จิ้งโฮ่วยิ้มอย่างมีเลศนัย รอยยิ้มนี้เป็นนิสัย และเขาเองก็เผลอแสดงมันออกมาโดยไม่ตั้งใจหลังจากหัวเราะแล้ว เขานึกขึ้นได้ว่าเรื่องของกู้จือเป็นอ๋องอันที่เป็นคนบงการ จนเขาอดรู้สึกโกรธขึ้นมาในใจไม่ได้อย่างไรก็ตาม เมื่อเสี่ยวเอ้อร์ยกแก้วเหล้ามาวางบนโต๊ะ เขาก็ยืนขึ้นมาประสานมือความเคารพและรินเหล้าให้ "ท่านอ๋อง กระหม่อมรินเหล้าให้พ่ะย่ะค่ะ"เมื่อเห็นท่าทีที่อ่อนน้อมของเขา อ๋องอันก็พอใจมากและจิบเหล้าไปหนึ่งคำ "เหล้านี้ไม่ดี ถ้าจิ้งโฮ่วไม่รังเกียจ ไปที่จวนอ๋องอันเพื่อดื่มสักหน่อยดีหรือไม่? ""มิกล้า ๆ กระหม่อมไม่อาจรับไว้!" จิ้งโฮ่วรู้สึกปลื้มใจและพูดทันทีอ๋องอันยืนขึ้นและพูดอย่างมีความนัย "ท่านโฮ่วเชิญ!"จิ้งโฮ่วโค้งคำนับ "ท่านอ๋องเชิญ"เมื่อเขามาถึงจวนอ๋องอัน อ๋องอันสั่งให้คนยกเหล้าชั้นดีมาและแลกแก้วกันดื่ม หลังจากนั้นไม่นานจิ้งโฮ่วก็เมาไปมากแล้วเขาเองก็เป็นคนคอแข็งดื่มเก่ง เนื่องจากปีนี้มีเรื่องให้สังสรรค์เยอะ จึงต้องดื่มเก่งไปโดยปริยายแต่ในใจของเขาช่างหดหู่เหลือเกิน และเหล้าก็แรงจนเขาทนไม่ไหวจริง ๆเมื่อเห็นว่าเขาเมาพอสมควรแล้ว อ๋องอันก็วางแก้วลงและมองจิ้งโฮ่ว "ท่านโฮ่วอายุแค่ส
อนุโจวเห็นเขาลืมตาขึ้นก็ถอยห่างด้วยความตกใจ แล้วพูดบ่นอย่างไม่พอใจว่า "ท่านเห็นผีรึไง? เบิกตากว้างขนาดนี้ คนไม่รู้นึกว่าศพกระตุกเด้งขึ้นมาเสียอีก"จิ้งโฮ่วที่ได้ยินก็ตะคอกใส่นาง "หุบปาก หาเรื่องดี ๆ จากปากเน่าเหม็นไม่ได้เลยจริง ๆ ศพกระตุกอะไรกัน? ข้าตายไปแล้วหรือไง?"อนุโจวตกใจกับเสียงตะคอกของเขา เห็นว่าช่วงนี้เขาโกรธมากจริง ๆ จึงไม่กล้ายั่วโมโหเขา นางจึงยกซุปแก้เมาค้างขึ้นมาแล้วพูดว่า "ดื่มซุปแก้เมาค้างก่อน"จิ้งโฮ่วคอแห้งมาก เขารับมันและดื่มรวดเดียวแล้วถามว่า "คืนนี้ท่านแม่กินอะไรแล้วยัง?"อนุโจวเม้มปาก “ใครจะไปรู้กัน? ฮูหยินดูแลอยู่ทางนั้น”จิ้งโฮ่วยกผ้าห่มลุกขึ้นจากเตียง อนุโจวห้ามเขาไว้ "ท่านจะไปทำอะไรกัน? มันดึกแล้ว ถ้าท่านอยากไป พรุ่งนี้ค่อยไปก็ได้ ตอนนี้ฮูหยินเฒ่าคงหลับไปแล้ว"จิ้งโฮ่วเดินโซซัดโซเซออกไปพลางสบถ "เจ้าไม่รู้อะไรเลย คนที่ป่วยแบบนี้นอนทั้งวัน? ในตอนกลางวันนอนมากขนาดนั้น ในตอนกลางคืนแบบนี้นอนไม่หลับหรอก"อนุโจวพูดอย่างไม่พอใจ "ไม่เคยเห็นจะกตัญญูแบบนี้มาก่อนเลย ไม่รู้ไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่า ถึงมาทำดีชดเชย หรือว่าท่านทำให้ฮูหยินเฒ่าโกรธมากกันแน่?”จิ้งโฮ่วหันขวั
จิ้งโฮ่วนิ่งอึ้งไปและมองกลับมาที่อ๋องอัน "ใคร? พูดอะไรพ่ะย่ะค่ะ?"อ๋องอันหรี่ตา "ฮูหยินชางนางขอให้ข้าถามท่านโฮ่วว่านานแล้วทำไมไม่ได้เจอท่านโฮ่วเลย"จู่ ๆ สีเลือดบนหน้าจิ้งโฮ่วก็ซีดลง ขาของเขารู้สึกอ่อนแรง เขาทรุดตัวคุกเข่าลงมา ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปหมดอ๋องอันนั่งลงและมองเขาอย่างเคร่งขรึม "ท่านโฮ่ว คนไม่ตายเพราะฟ้าดินลงโทษหรอก ท่านผ่านมาครึ่งชีวิตไม่เคยคิดถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวอะไรเลย ท่านเสียสละทุกอย่างเพื่อตำแหน่งหน้าที่ของท่าน เสียทุกอย่างไปแล้ว ตอนนี้เห็นโอกาสใหญ่อยู่ตรงหน้า ท่านจะยอมแพ้จริงรึ ท่านปกป้ององค์หญิงรัชทายาทเช่นนี้ สงสัยจริงว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับท่าน นางจะปกป้องท่านเช่นนี้หรือไม่? "จิ้งโฮ่วคุกเข่าลงกับพื้น ร่างกายของเขายังคงสั่นและกำลังจะร้องไห้ออกมาแล้ว“ท่านอ๋องทราบได้อย่างไร” เขาถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเขาคิดว่าเขาเก็บความลับได้ดี และฮูหยินชางจะไม่บอกคนนอก อ๋องอันรู้ได้อย่างไร?อ๋องอันยิ้มเย้ยหยัน "ถ้าท่านไม่อยากให้ใครรู้ ท่านก็ไม่ควรทำเลย ไม่ใช่แค่ฮูหยินชางเท่านั้น ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับท่านโฮ่วด้วย ตอนนี้ท่านโฮ่วมีเพียงสองทางเลือก ทำตามที่ข้าบอกเมื
เป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่าได้เจ้าอาวาสนั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ ดังนั้นจักรพรรดิหมิงหยวนจึงอนุญาตให้ครอบครัวของพวกเขาอาศัยอยู่ในจวนอ๋องฉู่เป็นการชั่วคราวนอกจากนี้ อ๋องฉู่ยังคงตำแหน่งเดิมของเขา และยังไม่ได้ถูกเรียกกลับคืน ดังนั้นจึงยังคงเรียกว่าจวนอ๋องฉู่ดังเดิม และไม่มีใครมาแย้งความไม่เหมาะสมเกี่ยวกับเรื่องนี้จักรพรรดิไม่ได้บอกว่าจะจัดงานเลี้ยงครบเดือนของเด็กทั้งสามคนอย่างไร แต่ไท่ซ่างหวงได้ตรัสไว้แล้วว่าทั้งหมดจะจัดขึ้นตามแบบธรรมเนียมของลูกชายคนโตของราชวงศ์ในช่วงเวลานี้ ท่าทีไท่ซ่างหวงในพระตำหนักเฉียนคุนดูแล้วไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เดินเอามือไพล่หลังอย่างกระวนกระวายใจทั้งวันฉางกงกงจึงถามเขาว่า "พระองค์ทรงเป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ? ลงแดงอยากดื่มสุราสักอึกใช่หรือไม่? ถ้าพระองค์อยากดื่ม บ่าวจะเชิญมหาเสนาบดีฉู่และเซียวเหยากงเข้าวังมาดื่มเป็นเพื่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”ไท่ซ่างหวงหันกลับมามองเขา "ไม่ต้อง ๆ พวกเขาน่ารำคาญมาก"“แล้วพระองค์ทรงเป็นอะไรไป?” ฉางกงกงถามไท่ซ่างหวงไม่พูดอะไรสักคำ เขายังคงเดินไปรอบ ๆ สองสามครั้ง จากนั้นนั่งลงและเรียกตัวฝูเข้ามา และฝึกสอนมันอยู่พักหนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นและเห็นฉางกง
พวกคนหนุ่มสาวไม่เข้าใจหรอก!ต่อสู้แทบเป็นแทบตาย สุดท้ายก็ยังแสวงหาอิสรภาพไม่ใช่หรือ?ฉางกงกงมาถึงจวนอ๋องฉู่ เขาอยากเล่นกับเด็ก ๆเนื่องจากเขาไม่ใช่ทั้งชายและหญิง เขาจึงสามารถเข้าไปในตำหนักเสี่ยวเยว่เพื่อเยี่ยมดูเด็ก ๆ ได้ และหยวนชิงหลิงก็ลุกขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนเขาด้วยเปาจื่อชอบฉางกงกงมากเป็นพิเศษ เขาก็ยิ้มออกมาทันทีเมื่อเห็นฉางกงกงเปาจื่อกินเยอะจึงอ้วนมากกว่า เมื่อเขายิ้ม เขาจึงดูเหมือนพระอรหันต์ตัวอ้วนท้วน เขาน่ารักมาก และทำให้ฉางกงกงชอบเป็นที่สุด“อยู่ในวังก็ดีแล้ว” ฉางกงกงไม่อยากวางเปาจื่อลงเลย แล้วจึงค่อยไปอุ้มทังหยวนกับลั่วหมี่ “น่าจะอยู่ในวัง แต่ดันมาอยู่ข้างนอกเช่นนี้ เลยไม่เจอกันตั้งหนึ่งเดือน ไท่ซ่างหวงทรงคิดถึงเด็ก ๆ แต่เด็ก ๆ ยังไม่ครบเดือนเลย หนำซ้ำยังพาพวกเขาเข้าวังไม่ได้ และพระองค์เองก็อายที่จะออกมาหา แต่ก็ทรงเหงาและเบื่อด้วยเช่นกัน"หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ถ้าไท่ซ่างหวงทรงชอบ เมื่อเด็ก ๆ ครบเดือนแล้ว ข้าจะส่งเด็ก ๆ ไปให้พระองค์ ให้ไปเลี้ยงสักไปสองปีแล้วค่อยเอากลับ"ฉางกงกงรู้สึกประหลาดใจมาก เขาอุ้มลั่วหมี่ไว้ในอ้อมแขนของเขา และเขย่าเบา ๆ "จริงหรือพ่ะค่ะย่ะ ถ้
นางข้าหลวงสี่พูดด้วยความโกรธ "ออกไปเลย พูดอะไรไม่ดูเวล่ำเวลา ไม่รู้หรืออย่างไรว่ามันทำร้ายคนอื่น?"ฉางกงกงเห็นว่านางค้านหัวชนฝาและเห็นสีหน้าที่ไม่พอใจขององค์หญิงรัชทายาทหยวนชิงหลิง ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับไปหลังจากที่ฉางกงกงกลับไป เขาก็พูดกับไท่ซ่างหวงว่า "บ่าวบอกตามที่พระองค์สั่ง แต่องค์หญิงรัชทายาทไม่พอใจ และนางข้าหลวงสี่ก็ไล่บ่าวออกไป เรื่องนี้ยากมากนัก!"ไท่ซ่างหวงมองเขา "พูดอะไร?"“ที่พระองค์พูดถึงเรื่องเหลียงตี้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”ไท่ซ่างหวงประหลาดใจ "เหลียงตี้? เหลียงตี้จากไหนกัน?"ฉางกงกงกล่าวว่า "ที่ยังไม่ได้แต่งตั้ง หรือแต่งตั้งแล้วก็มีพ่ะย่ะค่ะ"ไท่ซ่างหวงพูดอย่างเฉยเมย "เจ้าคิดว่าเจ้าสมควรถูกดุหรือไม่? เหลียงตี้ยังไม่มี เจ้าก็พูดไปก่อนแล้ว เจ้าพูดมิใช่หรือว่าเจ้ารู้สึกสงสารนางที่ท้องและคลอดแฝดสาม? เจ้าจะวิ่งไปคุยเรื่องเหลียงตี้กับนางตอนนี้ได้อย่างไร เจ้าบ้านี่ ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้ามันยิ่งแก่ยิ่งใจร้ายจริง ๆ ตาเฒ่าสารพัดพิษ"ฉางกงกงตกตะลึง "บ่าวใจร้ายอะไรพ่ะย่ะค่ะ? วันนี้ก็ที่พระองค์สั่ง?”“หุบปาก ข้าเป็นคนที่มีจิตใจเมตตา ไม่ทำเรื่องเช่นนี้ ข้ามีชีวิ
ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ก็ตาม เมื่อเหล่านางสนมในวังหลังมาถวายพระพรไทเฮา พวกนางจะต้องพูดถ้อยคำที่เป็นมงคลสองสามคำเกี่ยวกับแฝดสามเสมอไทเฮาก็มีความสุขเช่นกัน แต่สิ่งเดียวที่ไม่มีความสุขคือรัชทายาทไม่ได้อยู่ในตำหนักบูรพา ไทเฮาจึงไม่ได้เห็นแฝดทั้งสามตลอดเวลาอย่างไรก็ตาม เนื่องจากเจ้าอาวาสกล่าวว่าแฝดสามเกิดในวันประสูติของพระพุทธองค์ และพวกเขาต้องอยู่ในบ้านที่เกิดมาอีกสักระยะ จึงต้องรับฟังเจ้าอาวาสเพราะเขาเป็นผู้ทรงภูมิในวันนี้เสียนเฟยมาหาไทเฮาอีกครั้งเมื่อเห็นนางตอนนี้ไทเฮารู้สึกปวดหัวขึ้นมา นางเป็นหลานสาวของนาง เป็นคนของตระกูลซู ไม่ว่านางจะทนไม่ไหวแค่ไหน นางทำได้เพียงต้องยอมรับแบบจำยอมอันที่จริง ไทเฮาก็รู้สึกแปลกใจที่นานแล้วฮ่องเต้ไม่ได้แต่งตั้งหรือเลื่อนตำแหน่งให้นางแต่นางไม่เคยถามเรื่องนี้ นางเชื่อฟังลูกชายเสมอ ลูกว่าอย่างไรนางก็ว่าตามนั้นเสียนเฟยยังคงร้องห่มร้องไห้ แต่วันนี้นางยิ่งอยู่ไม่สุขอย่างเห็นได้ชัด อาจเป็นเพราะถูกหูเฟยตบในวันนั้น แต่ฝ่าบาทกลับไม่ได้จัดการกับหูเฟย ซึ่งทำให้นางรู้สึกว่าฐานะและตำแหน่งของนางกำลังตกอยู่ในอันตรายนางร้องไห้และพูดว่า "ท่านป้า ฝ่าบาทจะบังคับหลา
ไทเฮาเข้าประเด็นและตรัสว่า "ตอนนี้มีการเลือกรัชทายาทแล้ว ในที่สุดความกังวลของแม่ก็ได้รับการสะสางแล้ว เพียงแต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เรียกว่าแม่ได้ดีเพราะลูกนั้น ในราชวงศ์เป่ยถังเองก็มีกฎที่ให้รางวัลแก่สนมในวังหลัง ตั้งแต่เจ้าแต่งตั้งรัชทายาทไปแล้ว ถ้าเจ้าไม่แต่งตั้งเสียนเฟย ภายนอกย่อมจะคาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าเจ้าไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาด”จักรพรรดิหมิงหยวนทรงแย้มพระสรวลและตรัสว่า "เสด็จแม่วางพระทัยเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีความคิดเห็นในเรื่องนี้ ดังนั้นพระองค์อย่าทรงกังวลไปเลย"ไทเฮาทอดพระเนตรมองเขา “เจ้าบอกแม่มาสิว่า เป็นเพราะนางขัดขวางการคลอดลูกงั้นหรือ?”จักรพรรดิหมิงหยวนเหลือบมองที่ฉากบังลมอีกครั้งและตรัสว่า "ไม่ว่าก่อนหรือหลัง และแม้กระทั่งระหว่างการคลอดขององค์หญิงรัชทายาท นางสั่งให้เก็บเด็กและทอดทิ้งแม่ไว้ ต้องขอบคุณดวงชะตาขององค์หญิงรัชทายาทที่โชคดีที่ทำให้นางรอดชีวิตมาได้ และเจ้าห้าได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท กระหม่อมย่อมรู้กฎของบรรพชนว่าจะต้องแต่งตั้งเสด็จแม่ของเขา แต่กระหม่อมโยนไม้เซ้งปวยเสี่ยงทายติดต่อกันเป็นเวลาสามวัน และปรากฏว่าบรรพชนทั้งหมดไม่เห็นด้วยและไม่ยินยอมให้แต่งตั้งนาง"
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม