล้าชั้นดีมาและแลกแก้วกันดื่ม หลังจากนั้นไม่นานจิ้งโฮ่วก็เมาไปมากแล้วเขาเองก็เป็นคนคอแข็งดื่มเก่ง เนื่องจากปีนี้มีเรื่องให้สังสรรค์เยอะ จึงต้องดื่มเก่งไปโดยปริยายแต่ในใจของเขาช่างหดหู่เหลือเกิน และเหล้าก็แรงจนเขาทนไม่ไหวจริง ๆเมื่อเห็นว่าเขาเมาพอสมควรแล้ว อ๋องอันก็วางแก้วลงและมองจิ้งโฮ่ว "ท่านโฮ่วอายุแค่ส
อนุโจวเห็นเขาลืมตาขึ้นก็ถอยห่างด้วยความตกใจ แล้วพูดบ่นอย่างไม่พอใจว่า "ท่านเห็นผีรึไง? เบิกตากว้างขนาดนี้ คนไม่รู้นึกว่าศพกระตุกเด้งขึ้นมาเสียอีก"จิ้งโฮ่วที่ได้ยินก็ตะคอกใส่นาง "หุบปาก หาเรื่องดี ๆ จากปากเน่าเหม็นไม่ได้เลยจริง ๆ ศพกระตุกอะไรกัน? ข้าตายไปแล้วหรือไง?"อนุโจวตกใจกับเสียงตะคอกของเขา เห็นว่าช่วงนี้เขาโกรธมากจริง ๆ จึงไม่กล้ายั่วโมโหเขา นางจึงยกซุปแก้เมาค้างขึ้นมาแล้วพูดว่า "ดื่มซุปแก้เมาค้างก่อน"จิ้งโฮ่วคอแห้งมาก เขารับมันและดื่มรวดเดียวแล้วถามว่า "คืนนี้ท่านแม่กินอะไรแล้วยัง?"อนุโจวเม้มปาก “ใครจะไปรู้กัน? ฮูหยินดูแลอยู่ทางนั้น”จิ้งโฮ่วยกผ้าห่มลุกขึ้นจากเตียง อนุโจวห้ามเขาไว้ "ท่านจะไปทำอะไรกัน? มันดึกแล้ว ถ้าท่านอยากไป พรุ่งนี้ค่อยไปก็ได้ ตอนนี้ฮูหยินเฒ่าคงหลับไปแล้ว"จิ้งโฮ่วเดินโซซัดโซเซออกไปพลางสบถ "เจ้าไม่รู้อะไรเลย คนที่ป่วยแบบนี้นอนทั้งวัน? ในตอนกลางวันนอนมากขนาดนั้น ในตอนกลางคืนแบบนี้นอนไม่หลับหรอก"อนุโจวพูดอย่างไม่พอใจ "ไม่เคยเห็นจะกตัญญูแบบนี้มาก่อนเลย ไม่รู้ไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่า ถึงมาทำดีชดเชย หรือว่าท่านทำให้ฮูหยินเฒ่าโกรธมากกันแน่?”จิ้งโฮ่วหันขวั
จิ้งโฮ่วนิ่งอึ้งไปและมองกลับมาที่อ๋องอัน "ใคร? พูดอะไรพ่ะย่ะค่ะ?"อ๋องอันหรี่ตา "ฮูหยินชางนางขอให้ข้าถามท่านโฮ่วว่านานแล้วทำไมไม่ได้เจอท่านโฮ่วเลย"จู่ ๆ สีเลือดบนหน้าจิ้งโฮ่วก็ซีดลง ขาของเขารู้สึกอ่อนแรง เขาทรุดตัวคุกเข่าลงมา ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปหมดอ๋องอันนั่งลงและมองเขาอย่างเคร่งขรึม "ท่านโฮ่ว คนไม่ตายเพราะฟ้าดินลงโทษหรอก ท่านผ่านมาครึ่งชีวิตไม่เคยคิดถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวอะไรเลย ท่านเสียสละทุกอย่างเพื่อตำแหน่งหน้าที่ของท่าน เสียทุกอย่างไปแล้ว ตอนนี้เห็นโอกาสใหญ่อยู่ตรงหน้า ท่านจะยอมแพ้จริงรึ ท่านปกป้ององค์หญิงรัชทายาทเช่นนี้ สงสัยจริงว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับท่าน นางจะปกป้องท่านเช่นนี้หรือไม่? "จิ้งโฮ่วคุกเข่าลงกับพื้น ร่างกายของเขายังคงสั่นและกำลังจะร้องไห้ออกมาแล้ว“ท่านอ๋องทราบได้อย่างไร” เขาถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเขาคิดว่าเขาเก็บความลับได้ดี และฮูหยินชางจะไม่บอกคนนอก อ๋องอันรู้ได้อย่างไร?อ๋องอันยิ้มเย้ยหยัน "ถ้าท่านไม่อยากให้ใครรู้ ท่านก็ไม่ควรทำเลย ไม่ใช่แค่ฮูหยินชางเท่านั้น ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับท่านโฮ่วด้วย ตอนนี้ท่านโฮ่วมีเพียงสองทางเลือก ทำตามที่ข้าบอกเมื
เป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่าได้เจ้าอาวาสนั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ ดังนั้นจักรพรรดิหมิงหยวนจึงอนุญาตให้ครอบครัวของพวกเขาอาศัยอยู่ในจวนอ๋องฉู่เป็นการชั่วคราวนอกจากนี้ อ๋องฉู่ยังคงตำแหน่งเดิมของเขา และยังไม่ได้ถูกเรียกกลับคืน ดังนั้นจึงยังคงเรียกว่าจวนอ๋องฉู่ดังเดิม และไม่มีใครมาแย้งความไม่เหมาะสมเกี่ยวกับเรื่องนี้จักรพรรดิไม่ได้บอกว่าจะจัดงานเลี้ยงครบเดือนของเด็กทั้งสามคนอย่างไร แต่ไท่ซ่างหวงได้ตรัสไว้แล้วว่าทั้งหมดจะจัดขึ้นตามแบบธรรมเนียมของลูกชายคนโตของราชวงศ์ในช่วงเวลานี้ ท่าทีไท่ซ่างหวงในพระตำหนักเฉียนคุนดูแล้วไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เดินเอามือไพล่หลังอย่างกระวนกระวายใจทั้งวันฉางกงกงจึงถามเขาว่า "พระองค์ทรงเป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ? ลงแดงอยากดื่มสุราสักอึกใช่หรือไม่? ถ้าพระองค์อยากดื่ม บ่าวจะเชิญมหาเสนาบดีฉู่และเซียวเหยากงเข้าวังมาดื่มเป็นเพื่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”ไท่ซ่างหวงหันกลับมามองเขา "ไม่ต้อง ๆ พวกเขาน่ารำคาญมาก"“แล้วพระองค์ทรงเป็นอะไรไป?” ฉางกงกงถามไท่ซ่างหวงไม่พูดอะไรสักคำ เขายังคงเดินไปรอบ ๆ สองสามครั้ง จากนั้นนั่งลงและเรียกตัวฝูเข้ามา และฝึกสอนมันอยู่พักหนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นและเห็นฉางกง
พวกคนหนุ่มสาวไม่เข้าใจหรอก!ต่อสู้แทบเป็นแทบตาย สุดท้ายก็ยังแสวงหาอิสรภาพไม่ใช่หรือ?ฉางกงกงมาถึงจวนอ๋องฉู่ เขาอยากเล่นกับเด็ก ๆเนื่องจากเขาไม่ใช่ทั้งชายและหญิง เขาจึงสามารถเข้าไปในตำหนักเสี่ยวเยว่เพื่อเยี่ยมดูเด็ก ๆ ได้ และหยวนชิงหลิงก็ลุกขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนเขาด้วยเปาจื่อชอบฉางกงกงมากเป็นพิเศษ เขาก็ยิ้มออกมาทันทีเมื่อเห็นฉางกงกงเปาจื่อกินเยอะจึงอ้วนมากกว่า เมื่อเขายิ้ม เขาจึงดูเหมือนพระอรหันต์ตัวอ้วนท้วน เขาน่ารักมาก และทำให้ฉางกงกงชอบเป็นที่สุด“อยู่ในวังก็ดีแล้ว” ฉางกงกงไม่อยากวางเปาจื่อลงเลย แล้วจึงค่อยไปอุ้มทังหยวนกับลั่วหมี่ “น่าจะอยู่ในวัง แต่ดันมาอยู่ข้างนอกเช่นนี้ เลยไม่เจอกันตั้งหนึ่งเดือน ไท่ซ่างหวงทรงคิดถึงเด็ก ๆ แต่เด็ก ๆ ยังไม่ครบเดือนเลย หนำซ้ำยังพาพวกเขาเข้าวังไม่ได้ และพระองค์เองก็อายที่จะออกมาหา แต่ก็ทรงเหงาและเบื่อด้วยเช่นกัน"หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ถ้าไท่ซ่างหวงทรงชอบ เมื่อเด็ก ๆ ครบเดือนแล้ว ข้าจะส่งเด็ก ๆ ไปให้พระองค์ ให้ไปเลี้ยงสักไปสองปีแล้วค่อยเอากลับ"ฉางกงกงรู้สึกประหลาดใจมาก เขาอุ้มลั่วหมี่ไว้ในอ้อมแขนของเขา และเขย่าเบา ๆ "จริงหรือพ่ะค่ะย่ะ ถ้