อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเหมาะสมหรือไม่ก็ตาม ชื่อเล่นจะถูกส่งไปยืนยันแล้วผู้คนในจวนกำลังเตรียมการเพื่อพิธีสรงสามในวันรุ่งขึ้นอย่างแข็งขันพิธีสรงสามเป็นพิธีมงคลยิ่งนัก ไทเฮาทรงตระเตรียมไว้นานแล้ว ไม่ว่าพระญาติจะว่างหรือไม่ก็ล้วนแต่ต้องมาหยวนชิงหลิงที่ความรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับขนบธรรมเนียม พิธีสามอาบนั้น หมายความว่าหลังจากวันที่สามหลังจากที่เด็ก ๆ เกิดมา ญาติและเพื่อน ๆ จะมารวมตัวกันเพื่อดูการอาบน้ำชำระล้างร่างกาย เพื่ออวยพรให้แคล้วคลาดปลอดภัย มั่งคั่ง และยังรวมถึงการป้องกันโรคภัย ซึ่งเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์มากมีผู้คนจากจวนจิ้งโฮ่วเข้าร่วมพิธีสรงสามด้วยในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น รุ่ยชิงอ๋องและพระชายาของเขามาบอกอวี่เหวินห่าวว่า ชื่อเล่นของเด็ก ๆ ได้เขียนไว้ที่ด้านข้างป้ายหยกแล้ว รอแค่ได้ชื่อจริงแล้วค่อยเพิ่มลงไปหยวนชิงหลิงยังคงนอนอยู่บนเตียง พระชายารุ่ยจึงเข้าไปเยี่ยมนางเมื่อเข้ามาแล้วก็เอ่ยชื่นชมยินดีกับนาง "เจ้าช่างยอดเยี่ยมมาก เจ้าได้เพิ่มพี่น้องสามคนให้กับราชวงศ์ ข้าไปเยี่ยมดูพวกเขาทั้งสามเหมือนกันไม่ผิด สวรรค์ทรงเมตตา อวยพรให้เจ้ามีความสุข"หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "น่าเกลียดเห
“ชื่อเล่นของเด็ก ๆ คืออะไร” หยวนชิงหลิงมองเขาแล้วถามอวี่เหวินห่าวยิ้มและพูดว่า "เจ้าเป็นคนตั้งเอง เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ?"“อะไรนะ? ท่านส่งอะไรเข้าไปในวัง?” หยวนชิงหลิงมองใบหน้ายิ้มแย้มของเขา นางยิ้มไม่ออกเลยสักนิด"มันเป็นกระดาษที่เขียนว่า เปาจื่อ หยวนทัง และลั่วหมี่ไง" อวี่เหวินห่าวนั่งลงข้างนางแล้วบอกนางเช่นนั้นหยวนชิงหลิงลดมือลงอย่างอ่อนแรงและมองมาที่เขา "ข้าไม่ได้ตั้งแบบนั้น""ห๊ะ?" อวี่เหวินห่าวตกตะลึง "เจ้าบอกว่ามันอยู่บนโต๊ะในห้องหนังสือไม่ใช่หรือ? ข้าเอามันมาจากบนโต๊ะแล้วมีเขียนสามชื่อนี้ไว้อยู่ ถ้าเจ้าบอกว่าไม่ใช่สามชื่อนี้ แล้วเจ้าตั้งว่าอะไร?”หยวนชิงหลิงพูดอย่างอ่อนแรง "ข้าเขียนว่า คงซิง หนานชิง และเหนียนตง ซาลาเปาหมานโถ่วที่ไหนของท่าน? ท่านไปเจอที่ไหน?"อวี่เหวินห่าวตกตะลึง "เจ้าคิดชื่อได้เพราะขนาดนี้เชียวหรือ? แต่ชื่อที่ข้าเห็นคือชื่อนั้นจริง ๆ ข้าเห็นว่าลายมือของเจ้าน่าเกลียด ข้าเลยเขียนขึ้นมาใหม่ ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า ข้าไปเอามาให้เจ้าดู..”"ท่านไปเอามันมาหน่อยสิ!" หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาจริงจัง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้โกหก เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะสับสนจนหยิบผิด?นางตั้ง
มือใหญ่ยื่นออกมาจากด้านหลังของซูยี่ มือนั้นจับไหล่เลื่อนไปที่อกเสื้อ และขย้ำคอเสื้ออย่างแรง ซูยี่ถูกขย้ำคอเสื้อลากเข้าไปในม่าน เขารีบหันกลับมาอ้อนวอน "กระหม่อมผิดไปแล้ว!"อวี่เหวินห่าวชกที่เบ้าตาเขาและตะคอกว่า "เจ้าไม่ทิ้งกระดาษที่เขียนผิดรึไง? มีตะกร้าอยู่บนพื้นเจ้าไม่เห็นมันรึ? เจ้าไม่ทิ้งมันยังวางมันไว้บนโต๊ะอีก? เจ้าจงใจให้ข้าหยิบผิดงั้นหรือ? ใต้เท้าซูเป็นคนคิดชื่อเล่นของลูกข้าทั้งสามคนขึ้นงั้นหรือ?ซูยี่ปิดเบ้าตาของเขา และขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า "เข้าใจผิด เข้าใจผิด มันเป็นความเข้าใจผิดทั้งหมด มันยังไม่สายเกินไป ท่านอ๋องไปหารุ่ยชิงอ๋องเร็วเข้า"“หาอะไร มันเขียนไว้ในป้ายหยกแล้ว” อวี่เหวินห่าวโกรธมาก ราวกับพระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ และจิ้มนิ้วไปที่หน้าผากของเขา “วันหลังจะทำงานหัดใช้สมองคิดบ้างได้หรือไม่?""พ่ะย่ะค่ะ ๆ!" ซูยี่รีบพูดตอบหยวนชิงหลิงถอนหายใจ "ช่างเถอะ ตอนนี้ท่านจะโกรธเขาไปทำไม? ท่านเองก็ผิด ตอนที่เห็นว่าชื่อไม่ถูกทำไมไม่ถามข้า"อวี่เหวินห่าวเตะก้นซูยี่ "ไสหัวออกไปซะ"ซูยี่ได้รับการอภัยจึงรีบวิ่งหนีบหางตัวเองออกไปทันทีหลังจากที่ซูยี่อยู่ที่นั่นสักพ
พิธีสรงสามจะเริ่มช่วงประมาณเที่ยงวัน เนื่องจากพระอาทิตย์ขึ้นสูงสุดและอุณหภูมิสูงในช่วงเวลานี้ ดังนั้นทารกจะไม่หนาวระหว่างทำพิธีสรงสามในเวลาประมาณเที่ยง ไทเฮา จักรพรรดิหมิงหยวน ฮองเฮาฉู่ เสียนเฟย กุ้ยเฟย เต๋อเฟย และหูเฟยล้วนเสด็จมาถึงแล้วไท่ซ่างหวงไม่เสด็จมาร่วมด้วย ดังนั้นพระองค์จึงส่งฉางกงกงมาแทน พระองค์รู้ว่าวันนี้มีคนมากมายในจวนต้องเอะอะวุ่นวายแน่ ดังนั้นจึงไม่ได้มาร่วมด้วยความยิ่งใหญ่ของผู้มิอำนาจในวังในวังนั้นช่างน่าอิจฉาและน่าแค้นใจนักหลังจากได้รับการต้อนรับแล้ว ไทเฮาแทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นเด็ก ๆ แล้วนางข้าหลวงสี่นำทารกทั้งสามออกมากับแม่นม พาไปให้ไทเฮาทอดพระเนตรดูทารกทั้งสามที่มีรูปร่างหน้าตาแทบเหมือนกันทุกประการ และนางมีความสุขมากจนไม่อาจหุบยิ้มที่ฉีกกว้างไปถึงหูได้ ทำให้นางหลงเสน่ห์เอาเสียจริงไทเฮานั้นทรงอุ้มเด็ก ๆ เด็ก ๆ ก็ยิ้มให้ด้วย รอยยิ้มนั้นจะทำให้หัวใจของไทเฮาแทบละลาย หลังจากเฝ้ารอมาอย่างยาวนานในหลายปีมานี้ ในที่สุดก็ได้มีเหลนสักที นางแทบจะคุกเข่าอุ้มเด็ก ๆ ต่อหน้าวิญญาณบรรพชนขอบคุณบรรพชนที่ประทานพรให้"มา ๆ มาอุ้มกัน!" ไทเฮาตรัสกับฮองเฮาฉู่ และบรรดาสนมอย่าง
เสียนเฟยแอบรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ นางจึงเข้าไปอุ้มลั่วหมี่ แต่นางไม่รู้ตัวว่าเมื่ออุ้มเขาแล้ว เขาก็ร้องไห้ออกมาอย่างควบคุมไม่ได้นางไม่สามารถปั้นหน้าได้อีกต่อไป แต่นางยังคงพยายามอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ เสี่ยวลั่วหมี่ที่ไม่ร้องไห้ในตอนแรก แต่หลังจากที่ถูกอุ้มก็สำลักนมออกมา เสียนเฟยก็รีบเช็ดออก จากนั้นเสี่ยวลั่วหมี่ก็เริ่มร้องไห้เดิมเสี่ยวลั่วหมี่นั้นอ่อนแอและไม่ได้ร้องไห้ดังมาก แต่เมื่อร้องไห้ก็สำลักนมอย่างง่ายดาย หลังจากนั้นไม่นานหน้าเสี่ยวลั่วหมี่ก็ร้องไห้ไม่หยุดจนหน้าม่วงหมดแล้วไทเฮาทรงกริ้ว “พอได้แล้ว นั่งลงซะ เจ้าไม่ต้องอุ้มแล้ว”ว่าแล้ว ขอให้นางข้าหลวงสี่พาเสี่ยวลั่วหมี่มาหานางเสียนเฟยน้ำตาคลอเบ้า อัปยศอดสูเหลือทน และนั่งลงด้วยความโกรธ ไทเฮาดูแลเด็ก ๆ หลังจากทำความสะอาดเสี่ยวลั่วหมี่แล้ว จึงวางไว้บนตักของนางเขย่าเบา ๆ แล้วลูบทารกเบา ๆ "เด็กดี เด็กดีของข้า ไม่ต้องกลัว ๆ ย่าทวดอุ้มน้า ย่าทวดโอ๋ ๆ"ทารกทั้งสามหยุดร้องไห้เสียนเฟยรู้สึกเพียงว่าใบหน้าของนางถูกตบหลายครั้งจนปวดแสบปวดร้อนไปหมด นางรู้สึกว่าทุกคนมองนางอย่างเยาะเย้ย นี่คือหลานชายของนางเอง ใคร ๆ ก็อุ้มเขาก็ได้ แต่นางก
กุ้ยเฟยโน้มตัวไปมองอย่างระมัดระวัง และยื่นมือไปถูดู ที่ฝ่าเท้าของเด็ก ๆ แดงขึ้น และสีที่เป็นตำหนิไม่หายไป ไทเฮาเริ่มไม่พอพระทัย "จะทาสีได้อย่างไรกัน? ห่อตัวพวกเขาไว้ เร็ว ๆ ตอนนี้ยังหนาวอยู่เลย”นางข้าหลวงสี่บอกแม่นมว่า "อุ้มไปเตรียมตัวเถอะ ใกล้ถึงเวลาเริ่มพิธีแล้ว"เมื่อได้ยินว่าต้องไปเตรียมตัว ไทเฮาตรัสถามว่า "ครอบครัวของทางฝั่งมารดายังไม่มารึ?"นางข้าหลวงสี่ยิ้มและพูดว่า "ทูลไทเฮา มาแล้วเพคะ ฮูหยินเฒ่ากับจิ้งโฮ่วและฮูหยินของเขาอยู่ที่นี่ จิ้งโฮ่วรออยู่ข้างนอกไม่ใช่หรือ?"“เฮ้ รีบเข้ามาดูเด็กเร็ว ๆ นะ พวกเจ้าไปเตรียมตัวเถอะ” ไทเฮาตรัสวันนี้จิ้งโฮ่วปลื้มใจจริง ๆในวันรุ่งขึ้นหลังจากทราบว่าคลอดออกมาเป็นลูกชาย เขาสั่งให้คนเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ทันที เพื่อรอให้ในวันพิธีสรงสาม เมื่อเขามาที่นี่ เขาเห็นไทเฮาและฝ่าบาทเฝ้าดูเด็กอยู่ข้างใน ดังนั้นเขาจึงยืนอยู่ที่ประตู และรอให้ฝ่าบาทเรียกเขาเข้าไป ส่วนฮูหยินเฒ่า นางหวง และหยวนชิงผิงนั้นเข้าไปเยี่ยมหยวนชิงหลิงหลังจากที่รออยู่สักพัก จิ้งโฮ่วก็เข้าไป เขาทำความเคารพถวายบังคมอย่างเงียบ ๆไทเฮาอยากจะตรัสชมเขาสักสองสามคำ นางเต็มไปด้วยคำชม แ
เสียนเฟยตื่นเต้นจนพูดไม่ออก นางปิดปากคุกเข่าลงต่อหน้าไทเฮา และร้องไห้อย่างควบคุมไม่ได้ตระกูลซูมีอนาคตสดใสแล้ว แม้ว่านางจะไม่ใช่ฮองเฮา แต่นางย่อมได้เป็นไทเฮาอย่างแน่นอนนางคุกเข่าอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ลุกขึ้น รอให้มู่หรูกงกงประกาศราชโองการฉบับต่อไปอย่างไรก็ตาม ฮ่องเต้เพียงแค่มองดูที่อวี่เหวินห่าว จากนั้นก็ตบไหล่เขาเบา ๆ และตรัสว่า "เคลื่อนขบวนกลับวัง!"วันนี้เป็นเพียงขั้นตอนเท่านั้น ในอนาคตจะมีการสนทนาระหว่างขุนนางและกษัตริย์ ตอนนี้เป็นแค่การคุยกันระหว่างพ่อลูกเท่านั้นเมื่อเห็นว่าจักรพรรดิหมิงหยวนจะไปจริง ๆ เสียนเฟยก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาว่า "ฝ่าบาท รอประเดี๋ยวเพคะ!"จักรพรรดิหมิงหยวนมองกลับมาที่นางด้วยแววตาที่ไม่สบอารมณ์นัก “มีอะไรอีก?”เสียนเฟยเห็นแววตาของเขา และหวนนึกถึงวันที่ตบนางวันนั้นได้ นางก็ข่มใจลงไม่พูดอะไรต่อ และหลุบตาลงแล้วพูดว่า "หม่อมฉันอยากอยู่กับองค์หญิงรัชทายาทสักพัก ค่อยกลับวังทีหลังเพคะ”สีหน้าของจักรพรรดิหมิงหยวนไม่สบอารมณ์นักและตรัสว่า "อนุญาต!"หลังจากที่อวี่เหวินห่าวและท่านอ๋องส่งเสด็จไทเฮา ฮองเฮา และพระสนมทั้งหมดออกไปแล้ว อ๋องซุน อ๋องหวย และอ๋องฉีต่
นางแทบจะหาเสียงตัวเองไม่เจอ “เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังพูดอะไร?”อวี่เหวินห่าวมองนาง "เสด็จแม่ วันที่เหล่าหยวนคลอดลูก ท่านรู้ไหมว่าท่านทำอะไรลงไป?"เสียนเฟยหน้าเขียวไปหมด "ทุกสิ่งที่แม่ทำก็เพื่อเจ้าทั้งนั้น หยวนชิงหลิงจะทำให้เจ้าได้ดื่มด่ำแค่ความสุขเท่านั้น ชั่วชีวิตเจ้าจะไม่ทำอะไรเลย""พยายามฆ่าพระชายาของข้าเพื่อข้างั้นรึ?" อวี่เหวินห่าวรู้สึกเย็นชาเมื่อเขาพูดว่า "แล้วอยู่เฉย ๆ มันผิดอะไร? ในฐานะพ่อแม่ การหวังอยากให้ลูกมีความสุขตลอดไปมิใช่หรือ? การอยู่เฉย ๆ ต่างหากคือพรอันประเสริฐสุด”เสียนเฟยมองไปที่เขาอย่างตกตะลึง ในใจนางเต้นอย่างบ้าคลั่ง ทั้งผิดหวังและเจ็บปวด "เป็นเวลาหลายปีผ่านมา ข้ามักบอกเจ้าเสมอว่าตระกูลซูล่มสลายแล้ว ปู่กับน้าของเจ้าจะสนับสนุนเจ้าทั้งหมด เพื่อที่สักวันเจ้าจะได้ขึ้นครองราชย์ ... "อวี่เหวินห่าวเย้ยหยัน "สักวันจะขึ้นครองราชย์ ได้ แล้วตระกูลซูก็จะถูกแต่งตั้งเป็นโฮ่วงั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นทุกสิ่งที่พวกเขาทำก็เพื่อข้าหรือเพื่อพวกเขากันแน่? เรื่องความล่มสลายของตระกูลซูเกี่ยวกับข้างั้นหรือ? หากข้าได้เป็นจักรพรรดิ ตระกูลซูก็จะสามารถฟื้นศักดิ์ศรีได้ ตอนนี้เสด็จย่าเป็นเสด
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม