จิ้งโฮ่วลงจากรถม้ามา แล้วเดินคนเดียวบนถนนตะวันออก ท่ามกลางผู้คนพลุกพล่านไปมาทำให้เขารู้สึกเหว่ว้าและสิ้นหวังเขาพบโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เมื่อเข้าไปแล้วเขาก็สั่งเหล้ามาดื่มเอง เช่นเดียวกับบรรดานักปราชญ์และนักกวีทุกยุคทุกสมัย เวลารู้สึกเจ็บแปลบในใจก็อยากจะเขียนบทกวีออกมา แต่เขาละเลยเรื่องบทกวีกับวรรณกรรมมานานมากแล้ว หลายปีมานี้มีชีวิตเหมือนสุนัขและแมลงวัน ในใจยึดติดกับหน้าที่การงาน จะมีใจที่จะเขียนบทกวีได้อย่างไรความรู้สึกหดหู่ในใจมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงเงยหน้าขึ้นและดื่มเหล้าเกือบหมดไห จนเริ่มรู้สึกเมาวิงเวียนและตาพร่ามัวขึ้นมา“เฮ้ นี่หยวนซื่อหลางไม่ใช่หรือ?” ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเย้ยหยันที่ดังขึ้นเขาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เห็นชายวัยกลางคนในชุดผ้าสีน้ำเงินเดินเข้ามาพร้อมกับคนรับใช้ เมื่อเขามองเข้าไปใกล้ ๆ ก็พบว่านั่นคืออู๋ซื่อหลางเขารู้สึกผิดอยู่ครู่หนึ่ง และสีหน้าของเขาก็ตื่นตระหนกขึ้นมา เพราะฮูหยินของอู่ซื่อหลางคนนี้เคยสนิทกับเขาอู่ซื่อหลางอายุได้ห้าสิบสามปีในปีนี้ ฮูหยินคนก่อนของเขาอยู่ตอนเลื่อนตำแหน่งของเขา และหย่าขาดจากกันด้วยความหึงหวง เขาแต่งงานกับฮูหยินคนปัจจุบั
จิ้งโฮ่วยิ้มอย่างมีเลศนัย รอยยิ้มนี้เป็นนิสัย และเขาเองก็เผลอแสดงมันออกมาโดยไม่ตั้งใจหลังจากหัวเราะแล้ว เขานึกขึ้นได้ว่าเรื่องของกู้จือเป็นอ๋องอันที่เป็นคนบงการ จนเขาอดรู้สึกโกรธขึ้นมาในใจไม่ได้อย่างไรก็ตาม เมื่อเสี่ยวเอ้อร์ยกแก้วเหล้ามาวางบนโต๊ะ เขาก็ยืนขึ้นมาประสานมือความเคารพและรินเหล้าให้ "ท่านอ๋อง กระหม่อมรินเหล้าให้พ่ะย่ะค่ะ"เมื่อเห็นท่าทีที่อ่อนน้อมของเขา อ๋องอันก็พอใจมากและจิบเหล้าไปหนึ่งคำ "เหล้านี้ไม่ดี ถ้าจิ้งโฮ่วไม่รังเกียจ ไปที่จวนอ๋องอันเพื่อดื่มสักหน่อยดีหรือไม่? ""มิกล้า ๆ กระหม่อมไม่อาจรับไว้!" จิ้งโฮ่วรู้สึกปลื้มใจและพูดทันทีอ๋องอันยืนขึ้นและพูดอย่างมีความนัย "ท่านโฮ่วเชิญ!"จิ้งโฮ่วโค้งคำนับ "ท่านอ๋องเชิญ"เมื่อเขามาถึงจวนอ๋องอัน อ๋องอันสั่งให้คนยกเหล้าชั้นดีมาและแลกแก้วกันดื่ม หลังจากนั้นไม่นานจิ้งโฮ่วก็เมาไปมากแล้วเขาเองก็เป็นคนคอแข็งดื่มเก่ง เนื่องจากปีนี้มีเรื่องให้สังสรรค์เยอะ จึงต้องดื่มเก่งไปโดยปริยายแต่ในใจของเขาช่างหดหู่เหลือเกิน และเหล้าก็แรงจนเขาทนไม่ไหวจริง ๆเมื่อเห็นว่าเขาเมาพอสมควรแล้ว อ๋องอันก็วางแก้วลงและมองจิ้งโฮ่ว "ท่านโฮ่วอายุแค่ส
อนุโจวเห็นเขาลืมตาขึ้นก็ถอยห่างด้วยความตกใจ แล้วพูดบ่นอย่างไม่พอใจว่า "ท่านเห็นผีรึไง? เบิกตากว้างขนาดนี้ คนไม่รู้นึกว่าศพกระตุกเด้งขึ้นมาเสียอีก"จิ้งโฮ่วที่ได้ยินก็ตะคอกใส่นาง "หุบปาก หาเรื่องดี ๆ จากปากเน่าเหม็นไม่ได้เลยจริง ๆ ศพกระตุกอะไรกัน? ข้าตายไปแล้วหรือไง?"อนุโจวตกใจกับเสียงตะคอกของเขา เห็นว่าช่วงนี้เขาโกรธมากจริง ๆ จึงไม่กล้ายั่วโมโหเขา นางจึงยกซุปแก้เมาค้างขึ้นมาแล้วพูดว่า "ดื่มซุปแก้เมาค้างก่อน"จิ้งโฮ่วคอแห้งมาก เขารับมันและดื่มรวดเดียวแล้วถามว่า "คืนนี้ท่านแม่กินอะไรแล้วยัง?"อนุโจวเม้มปาก “ใครจะไปรู้กัน? ฮูหยินดูแลอยู่ทางนั้น”จิ้งโฮ่วยกผ้าห่มลุกขึ้นจากเตียง อนุโจวห้ามเขาไว้ "ท่านจะไปทำอะไรกัน? มันดึกแล้ว ถ้าท่านอยากไป พรุ่งนี้ค่อยไปก็ได้ ตอนนี้ฮูหยินเฒ่าคงหลับไปแล้ว"จิ้งโฮ่วเดินโซซัดโซเซออกไปพลางสบถ "เจ้าไม่รู้อะไรเลย คนที่ป่วยแบบนี้นอนทั้งวัน? ในตอนกลางวันนอนมากขนาดนั้น ในตอนกลางคืนแบบนี้นอนไม่หลับหรอก"อนุโจวพูดอย่างไม่พอใจ "ไม่เคยเห็นจะกตัญญูแบบนี้มาก่อนเลย ไม่รู้ไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่า ถึงมาทำดีชดเชย หรือว่าท่านทำให้ฮูหยินเฒ่าโกรธมากกันแน่?”จิ้งโฮ่วหันขวั
จิ้งโฮ่วนิ่งอึ้งไปและมองกลับมาที่อ๋องอัน "ใคร? พูดอะไรพ่ะย่ะค่ะ?"อ๋องอันหรี่ตา "ฮูหยินชางนางขอให้ข้าถามท่านโฮ่วว่านานแล้วทำไมไม่ได้เจอท่านโฮ่วเลย"จู่ ๆ สีเลือดบนหน้าจิ้งโฮ่วก็ซีดลง ขาของเขารู้สึกอ่อนแรง เขาทรุดตัวคุกเข่าลงมา ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปหมดอ๋องอันนั่งลงและมองเขาอย่างเคร่งขรึม "ท่านโฮ่ว คนไม่ตายเพราะฟ้าดินลงโทษหรอก ท่านผ่านมาครึ่งชีวิตไม่เคยคิดถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวอะไรเลย ท่านเสียสละทุกอย่างเพื่อตำแหน่งหน้าที่ของท่าน เสียทุกอย่างไปแล้ว ตอนนี้เห็นโอกาสใหญ่อยู่ตรงหน้า ท่านจะยอมแพ้จริงรึ ท่านปกป้ององค์หญิงรัชทายาทเช่นนี้ สงสัยจริงว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับท่าน นางจะปกป้องท่านเช่นนี้หรือไม่? "จิ้งโฮ่วคุกเข่าลงกับพื้น ร่างกายของเขายังคงสั่นและกำลังจะร้องไห้ออกมาแล้ว“ท่านอ๋องทราบได้อย่างไร” เขาถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเขาคิดว่าเขาเก็บความลับได้ดี และฮูหยินชางจะไม่บอกคนนอก อ๋องอันรู้ได้อย่างไร?อ๋องอันยิ้มเย้ยหยัน "ถ้าท่านไม่อยากให้ใครรู้ ท่านก็ไม่ควรทำเลย ไม่ใช่แค่ฮูหยินชางเท่านั้น ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับท่านโฮ่วด้วย ตอนนี้ท่านโฮ่วมีเพียงสองทางเลือก ทำตามที่ข้าบอกเมื
เป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่าได้เจ้าอาวาสนั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ ดังนั้นจักรพรรดิหมิงหยวนจึงอนุญาตให้ครอบครัวของพวกเขาอาศัยอยู่ในจวนอ๋องฉู่เป็นการชั่วคราวนอกจากนี้ อ๋องฉู่ยังคงตำแหน่งเดิมของเขา และยังไม่ได้ถูกเรียกกลับคืน ดังนั้นจึงยังคงเรียกว่าจวนอ๋องฉู่ดังเดิม และไม่มีใครมาแย้งความไม่เหมาะสมเกี่ยวกับเรื่องนี้จักรพรรดิไม่ได้บอกว่าจะจัดงานเลี้ยงครบเดือนของเด็กทั้งสามคนอย่างไร แต่ไท่ซ่างหวงได้ตรัสไว้แล้วว่าทั้งหมดจะจัดขึ้นตามแบบธรรมเนียมของลูกชายคนโตของราชวงศ์ในช่วงเวลานี้ ท่าทีไท่ซ่างหวงในพระตำหนักเฉียนคุนดูแล้วไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เดินเอามือไพล่หลังอย่างกระวนกระวายใจทั้งวันฉางกงกงจึงถามเขาว่า "พระองค์ทรงเป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ? ลงแดงอยากดื่มสุราสักอึกใช่หรือไม่? ถ้าพระองค์อยากดื่ม บ่าวจะเชิญมหาเสนาบดีฉู่และเซียวเหยากงเข้าวังมาดื่มเป็นเพื่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”ไท่ซ่างหวงหันกลับมามองเขา "ไม่ต้อง ๆ พวกเขาน่ารำคาญมาก"“แล้วพระองค์ทรงเป็นอะไรไป?” ฉางกงกงถามไท่ซ่างหวงไม่พูดอะไรสักคำ เขายังคงเดินไปรอบ ๆ สองสามครั้ง จากนั้นนั่งลงและเรียกตัวฝูเข้ามา และฝึกสอนมันอยู่พักหนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นและเห็นฉางกง
พวกคนหนุ่มสาวไม่เข้าใจหรอก!ต่อสู้แทบเป็นแทบตาย สุดท้ายก็ยังแสวงหาอิสรภาพไม่ใช่หรือ?ฉางกงกงมาถึงจวนอ๋องฉู่ เขาอยากเล่นกับเด็ก ๆเนื่องจากเขาไม่ใช่ทั้งชายและหญิง เขาจึงสามารถเข้าไปในตำหนักเสี่ยวเยว่เพื่อเยี่ยมดูเด็ก ๆ ได้ และหยวนชิงหลิงก็ลุกขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนเขาด้วยเปาจื่อชอบฉางกงกงมากเป็นพิเศษ เขาก็ยิ้มออกมาทันทีเมื่อเห็นฉางกงกงเปาจื่อกินเยอะจึงอ้วนมากกว่า เมื่อเขายิ้ม เขาจึงดูเหมือนพระอรหันต์ตัวอ้วนท้วน เขาน่ารักมาก และทำให้ฉางกงกงชอบเป็นที่สุด“อยู่ในวังก็ดีแล้ว” ฉางกงกงไม่อยากวางเปาจื่อลงเลย แล้วจึงค่อยไปอุ้มทังหยวนกับลั่วหมี่ “น่าจะอยู่ในวัง แต่ดันมาอยู่ข้างนอกเช่นนี้ เลยไม่เจอกันตั้งหนึ่งเดือน ไท่ซ่างหวงทรงคิดถึงเด็ก ๆ แต่เด็ก ๆ ยังไม่ครบเดือนเลย หนำซ้ำยังพาพวกเขาเข้าวังไม่ได้ และพระองค์เองก็อายที่จะออกมาหา แต่ก็ทรงเหงาและเบื่อด้วยเช่นกัน"หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ถ้าไท่ซ่างหวงทรงชอบ เมื่อเด็ก ๆ ครบเดือนแล้ว ข้าจะส่งเด็ก ๆ ไปให้พระองค์ ให้ไปเลี้ยงสักไปสองปีแล้วค่อยเอากลับ"ฉางกงกงรู้สึกประหลาดใจมาก เขาอุ้มลั่วหมี่ไว้ในอ้อมแขนของเขา และเขย่าเบา ๆ "จริงหรือพ่ะค่ะย่ะ ถ้
นางข้าหลวงสี่พูดด้วยความโกรธ "ออกไปเลย พูดอะไรไม่ดูเวล่ำเวลา ไม่รู้หรืออย่างไรว่ามันทำร้ายคนอื่น?"ฉางกงกงเห็นว่านางค้านหัวชนฝาและเห็นสีหน้าที่ไม่พอใจขององค์หญิงรัชทายาทหยวนชิงหลิง ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับไปหลังจากที่ฉางกงกงกลับไป เขาก็พูดกับไท่ซ่างหวงว่า "บ่าวบอกตามที่พระองค์สั่ง แต่องค์หญิงรัชทายาทไม่พอใจ และนางข้าหลวงสี่ก็ไล่บ่าวออกไป เรื่องนี้ยากมากนัก!"ไท่ซ่างหวงมองเขา "พูดอะไร?"“ที่พระองค์พูดถึงเรื่องเหลียงตี้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”ไท่ซ่างหวงประหลาดใจ "เหลียงตี้? เหลียงตี้จากไหนกัน?"ฉางกงกงกล่าวว่า "ที่ยังไม่ได้แต่งตั้ง หรือแต่งตั้งแล้วก็มีพ่ะย่ะค่ะ"ไท่ซ่างหวงพูดอย่างเฉยเมย "เจ้าคิดว่าเจ้าสมควรถูกดุหรือไม่? เหลียงตี้ยังไม่มี เจ้าก็พูดไปก่อนแล้ว เจ้าพูดมิใช่หรือว่าเจ้ารู้สึกสงสารนางที่ท้องและคลอดแฝดสาม? เจ้าจะวิ่งไปคุยเรื่องเหลียงตี้กับนางตอนนี้ได้อย่างไร เจ้าบ้านี่ ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้ามันยิ่งแก่ยิ่งใจร้ายจริง ๆ ตาเฒ่าสารพัดพิษ"ฉางกงกงตกตะลึง "บ่าวใจร้ายอะไรพ่ะย่ะค่ะ? วันนี้ก็ที่พระองค์สั่ง?”“หุบปาก ข้าเป็นคนที่มีจิตใจเมตตา ไม่ทำเรื่องเช่นนี้ ข้ามีชีวิ
ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ก็ตาม เมื่อเหล่านางสนมในวังหลังมาถวายพระพรไทเฮา พวกนางจะต้องพูดถ้อยคำที่เป็นมงคลสองสามคำเกี่ยวกับแฝดสามเสมอไทเฮาก็มีความสุขเช่นกัน แต่สิ่งเดียวที่ไม่มีความสุขคือรัชทายาทไม่ได้อยู่ในตำหนักบูรพา ไทเฮาจึงไม่ได้เห็นแฝดทั้งสามตลอดเวลาอย่างไรก็ตาม เนื่องจากเจ้าอาวาสกล่าวว่าแฝดสามเกิดในวันประสูติของพระพุทธองค์ และพวกเขาต้องอยู่ในบ้านที่เกิดมาอีกสักระยะ จึงต้องรับฟังเจ้าอาวาสเพราะเขาเป็นผู้ทรงภูมิในวันนี้เสียนเฟยมาหาไทเฮาอีกครั้งเมื่อเห็นนางตอนนี้ไทเฮารู้สึกปวดหัวขึ้นมา นางเป็นหลานสาวของนาง เป็นคนของตระกูลซู ไม่ว่านางจะทนไม่ไหวแค่ไหน นางทำได้เพียงต้องยอมรับแบบจำยอมอันที่จริง ไทเฮาก็รู้สึกแปลกใจที่นานแล้วฮ่องเต้ไม่ได้แต่งตั้งหรือเลื่อนตำแหน่งให้นางแต่นางไม่เคยถามเรื่องนี้ นางเชื่อฟังลูกชายเสมอ ลูกว่าอย่างไรนางก็ว่าตามนั้นเสียนเฟยยังคงร้องห่มร้องไห้ แต่วันนี้นางยิ่งอยู่ไม่สุขอย่างเห็นได้ชัด อาจเป็นเพราะถูกหูเฟยตบในวันนั้น แต่ฝ่าบาทกลับไม่ได้จัดการกับหูเฟย ซึ่งทำให้นางรู้สึกว่าฐานะและตำแหน่งของนางกำลังตกอยู่ในอันตรายนางร้องไห้และพูดว่า "ท่านป้า ฝ่าบาทจะบังคับหลา