“ขอสิ่งใดก็ได้ใช่หรือไม่?”ไทเฮากล่าวว่า "ใช่เพคะ ขอเพียงแต่อย่าขอมากเกินไปในคราวเดียว เกรงว่าพระโพธิสัตว์จะกล่าวว่าท่านโลภเอานะเพคะ"ไท่ซ่างหวงพึมพำว่า "หากมนุษย์ไม่โลภ แล้วเหตุใดจึงต้องอ้อนวอนขอพรพระพุทธองค์กันเล่า"หลังจากพึมพำ เขาก็คุกเข่าลงอย่างเชื่อฟังฉางกงกงจุดธูปแทนเขา แล้วมองดุเขาไทเฮากล่าวขึ้นว่า "หากพระองค์ต้องการขออะไรก็กล่าวออกมาดัง ๆ เลยเพคะ"“การกล่าวเงียบ ๆ ไม่เหมือนกันหรอกหรือ?” ไท่ซ่างหวงกล่าวไทเฮายิ้มเล็กน้อย "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านเคยบอกไว้เสมอไม่ใช่หรือว่า ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ต้องใช้เสียงข่มคนไว้ก่อน? หากท่านไม่กล่าวพรที่ต้องกาารขอออกมาดัง ๆ พระโพธิสัตว์มีเรื่องให้ต้องจัดการตั้งมากมาย แล้วจะได้ยินคำอธิษฐานในใจของท่านได้อย่างไรกันเล่า? ในเมื่อพระองค์มาที่นี่แล้ว แล้วเหตุใดถึงไม่ขอพรเพคะ? เหลือเพียงขั้นตอนเดียวเท่านั้น”ไท่ซ่างหวงลังเลเป็นเวลานานและถามขึ้นว่า "ขอสิ่งเดียวใช่หรือไม่”“ขอสิ่งเดียวก่อนเพคะ” ไทเฮาตอบไท่ซ่างหวงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "ขอพระโพธิสัตว์จงโปรดคุ้มครองปกปักษ์รักษา ให้พระชายาฉู่คลอดบุตรโดยราบรื่น และขอให้ทารกนั้นปลอดภัย"
หยวนชิงหลิงมองเขาที่กึ่งโกรธกึ่งขอคำแนะนำ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา "แล้วท่านปฏิบัติต่อเสด็จแม่อย่างไรกันเล่า?""เข้าเฝ้า"“นอกเหนือจากนั้น?” หยวนชิงหลิงถามอีกครั้งอวี่เหวินห่าวเกาหัว "ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นแล้ว อย่างไรเสียเสด็จแม่ก็มีครบหมดแล้วทุกอย่าง ก็แค่เข้าเฝ้า ถามไถ่ก็เพียงพอแล้ว"“แล้วสิ่งใดที่ทำให้นางโปรดปราน” หยวนชิงหลิงถามอวี่เหวินห่าวยิ้มเบา ๆ “โปรดปรานงั้นหรือ? ต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทมาได้เสด็จแม่ก็โปรดปรานแล้ว อย่างอื่นไม่ว่าข้าจะทำอะไรก็ดูเป็นเด็ก ล้วนไม่จำเป็น เอาแต่ใจ และบ้าบิ่นเสมอ”ดวงตาของหยวนชิงหลิงเบิกกว้าง แต่นางก็เห็นด้วยทันที พระสนมเสียนเฟยมีความหวังเดียวในตัวเขา นั่นก็คือพยายามต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทมาให้ได้เมื่อมองไปที่ลูกคนโตคนนี้ที่ขาดความรักจากครอบครัว หยวนชิงหลิงก็ถอนหายใจเบา ๆ “หาเวลาว่างสักวัน เข้าวังไปเล่นหมากรุก ดื่มเหล้า และอยู่เคียงข้างเสด็จพ่อ น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการแสดงกตัญญู”“พระองค์ต้องคิดว่าข้าไปเพื่อเอาใจเป็นแน่” อวี่เหวินห่าวพูดอย่างหดหู่ใจ“ไม่ว่าพระองค์จะคิดอย่างไร? ท่านก็แค่ทำส่วนของท่านให้ดีที่สุดก็เพียงพอแล
เขาร้องไห้อย่างขมขื่นภายในคุก และชี้ไปที่อวี่เหวินห่าว โดยบอกว่าเขาเป็นคนทำ และโยนความผิดไปให้เขาเขายังสารภาพอีกว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยต่อสู้กับอวี่เหวินห่าวภายในจวน และตอนนั้นเขาก็ใช้ทหารในจวนลงมือ เขาจึงคิดว่าอวี่เหวินห่าวต้องโกรธแค้นเรื่องตอนในนั้นเป็นแน่ จึงได้โยนความผิดให้กับเขาคำพูดเหล่านี้ ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้ แต่อ๋องจี้ก็ไม่ได้บอกว่าเหตุใดพวกเขาถึงต่อสู้กัน บอกเพียงว่าพวกเขามีความเห็นที่ไม่ลงรอยกันอย่างไรก็ตาม หลังจากได้ฟัง จักรพรรดิหมิงหยวนก็เพียงโบกมือเบา ๆ "สอบสวนต่อไป"ผู้ใต้บังคับบัญชาต่างก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ยังต้องสอบสวนอีกหรือ? สอบสวนไปก็คาดว่าคงไม่ได้ความอันใดหากไม่ลงโทษ ก็ควรจัดการอย่างไรสักอย่างจักรพรรดิหมิงหยวนไม่รู้จะถามอะไรอย่างนั้นหรือ? แต่พระองค์ยังไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร และเขาคิดว่าบางอย่างสามารถดองไว้ก่อนได้ดังนั้นอ๋องจี้จึงถูกล่ามตรวนอยู่ในคุกอ๋องจี้รอให้ฉู่หมิงหยางไปวิ่งเรื่องให้ อย่างน้อยมหาเสนาบดีพูดช่วยเขาสักสองสามคำ ยังดีเสียกว่าคนอื่นพูดร้อยคำแต่รอแล้วรอเล่า ฉู่หมิงหยางก็ไม่มาพบเขาเสียทีแม้ว่าเขาจะเป็นอาชญากร แต่เขาก็ไม่ถ
พระชายาจี้พูดกับพระสนมฉินเฟยว่า "เสด็จแม่ ลูกไปรอที่ด้านนอกนะเพคะ"หลังจากพูดจบ นางก็หันหลังและจากไปโดยไม่แม้แต่จะมองอ๋องจี้อ๋องจี้มองด้านหลังของนางด้วยความไม่อยากเชื่อ นางจากไปจริงหรือ?พระสนมฉินเฟยได้แต่ตกตะลึง นางมองไปที่อ๋องจี้ด้วยดวงตาที่บวมแดง และพูดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย "เกิดอะไรขึ้น? นางบ้าไปแล้วหรือ? เหตุใดถึงได้เดินออกไปเฉย ๆ เช่นนี้?"อ๋องจี้ไม่กล้าพูดว่าเขาเคยคิดที่จะหย่ากับนาง ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นอย่างเย็นชา "ตั้งแต่รับหยางเอ๋อเข้ามา นางก็ดูชั่วร้ายมาโดยตลอด"พระสนมฉินเฟยขมวดคิ้วและมองดูเขา "เจ้าเอาแต่เอาอกเอาใจชายารองจนละเลยนางใช่หรือไม่? เจ้าอย่าทำเช่นนี้เด็ดขาด ตอนนี้เจ้ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังต้องพึ่งพานางและครอบครัวของนางอยู่""ตระกูลถงนั้นไร้ประโยชน์" อ๋องจี้กล่าว "เมื่อครู่ท่านก็ได้ยินแล้วว่า นางบอกว่าถงอันถูกเสด็จพ่อเพิกเฉยแล้วนี่พ่ะย่ะค่ะ"พระสนมฉินเฟยตำหนิ "เจ้าคนสายตาสั้น ตระกูลถงเป็นตระกูลที่มีอำนาจมากมายในราชสำนัก และตระกูลถงมีรากฐานที่ร่ำรวยมหาศาล หากเจ้าเกลี้ยกล่อมนางให้ดี อนาคตเจ้าสามารถจับจ่ายได้ตามที่ต้องการ นอกจากนี้ ถงอันอยู่ในราชสำนักมาเป็น
หลังจากพระชายาจี้ได้ยินเช่นนั้น นางก็ส่ายหัวและพูดว่า "เสด็จแม่ บอกตามตรง พี่ชายของข้าเคยพูดไว้ก่อนแล้วว่า เขาจะไม่ยุ่งเรื่องภานในจวนของอ๋องจี้"พระสนมฉินเฟยขมวดคิ้วอย่างเย็นชา "หมายความว่าอย่างไร? หากเขาไม่ยุ่งเรื่องในจวนของอ๋องจี้ แล้วเขาจะยุ่งเรื่องของครอบครัวใคร? หรือว่าเขามีเจ้านายใหม่อย่างนั้นรึ?"พระชายาจี้ยิ้มจาง “เสด็จแม่ ดูสิ่งที่ท่านพูดสิเพคะ พี่ชายของข้ามีฮ่องเต้เป็นนายเพียงผู้เดียว เขาจะมีนายใหม่ได้อย่างไร? ท่านพูดเช่นนี้ หมายความว่าพี่ชายข้าทรยศต่อราชสำนัก สมรู้ร่วมคิดแล้วก่อเกิดความวุ่นวายหรือเพคะ?”ดวงตาของพระสนมฉินเฟยเคร่งขรึม "เจ้าอย่าได้พูดอะไรไร้สาระ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พี่ใหญ่ถูกขังอยู่ด้านใน เจ้าต้องคิดหาวิธีช่วยเขาออกมาให้ได้"พระชายาจี้เสียความรู้สึกเป็นอย่างยิ่ง นางหันศีรษะออกไปมองด้านนอก "ลูกจะพยายามเพคะ"พระสนมฉินเฟยถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ก็ได้ยินนางพูดขึ้นอีกครั้งว่า "เพียงแต่ตอนนี้มีเพียงคนที่มีความสามารถ และทักษะที่ทรงพลังเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้"พระสนมฉินเฟยพูดอย่างเย็นชา "เจ้ามีไหวพริบเสมอ เรื่องนี้เจ้าย่อมรู้ดีว่าอวี่เหวินห่าวใส่ร้ายเขา ตราบใดที
พระสนมฉินเฟยถึงกับตื่นตระหนกหากบอกว่าตั้งครรภ์ไม่ได้ และไม่สามารถให้กำเนิดลูกชายได้ในอนาคต มันก็เหมือนกับการสูญเสียโลกนี้ไปแล้ว แล้วจะมีประโยชน์อะไร?นางไม่เชื่อพระชายาจี้ไม่สามารถหายใจได้อย่างสบายใจได้ ตรงกันข้ามมันช่างยากเย็นยิ่งนักนางไม่ได้สนใจความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาอีกต่อไปอย่างไรก็ตาม ถ้าเขามีความผิด มันจะส่งผลกระทบต่อลูกสาวของนางดังนั้น แม้ว่าจะไม่ต้องการ แต่ก็ยังต้องหาทางช่วยเขาหลังจากนั้นอีกระยะหนึ่งสถานการณ์ของอ๋องฉีค่อย ๆ ลงตัวแต่อาการบาดเจ็บสาหัสเกินไป ในครึ่งเดือนนี้อย่าแม้แต่จะคิดที่จะสัมผัสพื้นเชียวหยวนหย่งอี้รอเขาอยู่ข้างเตียงตลอดเวลา อ๋องจี้รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกผิดมากเช่นกันเนื่องจากมีหมอหลายท่านมารักษาเขา นางต้องรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีโรคประจำตัวนางรู้ว่าเขาโกหก แต่นางก็ยังคงเงียบสิ่งนี้ทำให้อ๋องฉีกระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่งในที่สุดวันนี้เขาก็รวบรวมความกล้าที่จะสารภาพ"เจ้าอ้วน มีบางอย่างที่ข้าต้องการจะบอกเจ้า นั่งลงสิ อย่ามัวแต่ยุ่งอยู่ มาฟังสิ่งที่ข้าจะพูดก่อน" หลังจากดื่มยาแล้ว อ๋องจี้ก็มองไปที่หยวนหย่งอี้
หลังจากนั้น ความคิดทั้งหลายก็วนเวียนอยู่ในใจของเขาอีกครั้ง สองครั้ง สามครั้ง พันครั้ง ไม่มีที่สิ้นสุดในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของการคิดซ้ำไปซ้ำมาและในที่สุดก็เข้าใจว่า ทำไมผมของมหาเสนาบดีฉู่ถึงกลายเป็นสีขาวภายในชั่วข้ามคืนมันทรมานเหลือเกินเมื่อเขาตื่นขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้ผ่านการใช้ชีวิตมาทั้งชีวิตแล้วอย่างไรอย่างนั้นประตูถูกผลักออก และมีคนเข้ามาพร้อมบางอย่าง เมื่อคืนเขานอนไม่ค่อยหลับ ดวงตาพร่ามัว แสงและเงาก่อตัวเป็นรัศมีที่ด้านหลังของนาง ราวกับว่าเขายังอยู่ในความฝันจนกระทั่งเขาได้ยินเสียงของนางถึงตระหนักได้ว่ามันคือเรื่องจริง เขาขยี้ตา และรู้สึกเจ็บจมูกทันที ความอัดอั้นนับพันท่วมท้นในใจของเขา จนแทบจะร้องไห้ออกมาหยวนหย่งอี้วางข้าวต้มลงบนโต๊ะน้ำชาเล็ก ๆ ที่ข้างเตียง เมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำของเขา จึงถามด้วยความงุนงง "เกิดอะไรขึ้น? เจ็บแผลงั้นหรือ?"อ๋องฉีจ้องมองนางด้วยสายตาที่แผดเผา และถามเสียงแหบพร่า "ทำไมเจ้าถึงยังอยู่ที่นี่? เจ้ากลับบ้านไปแล้วไม่ใช่หรอกรึ?"หยวนหย่งอี้กล่าวว่า "ข้ากลับไปเมื่อบ่ายวานนี้ และก็กลับมาเมื่อคืนนี้ วันเกิดของท่านย่า ข้า
การลอบสังหารอ๋องฉีและหยวนชิงหลิง ดูเหมือนจะหยุดลงเพียงแค่นั้นหลักฐานทั้งหมดถูกส่งไปเรียบร้อยแล้ว แต่จักรพรรดิหมิงหยวนยังคงนิ่งเฉยไม่ใช่ว่าไม่มีการเคลื่อนไหว แต่เป็นเพียงการถกเถียงว่าอวี่เหวินห่าวจะถูกปลดออกจากตำแหน่งอีกครั้งเท่านั้นเหตุผลในการปลดตำแหน่งนั้นถูกต้องตามกฎหมาย และการจับกุมมือสังหารนั้นยังไม่คืบหน้า การถูกปลดตำแหน่งถึงสองครั้ง ทำให้อวี่เหวินห่าวกลายเป็นตัวตลก และเขายังสร้างสถิติใหม่ในการถูกปลดตำแหน่งเร็วที่สุดหลังจากกลับเข้ามาทำงานข่าวลือดังมาถึงหูเขาในที่สุดบอกว่าเขาไม่สามารถปกป้องพระชายาตัวเองได้ด้วยซ้ำ และถูกอ๋องอันหยามเกียรติ แต่เขาทำได้เพียงแค่ไปสร้างความวุ่นวายที่จวนของอ๋องอันเท่านั้น และสุดท้ายยังก่อเรื่องจนตัวเองโดนปลดตำแหน่งอีกด้วยอย่างไรก็ตาม มีคำพูดที่ไม่เพราะหูทุกประเภทในทางตรงกันข้าม หยวนชิงหลิงมีความสุขมากกับการว่างงานอีกครั้งของอวี่เหวินห่าวไม่ว่าจะเป็นเพราะจักรพรรดิตั้งใจจะปกป้องเขา หรือเพราะเหตุผลอื่น ท้ายที่สุดแล้วในช่วงสามหรือสองเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ การได้อยู่กับเขาเป็นสิ่งที่นางมีความสุขที่สุดเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และในชั่วพริ