มู่หรูกงกงถามว่า "มีอะไรอีกอย่างนั้นรึ?"ทหารองครักษ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า "ท่านอ๋องยังบอกอีกว่า คลอดแฝดสามแล้ว จะออกไปเที่ยวรอบ ๆ ตอนนี้พวกเราจะกลับไปเก็บข้าวของ และออกจากเมืองหลวง ในประโยคนี้ กงกง ท่านจับใจความนี้ได้หรือไม่?”มู่หรูกงกงหัวเราะและยกมือขึ้น "ไม่เป็นไร ไปไม่ได้หรอก ยังจะออกไปท่องเที่ยวอีก... เอ๊ะอะไรนะ? แฝดสาม?"มู่หรูกงกงยิ้มค้างไปทันที เขาหันกลับมาหัวกระแทกเข้ากับประตู แต่เขาไม่สนใจ และเข้าไปข้างในพูดด้วยความกระวนกระวาย "ฝ่าบาท บ่าวมีเรื่องเร่งด่วนจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ"จักรพรรดิหมิงหยวนกำลังหารือเรื่องต่าง ๆ กับมหาเสนาบดีและขุนนางใหญ่อีกหลายคน มู่หรูกงกงรับใช้มาหลายปี และเขาไม่เคยมีอาการตื่นตระหนกเช่นนี้มาก่อน เขากล่าวว่า "เข้ามาได้"มู่หรูกงกงผลักประตูออก รีบวิ่งไปที่ข้าง ๆ จักรพรรดิหมิงหยวน และกระซิบสองสามคำที่ข้างหูของเขาเมื่อจักรพรรดิหมิงหยวนได้ยินคำพูดนั้นก็จ้องมองเขา "เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?"มู่หรูกงกงกล่าวว่า “ทหารองค์รักษ์รายงานเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”จักรพรรดิหมิงหยวนเองก็เป็นคนที่ผ่านลมฝนมาอย่างโชกโชน เขาแสร้งทำเป็นสงบ และกล่าวกับพวกขุนนางและมหาเสนาบด
อวี่เหวินห่าวนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งพูดด้วยความไม่พอใจ "ลูกก็เห็นเช่นนั้นเหมือนกัน"จักรพรรดิหมิงหยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่จากนั้นขมวดคิ้วและมองไปที่หมอหลวง "เจ้ามีแผนอะไรบ้าง หลานทั้งสามของข้าต้องคลอดออกมาอย่างปลอดภัย"หมอหลวงหารือกันอยู่ครู่หนึ่ง และพูดเป็นมติเอกฉันท์ออกมาว่า "ฝ่าบาท กระบวนการคลอดแฝดสามนั้นยาวนานกว่าปกติ ดังนั้นร่างกายของมารดาจะต้องแข็งแรง ก่อนอื่นต้องดูแลร่างกายของพระชายา และควบคุมไม่ให้ลูกในท้องตัวใหญ่เกินไป มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายต่อผู้เป็นแม่มาก”“แล้วแผนการรับมือคืออะไร?” จักรพรรดิหมิงหยวนตรัสถามอย่างไม่พอใจ พูดถึงสามัญสำนึกพื้นฐาน ไม่มีใครไม่เข้าใจ?สำนักหมอหลวงกล่าวว่า "ตอนนี้พระชายาก็ห้าเดือนแล้ว ดังนั้นจึงยังเดินและออกกำลังกายได้ อย่างแรกจัดอาหารอย่างเหมาะสมห้ามื้อต่อวัน แต่อย่ามากเกินไป มื้อหนึ่งก็กินสักห้าถึงหกส่วน และเดินอย่างน้อยสองครั้งต่อวัน นอกจากนี้... " เขามองไปที่อวี่เหวินห่าว "ทางที่ดีที่สุดสำหรับคู่รัก ต้องนอนแยกห้องต่างหาก และห้ามร่วมเตียงกันโดยเด็ดขาด"อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "ห้ามเด็ดขาดมานานแล้ว ข้าจะนอนกับนางเฉย ๆ เท่านั้น เป็นแบบหล
จักรพรรดิหมิงหยวนรู้สึกแปลกใจ ไม่ใช่เรื่องที่จะแสวงหาชื่อเสียงและโชคลาภเพื่อบ้านแม่ตัวเอง แต่น้อยครั้งนักที่จะเห็นการขอให้พ่อตัวเองออกจากตำแหน่งแบบนี้แต่บางทีอาจเป็นเรื่องดีก็ได้ ตาแก่จิ้งโฮ่วนั้น ว่าไปก็เป็นคนพื้น ๆ ธรรมดา ที่ได้รับการยกย่องเท่านั้นถ้าไม่เห็นแก่ฐานะของบรรพบุรุษของเขา คงไล่เขาออกไปนานแล้วจักรพรรดิหมิงหยวนพยักหน้าและตรัสว่า "ในเมื่อเจ้าตระหนักเช่นนั้นแล้ว ข้าจะประทานยศให้เขา..."หยวนชิงหลิงรีบคุกเข่าลง "ไม่ ไม่ ฝ่าบาทเพคะ โปรดอย่าเพิ่งประทานยศ"จักรพรรดิหมิงหยวนเลิกคิ้ว "โอ้? ทำไมเป็นเช่นนั้น?"ยังจะผลักไสความเมตตานี้ออกไปรึ?หยวนชิงหลิงพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า "ฝ่าบาท มีคนประเภทหนึ่งที่มีความมั่นใจมากว่ามีความสามารถเกินไป หากพระองค์มอบไฟเล็กน้อยแก่เขา เขาจินตนาการฟุ้งซ่าน ราวกับว่าเป็นไฟลามทุ่งขึ้นมาได้เพคะ"จักรพรรดิหมิงหยวนหัวเราะ “เจ้านี่รู้จักพ่อของเจ้าดีจริง ๆ”“เพคะ!” หยวนชิงพูดอย่างเคอะเขิน น่าขายหน้าจริง ๆ“งั้นก่อนอื่น เจ้าไปถวายพระพรไท่ซ่างหวง และบอกข่าวดีให้พระองค์ทรงทราบซะ จากนั้นไปหาไทเฮา ไปคุยกันสักพัก นางคงร้องไห้สักพักเป็นแน่” จักรพรรดิหมิงหยว
หยวนชิงหลิงไม่ได้มีทัศนคติเหมือนก่อนท้องอีกแล้ว ตอนนี้คิดทุ่มเทไปที่ลูกทั้งหมดเท่านั้น และกล่าวว่า “หม่อมฉันจะระมัดระวังให้มากเพคะ”หลังจากคุยกันในพระตำหนักฉียนคุนสักพัก เขาก็ไปเข้าเฝ้าไทเฮาบังเอิญว่าพระสนมเสียนเฟยก็อยู่ที่นั่นด้วยตั้งแต่ฝ่าบาทแต่งตั้งหูเฟย พระสนมเสียนเฟยก็ไม่สบายใจมาตลอด จึงมาหาไทเฮาเพื่อรับการปลอบโยนไทเฮาเป็นป้าของนาง ซึ่งบางครั้งก็ปลอบโยนนาง และบางครั้งก็ตำหนินางอย่างรุนแรงตอนที่มาสองวันแรก ไทเฮายังทรงอดทนฟังนางบ่น แต่ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อย ๆ จึงเริ่มรำคาญ ไทเฮาจึงตำหนินางไปยกหนึ่ง และบอกว่านางเทียบไม่ได้เลยเมื่ออวี่เหวินห่าวกับหยวนชิงหลิงมาถึง พระสนมเสียนเฟยเพิ่งถูกต่อว่าจนเสร็จ เหมือนเห็นทั้งลูกและลูกสะใภ้มา จึงเอาความโกรธไปลงที่ทั้งคู่ทันที"ต้องโทษพวกเจ้าทั้งนั้น ทำอะไรลงไป? ถ้าแต่งกับฮู้กวงติงช่วยเจ้าได้ไม่ดีรึไง? ตอนนี้วังหลังสงบสุขแล้ว ให้ฮู้กวงติงเข้าวังหลังมา ไม่รู้ว่าจะเกิดพายุฝนอะไรจะขึ้นมาอีก พวกเจ้ามันโง่ หาเรื่องวุ่นวายให้แม่เจ้าจริง ๆ”อวี่เหวินห่าวที่ได้ยินเช่นนี้ รู้สึกว่าเขาตามใจเสด็จแม่ไม่ได้อีกต่อไป และพูดอย่างจริงจังว่า "เสด็จแม่ อย่าตร
พระสนมเสียนรู้ว่านางเผลอหลุดปาก ดังนั้นนางจึงรีบหยุดพูด สุขใจก็จริง แต่ก็กังวลใจเช่นเดียวกันกันหากคลอดออกมา และรอดทั้งสามคน ถือว่าสวรรค์ประทานพรอย่างแท้จริงแต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ หากคนหรือสองคนไม่รอด หรือร้ายแรงกว่านี้... ความยินดีในตอนนี้ อาจเป็นความเศร้าโศกในภายหลังก็ได้ไทเฮาจูงพวกเขาสามีภรรยา อยู่กินข้าวด้วยกันแล้วค่อยกลับ ในฐานะสตรีผู้ให้กำเนิดบุตรทรงอำนาจ นางได้ถ่ายทอดประสบการณ์ของนางแก่หยวนชิงหลิงอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่ประสบการณ์ของนางยังคงไม่เพียงพอ เพราะแม้ว่านางจะให้กำเนิดมาหลายคนมา แต่ก็มาทีละคนเท่านั้นไทเฮาทรงมีท่าทีรอบคอบอย่างที่ไม่เคยมาก่อนตั้งแต่หยวนชิงหลิงออกจากวังไปจนกลับถึงจวน ก็ถูกคุ้มกันโดยทหารองค์รักษ์ แม้ว่าจะกลับมาถึงจวนแล้ว ยังสั่งให้องค์รักษ์ทั้งแปดอยู่ที่นี่ ทั้งคนแปดคนนี้จะรับผิดชอบในไปรับไปส่งหยวนชิงหลิงในอนาคต และจะทำหน้าที่คอยตรวจตราเมื่ออยู่ในจวนด้วยไทเฮายังรับสั่งให้เรียกจักรพรรดิหมิงหยวนมาเข้าเฝ้าและสั่งลงไปอย่างเคร่งครัดว่า อย่าทำให้คู่สามีภรรยาอ๋องฉู่ต้องลำบากในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ หากเขาพยายามก่อเรื่องให้พระชายาฉู่ลำบากใจแม้แต่นิดเดียว
แต่คราวนี้จักรพรรดิหมิงหยวนไม่กริ้ว และรู้สึกสนุกกับมันด้วยซ้ำตั้งแต่หยวนชิงหลิงกลับจวนมาเก็บของ จิ้งโฮ่วก็ร้องไห้มาตลอดเขาเพิ่งลาออก ฝ่าบาทก็ทรงมีพระเมตตาให้หยวนชิงหลิงกับจวนอ๋องทันที นี่มันช่างโชคดีเหลือเกินตอนนี้ลูกสาวคนโตแต่งกับอ๋องฉู่ คนรองแต่งกับกู้ซือ เริ่มจะเห็นการบินขึ้นไปได้สูงแล้ว หวังว่าพวกลูกอนุจะแต่งกับครอบครัวที่ดี เขาจะได้มีหวังกลับเข้ามารับตำแหน่งได้ฮูหยินเฒ่าเป็นห่วงหยวนชิงหลิงที่สุด แต่นางกลับไปก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ดีเพียงแต่นางคิดว่านางกลับอาจไม่สบายเท่าไหร่ นางมองดูแล้ว ถ้าอยู่ดูแลครรภ์ที่จวนจิ้งโฮ่วจะสะดวกที่สุด เรื่องคนในจวนนางสามารถควบคุมจัดการได้ทางด้านจวนอ๋อง นางคงเอื้อมมือไปไม่ถึง เรื่องราวมากมายไกลจากมือนาง และไม่อาจควบคุมได้ ทำให้นางไม่สบายใจนักดังนั้นหยวนชิงหลิงจึงปลอบโยนนางสักพัก จนฮูหยินเฒ่าสบายใจอวี่เหวินห่าวยังให้คำมั่นสัญญาว่า เขาจะไม่ทำให้เหล่าหยวนลำบากอีกในอนาคตฮูหยินเฒ่าเห็นท่าเดินเขาดูแปลก ๆ จึงสงสัยคำพูดของเขาที่สุดแต่ว่าหลานที่แต่งออกไปแล้วนั้น ถึงไม่เต็มใจอย่างไรก็ต้องกลับหลังจากขึ้นรถม้าแล้ว หยวนชิงหลิงซบไหล่อวี่เหว
ใบหน้าอ๋องฉีมีรอยช้ำอยู่หลายจุด ทั้งแดงทั้งเขียวเต็มหน้าไปทั่วทั้งหน้าอวี่เหวินห่าวถามว่า "เจ้าโดนไม้ฟาดหน้ามารึ?"สีหน้าอ๋องฉีดูไม่ได้ เขากระซิบเบา ๆ “เกี่ยวอะไรกับท่าน? อย่ายุ่งน่า”หยวนหยงอี้จึงอธิบายว่า “ใช่ ถูกตีมา ข้าพาเขาไปเจอเจ้าอาวาสวัดฮูกั๋ว ท่านเจ้าอาวาสบอกว่าเขาถูกผีเข้า เลยทำการปัดเป่าวิญญาณร้ายให้”“อ๋อ ทำไมถึงไปวัดเพื่อถามเรื่องพวกนี้กันเล่า?” อวี่เหวินห่าวถามขึ้นมาหยวนหยงอี้มองไปที่อ๋องฉี นึกขึ้นได้ว่าห้ามพูดเรื่องที่เขาเจ็บป่วย จึงหัวเราะแห้งและเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจไปถาม”อ๋องฉีกลัวว่านางจะพูดจาเหลวไหล จึงลุกขึ้นดึงตัวอวี่เหวินห่าวไปคุยที่ด้านนอกหยวนหยงอี้คุยกับหยวนชิงหลิงอย่างมีความสุขว่า “ข้าได้ยินมาว่าในท้องพี่หยวนเป็นแฝดสาม ดีจริงเชียว”หยวนชิงหลิงยิ้มและมองนาง “อาการป่วยเขาดีขึ้นบ้างไหม?”หยวนหยงอี้ส่ายหน้า “ไม่รู้สิ เขาก็ไม่ยอมไปตรวจดู ข้าไปหาท่านย่าเพื่อที่จะคุยเรื่องนี้ ท่านย่าบอกว่า ถ้ารักษาไม่มีหวัง ให้ไปถามท่านเจ้าอาวาส ให้ลองตรวจดวงชะตาดู ไม่เช่นนั้นจะพาเขาไปไหม?”“ท่านเจ้าอาวาสว่าอย่างไร?”“ไม่เป็นอะไร แต่ว่ามีวิญญาณร้ายคอยตามติด”หยวนชิง
หมานเอ๋อร์รีบไปเชิญอวี่เหวินห่าวมาทันทีเมื่ออวี่เหวินห่าวได้ยินเข้า เขากับอ๋องฉีรีบร้อนจะออกไปในทันทีอวี่เหวินห่าวที่โกรธจนหน้าดำไปหมดแล้วเป็นเพราะเขาถูกโบยก่อนหน้านี้ ถังหยางจึงไปหาพระอาจารย์ ถามได้ความมาว่า ที่จวนอ๋องฉู่ช่วงนี้จะมีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดขึ้น ให้ระวังกันหน่อย ดังนั้นเขาจึงกังวลใจเรื่องนี้มาตลอดตอนนี้ได้ยินว่ามีคนทำของใส่ และยังใช้คุณไสยสกปรกเช่นนี้มาทำร้ายท้องของเหล่าหยวน เขาจะทนไหวได้อย่างไรแต่เขาก็ไม่ได้ขาดสติ และถามอย่างเย็นชาว่า “จู่ ๆ มาเชิญกันเช่นนี้ พวกเราก็กันไปสักหน่อย ข่าไม่สนว่าใครเป็นคนทำ วันนี้ต้องได้คำตอบให้ได้”หยวนชิงหลิงนั้นเชื่อในตัวพระชายาจี้ไม่ใช่ว่าพระชายจี้เป็นคนดี หรือว่าตอนนี้นางป่วย และจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากนางถ้าหากพระชายาจี้จะซ่อนของแบบนี้ในห้องพระจริง คุณหนูรองฉู่คงเข้าไปหาไม่ได้หรอกนี่เป็นการใส่ร้ายการใส่ร้ายนี้เกิดขึ้นโดยไม่ให้พระชายาจี้ได้ทันตั้งตัว เกรงว่าไม่ใช่ฝีมือคุณหนูรองฉู่เพียงคนเดียวทางด้านอ๋องจี้ที่บอกจะจับตัวนางเข้าวังนั้น ไม่รู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่?ถ้าเขามีส่วนร่วมกับแผนชั่วของฉู่หมิงหยาง เพื่อช่
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม