หลัวกุ้ยผินเป็นผู้บริสุทธิ์ฝ่าบาทได้ยกเลิกคำตัดสินเดิมของตัวเอง หลัวกุ้ยผินไม่ได้ทำร้ายฮองเฮา โม่โม่คนนั้นเสียชีวิตด้วยเตาถ่านคำตัดสินนี้ที่ประกาศในท้องพระโรงทำให้เหล่าข้าราชบริพานต่างตกใจยิ่งนักในเวลานี้ฝ่าบาทยอมรับความผิดของตนเอง มันดูไม่ค่อยเหมาะมากนัก? ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน เจ้าเมืองจิ้งเป่ยจะไม่ยิ่งกำเริบเสิบสานหรอกหรืออย่างไรเสีย ความคิดของจักรรพรรดิหมิงหยวนคือ ไม่ยอมอนุญาตให้มีการตัดสินคดีผิดพลาดแม้แต่คดีเดียวเขาตัดสินผิดพลาด ทำให้หลัวกุ้ยผินตายเปล่า และยังทำร้ายผู้คนในตระกูลหลัว ดังนั้นจึงทำการสั่งลงโทษตัวเอง รับโทษโบยแปดสิบทีอ๋องจี้แสดงความกตัญญูที่หน้าท้องพระโรง แบ่งเบารับโทษจากเสด็จพ่อมาสิบห้าทีอ๋องอันก็ออกไปช่วยรับอีกสิบห้าทีอ๋องซุนผู้อ่อนแอก็รับไปอีกสิบห้าทีอ๋องรุ่ยชิงที่เป็นน้องชายร่วมอุทรก็ช่วยรับด้วยอีกสิบทีทุกคนมองไปที่อวี่เหวินห่าวอ๋องฉีกับอ๋องหวยไม่มา เจ้าแปดเจ้าเก้าก็ไม่ได้อยู่ในท้องพระโรงอวี่เหวินห่าวรู้ว่าวันนี้ที่ท้องพระโรงมีการประกาศคำตัดสินคดีของหลัวกุ้ยผิน ดังนั้นเขาจึงเข้ามาในท้องพระโรงแต่เช้าแต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาไม่อยากถูก
เขาถูกหามออกไป สองขายืนตรงไม่ได้ด้วยซ้ำ สภาพของเขาคือเหมือนนอนตายขยับเขยือนไม่ได้ ต้องพึ่งองค์รักษ์แบกเขาออกไปหน้าประตูท้องพระโรง พวกข้าราชบริพานต่างเงยมอง ท่านมหาเสนาบดียิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น อวี่เหวินห่าวที่ถูกแบกเข้ามา ท่านมหาเสนาบดีถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง “ท่านอ๋องยังสบายดีใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” อวี่เหวินห่าวกัดฟันพูด “ไม่ตายก็นับว่าดี ข้าจะจดจำความเมตตาของท่านมหาเสนาดีไว้”“ควรจดจำ ควรจดจำ ท่านอ๋องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเรื่องในวันนี้” ท่านมหาเสนาบดีเอ่ยอย่างยิ้ม ๆจู่ ๆ อวี่เหวินห่าวก็รู้สึกอยากฆ่าคนขึ้นมา แต่ก็ไม่มีแรงจะทำไหวจักรพรรดิหมิงหยวนมีรับสั่งลงมาให้ทำการรักษาแผลใส่ยาให้พวกท่านอ๋อง แล้วส่งกลับจวนเพื่อพักฟื้นเมื่อถังหยางเห็นอวี่เหวินห่าวคุกเขากึ่งหมอบบนรถม้ากลับไปที่จวนก็อดตกใจไม่ได้ จึงถามถึงสาเหตุ อวี่เหวินห่าวพูดขึ้นอย่างขมขื่นว่า "มันเป็นความผิดของเสด็จพ่อชัด ๆ ทำไมข้าถึงต้องมาถูกโบยตีเช่นนี้ด้วย?"ถังหยางรู้สึกสงสาร “ไอหยา ท่านอ๋องผู้แสนดีของข้า ก้นท่านเมื่อไหร่จะเลิกถูกโบยทรมานแบบนี้สักที พระชายารู้คงต้องกังวลใจมากแน่”“อย่าบอกนางนะ” อวี่เหวินห่าวพยายามลุกขึ้น ถังห
วันนี้หยวนชิงหลิงไม่เห็นอวี่เหวินห่าวมา จึงไม่ได้คิดอะไรมากนัก คิดว่าหลังจากเจ้าเมืองจิ้งเป่ยมาแล้ว เขาคงต้องยุ่งมากแน่นางทำแผลฆ่าเชื้อให้พระชายาเว่ย ที่หน้าผากนางเองก็บาดเจ็บอยู่แล้ว ไม่ได้จัดการให้ดีจนเป็นหนอง แล้วยังมีแผลใหม่เกิดซ้ำขึ้นมาอีก ช่างน่าสงสารซะจริงหัวหน้าขันทีได้เข้ามาถ่ายทอดราชโองการ ว่าอนุญาตให้หย่าได้ และทำการแต่งตั้งนางเป็นจิ้งเหอจวิ้นจู่ และหัวหน้าขันทียังบอกอีกว่า ฝ่าบาทยังสั่งให้อ๋องเว่ยมาขอโทษนางด้วยตัวเองหยวนชิงหลิงเป็นกังวลใจมากถ้าอ๋องเว่ยมา จะมาทำให้กระทบกระเทือนจิตใจนางหรือไม่เพียงแต่รอแล้วทั้งสองคนก็ยังไม่มา คาดว่าเขาคงไปค่ายทหารทางตอนเหนือแล้ว หยวนชิงหลิงก็รู้สึกโล่งใจ และไม่ได้เรียกให้คนไปถามเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายเหตุการณ์ที่กำแพงเมืองนั้นเป็นแผลใหญ่ในใจนาง แล้วจะนับประสากับจิ้งเหอจวิ้นจู่กันอาการบาดเจ็บของนางดีขึ้น ที่จริงสามารถกลับบ้านได้แล้ว แต่จิ้งเหอจวิ้นจู่อยากจะอยู่ในจวนจิ้งโฮ่วต่ออีกสองวัน และขอความเห็นจากหยวนชิงหลิงหยวนชิงหลิงเองก็รู้ว่า หากนางกลับบ้านแม่คงโดนสายตาที่บ้านมองอย่างระแวดระวังด้วยความเป็นห่วงกับอาการของนาง ดังนั้นหยว
นางร้องไห้น้ำตาไหลริน “นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”อวี่เหวินห่าวยื่นมือออกมาให้นางมานั่งลงและพูดว่า "ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ข้าเท่านั้น แต่อ๋องคนอื่น ๆ และเสด็จอาก็ถูกโบยด้วย พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น คดีของหลัวกุ้ยผินนั้นได้รับการสะสางแล้ว เสด็จพ่อยอมรับผิด และสั่งลงโทษตัวเองแปดสิบที ไม่สิ พวกเราทุกคนล้วนช่วยกันแบ่งเบา ส่วนข้าคือคนที่โดนน้อยที่สุด”"มีท่านอ๋องกี่คนที่ถูกโบย?" หยวนชิงหลิงนั่งลงข้างเขา เมื่อเห็นว่าอาการบาดเจ็บได้รับการรักษาแล้ว นางจึงขอให้ถังหยางพันผ้าพันแผลทับ เพื่อไม่ให้เลือดติดผ้าปูที่นอนนางทั้งโกรธและเสียใจ นางห้ามน้ำตาไว้ไม่ได้"พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สี่ และเสด็จอา รวมข้าด้วยก็ห้าคน" อวี่เหวินห่าวกล่าวหยวนชิงหลิงเช็ดน้ำตา เมื่อเห็นว่าถังหยางทำแผลค่อนข้างรุนแรงหยาบคาย นางจึงรีบไปช่วยเป่าแผลอย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่ลืมที่จะถามว่า "แปดสิบทีแบ่งกันห้าคน ทำไมท่านถึงได้ยี่สิบห้าที? คำนวณอย่างไรก็ไม่ใช่ ยังบอกว่าตัวเองได้น้อยที่สุด ยี่สิบห้าทีไม่ได้น้อยที่สุดแล้ว"อวี่เหวินห่าวพูดบ่น "เมื่อเทียบกับแปดสิบทีแล้ว ถือว่าโดนน้อยกว่าแล้ว"หลังจากถูกหยวนชิงหลิงซักถามจนพูดออกมาว่า
หยวนชิงหลิงยังคงเจ็บใจ และก็รู้ว่าถูกโบยครั้งนี้มันคุ้มค่า อย่างน้อยหลัวกุ้ยผินก็พ้นข้อกล่าวหา และคนจากตระกูลหลัวทั้งหมดก็ได้รับการอภัยโทษด้วยอวี่เหวินห่าวจับมือนางไว้ "ไม่ร้องไห้นะ ดีไหม? ข้ายังสบายดี"หยวนชิงหลิงถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง "ปวดมากไหม? ฉีดยาแก้ปวดดีไหม?"อวี่เหวินห่าวสูดหายใจเข้าลึก "ไม่ได้เจ็บสาหัส เจ็บนิดหน่อยเท่านั้น แต่ถ้าหากมีอะไรแก้ปวดหน่อยล่ะก็ ขอสักหน่อยก็ดี"รู้ว่าเขาพยายามอดทนอยู่ยี่สิบห้าที ถูกโบยไปจนเนื้อแตกขนาดนั้น จะไม่เจ็บได้อย่างไรกัน?ไม่ใช่ว่านางไม่เคยสัมผัสรสชาติเช่นนี้มาก่อน และหากพวกข้าราชบริพานจับตามองอยู่ พวกทหารคงลงมือโบยหนักขึ้นหยวนชิงหลิงฉีดยาแก้ปวดให้เขา และสั่งยาแก้อักเสบเพื่อไม่ให้เขาเป็นไข้ คืนนี้นางไม่กล้าไปไหน แม้ต้องฝ่าฝืนรับสั่งฝ่าบาทก็ตามข้าวเย็นนางก็กินไม่ลง ตักน้ำแกงกินได้ไม่กี่คำก็วางช้อนลงแล้วอวี่เหวินห่าวนอนกินข้าวอยู่บนเตียง เพื่อให้เห็นว่าเขาไม่ได้เป็นง่อยไร้ประโยชน์ และไม่ยอมให้คนมาป้อนเพียงแต่การใช้ศอกค้ำเพื่อกินข้าวนั้นก็ลำบากอยู่เหมือนกัน จนในที่สุดก็ก้มหน้ากินในชามเหมือนหมูกินข้าวหยวนชิงหลิงที่เห็นทั้งขำและปว
กู้ซีหันกลับมาอุทานด้วยความตกใจ “พระชายาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?”เขาง่วนอยู่กับการเยี่ยมท่านอ๋อง และไม่เห็นพระชายาเข้ามาหยวนชิงหลิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า "ข้าอยู่ที่นี่มาตลอด ตอนเจ้าเข้ามาข้าก็อยู่"นางจับขอบตั่งไม้และลุกขึ้นมาถามอย่างกระวนกระวายใจ “ฝ่าบาทสั่งให้เจ้าพาอ๋องเว่ยไปขอโทษจิ้งเหอจวิ้นจู่พรุ่งนี้รึ?”“ใช่แล้ว ยังทรงรับสั่งมาว่าถ้าหากเขาไม่ยอมไปก็ให้ลากเขาไป ลำบากจริง ๆ” กู้ซีกังวลใจยิ่งนักหยวนชิงหลิงกังวลใจ นางขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทก็จริง ๆ ทำไมถึงได้บังคับให้คนอื่นลำบากกัน? เขาไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป ใครอยากได้คำขอโทษจากเขากัน ขัดขวางคนจะเริ่มต้นชีวิตใหม่”“การขอโทษแค่ทำเป็นพิธี ฝ่าบาทคิดว่าการเป็นสามีภรรยามีอะไรก็ควรพูดให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ขุ่นเคืองใจกันหลังแยกทาง” กู้ซีกล่าวเช่นนั้นหยวนชิงหลิงนั่งลงข้างเตียง มองไปที่กู้ซีแล้วพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นหากอ๋องเว่ยไม่ยอมไปในวันพรุ่งนี้ เช่นนั้นแล้วก็อย่าไปบังคับเขาเลย"อวี่เหวินห่าวเห็นนางนั่งลง เขาก็ดึงมือนางขึ้นไปไว้ด้านหลัง "เกาให้หน่อย แถวตรงปีกไก่... ลงมาอีกหน่อย ใช่ ตรงนั้นแหละเกาแรง ๆ..."หยวนชิงหลิงช่วยเกาแก้
หยวนชิงหลิงคิดว่าเขาด่วนสรุปเกินไป “ไม่ใช่เช่นนั้น จะเผชิญหน้าต้องดูเวลาด้วย ตอนนี้นางบาดเจ็บสาหัส หากว่ากันแล้ว นอกจากประสบการณ์เฉียดตายของนาง ยังมีประสบการณ์เรื่องที่น่ากลัวและเจ็บปวดอีก เผชิญหน้ากันในเวลานี้ไม่ใช่ความกล้า แต่เป็นความเคียดแค้น นางเห็นอ๋องเว่ยก็จะคิดถึงว่าเขาเป็นคนฆ่าลูกของนาง สิ่งที่นางจะได้มิใช่การทรยศหรือความเจ็บปวดทางใจ แต่เป็นการฆ่าล้างแค้น”เหลิ่งจิ้งเหยียนพยักหน้า “พระชายา นั่นเป็นสิ่งที่ท่านคิดเองสินะ?”มือของหยวนชิงหลิงที่จับที่วางแขนอยู่นั้น นางหงายมือขึ้นมา “ข้าคิดเอง ตอนนี้ข้าเองก็ท้องอยู่ ถ้ามีคนฆ่าลูกข้า หลังจากนั้นก็เสแสร้งมาบอกกับข้า ด้วยคำขอโทษเพียงคำเดียว นี่เป็นการทำร้ายกันซ้ำสอง ให้อ๋องเว่ยไปเถอะ ไม่ต้องมาขอโทษหรอก ข้าขอคัดค้าน”เหลิ่งจิ้งเหยียนที่มองนางเดือดดาลเช่นนี้ จึงรู้ว่าคงพูดกับนางไม่ได้ เลยมาคุยกับอวี่เหวินห่าวแทน “ท่านอ๋องเห็นว่าอย่างไร?”อวี่เหวินห่าวตกใจ เขาจะไปรู้ความคิดผู้หญิงที่ไหนกัน? แต่ในฐานะที่ใกล้จะเป็นพ่อลูกสามแล้ว เขาเองก็คิดเอนเอียงไปทางเดียวกันกับเหล่าหยวนเช่นกัน หากเห็นคนที่ตัวเองเคียดแค้น คงมีแต่ฆ่าสถานเดียวเท่านั้น
ในตอนที่มีไข้ขึ้นสูง คนป่วยจะมึนและเบลอ จึงต้องดื่มน้ำ และประพรมน้ำให้ร่างกายเย็นลง ซึ่งทำให้ผ้าปูที่นอนเปียกหมานเอ๋อร์นำผ้าขนหนูมาคลุมบริเวณที่เปียก และซูยี่ช่วยเขาขยับตัวเล็กน้อย แม้ว่าการขยับนี้จะทำให้เขารู้สึกอึดอัดมากหลังจากบังคับให้ดื่มไปครึ่งแก้วรวมถึงเช็ดตัว ผ่านไปสักพัก อวี่เหวินห่าวก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่หยวนชิงหลิงอย่างเบลอ ๆ "หยวน ข้าทนไม่ไหวแล้ว"ได้รับบาดเจ็บแบบนี้ การไปที่ห้องน้ำนั้นยากที่สุดร่างกายเจ็บตึงไปหมด นับประสาอะไรกับการอยากไปถ่ายเบากันซูยี่นำกระโถนเข้ามา ส่วนอวี่เหวินห่าวที่ได้เห็นก็โกรธจัด “ไม่เอาเจ้านี้ หาทางพาข้าไปห้องน้ำให้ได้”"ไม่ได้ แบบนี้มันจะทำให้เจ็บเกินไป" หยวนชิงหลิงพยายามเกลี้ยกล่อม "ใช้กระโถนไปก่อน วันพรุ่งนี้อาการดีขึ้นหน่อย ค่อยพาท่านไปห้องน้ำกัน"อวี่เหวินห่าวดื้อรั้นและไม่ฟังใครทั้งนั้น ดึงดันจะไปห้องน้ำให้ได้แม้ว่าห้องน้ำจะอยู่ข้างนอก แต่เขาก็ออกไปไม่ได้ ขยับตัวได้ยากจริง ๆซูยี่ที่นำกระโถนมานั้นมองไปทางหยวนชิงหลิงอย่างช่วยไม่ได้ “พระชายา หรือว่าจะพยุงท่านอ๋องออกไปดี”หยวนชิงหลิงจึงทำได้แค่เรียกหมานเอ๋อร์ไปเชิญถังหยางเข้ามาถังห
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม