พระสนมฉินเฟยถึงกับตื่นตระหนกหากบอกว่าตั้งครรภ์ไม่ได้ และไม่สามารถให้กำเนิดลูกชายได้ในอนาคต มันก็เหมือนกับการสูญเสียโลกนี้ไปแล้ว แล้วจะมีประโยชน์อะไร?นางไม่เชื่อพระชายาจี้ไม่สามารถหายใจได้อย่างสบายใจได้ ตรงกันข้ามมันช่างยากเย็นยิ่งนักนางไม่ได้สนใจความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาอีกต่อไปอย่างไรก็ตาม ถ้าเขามีความผิด มันจะส่งผลกระทบต่อลูกสาวของนางดังนั้น แม้ว่าจะไม่ต้องการ แต่ก็ยังต้องหาทางช่วยเขาหลังจากนั้นอีกระยะหนึ่งสถานการณ์ของอ๋องฉีค่อย ๆ ลงตัวแต่อาการบาดเจ็บสาหัสเกินไป ในครึ่งเดือนนี้อย่าแม้แต่จะคิดที่จะสัมผัสพื้นเชียวหยวนหย่งอี้รอเขาอยู่ข้างเตียงตลอดเวลา อ๋องจี้รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกผิดมากเช่นกันเนื่องจากมีหมอหลายท่านมารักษาเขา นางต้องรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีโรคประจำตัวนางรู้ว่าเขาโกหก แต่นางก็ยังคงเงียบสิ่งนี้ทำให้อ๋องฉีกระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่งในที่สุดวันนี้เขาก็รวบรวมความกล้าที่จะสารภาพ"เจ้าอ้วน มีบางอย่างที่ข้าต้องการจะบอกเจ้า นั่งลงสิ อย่ามัวแต่ยุ่งอยู่ มาฟังสิ่งที่ข้าจะพูดก่อน" หลังจากดื่มยาแล้ว อ๋องจี้ก็มองไปที่หยวนหย่งอี้
หลังจากนั้น ความคิดทั้งหลายก็วนเวียนอยู่ในใจของเขาอีกครั้ง สองครั้ง สามครั้ง พันครั้ง ไม่มีที่สิ้นสุดในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของการคิดซ้ำไปซ้ำมาและในที่สุดก็เข้าใจว่า ทำไมผมของมหาเสนาบดีฉู่ถึงกลายเป็นสีขาวภายในชั่วข้ามคืนมันทรมานเหลือเกินเมื่อเขาตื่นขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้ผ่านการใช้ชีวิตมาทั้งชีวิตแล้วอย่างไรอย่างนั้นประตูถูกผลักออก และมีคนเข้ามาพร้อมบางอย่าง เมื่อคืนเขานอนไม่ค่อยหลับ ดวงตาพร่ามัว แสงและเงาก่อตัวเป็นรัศมีที่ด้านหลังของนาง ราวกับว่าเขายังอยู่ในความฝันจนกระทั่งเขาได้ยินเสียงของนางถึงตระหนักได้ว่ามันคือเรื่องจริง เขาขยี้ตา และรู้สึกเจ็บจมูกทันที ความอัดอั้นนับพันท่วมท้นในใจของเขา จนแทบจะร้องไห้ออกมาหยวนหย่งอี้วางข้าวต้มลงบนโต๊ะน้ำชาเล็ก ๆ ที่ข้างเตียง เมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำของเขา จึงถามด้วยความงุนงง "เกิดอะไรขึ้น? เจ็บแผลงั้นหรือ?"อ๋องฉีจ้องมองนางด้วยสายตาที่แผดเผา และถามเสียงแหบพร่า "ทำไมเจ้าถึงยังอยู่ที่นี่? เจ้ากลับบ้านไปแล้วไม่ใช่หรอกรึ?"หยวนหย่งอี้กล่าวว่า "ข้ากลับไปเมื่อบ่ายวานนี้ และก็กลับมาเมื่อคืนนี้ วันเกิดของท่านย่า ข้า
การลอบสังหารอ๋องฉีและหยวนชิงหลิง ดูเหมือนจะหยุดลงเพียงแค่นั้นหลักฐานทั้งหมดถูกส่งไปเรียบร้อยแล้ว แต่จักรพรรดิหมิงหยวนยังคงนิ่งเฉยไม่ใช่ว่าไม่มีการเคลื่อนไหว แต่เป็นเพียงการถกเถียงว่าอวี่เหวินห่าวจะถูกปลดออกจากตำแหน่งอีกครั้งเท่านั้นเหตุผลในการปลดตำแหน่งนั้นถูกต้องตามกฎหมาย และการจับกุมมือสังหารนั้นยังไม่คืบหน้า การถูกปลดตำแหน่งถึงสองครั้ง ทำให้อวี่เหวินห่าวกลายเป็นตัวตลก และเขายังสร้างสถิติใหม่ในการถูกปลดตำแหน่งเร็วที่สุดหลังจากกลับเข้ามาทำงานข่าวลือดังมาถึงหูเขาในที่สุดบอกว่าเขาไม่สามารถปกป้องพระชายาตัวเองได้ด้วยซ้ำ และถูกอ๋องอันหยามเกียรติ แต่เขาทำได้เพียงแค่ไปสร้างความวุ่นวายที่จวนของอ๋องอันเท่านั้น และสุดท้ายยังก่อเรื่องจนตัวเองโดนปลดตำแหน่งอีกด้วยอย่างไรก็ตาม มีคำพูดที่ไม่เพราะหูทุกประเภทในทางตรงกันข้าม หยวนชิงหลิงมีความสุขมากกับการว่างงานอีกครั้งของอวี่เหวินห่าวไม่ว่าจะเป็นเพราะจักรพรรดิตั้งใจจะปกป้องเขา หรือเพราะเหตุผลอื่น ท้ายที่สุดแล้วในช่วงสามหรือสองเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ การได้อยู่กับเขาเป็นสิ่งที่นางมีความสุขที่สุดเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และในชั่วพริ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การลอบสังหารอ๋องฉีและหยวนชิงหลิงในวันนั้นมันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่เป็นการกระทำที่มีการวางแผนจัดเตรียม และไตร่ตรองล่วงหน้ามาแล้ว และมันอันตรายถึงชีวิตจักรพรรดิหมิงหยวนยังคงไม่ทำการอันใดไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่อ๋องจี้ที่อยู่ในคุกนั้นได้เขียนจดหมายหนึ่งหมื่นคำถึงจักรพรรดิหมิงหยวนตามคำสั่งของฉินเฟย หลังจากที่จักรพรรดิหมิงหยวนอ่านจบก็ฉีกมันเป็นชิ้น ๆ และพูดด้วยความโกรธ "ไร้สาระ ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี"ฉินเฟยรู้สึกหวาดกลัว หลังจากกลับมาที่วัง นางก็ให้คนส่งข่าวเรียกพระชายาจี้มาเข้าเฝ้าในวังทันที“เป็นเพราะความคิดที่ไม่เข้าท่าของเจ้า ที่บอกให้เขาเขียนหนังสือหมื่นคำ ตอนนี้จักรพรรดิโกรธยิ่งกว่าเดิมเสียอีก” ฉินเฟยกังวลมาก อ๋องจี้ถูกขังนานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว และไม่รู้เลยว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างพระชายาจี้พูดอย่างใจเย็น "เสด็จแม่ ที่เสด็จพ่อโกรธก็ถูกต้องแล้วเพคะ""ถูกต้องแล้วที่โกรธอย่างนั้นรึ? ตอนนี้จักรพรรดิผิดหวังในตัวของเขามาก เจ้าว่าใช่หรือไม่? เจ้ากำลังพยายามจะฆ่าเขาอย่างนั้นหรือ? ทำไมข้ายังไม่เห็นว่าเจ้าจะดำเนินการอันใดเลย?" ฉินเฟยพูดด้วยความโกรธพระชายาจี้มองไ
ช่วงนี้พระชายาซุนเองก็ชอบไปจวนของอ๋องฉู่เช่นเดียวกัน ในวันนี้นางนำเสื้อผ้าเด็กสามผืนที่จิ้งเหอจวิ้นจู่เป็นคนทำมาให้หยวนชิงหลิงเนื่องจากเป็นเสื้อผ้ารัดรูป จึงไม่มีลายปักใด “นางบอกว่าผิวของทารกนั้นบอบบางมาก จึงควรสวมผ้าฝ้าย และนางก็ค่อนข้างฉลาดปักดอกไม้ไว้ที่ชายเสื้อแทนด้วยเพคะ” พระชายาซุนกล่าวหยวนชิงหลิงลูบลายปักดอกไม้ งานปักของท่านหญิงนั้นพิถีพิถันมาก และวัสดุก็นุ่ม สัมผัสสบาย "ลำบากนางแล้ว เมื่อวานนี้เจ้าไปเยี่ยมนางมาหรือ?""ใช่แล้ว นางยังบอกอีกด้วยว่าขอบใจเจ้าที่ขอให้คนไปเยี่ยมนาง" พระชายาซุนมองนางด้วยสายตาขอบคุณ "เจ้าเป็นคนที่ห่วงใยผู้คน หลายคนต่างก็หลงลืมนางไปแล้ว แต่เจ้ายังจำความทุกข์ยากของนางในอารามแม่ชีหมิงเยว่ได้ และยังคอยส่งข้าวส่งน้ำให้นางเสมอมา”หยวนชิงหลิงกล่าว "ที่จริงแล้วไท่ซ่างหวงเป็นคนขอให้ข้าส่งคนไปเยี่ยมนางน่ะ"“ไท่ซ่างหวง?” พระชายาซุนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “ไท่ซ่างหวงยังคงนึกถึงนางหรือ? หากนางรู้จะต้องมีความสุขมากเป็นแน่”“จิตใจของนางเป็นอย่างไรบ้าง?” หยวนชิงหลิงถามพระชายาซุนพับเสื้อวางไว้ข้าง ๆ และพูดขึ้นว่า "ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว แต่ตอนกลางคืนยังคงนอนไม
อวี่เหวินห่าวและเหลิ่งจิ้งเหยียนต้อนรับเขาที่ด้านนอก ขณะที่หมานเอ๋อร์ประคองหยวนชิงหลิงยืนอยู่หน้าระเบียง และเฝ้าดูพวกเขาเดินเข้ามาเสนาบดีเจียงหนิงดูอายุราว ๆ สี่สิบปีได้ เขามีรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลา มีดวงตาที่แหลมคม เขาไว้หนวดที่ถูกตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบ และดูเป็นคนที่สะอาดสะอ้านเขาสวมชุดสีดำ และปักไม้ไผ่สีเขียวที่ปกเสื้อคลุม ซึ่งเพิ่มความอ่อนโยนและความสุขุมเล็กน้อยให้กับความแข็งกระด้างของเขาผู้หญิงตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาคือจูเพ่ย ฮูหยินเสนาบดีเจียงหนิง ที่จริงแล้วหากพูดตามตรงรูปร่างของจูเพ่ยนั้นไม่ถือว่าเล็ก แต่เป็นเพราะคนที่อยู่เคียงข้างนางคือเสนาบดีเจียงหนิงต่างหาก จึงทำให้นางดูตัวเล็กไปโดยปริยายใบหน้าของนางสวยงามมาก ผิวพรรณเต่งตึงและอ่อนวัย ดูไม่เหมือนหญิงที่เคยคลอดลูกมาแล้วเลยแม้ว่าจะเป็นแขกในจวนของท่านอ๋องในต่างแดน แต่ดูเหมือนนางจะไม่ได้จงใจแต่งตัวมากไปนัก นางสวมผมมวย แต่งหน้าเบา ๆ และปิ่นหยกเป็นเครื่องประดับเท่านั้นนางสวมกระโปรงผ้าซาตินสีขาว และเสื้อคลุมสีดำเช่นเดียวกันกับเสื้อคลุมของเสนาบดีเจียงหนิงที่ปักด้วยลวดลายไม้ไผ่สีเขียวทั้งคู่ก้าวไปข้างหน้าอย่า
อาซื่อที่ได้ฟังจากด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอย่างสงสัย "ท่านเพิ่งแต่งงานเช่นหรือ? แต่ท่านย่าบอกกับข้าว่าท่านโฮ่วมีลูกชายสองคน และลูกสาวหนึ่งคนแล้วไม่ใช่หรือ และหนึ่งในนั้นยังเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์ต้าโจวอีกด้วย เหตุใดพวกท่านถึงเพิ่งแต่งงานกันเล่า?"หยวนชิงหลิงกระแอม และส่งสัญญาณไม่ให้อาซื่อถามสิ่งเหล่านี้ เพราะมันไร้มารยาทยิ่งนัก อาซื่อไม่รู้จักพ่อหม้ายหรือ?อาซื่อรู้ว่าตนไร้มารยาท จึงได้พึมพำขึ้นมาว่า "ขออภัย ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว"ฮูหยินจูเพ่ยหัวเราะอย่างใจดี "ไม่เป็นไร มันไม่ได้เป็นความลับอะไร ลูกชายและลูกสาวนั้นข้าไม่ได้เป็นคนคลอด ข้าเป็นเพียงแม่เลี้ยงของพวกเขาก็เท่านั้น"อาซื่อพยักหน้า “เช่นนี้นี่เอง”นางรู้สึกละอายใจเล็กน้อยและพูดว่า "พี่หยวน ข้าจะไปบอกให้คนมาเติมชาให้นะเจ้าคะ""ไปเถอะ" หยวนชิงหลิงพูด นางเองก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน นางกุมท้องตนเองและก้าวเดินสองสามก้าว นั่งเป็นเวลานานแล้ว เอวของนางแทบหักนางเอื้อมมือไปด้านหลัง พยายามลูบเอว แต่ก็พบว่าตัวเองเงอะงะมาก แม้แต่จะเอื้อมยังเอื้อมมือไปไม่ได้เลยฮูหยินจูเพ่ยยืนขึ้น ช่วยพยุงนางไปนั่งลงบนเก้าอี้และพูดว่า "ท้
หยวนชิงหลิงก็นับวันเองด้วย และเห็นท้องของนางลดต่ำลงหน่อยแล้ว น่าจะคลอดในอีกแปดหรือสิบวันข้างหน้านี้นางก็ยิ่งลำบากมากขึ้นเรื่อย ๆ นอนไม่หลับทั้งคืน และหายใจไม่ออก บางครั้งพยายามเค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดเพื่อหายใจในวังเองก็ตึงเครียดเป็นอย่างมาก หมอหลวงก็มาแบ่งเวรมาเฝ้าหยวนชิงหลิงเป็นสี่รอบเจ้าอาวาสก็อาศัยอยู่ในจวนเช่นเดียวกัน แต่บางครั้งก็เข้าไปในวังเพื่อเข้าเฝ้าไท่ซ่างหวงฮูหยินเสนาบดีเจียงหนิงก็อยู่ในจวนเช่นกัน ช่วยนวดบรรเทาอาการปวดให้พระชายาฉู่อย่างชำนิชำนาญพระสนมเสียนเฟยและไทเฮาส่งคนมาทุกวันเพื่อสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ และท้ายที่สุดพวกเขาก็ฝากโม่โม่คนสนิทไว้ในจวนอ๋องฉู่เพื่อช่วยดูแลอาจกล่าวได้ว่าจวนอ๋องฉู่ทั้งหมดเต็มไปด้วยผู้คนจากในวัง ว่ากันว่าแม้แต่เข็มก็ไม่สามารถสอดผ่านเข้าไปได้อย่างไรก็ตาม วันนี้กลับมีบางอย่างเกิดขึ้นอากาศในเดือนมีนาคมชื้นขึ้นเล็กน้อยแล้ว แม้ว่าในฤดูใบไม้ผลิจะยังหนาวอยู่ แต่อาหารและเครื่องดื่มที่หยวนชิงหลิงกินนั้นควรเป็นของสดใหม่ แม่นมฉีตรวจสอบด้วยตนเอง จากนั้นลวี่หยาและหมานเอ๋อร์จะคอยดูแลจะทำการจับตาคุ้มกันส่งมันไปถึงมือหยวนชิงหลิง นางข้าหลวงส
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม