เมื่อเห็นว่ามีคนมา หยวนชิงหลิงจึงโน้มตัวลงไปดู การกระทำนี้ทำให้จักรพรรดิหมิงหยวนแทบทรุดลงกับพื้น สวรรค์ เขาตกใจแทบตายนึกว่านางจะกระโดดลงมาเสียแล้วตอนนี้เขาก็เป็นโรคหัวใจแล้ว ไม่แปลกใจที่ชายชราจะไม่ยอมมา"ลงมา รีบลงมาเดี๋ยวนี้!" เสียงของเขาอ่อนแรง เขาหันกลับมาตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวอีกครั้ง "พวกเจ้ายืนอยู่ตรงนั้นทำไม? รีบขึ้นไปสิ!"ทหารราชองครักษ์ทำอะไรไม่ถูก "ฝ่าบาท หม่อมฉันก็อยากจะขึ้นไป แต่เมื่อขึ้นไปบนบันได พระชายาฉู่ก็บอกว่าจะกระโดดลงมา หม่อมฉันจึงไม่กล้าขึ้นไปพ่ะย่ะค่ะ"จักรพรรดิหมิงหยวนโกรธมากที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในวันส่งท้ายปีเก่า แม้แต่ในวังหลวงก็ยังจะก่อเรื่องกับเขาอีกหรือ ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน สมกับที่เป็นลูกสาวของจิ้งโฮ่วเสียจริง เขาโบกมืออย่างอ่อนแรง "ถ่ายทอดคำสั่ง มีราชโองการให้เชิญพระชายาฉู่ไปที่ห้องหนังสือวี่"จักรพรรดิหมิงหยวนนั่งอยู่ภายในห้องหนังสือวี่ หลังจากอาการกรุ่นโกรธนั้นก็ตามมาด้วยความโศกเศร้าลูกชายทั้งสามที่ตกลงไปตามลำดับ ส่วนคนอื่น ๆ นั้นล้วนแต่ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลมากนักว่ากันว่าครอบครัวที่มั่งคั่งนั้นจะมีความสุข แล้วความสุขอยู่ที่ใดกัน?หากไม่มี
จักรพรรดิหมิงหยวนมองดูดวงที่ตาบวมแดงของนาง เขาเข้าใจทุกอย่างชัดเจน และอดที่จะโศกเศร้าเสียไม่ได้คำพูดของนางทำให้เขาตกใจบางทีอาจถึงเวลาแล้วที่จะต้องแสดงตนออกมา และใช้สถานะขององค์จักรพรรดิเพื่อเฝ้ามองดูการต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งรัชทายาทชะตาฟ้าลิขิตให้มีเพียงหนึ่งเดียว ถ้ายังสู้กันไปเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาต้องฆ่ากันจนตายเขาพูดอย่างนุ่มนวลว่า "เจ้ากลับไปก่อนเถิด"หยวนชิงหลิงโค้งคำนับแล้วจากไปจักรพรรดิหมิงหยวนเห็นนางตัวสั่น และขาของนางยังคงแกว่งไปมาอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาหัวเราะครู่หนึ่งก่อนจะรู้สึกเจ็บปวดใจหยวนชิงหลิงไม่พูดสักคำหลังจากออกมาจากวังหลวงแล้วนางมีความเศร้าอยู่ภายในใจเช่นเดียวกับจักรพรรดิหมิงหยวนนางกล่าวว่าตัวนางนั้นเป็นคนมีการศึกษาสูงส่ง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ไม่ต้องใช้ความคิดในการแก้ปัญหา?แต่นางอับจนหาทางจนต้องไปร้องไห้ สร้างปัญหา และก่อเรื่องกระโดดลงจากศาลาเหวินชาง อาซื่อนึกว่านางยังตกใจกลัวอยู่ จึงเอ่ยปลอบนาง "ท่านพี่ไม่ต้องกลัวแล้วนะ ฮ่องเต้เองก็ดูเหมือนว่าจะไม่โกรธเคืองท่านแล้ว"“อาซื่อ” หยวนชิงหลิงพูดเสียงต่ำ “ฝ่าบาทไม่ทรงโกรธ แต่พระองค์ก็ดูเศร้าเหลือเกิ
มหาเสนาบดีฉู่มองไปที่ไท่ซ่างหวง "ท่านตั้งตาเหลนชายใช่หรือไม่?"ไท่ซ่างหวงตรัสว่า "ข้าไม่ได้คาดหวัง จะหญิงหรือชายก็เหมือนกันหมด"“อย่าโกหกเลย” เซียวเหยากงหัวเราะเยาะ “ไม่รู้ว่าใครกันเคยกล่าวว่า ขนาดฝันยังฝันเห็นด้ามฝัก?”ไท่ซ่างหวงไม่พอใจและกล่าวว่า "ความฝันก็คือความฝัน ไม่ได้หมายถึงความคิดเสียหน่อย"มหาเสนาบดีฉู่มองเขา “ท่านเคยพูดว่า หากคิดถึงสิ่งใดก็จะฝันเห็นสิ่งนั้น? ท่านฝันถึงก็แสดงว่าท่านตั้งตารอไม่ใช่หรือ?”ไท่ซ่างหวงตอบโต้อย่างเงียบ ๆ "เมื่อคืนนี้ข้าฝันว่าพวกเจ้าทั้งสองกลายเป็นขอทาน"“ช่างใจร้ายเสียจริง!” มหาเสนาบดีและเซียวเหยากงพูดขึ้นพร้อมกันไท่ซ่างหวงเงยหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง "ตอนนี้ข้าขอแค่นางคลอดอย่างปลอดถัยก็พอ แล้วค่อยขอสิ่งอื่น และไม่ว่ามีด้ามฝักหรือไม่ มันก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ดังนั้นขอร้องไปจะมีประโยชน์อะไร?"เซียวเหยากงกล่าวว่า "เช่นนั้นรึ? ข้าเคยได้ยินพระภิกษุที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า หากคุกเข่าลงอ้อนวอนพระพุทธองค์ด้วยใจจริง คำอธิษฐานนั้นก็จะเป็นจริง""เจ้าเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?" ไท่ซ่างหวงเย้ยหยัน "การอ้อนวอนขอพรต่อเทพเจ้า และบูชาพระพุทธอง
“ขอสิ่งใดก็ได้ใช่หรือไม่?”ไทเฮากล่าวว่า "ใช่เพคะ ขอเพียงแต่อย่าขอมากเกินไปในคราวเดียว เกรงว่าพระโพธิสัตว์จะกล่าวว่าท่านโลภเอานะเพคะ"ไท่ซ่างหวงพึมพำว่า "หากมนุษย์ไม่โลภ แล้วเหตุใดจึงต้องอ้อนวอนขอพรพระพุทธองค์กันเล่า"หลังจากพึมพำ เขาก็คุกเข่าลงอย่างเชื่อฟังฉางกงกงจุดธูปแทนเขา แล้วมองดุเขาไทเฮากล่าวขึ้นว่า "หากพระองค์ต้องการขออะไรก็กล่าวออกมาดัง ๆ เลยเพคะ"“การกล่าวเงียบ ๆ ไม่เหมือนกันหรอกหรือ?” ไท่ซ่างหวงกล่าวไทเฮายิ้มเล็กน้อย "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านเคยบอกไว้เสมอไม่ใช่หรือว่า ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ต้องใช้เสียงข่มคนไว้ก่อน? หากท่านไม่กล่าวพรที่ต้องกาารขอออกมาดัง ๆ พระโพธิสัตว์มีเรื่องให้ต้องจัดการตั้งมากมาย แล้วจะได้ยินคำอธิษฐานในใจของท่านได้อย่างไรกันเล่า? ในเมื่อพระองค์มาที่นี่แล้ว แล้วเหตุใดถึงไม่ขอพรเพคะ? เหลือเพียงขั้นตอนเดียวเท่านั้น”ไท่ซ่างหวงลังเลเป็นเวลานานและถามขึ้นว่า "ขอสิ่งเดียวใช่หรือไม่”“ขอสิ่งเดียวก่อนเพคะ” ไทเฮาตอบไท่ซ่างหวงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "ขอพระโพธิสัตว์จงโปรดคุ้มครองปกปักษ์รักษา ให้พระชายาฉู่คลอดบุตรโดยราบรื่น และขอให้ทารกนั้นปลอดภัย"
หยวนชิงหลิงมองเขาที่กึ่งโกรธกึ่งขอคำแนะนำ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา "แล้วท่านปฏิบัติต่อเสด็จแม่อย่างไรกันเล่า?""เข้าเฝ้า"“นอกเหนือจากนั้น?” หยวนชิงหลิงถามอีกครั้งอวี่เหวินห่าวเกาหัว "ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นแล้ว อย่างไรเสียเสด็จแม่ก็มีครบหมดแล้วทุกอย่าง ก็แค่เข้าเฝ้า ถามไถ่ก็เพียงพอแล้ว"“แล้วสิ่งใดที่ทำให้นางโปรดปราน” หยวนชิงหลิงถามอวี่เหวินห่าวยิ้มเบา ๆ “โปรดปรานงั้นหรือ? ต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทมาได้เสด็จแม่ก็โปรดปรานแล้ว อย่างอื่นไม่ว่าข้าจะทำอะไรก็ดูเป็นเด็ก ล้วนไม่จำเป็น เอาแต่ใจ และบ้าบิ่นเสมอ”ดวงตาของหยวนชิงหลิงเบิกกว้าง แต่นางก็เห็นด้วยทันที พระสนมเสียนเฟยมีความหวังเดียวในตัวเขา นั่นก็คือพยายามต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทมาให้ได้เมื่อมองไปที่ลูกคนโตคนนี้ที่ขาดความรักจากครอบครัว หยวนชิงหลิงก็ถอนหายใจเบา ๆ “หาเวลาว่างสักวัน เข้าวังไปเล่นหมากรุก ดื่มเหล้า และอยู่เคียงข้างเสด็จพ่อ น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการแสดงกตัญญู”“พระองค์ต้องคิดว่าข้าไปเพื่อเอาใจเป็นแน่” อวี่เหวินห่าวพูดอย่างหดหู่ใจ“ไม่ว่าพระองค์จะคิดอย่างไร? ท่านก็แค่ทำส่วนของท่านให้ดีที่สุดก็เพียงพอแล
เขาร้องไห้อย่างขมขื่นภายในคุก และชี้ไปที่อวี่เหวินห่าว โดยบอกว่าเขาเป็นคนทำ และโยนความผิดไปให้เขาเขายังสารภาพอีกว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยต่อสู้กับอวี่เหวินห่าวภายในจวน และตอนนั้นเขาก็ใช้ทหารในจวนลงมือ เขาจึงคิดว่าอวี่เหวินห่าวต้องโกรธแค้นเรื่องตอนในนั้นเป็นแน่ จึงได้โยนความผิดให้กับเขาคำพูดเหล่านี้ ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้ แต่อ๋องจี้ก็ไม่ได้บอกว่าเหตุใดพวกเขาถึงต่อสู้กัน บอกเพียงว่าพวกเขามีความเห็นที่ไม่ลงรอยกันอย่างไรก็ตาม หลังจากได้ฟัง จักรพรรดิหมิงหยวนก็เพียงโบกมือเบา ๆ "สอบสวนต่อไป"ผู้ใต้บังคับบัญชาต่างก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ยังต้องสอบสวนอีกหรือ? สอบสวนไปก็คาดว่าคงไม่ได้ความอันใดหากไม่ลงโทษ ก็ควรจัดการอย่างไรสักอย่างจักรพรรดิหมิงหยวนไม่รู้จะถามอะไรอย่างนั้นหรือ? แต่พระองค์ยังไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร และเขาคิดว่าบางอย่างสามารถดองไว้ก่อนได้ดังนั้นอ๋องจี้จึงถูกล่ามตรวนอยู่ในคุกอ๋องจี้รอให้ฉู่หมิงหยางไปวิ่งเรื่องให้ อย่างน้อยมหาเสนาบดีพูดช่วยเขาสักสองสามคำ ยังดีเสียกว่าคนอื่นพูดร้อยคำแต่รอแล้วรอเล่า ฉู่หมิงหยางก็ไม่มาพบเขาเสียทีแม้ว่าเขาจะเป็นอาชญากร แต่เขาก็ไม่ถ
พระชายาจี้พูดกับพระสนมฉินเฟยว่า "เสด็จแม่ ลูกไปรอที่ด้านนอกนะเพคะ"หลังจากพูดจบ นางก็หันหลังและจากไปโดยไม่แม้แต่จะมองอ๋องจี้อ๋องจี้มองด้านหลังของนางด้วยความไม่อยากเชื่อ นางจากไปจริงหรือ?พระสนมฉินเฟยได้แต่ตกตะลึง นางมองไปที่อ๋องจี้ด้วยดวงตาที่บวมแดง และพูดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย "เกิดอะไรขึ้น? นางบ้าไปแล้วหรือ? เหตุใดถึงได้เดินออกไปเฉย ๆ เช่นนี้?"อ๋องจี้ไม่กล้าพูดว่าเขาเคยคิดที่จะหย่ากับนาง ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นอย่างเย็นชา "ตั้งแต่รับหยางเอ๋อเข้ามา นางก็ดูชั่วร้ายมาโดยตลอด"พระสนมฉินเฟยขมวดคิ้วและมองดูเขา "เจ้าเอาแต่เอาอกเอาใจชายารองจนละเลยนางใช่หรือไม่? เจ้าอย่าทำเช่นนี้เด็ดขาด ตอนนี้เจ้ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังต้องพึ่งพานางและครอบครัวของนางอยู่""ตระกูลถงนั้นไร้ประโยชน์" อ๋องจี้กล่าว "เมื่อครู่ท่านก็ได้ยินแล้วว่า นางบอกว่าถงอันถูกเสด็จพ่อเพิกเฉยแล้วนี่พ่ะย่ะค่ะ"พระสนมฉินเฟยตำหนิ "เจ้าคนสายตาสั้น ตระกูลถงเป็นตระกูลที่มีอำนาจมากมายในราชสำนัก และตระกูลถงมีรากฐานที่ร่ำรวยมหาศาล หากเจ้าเกลี้ยกล่อมนางให้ดี อนาคตเจ้าสามารถจับจ่ายได้ตามที่ต้องการ นอกจากนี้ ถงอันอยู่ในราชสำนักมาเป็น
หลังจากพระชายาจี้ได้ยินเช่นนั้น นางก็ส่ายหัวและพูดว่า "เสด็จแม่ บอกตามตรง พี่ชายของข้าเคยพูดไว้ก่อนแล้วว่า เขาจะไม่ยุ่งเรื่องภานในจวนของอ๋องจี้"พระสนมฉินเฟยขมวดคิ้วอย่างเย็นชา "หมายความว่าอย่างไร? หากเขาไม่ยุ่งเรื่องในจวนของอ๋องจี้ แล้วเขาจะยุ่งเรื่องของครอบครัวใคร? หรือว่าเขามีเจ้านายใหม่อย่างนั้นรึ?"พระชายาจี้ยิ้มจาง “เสด็จแม่ ดูสิ่งที่ท่านพูดสิเพคะ พี่ชายของข้ามีฮ่องเต้เป็นนายเพียงผู้เดียว เขาจะมีนายใหม่ได้อย่างไร? ท่านพูดเช่นนี้ หมายความว่าพี่ชายข้าทรยศต่อราชสำนัก สมรู้ร่วมคิดแล้วก่อเกิดความวุ่นวายหรือเพคะ?”ดวงตาของพระสนมฉินเฟยเคร่งขรึม "เจ้าอย่าได้พูดอะไรไร้สาระ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พี่ใหญ่ถูกขังอยู่ด้านใน เจ้าต้องคิดหาวิธีช่วยเขาออกมาให้ได้"พระชายาจี้เสียความรู้สึกเป็นอย่างยิ่ง นางหันศีรษะออกไปมองด้านนอก "ลูกจะพยายามเพคะ"พระสนมฉินเฟยถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ก็ได้ยินนางพูดขึ้นอีกครั้งว่า "เพียงแต่ตอนนี้มีเพียงคนที่มีความสามารถ และทักษะที่ทรงพลังเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้"พระสนมฉินเฟยพูดอย่างเย็นชา "เจ้ามีไหวพริบเสมอ เรื่องนี้เจ้าย่อมรู้ดีว่าอวี่เหวินห่าวใส่ร้ายเขา ตราบใดที