ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ หยวนชิงหลิงพึงพอใจกับอาหารที่นางทำมาก อย่างน้อยนางก็กินได้คำสองคำ หลังจากนั้นนางก็อาเจียนเอาเป็นเอาตายในช่วงแรกก็ตามโจวกุ้ยยอมสารภาพโดยไม่ต้องทรมานมากนัก บอกว่าฮูหยินเฒ่าจวนจิ้งโฮ่วเป็นคนบงการคำสารภาพนี้ถูกรายงานไปถึงหูของอวี่เหวินห่าว แต่อวี่เหวินห่าวนั้นไม่ยอมเชื่อ ดังนั้นเขาจึงสอบสวนด้วยตัวเอง และใช้การทรมานอย่างรุนแรง โจวกุ้ยยังยืนยันคำเดิมว่าฮูหยินเฒ่าสั่งมาให้ทำแบบนี้ นางไม่รู้ ฮูหยินเฒ่าสั่งก็ทำตามเพียงเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าฮูหยินเฒ่าไม่เคยมาที่จวน แม้ว่าฮูหยินเฒ่าจะสั่งการ ก็ต้องหาคนที่จะส่งสารมาให้ตามเบาะแสที่พบจวนจิ้งโฮ่ว คนส่งข่าวเป็นคนรับใช้เก่าแก่ที่รับใช้ในฮูหยินเฒ่าชื่อ อาฉวนบังเอิญอาฉวนได้กลับบ้านเกิดของเขาเมื่อสองวันก่อน ฮูหยินเฒ่าที่ให้ความกรุณาแก่เขา เนื่องจากอายุที่มากขึ้นของเขาอวี่เหวินห่าวสั่งให้ใครสักคนไปถามไถ่ อันที่จริงแล้วเป็นฮูหยินเฒ่าที่ให้เขากลับบ้านเกิดเอง ซึ่งทำให้อวี่เหวินห่าวสงสัยขึ้นมาเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่ใช่ฮูหยินเฒ่าเนื่องจากครอบครัวฝั่งแม่ของเหล่าหยวน คนเดียวที่ไว้ใจได้นั้นคือฮูหยินเฒ่าพ่
ฮูหยินเฒ่าพยักหน้าและถามอย่างเคร่งเครียดว่า "มีอะไรผิดปกติหรือเพคะ?"อวี่เหวินห่าวถามว่า "ทำไมท่านถึงส่งเขาไป"ฮูหยินเฒ่ากล่าวว่า "เขาอายุมากแล้ว และทำงานอยู่ในจวนมาหลายปี เขาอยากจะกลับไปบ้านเกิดเพื่อใช้ชีวิตเกษียณ ดังนั้นข้าจึงให้เงินจำนวนหนึ่งและปล่อยเขาไป เขาก่อเรื่องร้ายแรงอะไรหรือ เขาทำเรื่องอะไรลงไปรึ?”อวี่เหวินห่าวกล่าวว่า "มีคนแช่ดอกท้อและใบตองในถังน้ำส่วนตัวของเหล่าหยวน หลังจากสอบสวนแล้วพบว่า โจวกุ้ย คนทำอาหารที่ท่านส่งมาเป็นคนทำเอง โจวกุ้ยบอกว่าเป็นคำสั่งของท่าน"ทันใดนั้นสีหน้าของฮูหยินเฒ่าก็เปลี่ยนไปและถามอย่างร้อนรนว่า "นางไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?"เห็นว่านางกระวนกระวายเช่นนี้ อวี่เหวินห่าวก็ไม่แสร้งเก็บซ่อนความกังวลใจอีกต่อไป จึงพูดตอบไปว่า "คนไม่เป็นอะไร แต่ความทรมานนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ โจวกุ้ยบอกว่ามันเป็นคำสั่งของท่าน และคนที่ถ่ายทอดคำสั่งของท่านก็คือ อาฉวน คนรับใช้เก่าแก่ข้างกายของท่าน"ฮูหยินเฒ่าโกรธจนตาลุกเป็นไฟทันที "ได้ ทั้งที่ระวังขนาดนี้ยังเล็ดลอดสายตาข้าไปได้อีก ซุนโม่โม่ ไปหาที่อยู่ของบ้านเกิดของอาฉวน พาเขากลับมาและสอบปากคำเขาให้ดี"จากนั้นนางมองไปที่อวี
"นั่นยังไม่ได้หรือ? นางไม่มีเรี่ยวแรง งั้นก็เพิ่มเรี่ยวแรงนางซะสิ" อวี่เหวินห่าวกล่าวหมอหลวงเฉาโบกมือของเขา "ท่านอ๋องของข้า ยาไร้กังวลนั้นสามารถกระตุ้นศักยภาพและเรี่ยวแรงของร่างกายได้ แต่ตอนนี้พระชายากินดื่มไม่ได้ และร่างกายของนางก็อ่อนล้าถึงขีดสุด ร่างกายฟื้นฟูแทบไม่ไหว จะกระตุ้นนางได้อย่างไร? หากไม่ได้รับการกระตุ้นฟื้นฟูจะทนไหวไปตลอดรอดฝั่งหรือ? หากทนไม่ไหวและใช้ยาไร้กังวลนี้ กระหม่อมขอบังอาจพูดอะไรที่ไม่น่าฟัง มันจะให้ผลตรงกันข้าม ทำให้นางหมดเรี่ยวแรง บั่นทอนพลังชีวิตนาง และอาจถึงแก่ชีวิตได้นะพ่ะย่ะค่ะ”คำพูดของหมอหลวงเฉาทำให้อวี่เหวินห่าวตกอยู่ในความตื่นตระหนก เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่งจนขาดสติและตะโกนออกมาด้วยใบหน้าซีดขาวว่า "ข้าไม่สน พวกเจ้าต้องหาทาง"ทุกคนกังวลอยู่พักหนึ่ง พวกเขาจะทำอย่างไร? แม้แต่ผู้หญิงที่ฉลาดและมีความสามารถก็ไม่สามารถทำอาหารได้หากไม่มีข้าว พระชายาไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว และไม่มีใครสามารถช่วยนางในการคลอดบุตรครั้งนี้ได้หมอหลวงเฉาถอนหายใจ "กระหม่อมเกรงว่านี่เป็นความตั้งใจของคนร้าย ไม่ช้าก็เร็ว ไม่กี่วันนี้ถึงลงมือได้"หมอหลวงเฉาคิดอยู่ในใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา หาก
แต่ในวังกลับมีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วเมื่อพูดถึงการป้องกันอย่างแน่นหนาในจวนอ๋องฉู่ จะมีคนลงมือได้อย่างไร?ยิ่งกว่านั้น พระชายาฉู่ไม่ได้ถูกพิษ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีคนทำร้ายนางในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมีเรื่องเกิดขึ้นกับนาง เห็นได้ชัดว่าบารมีไม่เพียงพอ ยังบอกอีกว่าอ๋องฉู่ไม่ใช่คนโชคดีมากขนาดนั้น ไม่เช่นนั้นจะปกป้องลูกเอาไว้ไม่ได้อย่างไร?ก่อนหน้านี้หลายคนคิดในใจว่า หากพระชายาฉู่ให้กำเนิดลูกชาย ตำแหน่งรัชทายาทจะตกอยู่กับอ๋องฉู่เป็นแน่แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับพลิกผันอย่างกะทันหัน ดังนั้นจึงเห็นได้เรื่องน่ายินดีในจวนอ๋องฉู่นั้นจะเปล่าประโยชน์ในท้ายที่สุดข่าวลือเหล่านี้ไปถึงหูของจักรพรรดิหมิงหยวน พระองค์ทรงกริ้วมาก และสั่งให้มู่หรูกงกงจับคนที่ปล่อยข่าวลือมาแต่ใครจะรู้เล่า? ข่าวลือเหล่านี้ค่อย ๆ ไปถึงเมืองหลวง ตอนนี้ใครต่อใครก็พูดว่าอ๋องฉู่มีบุญไม่พอ เกรงว่าเขาคงไม่ใช้ผู้ถูกเลือกที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับรัชทายาท ผู้คนในเมืองหลวงต่างกดดันมานานเกินไป ฮ่องเต้ยังไม่ตัดสินใจเลือกอ๋องสักคนมาเป็นรัชทายาท บรรดาท่านอ๋องก็ยังไม่ให้กำเนิดบุตรชาย อดสงสัยไม่ได้ว่าตระกูลอวี่เหวินนั้นได้สูญเสียพรจากสวรรค์ไ
ฮูหยินเฒ่าลูบผมของนางอย่างอ่อนโยนด้วยความรัก นัยน์ตาของนางมีร่องรอยความกังวลซ่อนอยู่ในแววตาหลังจากปลอบหยวนชิงหลิงแล้ว ฮูหยินเฒ่าก็ดึงอวี่เหวินห่าวออกมา และบอกเขาว่าอาฉวนถูกขโมยฆ่าตายอยู่ข้างถนนอวี่เหวินห่าวคาดเอาไว้นานแล้วจึงปลอบโยนนาง "ท่านย่าไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเรื่องนี้ในตอนนี้ ใคร ๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น เรื่องนี้ในอนาคตค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้เรื่องของเหล่าหยวนสำคัญที่สุด"ฮูหยินเฒ่ารู้สึกโล่งใจ และพอใจกับหลานเขยคนนี้มาก แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า และไม่รู้ว่านางจะรอดจากหายนะครั้งนี้ได้หรือไม่ฮูหยินเสนาบดีเจียงหนิงยังคงใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการปวดหลังของหยวนชิงหลิง และยังออกแบบรายการอาหารขึ้นมาเอง เพื่อให้แม่นมฉีปรุงอาหารให้กับหยวนชิงหลิงแม่นมฉีย่อมแอบนำมันไปสอบถามหมอหลวง หมอหลวงเฉาเห็นใบรายการนี้ และคิดว่ามันค่อนข้างจะกล้าไปสักหน่อย แต่ตอนนี้เขาจะลองมันดูสักตั้งทุกคนต่างรู้สึกว่า ถึงแม้ว่าความหวังจะหริบหรี่ก็อยากจะลองพยายามทำมันอย่างเต็มที่หยวนชิงหลิงให้อวี่เหวินห่าวฆ่าเชื้อในห้องผ่าตัดอีกครั้ง และไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปห้องผ่าตัดนี้ปิดตายอย่างแน่นหนาไม่ใช่เพียงแค่
นางนั่งที่ข้างเตียงและจับมือหยวนชิงหลิงเอาไว้ แววตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลและพูดว่า "เจ้ารู้หรือไม่ว่าการคลอดลูกของเจ้าเกี่ยวข้องกับชะตากรรมในอนาคตของจวนอ๋องฉู่ ตอนนี้มีคนมากมายกำลังสร้างปัญหา ปล่อยข่าวว่าฝ่าบาทไม่ทรงประพฤติชอบในศีลธรรม ทำให้เจ้าเกิดเหตุร้ายก่อนคลอด และตอนนี้มีคนมากมายจับตามองอยู่ พระชายาฉู่ ข้าขอเตือนเจ้า เจ้าต้องกัดฟันเสี่ยงชีวิตให้กำเนิดลูกให้ได้เข้าใจไหม?"นางข้าหลวงสี่ที่ได้ยินรีบวางกาน้ำชาและเข้ามา โดยไม่สนใจว่าจะเป็นการลบหลู่เบื้องสูงหรือไม่ นางดึงตัวพระสนมเสียนเฟยออกไป “พระนางทรงเหนื่อยมากแล้ว มาดื่มชาก่อนเถอะเพคะ พระชายาควรพักผ่อนได้แล้ว”พระสนมเสียนเฟยผลักนางข้าหลวงสี่ออกไปและพูดด้วยความโกรธ "พวกเจ้าควรบอกเรื่องนี้กับนางตั้งแต่แรก ให้นางรู้ว่าตัวเองมีความรับผิดชอบที่สำคัญมากแค่ไหน ให้นางเข้าใจว่า แม้ว่านางจะตายก็ต้องกลั้นใจคลอดลูกให้ได้"นางข้าหลวงสี่เริ่มกระวนกระวาย "พระสนมเสียนเฟยพอแล้ว พระองค์ออกไปได้แล้ว"ใบหน้าของหยวนชิงหลิงที่ซีดแล้วซีดอีกพูดว่า "โม่โม่ ให้เสด็จแม่พูด นางพูดถูก มีเรื่องบางอย่าง ข้าเองก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับรู้"พระสนมเสียนเฟยผลักนา
เขาหันกลับไปสั่งถังหยางและเอ่ยอย่างเย็นชา "เชิญพระสนมเสียนเฟยเสด็จกลับวังพ่ะย่ะค่ะ"“ลูกห้า อย่าเมินคำแนะนำของข้า แม่ทำทุกอย่างเพื่อเจ้านะ” พระสนมเสียนเฟยพูดอย่างร้อนใจ และยื่นมือไปดึงแขนเขา เขาสะบัดทิ้งและก็เข้าไปข้างในพร้อมปิดประตูทันทีถังหยางพยายามเกลี้ยกล่อมให้นางกลับไป หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนจากข้างนอก "พระสนมเสียนเฟย เคลื่อนขบวนได้!"อวี่เหวินห่าวนั่งบนเตียงและกอดหยวนชิงหลิงเอาไว้สำหรับชีวิตคู่แล้ว นี่เป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุดในใจของหยวนชิงหลิงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะถามเต็มไปหมดนางอยากถามเกี่ยวกับความวุ่นวายข้างนอก และยังอยากบอกว่าเสียนเฟยบอกนางให้รักษาเด็กไม่รักษาแม่เอาไว้อย่างไรก็ตาม ในตอนท้ายนางไม่ได้ถามหรือพูดอะไร เรี่ยวแรงของเธอที่เหลืออยู่ตอนนี้ ทำให้นางสนสถานการณ์อื่นไม่ได้อีกนางยังคงหอบเล็กน้อยเหมือนปลาทองท้องโตอวี่เหวินห่าวอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ยื่นมือออกไปประคองเอวของนาง และกดไปที่หน้าท้องด้านข้างเบา ๆ เขารู้สึกได้ว่าเด็กกำลังเคลื่อนไหวอยู่ข้างในการเคลื่อนไหวนั้นรุนแรงราวกับว่าทนรอแทบไม่ไหวแล้วที่จะออกมาอวี่เหวินห่าวรู้สึกได้ แม้ว่าเขาจ
หลังจากที่พระสนมเสียนเฟยถูกเชิญกลับวัง นางก็กระวนกระวายมากไทเฮาทรงหมดสติไปสองครั้งครั้ง เพราะการกระทบกระเทือนถึงครรภ์ของหยวนชิงหลิง หากเกิดอะไรขึ้นกับไทเฮา ตระกูลซูจะทำอย่างไร? ตระกูลซูในวันนี้ล้วนได้รับการสนับสนุนจากไทเฮาทั้งสิ้นนางนึกถึงสิ่งที่ลูกห้าพูดแล้วรู้สึกหวาดกลัวขึ้น หยวนชิงหลิงคนนี้รู้จักมนต์เสน่ห์หรือไม่? ทำให้ลูกห้าหลงใหลเช่นนี้ กล่าวได้ว่าในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่แสนสำคัญ เขาจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาหยวนชิงหลิงเอาไว้เขาไม่สนอนาคตของตัวเองหรือ? ไม่ได้ ปล่อยหยวนชิงหลิงอยู่เคียงข้างเขาไว้ไม่ได้แล้ว มิฉะนั้น ในภายภาคหน้าลูกห้าจะสูญเสียจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ทั้งหมดและกลายเป็นคนขี้ขลาดอย่างสิ้นเชิงนางต้องคิดหาวิธีในพริบตาก็เข้าสู่ต้นเดือนเมษายน หยวนชิงได้รับบาดเจ็บ ผ่านการพักฟื้นก็ไม่ได้ผล และนางยังคงอยู่บนเตียงทุกคนคิดว่าหยวนชิงหลิงกำลังจะคลอดลูกในปลายเดือนมีนาคม แต่คาดไม่ถึงว่าในต้นเดือนเมษายน ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดจากนาง ซึ่งทำให้ผู้คนวิตกกังวลอย่างมากทั้งหมดนับดูนับว่าเป็นเวลาเก้าเดือนแล้วไม่รู้ว่าเกิดเรื่องบ้าบออะไรขึ้นมากับราชวงศ์เป่ยถังในปีนี้จริง ๆ ไทเฮาทร
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม