เขาทำตามความคาดหวัง และให้กำเนิดลูกชายหลายคน แต่โชคไม่ดีที่ลูกชายเหล่านี้ไม่ได้เรื่องเลย ที่ไม่สามารถมีลูกชายได้มาจนถึงตอนนี้ดังนั้นการคุกเข่าโขกศีรษะในครั้งนี้ จักรพรรดิหมิงหยวนได้ใช้พิธีการนี้ทุ่มความอึดอัดใจทั้งหมดลงไปด้วยพระสนมเสียนเฟยพาหูโม่โม่และทหารองค์รักษ์กลุ่มหนึ่งมาที่จวนอ๋องฉู่ เห็นว่าในจวนนั้นบรรยากาศตึงเครียดอย่างถึงที่สุดนางพาหูโม่โม่เข้าไปหาหยวนชิงหลิง ทันทีที่นางเห็นหยวนชิงหลิง นางก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที อ่อนแอขนาดนี้จะคลอดได้อย่างไร? นางรู้สึกเครียดจนหน้าดำคร่ำเครียดไปหมดใช้ไม่ได้เลยจริง ๆเห็นห้องที่รายล้อมไปด้วยผู้คน แต่มีไม่กี่คนที่ยุ่งอยู่ อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความโกรธ "พวกเจ้าเป็นบ้าอะไรกัน? ไม่รู้เลยรึไงว่าควรทำอะไร ยังไม่ย้ายไปที่ห้องคลอดอีก?"อวี่เหวินห่าวขมวดคิ้ว "เสด็จแม่ อย่าตะโกน อย่าทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ทำข้าตกใจได้ แต่อย่าทำให้เหล่าหยวนตกใจ"เขาเพิ่งเป็นลมจากความกลัว และฟื้นขึ้นมาได้ไม่นาน ตอนนี้เหล่าหยวนบอกว่าความดันโลหิตของเขาพุ่งสูงขึ้นมาก จนเขาจะเป็นลมอีกครั้งได้ทุกเมื่อ เขาตกใจจนทนไม่ไหวหลังจากได้ยินเช่นนี้ พระสนมเสียนเฟยก็โกรธแต่
เสียนเฟยถึงกับสะอึก ใบหน้าของนางก็ดำคล้ำด้วยความโมโหทันทีนางพูดไม่ออก แต่นางรู้สึกผิดหวังมากในใจ นางมองไปที่หยวนชิงหลิงที่นอนเอนกุมท้องนาง นางทำใจร้ายมองไปทางคนพวกนั้นอย่างเย็นชา ทั้งหมอหลวงและหมอตำแยที่อยู่ข้างใน นางพูดอย่างเคร่งเครียด "คุกเข่ารับพระราชเสาวนีย์ ไทเฮาทรงมีพระราชเสาวนีย์"ทุกคนคุกเข่าลง แม้ว่าอวี่เหวินห่าวจะโกรธอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังคุกเข่าลงเพื่อรับพระราชเสาวนีย์ของเสด็จย่าเสียนเฟยพูดเสียงดัง "ไทเฮาทรงมีรับสั่งว่า หากพระชายาฉู่ประสบเหตุอันตรายใด ๆ ระหว่างการคลอดบุตร เด็กที่คลอดมานั้นสำคัญที่สุด จะใช้ยาหรือวิธีใดก็ได้ จะต้องปกป้องเด็กเอาไว้ให้ได้...”ในประโยคสุดท้าย นางมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชา "แม้ว่าจะต้องเสียสละแม่ก็ตาม!"หยวนชิงหลิงกำลังมีอาการหดเกร็งจะคลอดนั้น เมื่อนางได้ยินเช่นนี้ ก็ตกใจจนหน้าซีดลงในทันทีอวี่เหวินห่าวลุกขึ้นมาทันทีและพูดอย่างเย็นชา "เสด็จแม่ถ่ายทอดพระราชเสาวนีย์ปลอม ไม่รู้หรือว่านี่เป็นโทษร้ายแรง"เขาเหลือบมองฝูงชนอย่างเย็นชา “ข้าสงสัยว่าเป็นพระราชเสาวนีย์ปลอม ดังนั้นพวกเจ้าไม่ต้องสนใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พระชายาคือสิ่งสำคัญที่
หยวนชิงหลิงจับมือของเขา "เข้าใจแล้ว ท่านให้ใครสักคนช่วยดูหน่อยเถิด พิธีสักการะบูชาฟ้าดินเสร็จเมื่อไหร่ ให้พาท่านเจ้าอาวาสกลับมาทันที""อย่ากังวล กู้ซีออกไปแล้ว" อวี่เหวินห่าวพูดเบา ๆ แล้วค่อย ๆ ปล่อยนาง และยื่นมือออกไปจัดผมของนาง "เจ็บมากไหม?"หยวนชิงหลิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก และปรับลมหายใจของนาง "ไม่เป็นไร ตอนนี้ไม่เจ็บมากแล้ว การหดตัวก็ไม่รุนแรงขนาดนั้น ยังทนได้อยู่"ดวงตาของอวี่เหวินห่าวดูเหมือนจะร้อนผ่าวขึ้นมา และเสียงของเขาก็เช่นเดียวกัน เขาพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า "ข้าเกลียดที่เจ็บแทนเจ้าไม่ได้"หยวนชิงหลิงยื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าที่ผอมตอบของเขา "ช่วงนี้ท่านไม่ได้ดีไปกว่าข้าเลย ข้าจะไม่ทิ้งท่านไว้ตามลำพัง ไม่ต้องกังวลไปนะ"คำพูดเหล่านี้ช่างเสียดแทงใจดำของเขาเขาไม่เคยเห็นหน้าเด็ก และไม่ได้อยู่กับเด็กมาตลอดเก้าเดือน ความรักที่เขามีต่อเด็กนั้นก็ไม่ลึกซึ้งเท่าเหล่าหยวนเขาหวังเพียงให้นางรอดจากการทดสอบนี้ แม้ว่านางจะสูญเสียลูกไป เขาก็ไม่สนใจ ตราบใดที่นางยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เขาแทบน้ำตาตกใน แต่วินาทีต่อมา เขาก็เงยหน้ายิ้ม “พูดได้ดี ก่อนอายุร้อยปีจะไม่มีใครทิ้งใครก่อน”"ได้ ก่อน
เสียนเฟยคิดว่านางเป็นต้นเหตุของหายนะ นางจึงมีความคิดชั่วร้ายโหดเหี้ยมขึ้นมา นางหันหลังกลับออกไปเรียกให้หูโม่โม่มาคุยด้วย"พระนางมีรับสั่งอะไรหรือเพคะ?" หูโม่โม่เข้าไปไม่ได้ ตอนที่อยู่รับใช้ที่ตำหนักเสี่ยวเยว่ จึงได้พบพระชายาครู่หนึ่งเสียนเฟยถามว่า "โม่โม่ เจ้าเองก็เห็นแล้ว เจ้าคิดว่าพระชายามีแรงคลอดบุตรหรือไม่?"หูโม่โม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง "เรื่องนี้...พระนางอย่ากังวลไปเลยเพคะ ที่นี่มีหมอหลวงมากมาย พระชายาจะต้องไม่เป็นอะไรเพคะ"เสียนเฟยกดมือของนางด้วยแววตาเย็นเยียบ "นางจะเป็นอะไรหรือไม่นั้นข้าไม่สน ข้าแค่เป็นห่วงความปลอดภัยของหลานชายของข้าเท่านั้น มีคำหนึ่งที่ข้าอยากจะบอกเจ้าไว้ก่อน หากตอนคลอดมีอะไรเกิดขึ้น ปกป้องเด็กเอาไว้ไม่ต้องสนแม่ ทุกคนน่าจะคิดอย่างนั้น แต่ลูกห้ากลับห้ามไว้ เมื่อถึงเวลาก็หาทางเอาตัวเขาออกไป ข้ากลัวเขาจะตามเข้าไปในห้องคลอด”หูโม่โม่ตกตะลึง "นี่... พระนางมองโลกในแง่ร้ายเกินไปรึเปล่าเพคะ นางยังไม่คลอดลูกเลย"เสียนเฟยกล่าวว่า "โม่โม่ เห็นพวกสนมคลอดทารกมากมายในวัง เจ้าไม่รู้หรือว่าด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของนาง มันเป็นไปไม่ได้ที่นางจะคลอดลูกทั้งสามคนอย่างราบรื่น"ใ
แม้ว่านางไมใช่สูติแพทย์ แต่ทั้งหมอหลวงและหมอตำแยกล่าวว่า ด้วยความเจ็บปวดแบบนี้ คาดว่านางจะต้องคลอดบุตรภายในหนึ่งชั่วโมงแต่เจ้าอาวาสยังไม่กลับมาอดทนรอไม่ไหว ลองคลอดธรรมชาติไม่ได้ เสียนเฟยอยู่ข้างนอก เพิ่งเรียกหมอหลวงและคนอื่น ๆ ออกไป ไม่รู้ว่านางกำลังวางแผนอะไรอยู่ นางไม่สามารถฝากชีวิตของตัวเองและลูกไว้กับพวกเขาได้ นอกจากนี้ฮูหยินเจียงหนิงยังไม่มีประสบการณ์มากนัก และต้องการคำแนะนำของนางเองเมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว นางค่อย ๆ ลุกขึ้นและพูดกับเจ้าห้า ฮูหยินเจียงหนิง และอาซื่อว่า "เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้าห้องผ่าตัด"อวี่เหวินห่าวสูดหายใจเข้าลึกทันที กล้ามเนื้อทั้งหมดในร่างของเขาหดเกร็งขึ้นมาทันทีพวกเขาผลัดกันเดินไปหลังฉากเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าทีละคน นางข้าหลวงสี่ดึงหมอตำแยที่ใต้เท้าชุ่ยแนะนำเข้ามา และพูดว่า "ถึงตอนนั้นเจ้าช่วยได้ เจ้ามีประสบการณ์"หยวนชิงหลิงอาศัยจังหวะช่วงหดเกร็งที่ยังพอมีแรงพูดอะไรได้อยู่บ้างนี้ นางขอให้อวี่เหวินห่าวช่วยประคองนางนั่ง นางมองไปที่คณะหมอและหมอหลวงและพูดว่า "ขอบคุณที่สละเวลาดูแลข้าด้วยความห่วงใย แต่ทุกคนรู้ว่าตอนนี้ข้าอ่อนแอ และมันยากที่จะแบกรับความเจ็บป
อวี่เหวินห่าวเดินหลีกออกไปไม่ให้นางเข้าใกล้ เพื่อไม่ให้เสื้อผ้าของเขาเปื้อน และไม่พูดต่อล้อต่อเถียงไร้สาระกับนาง เขาหยิบสเปรย์ที่หยวนชิงหลิงวางไว้ก่อนหน้านี้ฉีดใส่ตัวเองแล้วเข้าไปทันที ประตูปิดลง เขาตะโกนออกมาจากข้างในว่า "กู้ซี ถังหยาง เฝ้าประตู หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ฝ่าบาทก็เข้ามาไม่ได้"กู้ซีและถังหยางระดมกององค์รักษ์ และทหารหลวงล้อมรอบห้องผ่าตัดทั้งหมดอย่างแน่นหนาทันที กู้ซี ถังหยาง ก็เข้ามาเฝ้าประตูห้องด้านนอกและห้องด้านใน กอดอกเหมือนเทพทวารบาลสององค์ เสียนเฟยโมโหจนหัวใจของนางปวดร้าวไป นางกดหน้าอกตัวเองและพูดอย่างเย็นชา “ได้ แม่ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง แต่เจ้ากลับไม่เห็นคุณค่ามัน มันช่างปวดใจเหลือใจ หากภายภาคหน้าเกิดอะไรขึ้น อย่าได้มาขอร้องแม่คนนี้”หูโม่โม่เข้ามาปลอบนางและพูดว่า "พระนาง โปรดสงบสติอารมณ์ด้วยเพคะ ท่านอ๋องทำอะไรไม่ได้เลย พระชายาเองกำลังท้องแฝดสาม ดังนั้นนี่จึงเป็นสถานการณ์พิเศษ ควรได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษโดยไม่คำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ "เสียนเฟยรู้สึกหงุดหงิดมากเมื่อได้ยินเช่นนี้นางรู้สึกหมดหนทางและโดดเดี่ยวไม่มีใครเข้าใจความพยายามอย่างยากลำบากขอ
พิธีสักการะบูชาฟ้าดินครั้งนี้ยิ่งใหญ่มาก เหล่าขุนนาง ทหาร และพลเรือนต่างก็มาเข้าร่วมด้วยใต้ปะรำพิธีมีผู้คนมากมายสายตาของอ๋องอันเฉียบคมมาก เมื่อเขาเห็นซูยี่มองไปที่เจ้าอาวาส เจ้าภาพกำลังเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อท่ามกลางฝูงชน อ๋องอันยิ้มเย็น แน่นอนว่าเขาเดาถูก เจ้าอาวาสคือกุญแจสำคัญเมื่อพิธีสักการะบูชาฟ้าดินสิ้นสุดลง เขาจะสั่งให้คนไปขัดขวางซูยี่ และไม่อนุญาตให้เขาเข้าใกล้เจ้าอาวาสจักรพรรดิหมิงหยวนขอให้เจ้าอาวาสขึ้นราชรถไปด้วยกัน หลังจากพิธีสักการะบูชาฟ้าดินแล้ว พระองค์ก็เสด็จกลับวังหลวงเพื่อถวายเครื่องบูชาแด่บรรพบุรุษของตระกูลอวี่เหวินซูยี่สลัดคนของอ๋องอันหลุดได้แล้ว แต่เขาทำได้เพียงเฝ้าดูราชรถหายลับไปเขากระทืบเท้าและรีบไล่ตามไป แต่เข้าไปไม่ได้เพราะทหารคุ้มกันและมีฝูงชนจำนวนมาก เสียงนั้นดังมาก จนเขาตะโกนคอแทบแตกเจ้าอาวาสก็ไม่ได้ยินเขาทำได้เพียงขี่ม้ากลับไปที่จวนอย่างรวดเร็ว และขอให้ท่านอ๋องรีบหยุดราชรถของฝ่าบาทในห้องคลอด อวี่เหวินห่าวเห็นว่าท้องของหยวนชิงหลิงถูกผ่าออกและขยายใหญ่ขึ้น เผยให้เห็นรอยเลือดสีแดงเหมือนปากของสัตว์ประหลาดน่ากลัวเป็นอย่างยิ่งสิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวไ
กู้ซีตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง แต่ไม่รู้สึกถึงเสียงใด ๆหลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียงอาซื่อร้องไห้ดังขึ้นอาซื่อร้องไห้ นางเคยสงบสติอารมณ์ได้มาก่อน แต่นางรู้สึกกระวนกระวายใจจนไม่พูดอะไรไม่ออก อย่างไรก็ตาม เมื่อเด็กทั้งสองที่มีสุขภาพดีถูกนำออกมา นางรู้สึกว่าหินก้อนใหญ่บนหัวใจของถูกยกออก เมื่อเห็นเด็กน้อยสองคนที่นอนอยู่บนเตียงข้างกันส่งเสียงอ้อแอ้เป็นครั้งคราว นางอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา"อาซื่อ ยังมีอีกคน!" ฮูหยินเจียงหนิงคว้ามือนาง "อย่าเพิ่งร้องไห้ รีบช่วยเร็ว สวรรค์ สายสะดือพันรอบคอ..."หยวนชิงหลิงก็เห็นเช่นกัน แม้ว่ากระจกสัมฤทธิ์จะไม่ชัด แต่เมื่ออุ้มออกมา เห็นใบหน้าของเด็กเป็นสีม่วงคล้ำ และเขาก็ไม่ได้ขยับเขยื้อน"ไม่ ไม่..." หยวนชิงหลิงร้องไห้ ตาของนางมองตามมือของหมอตำแย หมอตบก้นสองสามครั้ง แต่เด็กไม่ตอบสนองเลยฮูหยินเจียงหนิงรีบเดินไปทันทีปั้มหัวใจเบา ๆ แล้วเป่าปาก แต่เด็กนอนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ ไม่ขยับเขยื้อนศีรษะของเขาหันไปทางด้านข้างเล็กน้อย และหันหน้าไปทางหยวนชิงหลิง ดวงตาของเขาปิดสนิทและดูเหมือนเขาไม่หายใจเลย"ไม่..." หัวใจของหยวนชิงหลิงแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม